คุณนายซาอุฯ บทที่ 10

คุณนายซาอุฯ บทที่ 10

ข่าวร้าย คุณนายซาอุฯ บทที่ 10 (ฉบับบ้านโคกอีรวย) นิยายอ่านฟรีจบเรื่อง

คุณนายซาอุฯ บทที่ 10

ในค่ำคืนขณะที่รวงข้าวกำลังเหลืองอร่ามเด่นชัดในแสงจันทร์สีเงิน แม่ใหญ่สิมและแม่ใหญ่อีก 4, 5 คน พร้อมกับหมอตำแยประจำบ้านโคกอีรวยก็ได้เวลาทำงาน วารีปวดท้องตั้งแต่วัวควายยังไม่ถูกต้อนเข้าคอก กระทั้งเวลานี้ ขณะพ่อใหญ่เหลือ พ่อใหญ่จันทร์บ้านโนนทุ่งรวมทั้งพวกผู้ชายอีก 10 กว่าคนถูกกันเอาไว้ด้านล่าง แสงจันทร์อาบทุ่งก็แผ่รัศมีทรงกรดมาถึงบ้านหลังเล็กๆ ของวารีในคืนเดียวกันด้วย

“โอ้ยยยย อีแม่ อีแม่” วารีร้องเรียกแม่ใหญ่สิมที่นั่งจับมือกำลังสั่นเกร็งอยู่ข้างๆ

“เออ เบ่งอีนิด อีกนิดเดียว” เสียงหมอตำแยก็ดังขึ้นมาจากด้านล่าง

“อ้าว เบ่ง อื้ดด อื้ดดด วารี เบ่งอีกนิดเดียว อื้ดดด” เสียงแม่ใหญ่สิมร้องเอาใจช่วยอย่างเอาเป็นเอาตาย เมื่อวารีออกแรงถึงที่สุดจนเหงื่อกาฬผุดขึ้นจากทุกรูขุมขน เสียงเด็กทารกแรกเกิดร้องก็ทำให้พ่อใหญ่เหลือกับพ่อใหญ่จันทร์ที่นั่งลุ้นตัวโกงอยู่ข้างล่างหายใจหายคอได้โล่งขึ้น

“อุแว้ อุแว้ อุแว้”

“ผู้หญิงหรือผู้ชาย” พ่อใหญ่เหลือตะโกนถามขณะที่ดวงจันทร์เคลื่อนที่มาหยุดตรงหัวพอดี

“ผู้ชาย ผู้ชายอีกแล้ว ฮ่า ฮา ฮา ฮา” เสียงหมอตำแยตะโกนบอก ก่อนเสียงแม่ใหญ่สิมจะดังขึ้นติดกัน

“พ่อใหญ่เอ้ยเฮาหมานแต่หลานชายละน้อ ฮ่า ฮ่า ฮา”

“โอ้ย…บักทิดทองอยากได้ลูกสาว แต่กูอยากได้หลานชายอยู่แล้ว ดี ดี ไปเอาเหล้าขาวมาพวกเฮา ฮ่า ฮา ฮา”

อีก 1 ชั่วโมงถัดมาหนามไผ่ที่เตรียมไว้ก่อนแล้วก็ถูกหนุ่มๆ นำมาล้อมรอบๆ บริเวณน้ำคล่ำตกลงสู่พื้นดิน อีกชุดก็นำรกที่เกิดมาพร้อมกับเด็กไปฝังใต้ต้นไม้สูงในป่าลึก ดวงจันทร์ทอแสงสีเงินตลอดทั้งคืน กระทั้งเช้าวันรุ่งขึ้น พิธีกรรมอยู่ไฟแบบโบราณจึงได้เริ่มต้น คนเฒ่าคนแก่เกือบทั้งบ้านโคกอีรวยมานั่งๆ นอนๆ ที่บ้านวารีต่ออีกหลายคืนกระทั้งพิธีกรรมอยู่ไฟครบกำหนด 15 วันผู้คนถึงได้บางตา มีเพียงแม่ใหญ่สิมกับแม่ใหญ่ย้อยอยู่เป็นเพื่อนต่ออีกหลายคืนจนวารีกลับมาอยู่ในสภาพเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์

“ลูกมึงคนนี้จะซื่อว่าอีหยังดีละวา” แม่ใหญ่สิมถามขณะอุ้มหลานชายไม่ยอมปล่อย

“ทิดทองตั้งไว้แล้วถ้าเป็นผู้หญิงชื่อ อารี แต่ถ้าเป็นผู้ชายชื่อก้องไกรตั้วแม่” วารีบอก

โอ่…ก้องเอ้ย ก้องไกรได้ยินแม่ใหญ่บ่ หึ”

“อุแว อุแว อุแว”

“ท่าจะหิวนมแล้วละ เอาๆ ให้นมลูกซะ กูจะกลับไปเอายาหม้อที่บ้านมาเผื่อไว้ให้อีก…แล้วพ่อมันจะกลับมาบ่ละ”

“เห็นว่าอีก 3-4 เดือนก็ได้พัก จะมีเวลากลับมาเยี่ยมลูกอยู่ดอก”

“โอ…ดีแล้วละ ถึงมื้อนั้นบักก้องกะแข็งแรงทันพอดี หึๆ” แล้วแม่ใหญ่สิมก็ลงบันไดไป…

ลมหนาวผ่านเข้ามาอีกปี แต่ปีนี้โชคดีหน่อยที่พ่อใหญ่เหลือทำเตาไฟให้วารีอยู่ไฟหลังคลอดบนบ้าน วารีเลยใช้มันต่อกับลูกน้อยกระทั้งเสียงแตรรถมอเตอร์ไซด์ดังขึ้นที่ประตูหน้าบ้านตอนใกล้จะสว่าง 4 เดือนต่อจากนั้น

“อ้ายทิดทองมาฮอดแล้วพี่นาง (พี่นาง=เป็นชื่อเรียกนำหน้าของพี่สะใภ้) เสียงราตรีดังขึ้นที่นอกชาน ก่อนจะเห็นทิดทองในรูปร่างขาวสูงโปร่งผิดกับคนเดิมโผล่หิ้วของพะรุงพะรังผ่านประตูเข้ามาหา วารีกำลังอุ้มลูกกินนมปาดน้ำตาทิ้งก่อนจะโอบคอสามีร้องไห้อย่างหนัก

“ได้ลูกชาย….อ้ายทิดทอง”

“วารี…ได้ลูกชายอ้ายกะดีใจขนาดแล้ว…ราตรีลงไปเอาของจากรถแน่ไป เผิ่นจะได้กลับ”

“จ้า….”

“อ้ายทิดเมื่อยบ่ (เหนื่อยไหม)” วารีถามขณะตั้งสติได้ระดับหนึ่ง

“บ่ อ้ายบ่เมื่อยดอกเอาบักก้องไกรมาให้พ่ออุ้มนำแน” แล้ววารีก็ยื่นทารกน้อยให้สามี “โอ้ บักหล่าเอ้ย (บักหล่า=ลูกชายคนเล็ก) พ่อมาแล้ว พ่อกลับมาหาแล้ว”

และไม่ทันสว่างดี ศรี กับไรราก็โผล่หน้าขึ้นบันไดมาหา วารีแจกแอบเปิ้ลผลไม้ต่างถิ่นที่คนบ้านโคกอีรวยไม่เคยเห็นและไม่เคยลิ้มลองพร้อมกับของฝากคนละชุดก่อนไรราจะขยับเข้าไปจับไม้จับมือทิดทองใกล้ๆ

“จังแมนขาวเนาะ…อ้ายทิดทอง อ้ายทิดดอนฝากเงินมานำบ่” เธอก้มกระซิบถามใกล้ๆ ราวกับกลัวเพื่อนอีกคนจะได้ยิน

“ฝากมาให้อยู่นี้เด่….อยู่ในซองนี้ละจักบาทอ้ายกะบ่ฮู้ดอก บ่ได้เปิด” แล้วทิดทองก็ดึงซองจดหมายหนาๆ ยื่นให้ ไรราเบิกตากว้างราวกับคนดีใจสุดชีวิต

“อ้ายทิดดอน อ้ายทิดดอน…สงสัยเป็นแสน ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ไรราหัวเราะพร้อมกับชูซองใส่เงินให้ทุกคนเห็นก่อนเธอจะกุลีกุจอถอยกลับไปนั่งที่เดิมและศรีที่รออยู่แล้วจะขยับเข้ามาแทนที่

“แล้วอ้ายทิดไซเด่ ได้ข่าวแน่บ่ จดหมายกะบ่เขียนมาบ้านโดนแล้ว (โดนแล้ว=นานแล้ว)”

ทิดทองสีหน้าสลดทันทีก่อนจะตบปลอบไหล่ของศรีเบาๆ

“เล้าเป็นจังใด อ้ายทิดทอง บอกให้ฮู้นำแน…อ้ายทิดทอง” ศรีเซ้าซี้ขณะน้ำตาก็ล้นทะลักออกมารอก่อนแล้ว แต่ทิดทองก็ยังเงียบจนคล้ายคนกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก เมื่อแสงแรกผ่านผนังใบมะพร้าวตาบทับด้วยซีกไม้ไผ่ทะลุมาถึงคนทั้งคู่ ทิดทองถึงได้หันมาจ้องหน้าศรีตรงๆ พร้อมขยับเข้าหาอีก

“ศรี ตั้งสติให้ดีๆ เด้อ….” ทิดทองบอก วารีเห็นท่าไม่ดีเลยขยับเข้าไปนั่งกอดเพื่อนเอาไว้จากด้านหลัง ทำให้ศรีเกือบจะร้องไห้ออกมาอีกทั้งๆ ที่ยังไม่รู้เรื่องราว

“บักทิดไซ ฆ่าคนงาน ประเทศศรีลังกา ตายในบ้านเศรษฐีอาหรับ”

“ห่า!….ทิดทอง ทิดทองว่าจังได ว่าจังไดเกาะอ้าย ฮื้อๆ อ้ายทิดไซ อ้ายทิดไซฆ่า ฆ่าคน อ้ายทิดทอง วารี วารี มันบ่แมน แมนบ่ ฮื้อๆ…..(บ่แมนแมนบ่=ไม่ใช่ใช่ไหม)” ศรีบีบกุมมือวารีแน่น เธอร้องไห้เงียบๆ แต่ดังลึกจมสู่ความวังเวงขณะที่หัวคนทั้งสามเกือบจะชนกัน มีเพียงไรราคนเดียวที่นั่งเอียงหูรับฟังข่าวอยู่ห่างๆ

“ศรี บักทิดไซมันติดคุก”

“ฮื้อๆ…คือ คือว่าจั่งซั่นอ้าย คือเป็นแบบนี้ ฮื้อๆ วา วารีเอ้ยผัวเฮาคือเป็นแบบนี้ คือเป็นแบบนี้ ฮื้อๆ”

“ศรี ใจเย็นๆ อ้ายจะเว้าให้ฟัง ทนายบ้านของเศรษฐีกำลังวิ่งเต้นช่วยบักทิดไซอยู่ เผินเป็นคนดี และยังฝากมาบอกศรีอีกว่า….ถ้าเป็นไปได้ให้ศรีไปประเทศซาอุฯ กับอ้าย เศรษฐีจะให้เข้าไปเฮ็ดงานในบ้านพร้อมกับพาศรีไปขอความเห็นใจจากศาล เพราะที่บักทิดไซเฮ็ดลงไปเป็นเพียงแค่การป้องกันตัวเอง”

“มันมีทางซอยอยู่ติอ้าย…”

“เศรษฐีคนนี้ใจดี แล้วเผิน (เผิน= เขา,ท่าน) ก็ชอบนิสัยของบักทิดไซนำ….” ทิดทองบอก ศรีปาดน้ำตาทิ้งก่อนจะจ้องหน้าทิดทองนิ่งๆ

“ถ้ามันเป็นจังซั่น (อย่างนั้น) อีศรีก็ต้องลุยเองแล้วละ ฮื้อๆ วารี เฮาบ่มีทางเลือก เฮาจะต้องสู้เพื่อครอบครัวของเฮา วารี”

“ใจแข็งๆ เอาไว้ ศรีโตยังมีเฮาอยู่ ถ้ามันจำเป็นจะต้องไป โตก็ต้องไป (โต=เธอ) เพื่อช่วยทิดไซให้ได้”

“วารี…อ้ายทิดทอง…ฮื้อๆ ฮื้อๆ….”

“ศรีนี้กะคือจดหมายจากทิดไซ แล้วกะเงินก้อนหนึ่งจากเศรษฐีฝากกับอ้ายมาให้…อ้ายอยู่บ้านเดือนครึ่ง…ถ้าต้องการจะไป อ้ายจะติดต่อคุณอำนาจให้เผินเดินเรื่องเป็นกรณีพิเศษ เรื่องานบ่ต้องเป็นห่วงเศรษฐีรอรับอยู่แล้ว…ตัดสินใจให้เร็ว ก่อนจะสายเกินแก้”

ไรราแอบลงจากเรือนเมื่อไรไม่มีใครรู้ แต่สายวันเดียวกันขณะที่ศรีเอาเงินที่ได้จากทิดทองไปใช้หนี้ที่ติดค้างเจ๊กเตี้ย เมียของเจ๊กเตี้ยเลยลากเข้าไปถามหลังร้าน

“ศรี เขาเว้าว่าผัวโตติดคุก มันแมนอีหลีติ”

“ฮื้อๆ….” และศรีก็ร้องไห้ออกมาทันที เมียเจ๊กเตี้ยลูบหลังปลอบพลางเช็ดน้ำตาตัวเองไปด้วย

“ศรี ใจแข็งๆ ใจแข็งๆ….”

“แม่ใหญ่หงส์….ข่อยสิเฮ็ดจังใด ข่อยจะเฮ็ดจังใดดี ฮือๆ”

“มันต้องมีทางออก ชีวิตคนบ่ต่างจากน้ำห้วยลำพังชูดอก จั่งใดมันก็ต้องมีทางออกมึงเชื่อกู” แม่ใหญ่หงส์พูดขณะที่ศรียังสะอื้นไม่หยุด “เบิง (ดู) จากชีวิตแม่ใหญ่เป็นตัวอย่าง แม่อุ้มแม่ใหญ่หนีสงครามลงเฮือสำเภามาจากเมืองจีน 2 คน แม่ใหญ่ยังอยู่ได้ จนกระทั้งมาพ้อกับเจ๊กเตี้ย แม่ใหญ่กับเจ๊กเตี้ยถึงได้มาลงหลักปักฐานอยู่บ้านโคกอีรวย แม่กับแม่ใหญ่ยังรอด ศรีกับลูกก็ต้องรอดคือกัน จำคำแม่ใหญ่ให้ดี”

“อ้ายทิดไซ บ่ได้ตั้งใจฆ่าคนเด่แม่ใหญ่หงส์ คนงานประเทศศรีลังกาบุกเข้ามาในห้องพร้อมกับปืน แต่ในมือไอ้ทิดไซมีแค่มีด…เศรษฐีอาหรับเผินจะซอยเหลือ อยากให้ข่อยไปพบทนายแล้วกะไปเฮ็ดงานพร้อมทิดทอง”

“เออดีๆ…ยังพอมีทางออก…ไปโลดศรีเอ้ย เอาชีวิตผัวกลับบ้านให้ได้ซะก่อนเรื่องอื่นเอาไว้ทีหลัง”

“เจ่าฮู้เรื่องนี้จากผู้ใดแม่ใหญ่” ศรีถามขึ้นเบาๆ

“โอ้ย อีศรีเอ้ย…มึงกะฮู้ว่าปากอีไรมันยาวขนาดไหน ปานนี้เขาฮู้เรื่องของบักทิดไซไปทั้งบ้านโคกอีรวยแล้วละ”

ศรีปาดน้ำตาทิ้งอีกรอบ “อีไรมันคือเป็นคนแบบนั้น….ฮื้อๆ….”

“ใจเย็นๆ…มีทางออกมีทางออกแน่นอน สู้ไป สู้เพื่อผัว สู้เพื่อลูก แล้วกะสู้เพื่อครอบครัวนำ” แม่ใหญ่หงส์พูดยาวก่อนจะตบหลังศรีอีก 2 ที และเมื่ออารมณ์กลับมานิ่งระดับหนึ่งศรีก็ควักเงินออกมาวางให้ต่อหน้า “มึงมีเงินแล้วบ่…บ่มีก็เก็บไว้ให้อีพรรณกับบักพอนก่อนก็ได้ แม่ใหญ่บ่มีลูกเต้าบ่เป็นหยังดอก”

“รับไว้ก่อนเถอะแม่ใหญ่หงส์ ถ้าบ่มีจะได้กลับมาหาแม่ใหญ่อีก” ศรีพูดช้าๆ ขณะยังนั่งก้มหน้าอยู่ในสถานะเดิม

“อ้าว!…เพื่อความสบายใจเอาอย่างนั้นก็ได้”

……..

และเมื่อตะวันบ่ายคล้อยเกือบจะถึงเวลาผีตากผ้าอ้อม ที่บ้านสำลีคุ้มโรงเรียนก็คึกคักเมื่อคุณนายไรราลากชุดราตรีสีแดงเพลิงมาพร้อมกับสร้อยคอเส้นใหญ่ เดินโขยกเขยกบนรองเท้าส้นสูงมาหยุดหน้าบ้าน

“มาถามข่าวลุงสักนะคะ”

“คุณนายไรรามาๆ เข้ามาด้านในก่อน กำลังจัดกระเป๋าให้ทิดสักอยู่เลย” สำลีพูดราวกับเห็นไรราที่มาในชุดแปลกตาเป็นเรื่องปกติ

“ลุงสักจะไปมื้อแลงนี้บ่”

“บ่ มื้ออื่นเซ่าพู้นละ ไปพร้อมกับคนบ้านมะกอกกับบ้านเฮาอีก 4 คน”

“ตกลงเสียค่าเดินทางจักบาท (จักบาท=เท่าไร)” ไรราก้มลงถามใกล้ๆ

“หกหมื่นห้าเอง ตรวจโรคเขาก็ทำเรื่องให้หมด พลาสปอร์ตก็บ่ต้องเสียเวลาไปทำ วีซ่าทีมงานก็วิ่งเต้นให้ เราจ่ายเงินรอเดินทางอย่างเดียว ถูกกว่าชุดผัวสูไปครึ่งต่อครึ่ง” สำลีร่ายยาวราวกับจะอวดภูมิกลายๆ จนทำให้คุณนายไรราอ้าปากค้างอยู่พักหนึ่ง

“ไอ้ทิดดอนไปเร็วเกินไป…ถ้ายังบ่ได้ไปก็จะให้ไปพร้อมๆ ลุงสักนี้ละง่ายดีถูกด้วย”

“คนบ้านมะกอกไป 10 กว่าคนเลยเด่” สำลีพูดต่อก่อนจะคล้ายกับนึกบางอย่างขึ้นมาได้กะทันหัน “เออเขาว่าบักทิดไซผัวอีศรีติดคุกวะติ”

“เออ…บักทิดไซมันฆ่าคนงานประเทศศรีลังกาตาย ปาดคอเลยเด่”

“ป้าดดดด…เป็นหยังทิดไซถึงได้ร้ายกาจอย่างนี้คุณนาย”

“โอ้ย! บักทิดไซมันเลวตั้งแต่อยู่บ้านเฮาแล้วละ ดีนะที่ทิดดอนบ่ได้ทำงานที่เดียวกับมัน”

“อีศรีจะทำอย่างไรทีนี้นะ” สำลีถามลอยๆ ลักษณะคนเป็นห่วงเป็นใย

“มันก็คงบ่มีทางได้ที่นาคืนดอก อยากเป็นคุณนายซาอุฯ สุดท้ายต้องเสียไฮ่เสียนาเสียผัว โอ้ย! คุณนายไรราอยากจะหัวเราะ ฮา ฮ่า ฮ้า”

“คุณนาย…” สำลีปราม แต่ก็แอบหัวเราะตามด้วยอีกคน “คุณนายซาอุฯ คนต่อไปยืนอยู่นี้อีกคน กูนี้ละ อีสำลีนี้ละจะเป็นคุณนายซาอุฯตัวจริงเสียงจริง ฮ่า ฮ่า ฮ่า” สำลีพูดไม่ทันคิดพร้อมกับปล่อยเสียงหัวเราะด้วยความเพลิดเพลินออกมายาวๆ ก่อนจะหันกลับไม่หาไรราที่ยืนแสยะปากอยู่ด้านหลัง “กูจะให้มึงพาไปซื้อทอง ซื้อรองเท้าส้นสูงซื้อลิปสติกดินสอเขียนคิ้วเนาะไรเนาะ ฮ่า ฮา ฮ้า ฮ่า”

……….

จบ ข่าวร้าย คุณนายซาอุฯ บทที่ 10 (ฉบับบ้านโคกอีรวย)

(Visited 85 times, 1 visits today)