คิดบวกความสุขในมุมเล็กๆ ชกข้ามรุ่น คืออะไร? แล้วทำไมต้องชกข้ามรุ่น เออ! นั้นนะซิ อันที่จริงก็ไม่มีอะไรสลับซับซ้อนหรอกครับ
ชกข้ามรุ่น
“มา!….เดี๋ยว Timmy จะเล่าให้ฟัง” ……..# ชกข้ามรุ่น # เป็นคำพูดในเชิงเปรียบเทียบกับพิกัดน้ำหนักของนักมวยในรุ่นต่างๆ ที่แต่ละสถาบันได้รับรอง ซึ่งหากจะให้ยกมาคร่าวๆ ก็มีดังนี้
- น้ำหนัก มากกว่า 200 lb (90.72 kg) รุ่น Heavyweight ( WBA WBC IBF WBO BoxRec )
- ไม่เกิน 200 lb (90.72 kg) รุ่น Cruiserweight ( WBA WBC IBF BoxRec ) และรุ่น Junior heavyweight ( WBO )
- ไม่เกิน 175 lb (79.4 kg) รุ่น Light heavyweight ( WBA WBC IBF WBO BoxRec )
- ไม่เกิน 168 lb (76.2 kg) รุ่น Super middleweight ( WBA WBC IBF WBO BoxRec )
- ไม่เกิน 160 lb (72.6 kg) รุ่น Middleweight ( WBA WBC IBF WBO BoxRec )
- ไม่เกิน 154 lb (69.9 kg) รุ่น Super welterweight ( WBA WBC ) รุ่น Junior middleweight ( IBF WBO ) และรุ่น Light middleweight ( BoxRec )
- ไม่เกิน 147 lb (66.7 kg) รุ่น Welterweight ( WBA WBC IBF WBO BoxRec )
- ไม่เกิน 140 lb (63.5 kg) รุ่น Super lightweight ( WBA WBC ) รุ่น Junior welterweight ( IBF WBO ) และรุ่น Light welterweight ( BoxRec )
- ไม่เกิน 135 lb (61.2 kg) รุ่น Lightweight ( WBA WBC IBF WBO BoxRec )
- ไม่เกิน 130 lb (59.0 kg) รุ่น Super featherweight ( WBA WBC ) รุ่น Junior lightweight ( IBF WBO ) และรุ่น Super featherweight ( BoxRec )
- ไม่เกิน 126 lb (57.2 kg) รุ่น Featherweight ( WBA WBC IBF WBO BoxRec )
- ไม่เกิน 122 lb (55.3 kg) รุ่น Super bantamweight ( WBA WBC ) รุ่น Junior featherweight ( IBF WBO ) และ รุ่น Super bantamweight (BoxRec )
- ไม่เกิน 118 lb (53.5 kg) รุ่น Bantamweight ( WBA WBC IBF WBO BoxRec )
- ไม่เกิน 115 lb (52.2 kg) รุ่น Super flyweight ( WBA WBC BoxRec ) และรุ่น Junior bantamweight ( IBF WBO )
- ไม่เกิน 112 lb (50.8 kg) รุ่น Flyweight ( WBA WBC IBF WBO BoxRec )
- ไม่เกิน 108 lb (49.0 kg) รุ่น Light flyweight ( WBA WBC BoxRec ) และรุ่น Junior flyweight ( IBF WBO )
- ไม่เกิน 105 lb (47.6 kg) รุ่น Minimumweight ( WBA BoxRec ) รุ่น Strawweight ( WBC ) c]t รุ่น Mini flyweight ( IBF WBO )
- ไม่เกิน 101 lb (45.9 kg) รุ่น pin weight
สะสมปัญหาที่มา ชกข้ามรุ่น
เพราะฉะนั้น # ชกข้ามรุ่น # จึงเปรียบได้กับนักมวยรุ่นเล็กอย่าง Mini Flyweight-มินิ ฟลายเวท ท้าชกกับนักมวยรุ่นใหญ่อย่าง Heavy Weiht-เฮฟวี่เวท ประมาณนี้ #ชกข้ามรุ่น# มักจะเกิดจากการสะสมปัญหาทั้งจากที่ทำงาน ที่บ้าน หรือที่อื่นๆ วันละนิด วันละน้อย ขณะใจก็คอยบอกปัดผ่านๆ “เฮ้ย!ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรน่านิดๆ หน่อยๆ” แต่เมื่อหลายวัน หลายเดือนหรืออาจจะหลายปีการสะสมปัญหาก็จะไม่ต่างอะไรกับการสะสมดินปืนในระเบิดเวลา…ที่รอไฟจากไม้ขีดก้านแรก….
ผมคิดว่าคุณคงเคยเจอ เคยผ่าน มีประสบการณ์ หรืออาจจะยังค้างปัญหาที่ว่าอยู่ในหัวขณะนี้…. “คิดบวก ความสุขในมุมเล็กๆ” จะมาแชร์ มาเล่าถึงนาทีที่ระเบิดเวลา ตูม! ตาม! รวมถึงแนวคิดในการหาทางออกด้วยวิธี “คิดบวก” ให้ได้อ่านกัน หวังว่า “ความสุขในมุมเล็กๆ” ในแบบของท่านจะเกิดขึ้นหลังจากอ่านเรื่อง ชกข้ามรุ่น นี้จบลง
เอาละเกริ่นนำซะยาว เรามาเริ่มต้นกันเลยดีกว่า….ผมเริ่มต้นทำงานแบบจริงๆ จังๆ ก็ราวกลางเดือนพฤษภาคม 2538 กับบริษัทรับสร้างบ้านขนาดกลางซึ่งเวลานั้นมีทั้งหมด 7 สาขา กระจายอยู่ทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล ตำแหน่งแรกก็คือผู้ช่วยสถาปนิก รับผิดชอบงานออกแบบอาคาร 2 สาขาคือ สาขาถนนศรีนครินทร์ และสาขาถนนรามคำแหงซึ่งในเวลานั้นผู้ใหญ่ในบริษัทใจดีให้ผมใช้ที่ทำงานเป็นบ้าน (คงเห็นว่านู๋ Timmy เป็นเด็กดีมั่ง) ผมจึงเลือกไปพักบนชั้น 3 ของสาขาถนนรามคำแหงซึ่งอยู่กลางแหล่งชุมชนหาของกินง่าย เดินทางสะดวกและใกล้สนามกีฬาที่ผมสามารถไปออกกำลังกายตอนเย็นๆ ได้
โดยชั้น1 เป็นออฟฟิศฝ่ายขาย-เขียนแบบ-ออกแบบขนาด 6 ที่นั่ง ชั้น 2 เป็นห้องประชุม ห้องประธานบริษัท และชั้น 4 และชั้น 5 ใช้เป็นชั้นเก็บของ เก็บโมเดล และแบบก่อสร้าง โดยสำนักงานใหญ่จะอยู่ที่ถนนรัชดาภิเษก ถึงจะรับผิดชอบแค่ 2 สาขาแต่ในทางปฏิบัติ ก็ต้องทำงานประสานกันทุกๆ สาขา โดยเฉพาะสำนักงานใหญ่ซึ่งเป็นสถานที่หลักของทุกคน เอาละรายละเอียดคร่าวๆ ก็ประมาณนี้
ปัญหาที่สะสมเป็นเวลานานหลายปีเกิดจากผู้จัดการ 2 สาขาที่ผมรับผิดชอบนั้นเอง ทุกๆ วันผมจะประจำอยู่สาขารามคำแหงเป็นหลัก ยกเว้นวันที่มีลูกค้านัดหมายล่วงหน้าหรือมีประชุมเร่งด่วน จึงจะเดินทางไปประจำสาขาถนนศรีนครินทร์บ้าง สำนักงานใหญ่บ้าง แต่ผู้จัดการ 2 สาขาจะสลับกันเข้าทำงานช่วงเช้าและช่วงบ่ายทุกๆ วัน ฉะนั้นใน 1 วันผมก็จะได้เจอ ได้ถกกับ ผู้จัดการถึง 2 คน หากวันใดต้องไปช่วยงานสาขาอื่น…วันนั้นยิ่งเป็นวันนรกแตกของจริง
ช่วงเช้า : “แก้งานต้องแก้ตามฉาน….ฉานเป็นคนดิวกับลูกค้านะไม่ใช่อรุณไชย์ ฝากบอกมันด้วยอย่าเข้ามายุ่งกับลูกค้าฉานเด็ดขาดเข้าใจไหม”
“ครับๆๆๆ”
ช่วงบ่าย: “แม่ง! ไม่รู้เรื่องแล้วยังมาอวดดี…จับลูกค้าไม่ได้สักคนเสือกมาสอน….ระหว่างสถาปนิกกับผู้จัดการขโมยตั้ง Timmy จะเชื่อใคร…”
“ครับๆๆๆ”
บางวัน บางเวลา: “พี่แจนกับพี่อรุณไชย์เป็นห่าอะไรวะ…ดีแต่พูด—52lkijdsfprr*&#-=jlkdsae*!!!vxgf…แม่งเอ้ยฉานจะบ้าตาย” เสียงฝ่ายขายอีกคนและอีกหลายๆ คนก็ดังขึ้นในทำนองเดียวกัน
“ครับๆๆๆๆ”
แต่ส่วนใหญ่: “เธอต้องทำตามนี้……ฉันคิดแทนลูกค้าไม่ใช่เธอ……เธอต้องเชื่อฉาน….แจ๊ดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
นี้เฉพาะปัญหาและเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับงานนะครับ….. แต่ๆ ใน 1 วันปัญหาอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการบ้าน การเมือง การมุ้งจะยุ่งเหยิงประปนกันไปหมด มันเกิดขึ้นซ้ำๆ ซากๆ กับคนกลางอย่างผม บางวันสมองถึงกับเบลอหมุนเป็นลูกข่าง จบเวลาทำงานกูก็ไม่ได้ออกไปผ่อนคลายที่ไหน แค่เดินขึ้นบันได 3 ชั้นก็จะเจอกับห้องนอนเน่าๆ ที่ผู้จัดการบางคนคอยกระแหนะกระแหนหาว่าใช้เส้น เป็นลูกหม้อของผู้ใหญ่คนนั้นบ้าง คนนี้บ้าง วันดีคืนดีมีมาทวงบุญคุณดื้อๆ ชะอย่างนั้น…หรือถ้าเป็นวันปล่อยผี…ถึงกับหลุดปากขับไล่ให้ไปซุกหัวข้างนอกก็ยังมี… “แต่กูต้องใช้เงิน….พวกมึงเข้าใจไหมไอ้พวกควายจัญไร” มันทั้งเครียดทั้งโกรธจนแยกกันไม่ออก
เมื่อปัญหาถูกเติม พอกพูนไม่เคยถูกสะสาง ดินปืนที่ถูกอัดแน่นจากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี จากปีเป็นหลายๆ ปี จะหนีไปให้ไกลๆ….ปัญหาเรื่องเงินกับภาระหน้าที่ที่ต้องส่งเสียก็วนเข้ามาตบหน้าฉากแล้วฉากเล่า
“ถอยกูตายแน่…ทนและสู้ยังพอมีทางรอด” ผมท่องประโยคนี้จนขึ้นใจ…ท่องมันทุกๆ ช่วงเช้า …พึมพำอยู่คนเดียวราวกับคนบ้าเวลาบ่าย คิดวนไปวนมาไม่รู้จบเวลาที่ต้องเผชิญหน้าเสือ สิง กระทิง แรดในห้องประชุม
“ครับผม ครับพี่ ดีครับท่าน” ปากก็พูด แต่ในหัวกลับมึนงงเป็นไก่ตาแตก… (ห่าเอ้ย! ไอ้พวกนรก….) แต่ก็ต้องทนให้ได้จนกว่าจะถึงสิ้นเดือน แต่พอถึงสิ้นเดือนเข้าจริงๆ เงินค้างในบัญชีไม่ถึง 24 ชั่วโมงก็ถูกถ่ายโอนจนแทบไม่เหลือ จากปัญหาที่ทำงาน ก็ก่อให้เกิดปัญหาใหม่ ปัญหาใหม่ๆ ก็นำไปสู่ปัญหาอื่นๆ “กูมันคนมีกรรม….กูมันคนบาป” สมองก็เทียวคิดวนโทษเวร โทษกรรม โทษแมงสาบ โทษแมว โทษหมาไปตามเรื่อง
ในที่สุดดินปืนก็อัดแน่นจนได้ที่ เมื่อมีไฟจากไม้ขีดก้านแรกมันก็ ตูม! ตาม! ขึ้นมา
“กูไม่อยู่แล้วโว้ย!….” ปากก็พูด-มือก็เขียนตัวหนังสือ ใส่ไฟ-คิดเลว-ขุดคำด่าจากขุมนรกอเวจี หยาบๆ คายๆ ตัวโต ลงกระดาษขนาด A4 แล้วเอาไปแปะขึ้นบอร์ดให้มัน อี คนที่ว่าได้เห็นชัดๆ “เออ! มันสะใจกูจังเลย ไอ้เย็ดครก!” เมื่อได้ระบาย กูก็หายใจโล่งขึ้น….กระเป๋าเสื้อผ้าเก็บแล้ว แค่รอดูว่าอะไรจะเกิดขึ้น หากโดนไล่ก็แค่ วางจดหมายลาออกไปหยิบกระเป๋าเดินออกไปบนถนนเท่านั้น…. ผมคิดแค่นี้ และขณะกำลังนั่งหันหลังเขียนแบบที่ไม่ได้เขียน เสียงแฟกซ์ เสียงส่งเอกสารก็ดังรันอย่างต่อเนื่องหลายต่อหลายรอบ คู่กรณีนั่งนิ่งไม่ขยับอยู่ในมุมที่หางตาไปถึง กระทั้ง 10.00 น. เธอก็ยกหูโทรศัพท์เพื่อโทรหาใครบางคน
“จะเอาอย่างไรกับมันพี่….ถ้ามีมัน ต้องไม่มีแจน” ผมได้ยินแค่นั้นแต่ก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้…. (กูจะหนีจากที่นี่อยู่แล้วจะแคร์ไรอีก…) ถึงกระนั้นในใจก็อดวิตกไม่ได้ (น้องกำลังเรียน 2 คน แม่กับพ่อส่งไม่ไหวแน่ๆ….ทำไงดี กูจะทำไงดี…) นิ้วมือที่กำลังลากดินสอไปกับกระดาษไขสั่นราวกับผีเข้า ความเครียดที่มาพร้อมกับความเงียบกำลังกัดลึกจนกระเพราะอาหารแทบทะลุ (กระเป๋าเสื้อผ้าอยู่ในห้องเก็บของไปอยู่กับไอ้บาสสักเดือน) สมองกำลังคิดวนไม่จบสิ้น (คนอย่างกูไม่ยอมตายง่ายๆ แน่)
ความเครียดความเกลียดชัง ความโกรธกำลังพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ…เกือบๆ เที่ยง กระดาษแผ่นใหม่มีลายมือคู่กรณีก็เอาขึ้นบอร์ดตรงตำแหน่งเดิม คุณแจนกำลังเก็บของเพื่อย้ายไปประจำสาขาถนนศรีนครินทร์ (โอ้ย! น้อ เวลาทำไมมันผ่านไปช้าเยี่ยงนี้…..) ผมเฝ้าภาวนาให้เธอผ่านประตูกระจกด้านหน้าไปเร็วๆ เงียบๆ….โดยไม่ปริปาก มิฉะนั้นมือและเท้าที่กำลังสั่นรอจังหวะ…คงเผลอไปลงที่ส่วนใดส่วนหนึ่งแน่ๆ… (ไปซะที ไปให้พ้น) ผมไล่เธอในใจกระทั้งประตูกระจกถูกเปิดและปิดลงตามตูดกลมๆ… ผมจึงเร่งฝีเท้าไปดึงกระดาษที่บอร์ดมาอ่าน มือไม้ผมสั่งระริกน้ำตาจากความเครียดแค้นนานาพรั่งพรูแบบไม่อายดินฟ้า เพื่อนที่หวังดีต่างกุลีกุจอสารพัดวิธี……
#มันด่าแจนสารพัด มันถามแจนว่า แจนเป็นใคร
ยิ่งใหญ่ขนาดไหน มันกล้ามาก คราวนี้แจนไม่ยอมนะพี่
ถ้ามีไอ้เด็กเปรต! ไม่มีหัวนอนปลายตีน ต้องไม่มีแจน…
ไล่มันออกเดี๋ยวนี้ ตอนนี้นะคะ#
ผมแค้นสุดๆ ทั้งๆ ที่เตรียมใจรับกับสถานการณ์ไว้แล้ว การร้องไห้ที่ไร้เสียงโหยหวนมันโหนลึกจนยากจะกู้อารมณ์กลับคืน
“ไม่เป็นไร เป็นไงเป็นกัน หากโดนไล่ออกอย่างน้อยๆ ก็ต้องได้เงินชดเชย 3 เดือนหรือ 6 เดือนละวะ!” เสียงพี่ฝ่ายขายอีกคนเรียกสติ ตัวเองจึงนั่งรอซองขาวได้นิ่งขึ้น (3 เดือน หรือ 6 เดือน กูยังพอมีเวลาหายใจ…เอาวะเป็นไงเป็นกัน)
และบ่ายวันนั้นโทรศัพท์ในออฟฟิศเงียบผิดธรรมดา พี่อรุณไชย์ไม่เข้าบริษัท ฝ่ายขายอีก 2 คนออกไปพบลูกค้าข้างนอก เหลือไว้แต่น้องๆ เพื่อนๆ รุ่นราวคราวเดียวกันกับแม่บ้านที่ฝังตัวอยู่แต่หลังครัวตั้งแต่เช้า….แต่ดูเหมือนเธอจะรับรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
ความทรมานคือการรอคอย
….ในที่สุดผมก็อดยกหูโทรศัพท์โทรหาเพื่อนไม่ได้
“บาส….กูคงไปขออยู่ที่บ้านมึงสักพักนะ” ผมพูดสั้นๆ เพื่อนได้แต่ตอบว่า “ได้ๆ มาเลย ไม่เป็นไร” เพราะผมได้เล่าปัญหาที่เกิดขึ้นให้มันฟังบ้างแล้ว แต่เพียงคำพูดไม่กี่คำของเพื่อน ความเครียดที่กำลังจะทำให้เป็นบ้าก็เพลาลง ผ่อนลง ผมหายใจได้ทั่วท้องมากขึ้น “เอาวะเป็นไงเป็นกัน” ผมพูดกับตัวเองขณะเดินวนกลับมานั่งโต๊ะทำงาน จนกระทั้งบ่าย 4 โมงเย็น ที่ประตูกระจกด้านหน้า ประธานบริษัทที่ไม่ค่อยแวะมาก็ปรากฏตัวขึ้น ผมสั่น แต่ก็พยายามทำตัวให้นิ่ง ขณะที่ข้างในกลับดิ้นทุรนทุราย ประธานบริษัทใช้ใบหน้าวัยใกล้จะ 60 ปี ยิ้มให้ราวกับไม่มีอะไรผิดปกติ ท่านเดินผ่านขึ้นไปห้องทำงานที่อยู่ชั้น 2 ผมเดาทางไม่ออก เดาอารมณ์ที่นิ่งของท่านไม่ถูก (จะออกหัวออกก้อยก็ภายใน ชั่วโมงหรือ 2 ชั่วโมงนี้ละวะ) ผมคิดแบบปลงๆ จดหมายลาออกถูกล้วงออกมาจากกระเป๋า …ผมนั่งมองมันสักครู่ (จะเอาไปยื่นเลยดีไหม จะได้จบๆ ไป) ผมคิด (ไม่ดีกว่า รอดูจะว่าไง) และก็ยังคิดต่ออีก
แต่สักพักประธานบริษัทก็หิ้วกระเป๋าเดินลงมา “Timmy ไปกับผมหน่อย ผมอยากคุยกับคุณเป็นการส่วนตัว” ผมแปลกใจไม่น้อย เพราะหากประธานบริษัทอยากคุยกับผมเป็นการส่วนตัว บนห้องทำงานก็พร้อมอยู่แล้ว…ทำไมไม่เรียกขึ้นไปคุยให้จบๆ ทำไมต้องออกไปข้างนอกด้วย… ผมไม่เข้าใจ แต่สุดท้ายก็ต้องยอมตามขณะที่ใจเต้นตุบๆ อยู่ตลอดเวลา
ประธานบริษัทเดินนำไปยังลานเบียร์หน้าห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งบนถนนรามคำแหง อากาศเย็นกำลังดี ดวงอาทิตย์กำลังบอกลาผ่านแสงสีอำพันเหนือยอดตึกโทรมๆ โคมไฟประดิษฐ์เริ่มต้นกระพริบราวจะให้จินตนาการเป็นแสงดาวที่โอบล้อม ท่านนำผมเดินไปหยุดที่โต๊ะในมุมด้านในสุด เป็นมุมที่ผมไม่สามารถหนีได้และ เป็นมุมเล็กๆ ที่กันเรา 2 คนไว้ทุกด้าน ผมเลื่อนขยับเก้าอี้ไม้สีเบจให้ท่าน ในใจก็อดตั้งคำถามไม่ได้ว่า (นี้เป็นการมาดื่มเบียร์หน้าลานห้างสรรพสินค้าเป็นครั้งแรกของท่านหรือเปล่าน่า…) แต่ท่านก็ยังปกติ รอยยิ้มของท่านก็ปกติราวกับคนผ่านโลกมานาน ซึ้งอันที่จริง 50 เกือบๆ 60 ปีของอายุท่านก็ถือว่านานพอสมควร
พอเราทั้งคู่เข้าที่ เบียร์เหยือกแรกก็เริ่มต้นรินลงสู่แก้วทรงสูงที่มีน้ำแข็งรองรับทีละใบ ทีละใบ…กระทั้งน้ำสีอำพันคลายฟองสีขาวปริ่มปากแก้วด้วยกริยาสมบูรณ์แบบ ท่านก็นำยกแตะจนเกิดเสียงดัง #กริ้ง# ราวกับเสียงระฆังจากเวทีมวยบอกเริ่มยกแรกระหว่างนักมวยรุ่นเล็ก Mini Flyweight-มินิ ฟลายเวท ประทะกับมวยรุ่นใหญ่ Heavy Weiht-เฮฟวี่เวทอย่างนั้น….
“ดื่มก่อน ดื่มแก้วแรกให้หมด เราค่อยคุยกัน” ท่านพูดด้วยน้ำเสียงปกติ รอยยิ้มของท่านก็ยังปกติ
(จะมาไม้ไหนวะเนี้ย!) ผมคิด สายตาก็พยายามสอดส่ายล้วงลึกเข้าไปยังกระเป๋าเสื้อและกางเกงเพื่อสำรวจหาซองสีขาวที่หลอนตั้งแต่เช้า
“ดื่มให้หมด….หน้าคุณแดงเมื่อไรผมถึงจะคุยเรื่องของไอ้แจนให้ฟัง”
ผมแทบสำลักเมื่อประโยคนั้นเข้าหู…. “เออ…คือผม….”
“Timmy…ปีนี้คุณอายุเท่าไร” ท่านเริ่มบทสนทนาไม่ต่างจากวันสอบสัมภาษณ์ ผมหายใจจนสุดปอดก่อนจะปล่อยยิ้มบางๆ ไปให้
“24 ปี ครับท่าน”
“วัยกำลังห่ามเลยนะ ฮ่าๆๆๆ” ท่านพูดแล้วก็หลุดหัวเราะเสียงดัง ผมเองก็พลอยอดขำในพฤติกรรมแปลกประหลาดของท่านไม่ได้ “เอาละๆ….ใบหน้าคุณเริ่มผ่อนคลายละ สติสตางค์กลับมาครบแล้วนะ….” ท่านพูดกึ่งถามขณะที่ในหัวของผมเริ่มโปร่งขึ้น
“ครับท่าน” ผมตอบเบาๆ ขณะยกเบียร์แก้วแรกดื่มจนหมด “หมดแก้วแล้วครับ….พิพากษาผมเสียที”
“Timmy ผมก็เคยผ่ายวัย 24 ปี ผมนะห่ามกว่าคุณ…แหกคอกกว่าคุณเยอะ คุณไม่ได้ขี้ตีนผมหรอก ฮ่าๆ” ท่านพูดแล้วก็หัวเราะขณะที่บริกรกำลังรินเบียร์ลงแก้ว
“คนเราทุกคนย่อมมีทั้งด้านบวกและลบ Timmy ปัญหาของคุณกับไอ้แจน ไม่ใช่ปัญหาใหม่ที่ผมเพิ่งเจอ แต่เป็นปัญหาเก่าซ้ำๆ ซากๆ….ก็อย่างที่ผมพูด ทุกคนย่อมมีด้านบวกและลบในตัว ผมก็มี คุณก็มี อรุณไชย์ ก็มี แจนมันก็มี….คุณเข้าใจและยอมรับในข้อนี้ไหม” ท่านถาม ขณะที่ผมตั้งใจฟังแบบที่สุดในสามโลก เราประสานสายตากันและกันนิ่งๆ “เอา…ดื่มๆ ก่อน”
ผมจิบเบียร์แก้วที่ 2 บางๆ ก่อนพยักหน้ายอมรับ ขณะที่สมองผมเริ่มคิดในสิ่งใหม่ๆ
“ผมรู้จักไอ้แจนมาตั้งแต่มันเรียนจบ ปวช…..ไอ้แจนเขาสวยเป็นนางแบบ มีความมั่นใจในตัวเองสูง แต่ไอ้แจนก็มาจากครอบครัวแตกแยก…พ่อไปทาง แม่ไปทาง ชีวิตของไอ้แจนต้องดิ้นรนมาตั้งแต่เด็ก เขาอยู่กับพี่ชายน้องชายมาโดยตลอด เพราะเหตุนี้กระมั่งนิสัยของมันเลยออกจะห่ามๆ ตรงๆ โผงผาง ไม่ไว้หน้าใคร เหมือนผู้ชายสักหน่อย” ท่านหยุดเพื่อจิบเบียร์ตามผม ฟ้าเริ่มมืดจมสู่สีดำทีละเฉด…..โคมไฟกระพริบราวกับหมู่ดาวเริ่มต้นแบบจริงๆ จังๆ ท่านมองหน้าผมแล้วพูดต่อ “คุณเชื่อผมไหม คนแบบนี้คบง่ายกว่าคนปากหวานเยอะ….ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ผมคิดตามแล้วพยักหน้าให้ท่านเห็นชัดๆ
“คุณเป็นเด็กดี Timmty ผมบอกตรงๆ ผมไม่อยากเสียทั้งคุณและแจนไป….จะเล่าให้ฟังคร่าวๆ ได้ไหม? ว่า…ปัญหาที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่เกี่ยวกับเรื่องงาน เรื่องส่วนตัวหรือเรื่องอะไรกันแน่”
ผมคิดเพื่อหาคำตอบแต่ก็นึกไม่ออก….คล้ายๆ ของหลายสิ่งกองรวมกันจนไม่รู้จะยกชิ้นไหนขึ้นมาก่อน-หลัง “เออ…คือ เออ มันหลายๆ เรื่อง…เรื่องงาน เรื่องส่วนตัว…แกชอบเข้ามาวุ่นวายกับผมแทบทุกเรื่อง”
“คิดด้านบวก Timmy ที่ไอ้แจนเขาเข้ามายุ่งกับเรื่องส่วนตัวของคุณนั้น เป็นเพราะว่าไอ้แจนมันรักคุณ หวังดีกับคุณ คุณควรโฟกัสแจนในมุมนี้ให้มากๆ….มุมไหนที่มองแล้วไม่สบายตัว ไม่สบายใจ ไม่สบายหูก็ปล่อยผ่านๆ อย่าเก็บมาใส่ใจ…แล้วปัญหาเรื่องงานละ”
“เรื่องงานเอ่ออออออ!….แกชอบเข้ามายุ่งในงานออกแบบอยู่เรื่อยๆ…หลายๆ Project ผมต้องแก้ไขงานใหม่”
“นั้นเป็นเพราะว่า แจนยังไม่เชื่อถือ ยังไม่ยอมรับในความคิดของคุณ มุมบวกให้คุณมองว่า แจนเขามีประสบการณ์มากว่า เขาเลยเชื่อมั่นในตัวเขามากกว่าเด็กอย่างคุณ วิธีแก้ไม่ยาก ปีหน้าให้คุณไปสอบใบประกอบวิชาชีพให้เรียบร้อย ผมจะขนหนังสือจากที่บ้านมาให้ และ 1 เดือนก่อนสอบผมอนุญาตให้คุณอ่านหนังสือในช่วงเช้าหรือบ่ายวันละ 4 ชั่วโมงไปเลย ถ้าคุณได้ใบประกอบวิชาชีพมา คุณก็จะได้เป็นสถาปนิก ซึ่งจะเกิดผลดีหลายด้าน 1. ผมมั่นใจว่าไอ้แจนต้องยอมรับในตัวคุณมากขึ้น 2. ผลดีกับอนาคตของคุณเอง 3. บริษัทเราจะได้มีสถาปนิกเพิ่มขึ้นอีก 1 คน ซึ่งจะทำให้ลูกค้าเชื่อถือทีมงานเรามากกว่าเดิม..ส่วนผมเมื่อคิดมุมบวก ผมมีแต่ได้กับได้คุณว่าจริงไหม ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
ผมคิดตามจนอดยกมือไหว้ท่านไม่ได้
“ไม่ต้อง!….” ท่านปรามเสียงสูงพร้อมกับซดเบียร์จนหมดแก้วที่ 2… “ฮ่า ฮ่า ไอ้เหี้ย!” คำพูดที่มักจะเป็นสร้อยตามหลังหลุดมาเวลาท่านอารมณ์ดี ผมเองก็ซดเบียร์ตามอึกใหญ่ ก่อนจะนิ่งฟังท่านต่อไปอีก
“ที่คุณถามไอ้แจนว่าเธอเป็นใครนะ ผมตอบแทนไอ้แจนมันให้ก็ได้ Timmy ไอ้แจนเขาไม่ใช้ผู้จัดการฝ่ายขายเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทด้วย….” ท่านนิ่งจ้องหน้าผมราวกับต้องการจะเห็นปฏิกิริยาบางอย่าง
“ที่ผมพูดแบบนี้ผมเพียงแต่จะบอกว่า คุณนะเลือก ชกข้ามรุ่น แล้วละ ถ้าเทียบกับนักมวย คุณยังถือว่ายังเป็นมวยรุ่นเล็ก Mini Flyweight-มินิ ฟลายเวท แต่ไอ้แจนมันเป็นมวยรุ่นใหญ่ ชกเมื่อไรคุณมีแต่แพ้กับแพ้ Timmy ไอ้แจน กับ อรุณไชย์ จะผิดหรือถูกผมไม่รู้ ผมจะไม่สรุป แต่ผมอยากให้คุณคิดบวก คุณยังเด็ก การที่เด็กยอมขอโทษผู้ใหญ่เป็นเรื่องที่น่ายินดี คุณจะผิดหรือถูก…การที่คุณยอมขอโทษ คุณมีแต่ได้กับได้….” ท่านจ้องหน้าผม ผมนิ่งคิด คิด คิด
#คนทุกคนมีทั้งด้านบวกและด้านลบ…..ด้านลบทำให้จมเครียด ทำให้จมเกลียด ทำให้คนดีๆ กลายเป็นคนบ้า คนเลวและนำมาซึ่งปัญหามากมาย….หากไม่ใส่ใจด้านนี้กลับไปมองคนๆ เดิมอีกด้าน รับฟัง รับรู้ อ่านให้เห็นถึงสันดานดิบ….ถ้าด้านบวกมากกว่าด้านลบก็แสดงๆ ว่า…คบได้….แต่ถ้าอ่านแล้วสรุปได้ว่า ด้านลบมีมากกว่า…เขาก็คือคนที่เป็นพิษ เป็นเชื้อโรคร้ายสำหรับเรา การหลีกเลี่ยงและอยู่ให้ห่างๆ จึงเป็นทางออกเดียวที่ดีที่สุด#
โคมไฟของลานเบียร์ในคืนนั้นช่างงดงามราวกับมีดาวนับล้านมาประดับ แม้แต่สีดำของเงารัตติกาลนอกรัศมีก็ยังสวยงามในมโนภาพ ด้านบวกของมันคือความเงียบ นิ่ง เพียงหลับตาสีเดียวกันก็ทำให้คุณหลับ รัตติกาลคือสีแห่งการพักผ่อนมากกว่าจะสร้างรูปปีศาจขึ้นมาหลอน ผมขอบคุณประธานบริษัท และก่อนที่เราจะแยก ผมแอบกระซิบถามท่านต่ออีกว่า
“ท่านครับ ที่ท่านบอกว่าคราวนี้ผมชกข้ามรุ่นนะ….ผมยอมรับ แต่หากวันหนึ่งข้างหน้ามีนักมวยรุ่นเดียวกันมาท้า ท่านเลือกเชียร์ใคร”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไอ้เหี้ย!…..” ท่านหัวเราะอีกยาวก่อนจะตอบผมกลับว่า “ผมไม่ไล่คุณออกหรอก Timmy และผมจะไม่เชียร์คุณอย่างแน่นอนเพราะผมอยากเห็นคุณเป็นมืออาชีพด้วยตัวของคุณเอง….พรุ่งนี้ขอโทษไอ้แจนเขาซะ อย่างไรเสียแจนก็เป็นผู้ใหญ่….ที่สำคัญ ไอ้แจนมันรักคุณมากๆ ด้วยรู้ไหม”
“ครับ ขอบคุณมากๆ ครับท่าน….” เราแยกกันเกือบๆ จะ 5 ทุ่ม ผมเลือกเดินกลับเพราะจากลานเบียร์กับออฟฟิศที่ใช้เป็นบ้านประมาณ 2 กิโลเมตร ผมจึงใช้ระยะทาง 2 กิโลเมตรใต้เงารัตติกาลทบทวนด้านบวกที่ผมเผลอลืม ใช้สีดำเรียกสติ ใช้สีดำเป็นฉากเพื่อจะได้มองเห็นแสงสว่างแม้จะริบรี่เพียงแสงหิ่งห้อย….ผมแวะร้านขายดอกไม้ในตลาดสด ซื้อกุหลาบสีขาวช่อเล็กๆ พร้อมกับการ์ดสีเดียวกัน ผมเขียนด้วยลายมือแบบไม่บรรจงว่า
#พี่สาวครับ ผมขอโทษ#
และตั้งแต่วินาทีนั้นลมหายใจก็โล่งราวกับไม่เคยมีดินปืนอัดในระเบิดเวลาเลยสักนิด
พี่แจนก็เพียงผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่งที่มีทั้งด้านบวกและลบ ในเมื่อด้านบวกของเธอเป็นด้านที่ผมยอมรับได้มากกว่า เรื่องอะไรผมจะต้องใส่ใจกับด้านลบของเธอด้วย คุณว่าจริงไหม?…. อีกด้านหากผมใช้หัวใจอ่านเธอแล้วเห็นด้านลบมากกว่า ผมก็แค่เลี่ยงหลบ ไม่พบปะ ไม่พูดคุย และไม่รู้จักแค่นั้นเอง…ง่ายๆ “คิดบวก ความสุขในมุมเล็กๆ ก็ก่อเกิด” …สวัสดีครับ