อนุชาย2 บทที่11

ความสิ้นหวัง

อนุชาย2 บทที่11 ความสิ้นหวัง

ความสิ้นหวัง

ความสิ้นหวัง…เช้าวันอาทิตย์ภายในห้องนอนใหญ่ชั้น 2 ….เวลาตี 5 กับ 37 นาที เดียรเนียล สแปนเลย์ ยกเก้าอี้ผ้ามุมห้องมานั่งจ้องคนกำลังหลับลึกด้วยแววตายากจะอธิบาย ท้องฟ้าทางทิศตะวันออกเมื่อมองผ่านหน้าต่างที่กลีบม่านปิดไม่สนิทกำลังเรืองรองสีอำพันกระจ่างขึ้นทีละเฉด กระนั้นฝ่ามือที่ประสานกันระดับอกราวกำลังภาวนาต่อพระเจ้าซึ่งอันที่จริงจะว่าไปแล้วถึงไม่ใช่…แต่ก็มีความใกล้เคียงอยู่มาก

“Please Chanoon….Wake up please…You ต้องตื่น ได้ โปรด เถอะ ชานนท์ ตื่น ขึ้น เพื่อ ฉัน Wake up for me please…. Chanoon please” กิริยาใช้หลังนิ้วชี้ซับหางตาบางๆ บอกถึงอารมณ์ที่กำลังหน่วงลึก “I come back tomorrow  ฉาน จะ ทำ อย่างไร ดี….I has something for tell you ชานนท์ I มี บางอย่าง จะบอก You….แต่ หาก You รู้ You จะยิ่งคิด ยิ่งซีเรียส หนัก กว่า เดิม หรือเปล่า ฉานจะทำอย่างไรดี What should I do, God tell me, Help me please, พระเจ้า ได้ โปรด ช่วย ฉัน ด้วย และ ช่วย เขา ที…..” เขานั่งภาวนาอยู่แบบนั้นกระทั้งร่างใต้ผ้าห่มกระดุกกระดิกให้เห็น ทั้งหมดที่อัดแน่นอยู่ข้างในก็พรั่งพรูออกมา เดียรเนียล สแปลนเลย์ ยกฝ่ามือสั่นๆ ขึ้นปิดปากตัวเอง เขาปิดเสียงสะอื้นก่อนจะค่อยๆ ลุกเดินเข้าไปในห้องน้ำ เมื่อเสียงสายน้ำจากฝักบัวกลบ…แรงบีบคั้นจึงปล่อยทุกอย่างทิ้งไปกับฟองสบู่อย่างไม่เสียดาย….. “จะต้องลุ้นทุกๆ เช้าเลยรึอย่างไร God! My god help me และ ช่วยเขาด้วยได้โปรด….Please, My god please”อนุชาย2 บทที่11

…เมื่อจบอาหารเช้าแบบง่ายๆ จากฝีมือเดียรเนียล….ดร.ชานนท์ก็เอ่ยปากชวนไป อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี เพื่อเอาของไปฝากสมรกับศักดิ์ดาตามปกติ เดียรเนียล สแปนเลย์ ไม่ขัดข้อง และระหว่างที่อยู่ด้วยกันภายในรถ แดดเช้าบนถนนวงแหวนตะวันออกกำลังเข้าเฉดสีขาว ท้องฟ้าโปร่งใสเริ่มต้นเข้าสู่ฤดูหนาวที่ร้อนยิ่งกว่าช่วงซัมเมอร์ของแวนคูเวอร์หลายเท่า อยู่ๆ เดียรเนียล สแปนเลย์ ก็ถามขึ้นลอยๆ

“Chanoon You กำลังรอใคร บาง คน อยู่ ใช่ ไหม….”

ดร.ชานนท์หันไปมองนิดๆ “………..” แต่ก็ยังไม่ปริปาก

“2-3 วันมานี้ You เอา แต่ เหม่อ ลอย…You กำลัง รอใคร ชานนท์” เดียรเนียล สแปนเลย์ กระตุ้น และในที่สุด…ดร.ชานนท์ ก็พยักหน้ายอมรับ

“ฉันกำลังรอพ่อของลูกชายฉัน” ดร.ชานนท์บอกและประโยคดังกล่าวก็ทำให้ดวงตาของ เดียรเนียล สแปนเลย์ ขยายใหญ่กว่าไข่เป็ดเบอร์ 0

“Wait for Arty Father, จริงๆ รึ….” เดียลเนียล สแปนเลย์ ยกมือปิดปากพลางนึกถึงใบหน้าแขกที่มาหาชานนท์เมื่อ 5 วันเทียบกับใบหน้าอาตี้ที่เจอทุกครั้งที่แวะไปเยี่ยมหญิงรัดดาที่ซานฟรานซิสโก “Oh! My God ต้องใช่เขาแน่ๆ”

“นาย นาย ว่าอะไรนะ…..” ดร.ชานนท์สะดุ้งเกือบจะเผลอเหยียบเบรครถ สุดท้ายเขาก็ชะลอจอดริมถนน “นายว่าอะไรนะเดียรเนียล…..”

เดียรเนียล สแปนเลย์ จิ! ปากแบบคนหัวเสีย เมื่อโดนดร.ชานนท์รุกไล่อย่างเอาเป็นเอาตายเขาจึงยอมเล่าโดยไม่ปิดบัง

“ทำไมฉานถึงไม่เอะใจ Oh! My god”

“นายพูดอะไรกับเขาบ้างเดียรเนียล….” ดร.ชานนท์ซัก “นายพูดอะไรกับเขา”

เดียรเนียล สแปนเลย์ นิ่งราวกับนึกสักครู่ “ I ไม่ได้พูดอะไร เออๆ…” เดียรเนียล นิ่งคิดไปอีก “ I…

#“คุณว่าอะไรนะ คุณเป็น แฟน เป็น คนรัก ของชานนท์ อย่างนั้นหรือ”——>“คนรัก…คน รัก หมายถึง แฟน……อ๋อ…แฟน Oh! Yess…. เรา เป็น คน รัก กัน มา นาน แล้ว….จน I ใช้ ชื่อ ชาย (Chai) ใน E-mail ด้วย เรา แลก ชื่อ เล่น กัน ใช้ ใน โลก Internet เรา 2 คน รัก กัน มากๆ ครับ”#

….I บอก ว่า I เป็น แฟน You เขาถาม I กลับทันทีว่า แฟน ที่ หมาย ถึง คน รัก ใช่ไหม….เรา เป็น แฟน กัน เรา ต้อง รัก กาน อยู่ แล้ว ไม่ใช่หรือ…” เดียรเนียล พูดด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ ดร.ชานนท์ ถึงกับซี๊ด! ปาก หลับตาพร้อมกับยกฝ่ามือกุมขมับ “ I I พูดผิดเหรอ…Chanoon”

ดร.ชานนท์ติดอยู่ในโลกสับสนกระทั้งเขาหันมาจ้องตาเดียรเนียลตรงๆ… “นี้ เดียรเนียล นายฟังฉันให้ดีนะ…..” ดร.ชานนท์จับหัวไหล่เขากดลงกับเบาะ “นายบอกเขาว่า นายเป็น แฟน ฉันใช่ไหม”

“Yes!….” เดียรเนียล สแปนเลย์ พยักหน้าแบบซื่อๆ “ You are my Friend คุณคือ แฟน ฉาน ไม่ถูกรึไง”

“นายฟังฉันให้ดีๆ นะเดียรเนียล…คำว่า แฟน ในภาษาไทยหมายถึง Boy Friend หรือ Girl Friend” เดียรเนียล สแปนเลย์ ตกใจแทบช็อก!

“Oh no….”

“นายต้องออกเสียงชัดๆ เฟรน เฟรน เดียรเนียล เฟรน Not แฟน Are you understanding เดียรเนียล” ดร.ชานนท์ทั้งสอนทั้งอยากจะหัวเราะ “ฮ่า ฮ่า ไหนๆ นายลองออกเสียงให้ฉันฟังซิ”

“แฟน เฟน เฟ….เฟรน เฟรน เฟรน Friend Friend” เดียรเนียล สแปลนเลย์ พยายามสุดชีวิต

“เฟรน Firend เดียรเนียล…..”

“Firend หมายถึง คนรัก ใช่ไหม” เดียรเนียลถามอีก ยิ่งทำให้ดร.ชานนท์ถึงกับกุมขมับเป็นรอบที่ 2

“ใช่ Firend หมายถึงคนรักกัน แต่ภาษาไทยเรียกว่า…เพื่อนเพื่อน….”

“ผืน…พืน…เพือ…” เดียรเนียลพยายามออกเสียงตามอีก

เพื่อน….อ่านปากฉันให้ดีๆ นะ เพื่อน….ไหนนายลองอีกที”

“เพื่อ….เผื่อน….เพื้อน….เพื่อน….เพื่อน….เพื่อนใช่ไหม”

“โอ้!….ฉันอยากจะฆ่านายทิ้งนัก” ดร.ชานนท์เกาหัวหยิกๆ พลางหัวเราะแบบคนบ้าไปหลายตลบ “ฮ่า ฮ่า ใช่ๆ ออกเสียงว่า เพื่อนนะถูกต้องแล้ว….แล้วนี้ฉันยังเอาชื่อนายมาเป็นนามแฝงตามวัฒนธรรมรูมเมทของ บริติสโคลัมเบียอีก….ฉันจะอธิบายกับแฟนฉันอย่างไรละทีนี้”

“Sorry all….I ผิด ไป แล้ว และ I จะ แก้ไข ให้ นาย เอง แฟนรัก” เดียรเนียล สแปลนเลย์ บอก

“ไม่ใช่ แฟนรัก โว้ย!….พ่อคุณทูนหัว You ต้องกลับไปเรียนออกเสียงให้ชัดกว่านี้แล้วละก่อนสงครามโลกครั้งที่ 3 จะเกิด” ดร.ชานนท์หัวเสีย แต่ก็อดขำไม่ได้

“เพือ….เพื่อน…รัก—–>เพื่อนรัก”

“ทีหลังพูด Friend หรือ Friendship ทับศัพท์ไปเลยก็ได้ แฟนฉันจะได้ไม่เข้าใจผิด OK”

“โอ้ย! ฉาน จะ บ้า ตาย ภาษาไทย ยาก จริงๆ…..” เดียรเนียลบ่นดังๆ พลางอดขำในความสะเหล่อของตัวเองไม่ได้

“ทีหลังนายพูดภาษาอังกฤษกับแฟนฉันไปเลย เขาฟังรู้เรื่องอยู่แล้ว”

“ฉาน ไม่ รู้ ฉาน ขอ โทษ….แต่ เขา หล่อ มากๆ เลย นะ ฉัน หมาย ถึง He look very handsome”

“ใช่!…เขาดูดีไม่น้อยไปกว่าฉันหรอก….ทำไม ทำไมนายไม่บอกฉันตั้งแต่วันแรก….อู้!” ดร.ชานนท์ตะคอกอีก

“ก็ฉาน มี เรื่อง สำคัญ จะ บอก…….” แล้วเขาก็จิ! ปากเงียบไปอีกวาระ….

“นายก็รู้ว่าฉันรอเค้ามานานแค่ไหน….เดียรเนียล 15 ปีแล้วนะ”

“I’m sorry…แต่ You ได้โปรด อย่าเครียด มาก กว่า นี้เลย นะ….” เดียรเนียล สแปนเลย์ เอื้อมตบปลอบพร้อมกับดึงเขามาโอบบางๆ “ I เข้าใจ You และ I นึก อะไร ออก แล้วละ”

“You หมายความว่าอย่างไร…” ดร.ชานนท์ถาม

เดียรเนียล สแปนเลย์ ยิ้มพร้อมกับพยักหน้าให้เห็น “ขับรถไปบ้าน Arty dad กันเถอะ I พอมีทางช่วย You แล้ว” คำพูดกำกวมของเดียรเนียลทำให้ดร.ชานนท์ไม่เข้าใจทั้งหมด กระนั้นแลนด์โรเวอร์สีบลอนเงินก็ยังคงทะยานไปข้างหน้าสู่จุดหมายปลายทางที่ อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี ตามเดิม….

อีกคน…..

“ฮัลโหล…นี่นายย้ายของมาคอนโดฯ ฉันหมดรึยัง” อนุชัยถามทันทีที่รู้ว่าเป็นใครโทรเข้ามา

(อื้อ…ฉันต้องไปค้นเอกสารที่บ้านในสนามกอล์ฟเซอร์แจ๊คสันและกะว่าจะแวะไปทำบุญที่วัดด้วย นายรอฉันก่อนนะ จะได้กลับกรุงเทพฯ พร้อมกัน)

“นายจะออกมาคืนนี้เลยรึไง….ไม่ขับรถมาเองเหรอ”

(ไม่อะ นั่งรถโดยสารไปเพราะกระบะว่าจะให้สมชายไปรับของสดจากมหาชัยแต่เช้า….นายมีธุระที่อื่นรึเปล่า) เสียงปกรณ์ถามกลับแบบคนเกรงใจ (ถ้าติดธุระก็ไม่เป็นไรฉันนั่งโดยสารกลับเองได้)

“ไม่หรอก….รอนายนั้นแหละ…ดีเหมือนกันจะได้แวะไปทำสังฆทานให้คุณพ่อก่อนกลับด้วย”….

…..เมื่อโตโยต้าคัมรี่วิ่งออกจากตรอกเล็กๆ ในตัวอำเภอมวกเหล็กไปแล้ว แลนด์โรเวอร์สีบลอนเงินก็เลี้ยวเข้ามาจอดแทนที่ จนเป็นเหตุให้สมรกับศักดิ์ที่เพิ่งส่งอนุชัยกับปกรณ์ขึ้นรถกลับเข้ากรุงเทพฯ ยืนมองหน้ากันแบบคนไม่เข้าใจ ซึ่งนั่นก็ทำให้ดร.ชานนท์ที่มาพร้อมกับหนุ่มฝรั่งนัยน์ตาสีฟ้าหล่อราวกับพระเอก ฮอลลี่วูด อดแปลกใจไม่ได้เช่นเดียวกัน

“สวัสดิ์ดีครับน้าสมรน้าศักดิ์ดา…ไหนอยู่กันพร้อมหน้าแบบนี้ละครับ” ชานนท์ถามทันทีที่ก้าวลงจากรถ ขณะที่เดียรเนียลตามหลังมายกมือไหว้จนสมรอดยิ้มปลื้มๆ ไม่ได้

“Sa wat dee khub…”

“ไหว้พระเถอะพ่อ…..” สมรบอก

“พ่อหนุ่มฝรั่งคนนี้เป็นใครกันนะคุณชาย…” ศักดิ์ดาถามแบบคนไม่ได้คิดอะไร

ดร.ชานนท์ยิ้มพร้อมกับส่งของฝากให้สมรก่อน “อ๋อ เพื่อนผมเองครับ”

“ขอบคุณคุณชายมากๆ นะคะไปเมืองนอกทีไรเป็นต้องมีของติดมือมาฝากคนแก่ทุกครั้งเลย….”

“เดียรเนียล นี้คือแม่กับพ่อของแฟนฉัน….น้าครับนี้คือคุณหมอเดียรเนียล สแปนเลย์ คุณหมอผ่าตัดสมองมือต้นๆ ของบริติสโคลัมเบียครับ”

“เป็นคุณหมอด้วย ต๊าย!สวัสดีจ้าพ่อ….” สมรพูดไปยิ้มไป

“เมื่อสักครู่อนุชัยก็เพิ่งจะกลับ ได้เจอกันรึยังละคุณชาย” ศักดิ์ดาบอก ซึ่งทำให้ ดร.ชานนท์กับเดียรเนียลถึงกับเลิ่กลั่กหันหลังกลับไปมองด้านหลังเร็วๆ

“เข้ามานั่งในบ้านกินน้ำกินท่ากันก่อน…..” สมรเชื้อเชิญพลางฉุกแขนคุณหมอเดียรเนียลเข้าบ้านแบบเป็นกันเอง ดร.ชานนท์ที่ค้างอยู่กับที่ต้องโดนศักดิ์ดาเข้ามาสะกิดเรียก

“คุณชาย เข้าบ้านกันก่อนเถอะ”

“คะ ครับ ครับ……ว่าแต่นุมาค้างที่นี่หรือครับ” เขาก้มกระซิบ

“มาพัก 3 คืนแล้วละ….” ศักดิ์บอกขณะนำทั้งหมดไปนั่งกับโซฟาที่อนุชัยเพิ่งซื้อให้ใหม่….เมื่อสมรกลับมาพร้อมกับน้ำดื่ม เธอจึงพูดขึ้นอีก

“คุณชายกับคุณหมอจะรับกาแฟหรือเปล่าคะ น้าคั่วเองกับมือด้วยนะและไม่รู้ว่าคุณชายจะมาเลยฝากกับปกรณ์ไปให้คุณหญิงเธอแล้วละ” สมรบอกทำให้ชานนท์ที่กำลังจิบน้ำถึงกับต้องวางลงอีกรอบ

“ปกรณ์….เป็นใครหรือครับ….”

“เขาเป็น……” ศักดิ์ดาจะบอกแทนแต่สมรก็แทรกเร็วๆ

“เป็นเพื่อนอนุชัยคะ….”

“เป็นพืน….” เดียรเนียลพยายามจะเรียกตาม สมรหัวเราะก่อนเธอจะสอนเขาอีกคน

“เพื่อนคะคุณหมอ เพื่อน ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ทุกคนหัวเราะ

แต่ดร.ชานนท์กลับงึมงำคนเดียว “เพื่อน เพื่อนแบบไหนของเขาวะ”

“เห็นบอกว่าพรุ่งนี้มีประชุมที่ตึก เอ็นทาวน์เวอร์ 9 โมงเช้า เลยต้องรีบกลับไปเตรียมตัวนะครับ ฮ่า ฮ่า…”

“N. Tower….อยู่ ที่ ไหน ครับ คุณนา….” เดียรเนียลถามบ้าง

“คุณน้า…ค่ะ ไม่ใช่ คุณนา….ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

“เห็นว่าแถวๆ ถนนสุขุมวิท ซอย 60 ชั้น 18 ครับคุณหมอ เขาเปิดบริษัทอยู่ที่นั่น” ศักดิ์บอกอีก ทำให้เดียรเนียลกับชานนท์นิ่งเงียบกันคนละมุม…เมื่อทั้งหมดจบอาหารเที่ยงแบบชาวบ้านจนอิ่ม การล่ำลาจึงเกิดขึ้น

ขากลับดูเหมือนทั้ง เดียรเนียล สแปนเลย์ และดร.ชานนท์ต่างก็เงียบกันคนละมุม….

ในหัวของดร.ชานนท์……

(ปกรณ์ ปกรณ์ เป็นใคร ปกรณ์ เป็นอะไรกับนาย ปกรณ์ ดูเหมือนจะคุ้นๆ ชอบกล ปกรณ์เป็นแฟนใหม่ของนายหรือเปล่า ถึงขนาดพามาบ้านเลยเหรอ….ปกรณ์ ปกรณ์ ปกรณ์) จิ! จิ! จิ!….ดร.ชานนท์จิ! ปากแบบคนคิดไม่ตก…..

ในหัวของเดียรเนียล สแปนเลย์…….

(ตึก N.Tower on Sukhumvit road, 18th Floor…..9 am.——-> เขา คน เดียว ที่จะ ช่วย ชานนท์ ได้ God…Tomorrow I want to meet him please….ฉัน จะ ไป บอก ทุก อย่าง กับ Arty Father……)

“เออ…Chanoon แฟน You ชื่ออารัย นะ….” อยู่ๆ เดียรเนียลก็ถามขึ้น….

“อนุชัย….” ดร.ชานนท์บอก

“อา นุ ชาย…..”

ดร.ชานนท์หันขวับจ้องเขาไม่กระพริบ…. “อนุชัย…อะ-นุ-ไช….อนุชัย คำหลังสั้นๆ อย่ายืดยาน ไม่อย่างนั้นสงครามเกิดแน่ๆ”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า —อา นุ ชายยย…..”

“พอๆ นายเรียกเขาว่า นุ คำเดียว สั้นๆ จบ OK”

“Nu Nu…. OK ….Easy for me…Nu Nu….”

ดร.ชานนท์ หันมาถามขึ้นอีก “ว่าแต่นายจะถามไปทำไมเนี้ย”

“เปล่าๆ….ไม่ มี อา รัย….Nothing all Ha Ha Ha Ha”

line1 for timmy

อนุชาย2 บทที่11 ความสิ้นหวัง

ย้อนกลับไปวันเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว

…………………

                ถึงคุณหญิงพี่ที่เคารพ

                                กว่าจดหมายฉบับนี้จะถึงมือคุณหญิงพี่ ผมก็คงสิ้นลมไปแล้วและนับจากวันเปิดพินัยกรรม 1 ปีเต็ม…ที่ผมวางกรอบเวลาไว้เช่นนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของคนๆ หนึ่งที่ได้ระบุในพินัยกรรมในนาม “ชายนิรนามรอผลตรวจ DNA” ซึ่งประเด็นดังกล่าวผมไม่มั่นใจว่าเขาจะเป็นลูกชายคนโตของผมหรือไม่ แต่ผมก็มั่นใจเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ว่า ชายนิรนามคนดังกล่าวต้องเป็นทายาทคนใดคนหนึ่งของบ้านตระกูลเชาว์แน่นอน….สมัยที่ผมยังไม่ได้เจอกับพวงพร ระหว่างที่กลับจากแวนคูเวอร์สั้นๆ ผมได้เจอกับ “ฟองฟ้า” สาวเชียงตุง เธอโดนอนุชาญเล่นงานเลยมาขอความช่วยเหลือ เวลานั้นผมเองก็ยังเป็นวัยรุ่น วัยกำลังอยากรู้อยากลองจึงเผลอออกนอกลู่นอกทาง กระทั้งกลับแวนคูเวอร์จึงได้รู้ว่าเธอตั้งท้องและถูกเก็บซ่อนอยู่ภายในบ้านตระกูเชาว์ กระทั้งเธอคลอดโดยได้รับความช่วยเหลือจากคุณหญิงพี่และหลังจากวันนั้น 1 ปี ผมกลับกรุงเทพฯ เธอก็ไม่อยู่แล้ว…..คุณหญิงพี่ครับชายนิรนามคนนั้นชื่อ นายปกรณ์ นาครัตน์ เขาใช้นามสกุลตามแม่ครัวที่เลี้ยงเขามาตั้งแต่เกิด ผมอยากให้คุณพี่ช่วยเขา คืนความยุติธรรมให้เขาแทนผมด้วย ถ้าคุณพี่กรุณาได้โปรดติดต่อ ทนายอำพล โรจน์ชัยนาม เขาคนเดียวที่รู้ว่า ปกรณ์อยู่ที่ไหน

                คุณหญิงพี่ครับเด็กคนนี้เกิดมาอาภัพ เป็นเด็กหัวอ่อน แต่ถูกเลี้ยงดูแบบทิ้งๆ ขว้างๆ นิสัยจึงค่อนข้างหวาดระแวงไปบ้าง แต่ผมมั่นใจเนื้อแท้ของเขาว่าเป็นเด็กดีมากๆ คนหนึ่ง ได้โปรดคืนความยุติธรรมให้เขาแทนผมด้วย

กราบขอบพระคุณอย่างสูงสุด

อนุชาติ เชาว์

……………….

คุณหญิงพวงพรนั่งอ่านจดหมายที่ถูกส่งมาจากทนายบ้านตระกูลเชาว์ด้วยแววตาสั่นระริก กระดาษจดหมายที่ดึงออกมาจากซองสีน้ำตาลก็ไม่มั่นคง…กระทั้งเธอเดินเข้าไปยื่นให้ดร.ชวนนท์อ่านอีกคน

“ดิฉันปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านไปเฉยๆ ไม่ได้หรอกคุณ ตายตาไม่หลับแน่ๆ เพราะดิฉันเป็นคนทำคลอดเขาในบ้านตระกูลเชาว์ด้วยมือดิฉันเอง” พุดจบคุณหญิงพวงพรก็ยกมือขึ้นปิดปาก ขณะที่ดร.ชวนนท์กำลังนั่งแบบคนคิดไม่ตก…สักครู่โทรศัพท์มือถือก็ถูกใช้งาน “คุณคะ คุณจะโทรแจ้งตำรวจไม่ได้นะคะ”

“ผมจะโทรหาทนายอำพลต่างหาก….”

….และคุณหญิงพวงพรกับดร.ชวนนท์ก็ได้พบและพูดคุยกับปกรณ์ในวันหนึ่ง……

“คุณท่าน คุณหญิงครับ ได้โปรด ผมไม่สนใจมรดกบ้านตระกูลเชาว์เลยสักนิด ผมเกิดที่นั้น เห็นที่นั้น รับรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ผมอยากอยู่เงียบๆ….ได้โปรดอย่าพยายามจะช่วยผมเลยครับ เดี๋ยวท่านจะเดือดร้อนเพราะผมซะเปล่า” เด็กขับรถประจำตัวท่านผู้หญิงแขไขที่ยังติดอยู่ในคุกพูดอย่างคนมองทะลุ

“แต่เธอจะต้องมีตัวตน…ปกรณ์ การทวงสิทธิ์ก็เหมือนกับการที่เธอรู้ว่าตัวเองเป็นใคร มาจากไหน อยู่ในฐานะอะไรในสังคม ส่วนมรดกบ้านตระกูลเชาว์เธอจะสละทิ้งภายหลังก็ไม่มีใครว่า เข้าใจสิ่งที่ฉันกำลังจะบอกหรือไม่” คุณหญิงพวงพรพูดเนิบๆ

“คุณหญิงครับ….คุณท่านครับ….ผม….ผม…เกือบจะฆ่าลูกชายของท่าน ท่านยังจะยื่นมือเข้ามาเสี่ยงเพื่อผมอีก….ผมไม่รู้จะตอบแทนอย่างไรดี” ปกรณ์พูดเสียงสั่น และเขาก็สั่นจนเกือบจะเห็นน้ำตาล้นออกจากเบ้า

“ศาลก็ตัดสินแล้วนี่ว่าเธอไม่มีส่วนรู้เห็น ยังจะโทษตัวเองอีกทำไม…ลุกขึ้นเผชิญความจริง แล้วเดินหน้าต่อไปถึงจะเรียกว่าลูกผู้ชายเต็มตัว” ดร.ชวนนท์พูดเสียงดังแน่นๆ ปกรณ์สบนัยน์ตากับเขาสักพัก

“แล้วผมจะทำอย่างไรบ้างครับ….ผมไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหน….ญาติพี่น้องก็ไม่มี….ผมตัวคนเดียว….และยังหลบๆ ซ่อนๆ รอแต่ท่านผู้หญิงพ้นโทษซึ่งก็ไม่รู้ว่าเมื่อไร….ผมมีเพียงท่านคนเดียวในชีวิต”

“ช่วงนี้เธอมาพักที่บ้านฉันไปก่อนสักระยะแล้วฉันจะหางานให้ทำ”

“คุณหญิงครับ….”

“เอาตามที่คุณหญิงแนะนำนั้นละ ไม่เป็นไรหรอกบ้านสายสกุลปลอดภัยกับเธอแน่นอนฉันรับรอง” และดร.ชวนนท์ก็สนับสนุนอีกคน……

และหลังจากวันนั้น 3 เดือน…..

ภายในห้องทำงานของดร.ชวนนท์ คุณหญิงพวงพรก็ยื่นจดหมายที่เป็นลายมือของอนุชาติให้ปกรณ์

“ผมอ่านหนังสือไม่คล่องนักหรอกครับคุณหญิง” เขาสารภาพตามตรง

“ไม่เป็นไร ฉันมีเวลาพอ” คุณหญิงพวงพรบอกพลางยกกำปันขึ้นปิดปากคล้ายคนจะร้องไห้จนดร.ชวนนท์ที่นั่งข้างโอบเขย่าเรียกสติ ปกรณ์รับจดหมายไปอ่านเงียบๆ เขาใช้เวลาพอสมควรก่อนจะเงยใบหน้าที่เต็มไปด้วยร่องรอยมองคนทั้งคู่สลับกันไปมา

“แม่ผมชื่อ ฟองฟ้า เหรอครับ…..” เขาสะอื้นร้องไห้แต่ก็ไร้เสียงโหยหวน “ชื่อเพราะจัง….” น้ำตาอาบแก้มก็ยังอาบเละไปทั้งหน้าจนคุณหญิงพวงพรต้องลุกไปนั่งโอบปลอบ

“ฟองฟ้าเป็นสาวเชียงตุงคนแรกที่ฉันเห็น….เธอสวยมากๆ ผิวขาวเหมือนกับเธอไม่ผิดเพี้ยน”

ปกรณ์เงยใบหน้าชุ่มๆ ขึ้นมาถาม “เธออายุเท่าไรครับตอนที่คลอดผมออกมา”

“ฉันเป็นคนทำคลอดเองกับมือ น่าจะยังไม่ถึง 20 ปี…ฉันกะเอานะเพราะเธอไม่มีเอกสารติดตัวมาเลยสักชิ้น ฉันเลยเดาจากใบหน้านะจ้ะ”

“คุณหญิง…คุณท่านครับ….”

“ใจเย็นๆ….ค่อยๆ ไปทีละขั้นเรามีเวลาถมเถไป….”

“ผม ผม พร้อมแล้วครับ….ผมพร้อมแล้ว….พ่อผมละครับเป็นใครกันแน่…เป็น เป็นนายชาญตามที่นายชากับท่านผู้หญิงบอกจริงๆ ใช่ไหม….เป็นคนที่ต้องการฆ่าผมจริงๆ หรือเปล่า….หากเป็นเช่นนั้นผมจะได้ไปให้เขาฆ่าทิ้งให้จบๆ…โลกงงๆ มัวๆ มืดๆ จะได้จบสักที” ปกรณ์พูดขณะยังเช็ดน้ำตาไม่หยุด

ดร.ชวนนท์สบตากับคุณหญิงพวงพรนิดๆ….ก่อนจะยื่นเอกสารให้ปกรณ์อ่านอีกฉบับ…..ปกรณ์ก้มหน้าอ่านอยู่พักใหญ่ๆ ก่อนจะเงยหน้าอ้าปากค้าง….

“พ่อเธอเขามีซิกเซ้นส์นะว่าไหม ถึงได้ระบุในพินัยกรรมเป็นทายาทลำดับที่ 4 ไว้ให้”

“พ่อ….พ่อผมคือนายชาติหรือนี่” ปกรณ์อุทานราวกับคนละเมอ

“ใช่จ้ะ!…เธอเป็นพี่ชายแท้ๆ ของอนุชัย” คุณหญิงพวงพรบอก ขณะที่ปกรณ์สั่นฟุบสะท้านไปกับโซฟา กระนั้นเสียงโหยหวยที่เงียบที่สุดก็ยังเงียบราวกับรู้ว่าไม่มีใครที่อยากได้ยิน

คุณหญิงพวงพรสะอื้นตามจนตัวสั่น เธอนั่งลูบหลังปลอบไม่หยุด “ร้องออกมาดังๆ เลยลูก ร้องให้ดังๆ ร้องให้ฉันได้ยินร้องให้ทุกคนได้ยิน เธอไม่ได้ตัวคนเดียวแล้วนะ”

ในที่สุด….. “อ๊ากกกกกก……..ฮ๊ากกกกก…..นี้ นี้ ผมเกือบจะฆ่าน้องชายแท้ๆ ตัวเอง ผมเกือบจะฆ่าคนเดียวที่ผมมี…คุณหญิงครับ คุณท่านครับทำไมผมถึงเลวได้ถึงเพียงนี้ ทำไม ทำไมครับ……อ๊ากกกกกกก”

จบ อนุชาย2 บทที่11 ความสิ้นหวัง

(Visited 41 times, 1 visits today)