นิยายอ่านฟรีจบเรื่อง กระเรียนหลงฟ้า บทที่11 อูคาชิ เซดะ นินจาเลือดซามูไร Part3
กระเรียนหลงฟ้า บทที่11
แรกพบ
ในวันถูกลักพาตัว
ดวงดาวที่เคยให้แสงนำทางในคืนไร้จันทร์ ยังไม่สามารถทอแสงผ่านกลุ่มเมฆฝนที่กำลังตั้งเค้าลงมาได้ โคมไฟบนเกาะกลางถนนสุขุมวิทก็พลันดับพรึบลงไปอีกเมื่อเสียงฟ้าผ่าดังขึ้นพร้อมกับพายุลมโหมกระชากต้นไม้หนที่ 3 เวลานี้มีเพียงแสงสว่างจากไฟหน้ารถยนต์ของไหมจีนเท่านั้นที่ใช้ตามรถเก๋งสีดำไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ออกจากมหาวิทยาลัย ความเร็วของชั่วโมงเร่งด่วนยังพอที่พวกเขาจะไม่พลัดหลงง่ายๆ อีกอย่างทักษะการขับรถของไหมจีน ก็นับได้ว่ามีชั้นเชิงไม่เบา บางครั้งเธอปาดข้ามเลนเพื่อจะหลบหลังรถยนต์คันอื่นและบางคราก็เลือกจะชะลอเว้นระยะห่างได้อย่างมีศิลปะ
“ไหมจีน!”
“ไว้ใจเถอะน่า…” และเมื่อพวกเขาเลยสถานีรถไฟลอยฟ้าเอกมัยมาได้สักระยะรถเก๋งคันดังกล่าวก็เลี้ยวซ้ายเข้าซอยเล็กๆ ข้างร้านสะดวกซื้อที่คงเปิดไฟสำรองสว่างกว่าร้านอื่นๆ…
“ซอยเซเว็น-อิเลฟเว็น” ดาบไผ่กระซิบ ไหมจีนก็ไวพอที่จะปาดหน้ารถเมล์สีแดงครีมเข้าเลนซ้ายสุดก่อนจะเลี้ยวตามเข้าไปติดๆ
“พวกมันเลี้ยวขวา”
“จีนรู้แล้วว่าพวกมันจะไปไหน” เธอโพล่งขึ้นลอยๆ
“เธอรู้…..” ดาบไผ่อุทานสงสัย…แต่ก็ไม่เข้าใจตัวเองเช่นกันว่าทำไมเขาถึงต้องมานั่งในรถของเธอในเวลานี้
“ก็แค่เดา…พี่เงียบได้แล้ว…หนึ่งในพวกมันอาจจะมีพรสวรรค์พิเศษ…เหมือนเอ่อ…” เธอหยุดพูดทั้งๆ ที่ยังพูดไม่จบ จนดาบไผ่อดตะคอกอีกไม่ได้
“ไหมจีน…”
“เอ่อ…พวกนั้นเป็นนินจานะ…อาจจะได้ยินเสียงที่เราคุยกัน” ไหมจีนตัดบทดื้อๆ เธอกระพริบไฟสูง เพื่อขอทางข้ามแยกเล็กๆ ในซอยย่อย 2 ครั้ง
(ไอ้พวกปลิงลมสันดานหนอน) ดาบไผ่กัดฟันพ่นลมหายใจออกมาอย่างคนลืมตัว ไหมจีนอมยิ้ม แต่เธอก็ปั้นหน้าไม่รู้ไม่ชี้อยู่อย่างเดิม
เมฆฝนแผ่ปิดฟ้ากรุงเทพฯ ไว้ทุกทิศทาง แต่ชายหนุ่มกับหญิงสาวคู่หนึ่งยังคงขับรถสะกดรอยตามรถเก๋งสีดำอย่างไม่ยอมลดละ จนกระทั้งแสงโคมสีส้มสาดมาจากปากซอยของถนนพระราม 4 รกเก๋งสีดำเลี้ยวซ้ายปาดข้ามสู่เลนขวาสุดในระยะกระชั้นชิด เหมือนพวกมันจงใจจะกลับรถที่ห่างจากปากซอยไม่ถึง 10 เมตร ไหมจีนชะลอหลบมุม สักครู่เธอเร่งเครื่องตามออกไปในลักษณะเดียวกัน
“พวกมันมุ่งหน้าไปสีลม” ไหมจีนพึมพำขึ้นมาอีก ดาบไผ่ที่สงสัยในความเป็นนิจาของเธออยู่แล้ว ก็ยิ่งเหมือนจะย้ำจุดเดิมให้คิดหนักขึ้นไปอีก แต่เขาก็เลือกที่จะเงียบ ปล่อยให้เธอขับรถตามพวกมันไปเรื่อยๆ…จนกระทั้งสิ่งที่เธอพึมพำเมื่อครู่ก็เป็นความจริง เธอเร่งเครื่องยนต์ผ่านหน้าโรงแรมดุสิตธานีเลี้ยวเข้าถนนสีลมตามพวกมันไปอย่างที่เธอคาดเอาไว้
“ซอยข้างตึกพี.พี.ทาวน์เวอร์” ดาบไผ่กระซิบเมื่อสังเกตเห็นท้ายรถยนต์ยนต์เปิดไฟกระพริบสีเหลืองถี่ ไหมจีนชะลอก่อนจะถึงปากซอยเล็กน้อย สักครู่เธอก็เลี้ยวตามเข้าไปอีก ดาบไผ่รีบกดสัญญาณโทรศัพท์มือถือแจ้งตำแหน่งให้อลันรู้ รถเก๋งสีดำเลี้ยวเข้าไปในตึกสูง แต่ไหมจีนกลับเร่งเครื่องยนต์ผ่านเลยลึกเข้าไปในซอย
“จอดตรงนี้แหละ…” ดาบไผ่ออกคำสั่ง แต่ไหมจีนกลับไม่มีท่าทีจะสนใจ
“จีน…จอดรถเดี๋ยวนี้” เขาเริ่มตะคอก
“พี่จะตามพวกนั้นเข้าไปข้างในตอนนี้ไม่ได้”
“เธอเป็นพวกไหนกันแน่จีน…” ดาบไผ่เริ่มควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ แต่ไหมจีนกลับเร่งเครื่องยนต์ให้เร็วขึ้นไปอีก
“พี่ต้องไปพบคนๆ หนึ่งก่อน….เพราะเขาจะช่วยเราได้”
“ช่วยเรา…เราเหรอ…เธอเป็นใครกันแน่” ดาบไผ่สุดจะทน เขาใช้มือจับคางของเธอให้หันมามองหน้าเขา
“อย่าทำอย่างนี้…มันจะทำให้จีนหลับ” เธอหลุดเสียงสั่นกลัวพร้อมกับชะลอความเร็ว ในที่สุดรถยนต์ก็จอดนิ่งในเงามืดของอาคารน้ำตาลดำ 8 ชั้นติดกับร้านกาแฟเล็กๆ มุมถนน
“เธอเป็นพวกปลิงลมสันดานหนอน…ใช่ไหม”
“จีนไม่มีวันคิดร้ายกับคุณชายอูคาชิ เซดะ” ชื่อปริศนาที่ไหมจีนหลุดออกมา หยุดเขาได้ชะงัก
“พี่ต้องเชื่อใจฉัน…” เธอพูดต่ออย่างคาดหวังและเพ่งสายตาที่จริงใจออกมาให้เห็น
“อูคาชิ เซดะ…”
“ใช่ พี่ต้องใช้จิตพิรุธ…มองฉัน อย่าใช้แต่อารมณ์” เธอเหลือบจ้องไปที่ใบหน้าของเขาแวบหนึ่งก่อนจะพูดต่อ “คนๆ หนึ่งจะช่วยเราได้…รวมทั้งพี่จะได้รู้เสียทีว่า อูคาชิ เซดะเป็นใคร” ดาบไผ่อึ้ง ไหมจีนฉวยโอกาสนั้นค่อยๆ ปล่อยรถให้แล่นต่อเข้าไปในซอยลึก สักพักเธอก็หยิบกุญแจรีโมทคอนโทนที่วางอยู่ข้างๆ ขึ้นมาเล็งกดไปยังประตูรั้วไม้สักหน้าบ้านพักอาศัย 2 ชั้นขนาดใหญ่ ประตูค่อยๆ เลื่อนเปิดออกจนกว้างพอ เธอจึงเร่งเครื่องยนต์ผ่านเข้าไปจอดในอาคารเก็บรถทันที
“อูคาชิ เซดะ…จะปลุกให้ตื่นเพื่อเผชิญหน้ากับมัน…” เขาพึมพำจากความทรงจำที่มีชายชราในชุดกิโมโนสีขาวเป็นต้นเรื่อง กระทั้งเสียงเครื่องยนต์ดับลง สมองอีกด้านก็เริ่มทำงาน
“สบายใจได้…บ้านหลังนี้แหละที่พี่จะได้พบกับคนที่ช่วยให้คำตอบกับเรื่องทั้งหมด” เสียงของเธอยังสั่นแต่ก็พยักหน้าให้เขาเชื่อ
(เรากำลังมาทำอะไรอยู่กับผู้หญิงที่ไม่เคยไว้วางใจตั้งแต่แรก) ดาบไผ่คิดขณะก้าวที่ 3 และทันทีที่ไหมจีนหันกลับมามอง
“อย่า!……” เธอก็กรีดร้องเสียงหลงลอยข้ามกระถางต้นไม้สูงไปติดกับผนังอีกฝั่ง
โครม!…ดาบไผ่ตกใจไม่แพ้กัน เป็นครั้งแรกที่พลังแฝงทำงาน แต่ก็ยังมีสติพอที่จะกระโจนตามไปกดเธอให้นิ่ง
“…เธอเป็นนางนกต่อให้กับพวกปลิงลมสันดานหนอนใช่ไหม” เขาใช้น้ำเสียงกระด้างมากขึ้น “…ไม่มีสิทธิ์มาล้อเล่นกับความรู้สึกของฉัน…เธอเป็นใครไหมจีน…เธอเป็นใคร!” ดาบไผ่ใช้อารมณ์ที่ไม่สามารถควบคุมตะคอก แต่แล้วน้ำเสียงเย็นยะเยือกของบางคนก็ดังขึ้นด้านหลัง
“เธอชื่อ มินาโมโต ยูจีน หรือ มินาโมโต ไหมจีนในภาษาไทย เป็นบุตรสาวของ….อูคาชิ เซดะ”
“อู อูคาชิ เซดะ!….” ขณะสติได้ตั้งติด เขาก็เริ่มทวนตามเสียงที่ได้ยินอีกครั้ง “อูคาชิ เซดะ”
“เธอคือบุตรสาวของข้าเอง” ชายผมสั้นขาวโพลนไปทั้งหัวพูดอย่างคนใจเย็น รูปร่างฟิตสูงโปร่งกับใบหน้าที่ยังไม่ปรากฏริ้วรอยจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของเขา
(อูคาชิ เซดะ) ดาบไผ่คิด แต่ก็ไม่พลาดที่จะสำรวจชายคนดังกล่าวอย่างระมัดระวัง…กระทั้งอารมณ์ที่กำลังพุ่งพล่านค่อยๆ เย็นลงและมันเย็นลงอีกเมื่อเห็นรอยยิ้มของเขาฉายตามมา
“เรามีหลายเรื่องที่ต้องคุยกัน เชิญด้านใน…” น้ำเสียงที่เชื้อเชิญเต็มไปด้วยมนต์สะกด ดาบไผ่พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย…
“ไม่เป็นอะไรใช่ไหมลูกหญิง” เขาหันไปถามไหมจีน ที่ยังคงยืนหน้าซีดอยู่กับผนัง เธอพยักหน้าก่อนจะรีบเดินนำคนทั้งคู่เข้าไปด้านใน
“จงใช่จิตพิรุธตัดสิน อย่าใช้แต่เพียงอารมณ์…เชิญเถอะพ่อหนุ่ม” ชายคนนั้นบอกเขาในทำนองเดียวกับไหมจีนที่แนะหลายครั้ง ดาบไผ่พยักหน้าอีกก่อนจะเร่งฝีเท้าตามไหมจีนเข้าไปข้างใน เธอเดินนำอย่างหวาดๆ ผ่านห้องรับแขกที่ติดกับห้องนั่งเล่นและเดินทะลุไปยังระเบียงไม้ติดกับสระบัวหลวงที่กำลังอวดดอกสีชมพูเบ่งบานสะพรั่งอยู่เต็มสระ เธอหันกลับมาพยักหน้าซีดๆ ก่อนจะนำเลี้ยวซ้ายขึ้นบันไดไม้สักที่ขัดจนขึ้นเงาสู่ชั้น 2
“พี่นั่งรอ…ตรงนั่น” เธอหันมาแนะเสียงสั่น ก่อนจะดินแยกหายเข้าไปข้างใน ดาบไผ่เดินไปนั่งเก้าอี้นวมตัวใหญ่ที่สามารถมองเห็นสวนหินที่ตกแต่งตามปรัชญาของพุทธศาสนานิกายเซนบนระเบียงที่ยื่นออกไปเกือบกึ่งกลางสระบัวด้านล่าง มันเรียบแต่ก็ชัดเจนจนอารมณ์ที่กำลังลุ่มร้อน เมื่อข้างในเริ่มผ่อนคลาย สักพักแม่บ้านรูปร่างสันทัดก็เดินถือแก้วน้ำที่มีของเหลวสีอำพันตรงเข้ามาหา นางเหลือบมองเขาแล้วอมยิ้มอย่างขลาดเกรงอยู่หลายครั้งก่อนจะเป็นเขาที่พยักหน้าให้เธอเห็น นางจึงวางแก้วน้ำลงโต๊ะกลางแล้วลุกขึ้นเดินกลับทันที
“ใจเย็นพร้อมที่จะคุยกันหรือยัง…พ่อหนุ่ม” เสียงชายคนเดิมดังขึ้น
(ทำไมไม่ได้ยินเสียงเขาเดิน…) ดาบไผ่สงสัยประเด็นใหม่ เขาสำรวจชายที่ชื่ออูคาชิ เซดะอย่างจริงๆ จังๆ ในขณะที่เขาเดินวนมานั่งฝั่งตรงข้าม (นี้นะรึ! อูคาชิ เซดะ) และแววตาที่อบอุ่นของเขา ก็ทำให้ภาพของชายชราในชุดกิโมโนสีขาวผุดขึ้นมาในหัวอีก
(เขาคืออูคาชิ เซดะ…ไหมจีนเรียกเราว่าคุณชายอูคาชิ เซดะ…ตกลงชายคนนี้คือคนที่เรากำลังตามหา…หรือว่าอะไรกันแน่)
“ใช่” เสียงตอบเหมือนจะอ่านความคิดของเขาออก (ข้าคือคนที่ เจ้ากำลังตามหา…และเป็นคนที่พยายามตามหาเจ้ามานาน)
“เอ้!…” (เอ่อ…ตามหาผม…ทำไม..) ดาบไผ่จ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่นั้นและทดลองกระทำแบบเดียวที่ไหมจีนแนะ ซึ่งมันก็…. (เพราะเจ้าเป็นคนที่มีค่ายิ่ง สำหรับ มินาโมโต) เสียงสื่อได้ผล เขารู้สึกอบอุ่นมากขึ้นแล้วตอนนี้
(ผมตามหาคนชื่อ อูคาชิ เซดะ ไม่ใช่ มินาโมโต)
(มินาโมโต โคทาโร่ เจ้าเคยได้ยินชื่อนี้บ้างไหม…) เสียงสื่อถามและรอยยิ้มที่มุมปากนั้นก็บอกถึงชะตาต้องอย่างน่าประหลาด
(นี้เราสามารถคุยกันทางกระแสจิตได้แบบเดียวกับ…)
(ได้…ถ้าเจ้าคือ มินาโมโต โคทาโร่)
“เขาเป็นใครกัน…มินาโมโต โคทาโร่” ดาบไผ่หลุดเสียงดัง
(ระวังหน่อยพ่อหนุ่ม!…แถวนี้มีคนสอดแนมอยู่…เราคุยกันด้วยกระแสจิตจะปลอดภัยกว่า)
(ถ้าเจ้ามีดาบ คาตานะ มูโต…เออข้ากำลังหมายถึงดาบซามูไรเล่มยาวในปลอกสีดำรูปขนนก…และมีตราประจำตระกูลมินาโมโตเป็นรูปนกกระเรียนเหินลมอยู่กลางวงกลมคล้ายดวงอาทิตย์ที่ด้ามจับทั้ง 2 ด้าน ที่สำคัญ ถ้ามันเลือกเจ้าเป็นนาย เจ้าก็คือ มินาโมโต โคทาโร่ ที่กลับชาติมาเกิดใหม่…ไม่ผิดแน่) เขาอธิบายยาว ซึ่งทำให้ดาบไผ่เผลอนึกถึงห่อผ้าไหมสีขาวที่ห่อดาบซามูไรขึ้นมาในหัว
(นั้นแหละ…ข้าก็กำลังเห็นมันไปพร้อมๆ กับเจ้า แต่…)
(ท่านเห็นได้อย่างไร)
(หากเจ้าฟื้นความทรงจำได้ ข้าก็จะเห็นมันในความทรงจำแบบที่เจ้าเห็น) ชายที่นั่งตรงหน้าพูดยิ้มๆ แต่ดวงตาที่เริ่มจะเปียกชุ่มก็เป็นอีกปริศนาหนึ่งขึ้นในใจ
(อูคาชิ เซดะ คือชื่อท่านหรือเปล่า แล้วเข้ามาเกี่ยวข้องอะไรคุณมินาโมโต)
(เจ้าควรจะเรียกชื่อเขานะ…เพราะมินาโมโตเป็นชื่อสกุล)
(นั้นแหละ…ผมกำลังหมายถึง โคทาโร่ นั้นแหละ)
(ข้าเป็นบุตรชายของเขา) เสียงสื่อบอก (ข้าเป็นบุตรชายของมินาโมโต โคทาโร่)
(บุตรชายของมินาโมโต โคทาโร่…ทำไม่ไม่ใช้สกุล มินาโมโตละ) ดาบไผ่ถามอีก ซึ่งเขาเองก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไม…เรื่องของต้องตะวันที่น่าจะสำคัญกว่าแต่เขากลับลืมสนิทในเวลานั้น
(เรื่องมันยาว…เดียวข้าจะค่อยๆเล่าให้เจ้าฟังภายหลัง…แต่ตอนนี้ข้ากระหายอยากรู้ว่า ความทรงจำที่เจ้ามีไม่ได้โกหก…เจ้าต้องพิสูจน์ให้ข้าเห็นว่าเจ้าคือเจ้าของดาบคาตานะ มูโตจริงๆ) เสียงสื่อเริ่มดีขึ้น แต่สายตาที่เพ่งมองผ่านสวนหินกำลังเชิดสูงเหมือนเขาไม่อยากให้น้ำตาล้นทะลักออกมาในยามนั้น…
(ได้โปรด…เพราะข้าตามหาพวกเขามานานมากกว่า 55 ปีตั้งแต่ข้าอายุ 17 ปี หากยังล้มเหลวข้าเห็นทีจะตายตาไม่หลับ)
“แสดงว่าตอนนี้คุณอายุ 72 ปีแล้วหรือ…” ดาบไผ่หลุดถาม
(ระวังหน่อยพ่อหนุ่ม…คงจะประมาณนั้น เพราะข้าไม่เคยสนใจตั้งแต่เลย 60)
(ผมไม่มั่นใจว่ามันจะเป็นดาบเล่มเดียวกันกับที่ท่านกำลังตามหาหรือเปล่า…แต่ผมก็เอ่อ…)
(ใช้จิตพิรุธอ่านข้า…และจงใช้จิตพิรุธตัดสินข้า)
(แต่….เพื่อนผม)
(เราต้องไปพิสูจน์คืนนี้)
(ไม่ได้…ผมต้องช่วยเพื่อนก่อน ไหมจีนบอกว่า คุณช่วยเราได้) ดาบไผ่แย้งทวง จนเขาอมยิ้มให้เห็นอีก
(คุณชายมินาโมโต พ่อข้า ก็รักเพื่อนเช่นเดียวกับเจ้า)
(ใช่ เพราะเขาคือเพื่อนคนเดียวที่ผมมี)
(เพื่อนเจ้าจะได้รับการดูแลอย่างดีตราบใดที่พวกมันยังจับตัวเจ้าไม่ได้)
“ผมไม่เข้าใจ”
(ระวังหน่อยพ่อหนุ่ม!…เพื่อนเจ้าเป็นเพียงเหยื่อล่อ…จุดประสงค์ของพวกปลิงลมสันดานหนอนที่เจ้าแสนจะเกลียดชัง คือตัวเจ้าเองต่างหาก…เพราะเหตุนี้เขาจะยังคงปลอดภัย…แต่คืนนี้เจ้าต้องไปพิสูจน์กับข้า…หากเจ้าคือ มิมาโมโต โคทาโร่ กลับชาติภพมาเกิดใหม่จริงๆ และนั้นก็แสดงว่าเจ้าคือพ่อของข้า ต่อจากนั้นเจ้าจะมีสิทธิ์ออกคำสั่งกับข้าได้ทุกเรื่อง) คำพูดสุดท้ายทำให้ดาบไผ่สับสนเรื่องราวของตัวเองมากขึ้น (เราคือพ่อ…ของชายชราอายุ 72 ปีเหรอ) เขาเผลอคิด แต่ชายที่นั่งตรงหน้ากลับพยักหน้าให้เห็น
(ไหมจีนละ…) เป็นความรู้สึกที่ไม่ได้ตั้งใจจะถาม
(ลูกหญิงยูจีน…ก็กำลังทำหน้าที่ของเธอ…อีกไม่นานเจ้าก็จะได้รู้เอง…แต่ตอนนี้เจ้าต้องไปกับข้าก่อน) เสียงสื่อเบาลง ดาบไผ่ยกแก้วน้ำสีอำพันขึ้นดื่มจนหมด จึงลุกขึ้นเดินตามชายคนนั้นลงไปข้างล่าง พวกเขาเดินข้ามไปยังอีกฝั่ง…
(ผมจะเรียกชื่อคุณว่าอะไรดี)
“เรียกข้าว่า เซดะ…”
“เฮ้!…ระวังหน่อยพ่อหนุ่ม!…” ดาบไผ่ย้อนกลับ ทำเอาเซดะถึงกับหันขวับหน้าบึ้งใส่ สักครู่ทั้ง 2 ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกัน…ฮาๆๆ…
รถเก๋ง BMW สีดำจอดนิ่งรอที่หน้าป้อมยามทางเข้าติดกับถนนใหญ่ ที่ไม่ใช่ซอยเล็กๆ ที่ไหมจีนพาเข้ามาเมื่อครู่ โดยมียามแก่ๆ นั่งที่หลับๆ ตื่นๆ เป็นหินล้มอยู่ข้างใน เซดะนำเข้าไปนั่งเบาะหลัง ก่อนคนขับรถจะพาทั้งสองมุ่งหน้าสู่สะพานพระราม 8 ตรงไปยังถนนพระราม 2 และเร่งความเร็วออกนอกเมือง…ขณะนั้นเวลา 21.47 น.เกือบๆ จะ 4 ทุ่มเข้าไปแล้ว…
……….
“จิตพิรุธคือเครื่องรางประจำตัว……..
…………..เชื่อถือได้หากไม่ใช้อารมณ์”
ดาบไผ่ ธารารักษ์
……….
จบ กระเรียนหลงฟ้า บทที่11