ที่ปรึกษาในมุมเงียบ คิดบวกความสุขในมุมเล็กๆ
ที่ปรึกษาในมุมเงียบ
“โอ้ย!…โชคชะตาอยู่ไหน ทำไมไม่เข้าข้างกันเลย…อิฉันทำอะไรผิดเจ้าคะเวรกรรมเจ้าขา…ถ้าอิฉันได้ก่อเวรก่อกรรมไว้เมื่อภพชาติที่แล้วหรือภพชาติไหนๆ ก็ได้โปรดปราณีต่ออิฉันในชาติภพนี้บ้าง…อิฉันคิดดีทำดีมาโดยตลอด ทำไมปัญหาถึงได้รุมเร้าเล่นงานแต่อิฉันทั้งๆ ที่ปัญหาส่วนใหญ่ล้วนมาจากคนอื่นทั้งนั้น…ฮื้อๆ”
“คุณครับ คุณ หยุดร้องไห้ก่อนได้ไหม…นิ่งๆ สัก 10 หรือ 20 นาที…ผมมีบทความชุดคิดบวก ความสุขในมุมเล็กๆ ตอน ที่ปรึกษาในมุมเงียบ มาให้อ่าน”
“อิฉันปวดหัว ปวดตา อ่านไม่ไหวหรอกคะ…ฮื้อๆ”
“มา!….ถ้าอย่างนั้นคุณแค่หลับตานิ่งๆ ก็พอ… เดี๋ยว Timmy จะอ่านให้ฟัง”
“อึ อื้ม!…เริ่มแล้วนะ”
“คะ…..”
….ทุกชีวิตที่เกิดขึ้นมาบนโลก ล้วนแต่เกิดมาพร้อมกับปัญหาด้วยกันทั้งสิ้น ไม่เว้นกระทั้งสัตว์- พืช-แมลงและมนุษย์ ในทัศนคติส่วนตัว… ปัญหา คือรากเหง้าที่มาของคำว่า “ทุกข์ยากหรือลำบากแสนเข็ญ” ปัญหาไม่ได้เกิดจากเวรหรือกรรมตามคำสอนโบราณใดๆ ทั้งสิ้น…เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่มีปัญหา สร้างปัญหา แล้วเอาแต่นั่งสวดมนต์ภาวนาขอให้เจ้ากรรมนายเวรยกโทษ-ให้อภัย -ขอความเห็นใจล้วนแล้วแต่อยู่ในสภาวะขาดสติทั้งสิ้น การสวดมนต์ภาวนาก็เป็นวิธีบำบัดจิตชนิดหนึ่ง แต่มันแค่ชะลอปฏิกิริยาของปัญหาเท่านั้น ไม่ใช่วิธีแก้หรือวิธีหาทางออก… Timmy Buto มิใช่ผู้สูงส่งหรือวิเศษวิโสมาจากไหน Timmy เป็นแค่สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน-เป็นแค่คนธรรมดาๆ คนหนึ่งที่ต้องเผชิญปัญหาไม่ต่างจากคนทั่วๆ ไป และบทความชุด “คิดบวก ความสุขในมุมเล็กๆ ตอน ที่ปรึกษาในมุมเงียบ” Timmy มีเทคนิคการจัดการกับปัญหาแบบง่ายๆ มานำเสนอ…ลองอ่านดูนะครับ หากเกิดประโยชน์จนทำให้คุณเห็นความสุขในมุมของคุณได้ Timmy จะยิ้มได้กว้างขึ้น…..
“เรียนผูก ก็ต้องเรียนแก้”
“มันแก้ไม่ได้”
“แก้ไม่ได้ก็ต้องตัดทิ้ง….”
“ตัดไม่ได้ ฉันตัดไม่ได้”
ที่ปรึกษาส่วนใหญ่ก็จะเป็นซะแบบนี้แหละครับ เป็นที่ปรึกษาที่แอบหวังดีเกินหน้าที่ จะหาน้อยมากในประเทศไทยที่จะมีจิตแพทย์ หรือหมอจิตเวช เข้ามาบำบัดคนไข้โดยการใช้หลักจิตวิทยา เข้ามาบำบัด…ทางกลับกันทัศนคติของคนไทยเองก็มองจิตแพทย์ไปในทาง Negative หรือด้านลบมากกว่าด้านบวก มองว่าคนที่เข้าพบจิตแพทย์เป็นคนบ้า – คนบ้าคือคนไร้สติที่ชั่วช้าสามานย์ เป็นบุคคลที่ถูกเจ้ากรรมนายเวรตั้งแต่ภพชาติที่แล้วตามมาเล่นงาน …เขาหรือเธอจะต้องออกไปอยู่ที่อื่น จะเดินปะปนกับคนธรรมดาๆ ไม่ได้….โอ้!…ให้ตายเถอะ…อีกสักกี่ปีความเชื่อผิดๆ เหล่านี้ถึงจะหมดไปจากสังคมไทยซะที…ผมไม่ต้องการให้ทุกคนร่วมกันนั่งสวดมนต์ภาวนาขอให้คนบ้าหมดไปจากประเทศไทยนะครับ…แต่ Timmy อยากจะให้ทุกคนร่วมกันปรับจูนทัศนคติของตัวเองซะใหม่ หันมาเริ่มต้นพิจารณาปัญหาส่วนตัวแล้วค่อยๆ เรียบเรียง- แยกแยะก่อนจะขจัด-ทำลาย-บำบัด-และหาวิธีแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ มิใช่เอะอะอะไรก็วิ่งหาหมอดู หมอเดา ไหว้พระ-ไหว้เจ้า-ไหว้ต้นไม้-กราบจอมปลวกเหมือนอย่างทุกวันนี้…ไม่ไหว
มา!…ขยับเข้ามาใกล้อีกนิด…
ขั้นที่ 1….
เมื่อคุณรู้สึกมึนหัว ปวดตึบๆ ตึงๆ มึนงง…ทำอะไรไม่ถูกให้คุณนั่งนิ่งๆ หายใจเข้าออกลึกๆ สัก 5 นาที….
ขั้นที่ 2…..
เมื่อสติสตังกลับมาระดับที่หายใจเข้าออกคล่องพอสมควร…ให้คุณนึกถึงปัญหาต่างๆ ที่ฝังอยู่ในหัว แล้วจดบันทึกเป็นข้อๆ-ไล่ เรียบเรียงออกมาให้ได้มากที่สุด
ขั้นที่ 3……
เมื่อคุณเห็นปัญหา อันเป็นสาเหตุที่ทำให้เครียดกองรวมกันอยู่ตรงหน้าเรียบร้อยแล้ว…คราวนี้คุณก็ต้องแยกแยะปัญหาเหล่านั้นออกเป็น 3 กลุ่มหลักๆ ดังนี้
กลุ่มที่ 1. ปัญหารกสมอง (ปัญหาที่มาจากบุคคลที่ 3 ของบุคคลที่ 3) หรือปัญหาไร้สาระ…ต้องหาวิธีกวาดทิ้งให้เกลี้ยงให้เร็ว….อย่าให้เหลือเป็นเชื้อ….กิริยาง่ายๆที่แสดงออกเมื่อปัญหาเหล่านี้หมดไปก็คือ คุณจะเป็นคนใหม่ที่ไม่แคร์ใคร-คล้ายๆ คนหยิ่งยโสโอหัง- ดูจองหอง ยักไหล่-เบะ!ปาก-เชิด!หน้าใส่เมื่อปัญหาใหม่ๆ เริ่มก่อตัวขึ้นในหัว…ถ้ากิริยาของคุณเป็นเช่นนี้นั้นแสดงว่า….คุณสอบผ่าน
กลุ่ม2. ปัญหาครอบครัวซึ่งเป็นปัญหาละเอียดอ่อนเราต้องยกไว้ก่อน…แล้วค่อยๆกลับมาทบทวนยามเมื่อสมองโปร่งๆ ว่างๆ เพราะเมื่อนั้นแหละคุณจะมองเห็นทางออก ประเด็นสำคัญเมื่อต้องประทะหรือเกิดวิวาทะ มีปากเสียงกับคนในครอบครัวคุณจะต้องนิ่งให้มากและนานที่สุด….รอเวลาที่คนๆนั้นได้สติ เย็นลงแล้วค่อยกลับไปคุย-หาทางออก-ร่วมกันแก้ไข ศักดิ์ศรีในครอบครัวต้องตัดทิ้งให้หมด ผิดต้องกล้าขอโทษ-ถูกต้องกล้าเยินยอทั้งต่อหน้าและลับหลัง
กลุ่มที่3. ปัญหาที่นำมาซึ่งรายได้ หรือปัญหาการงาน…OK เมื่อปัญหาในข้อที่ 1 และ 2 ถูกกวาดทิ้ง-เก็บปิดตายในลิ้นชักชั่วคราวเรียบร้อยแล้ว คราวนี้สมองของคุณก็จะเกิดช่องว่าง- เป็นช่องว่างที่พอจะทำให้มองเห็นทางออกของปัญหาการงานที่นำมาซึ่งรายได้หลัก ปัญหาการงาน…คุณต้องยอมปวดหัวกับมัน เมื่อมีทางออก ปัญหาอื่นๆ ก็จะเป็นได้แค่ขี้ปะติ๋วในหัวเท่านั้นเอง
อ้าว!….แล้วเทคนิคในการกวาดล้างปัญหาต่างๆ นานาละ จะทำอย่างไร?…
ในต่างประเทศเมื่อใครมีปัญหา หรือสติกำลังแกว่ง – เบี่ยงเบนไปทาง Negative หรือด้านลบจนใกล้เคียงกับคนบ้า..พวกเขาจะไม่ลังเลขอเข้าพบคุณหมอโรคจิต หรือจิตแพทย์จนเป็นเรื่องธรรมดา…. แล้วคนไทยเราละ…ส่วนใหญ่จะเลี่ยงการเข้าพบจิตแพทย์เพราะในใจมักจะต่อต้านและตอบตัวเอง-ด้วยตัวเองโดยตัวเองที่ไร้สติว่า “ฉันไม่ได้เป็นบ้าอยู่เสมอๆ” เลยหันเหเข้าหาสิ่งยึดมั่นทางใจในรูปแบบอื่นๆแทน เช่น เข้าวัด-ฟังธรรม คุยกับหลวงพ่อ ไปหาหมอดูทำนายทายทัก ผูกดวงชะตาราศี หรือแม้กระทั้งไปนั่งภาวนา-สวดมนต์-ขอพรกับต้นไม้-จอมปลวก-ห้วยหนอง-คลองบึง-สัตว์พิการผิดปกติ…เวียนขอพรราวกับขอทานกับเทพเจ้าส่วนตัวให้ช่วยเหลือ หรือหนักกว่านั้นก็จะเสียเงินเสียทองซื้อสังฆทาน-ทำสังฆทานสะเดาะเคราะห์ ลงไปนอนในโลงศพ สร้างปัญหาใหม่ให้กับตัวเองราวกับคนดีที่เป็นบ้าไปแล้ว….แนวๆ นี้ต้องตัดทิ้งให้หมด…หันกลับมามองคนรอบๆ ข้างของคุณ อาจจะเป็นพ่อ แม่ พี่น้อง ญาติมิตร เพื่อนฝูง คนรับใช้ คนงาน คนสวน หรือใครก็ได้ที่คุณไว้ใจ….อย่าตั้งป้อมว่าคนนั้นไร้การศึกษา-คนนี้โง่เง้าเต่าตุ่นแม้แต่มีศักดิ์ต่ำกว่า ไม่ควรเอายอดปราสาททองลงไปเกลือกกลั้วกับโคลนตม….
อย่าคิดๆ!
…ผมบอกตรงๆ นะถ้าวัดความสามารถทางจิตสำนึก ทุกๆ คนเสมอและเท่าเทียมกัน คุณสามารถหาใครก็ได้ที่ใจเย็นพอจะรับฟัง ยกเขาหรือเธอคนนั้นเป็น “ ที่ปรึกษาในมุมเงียบ ” ให้กับคุณได้….ลองๆ สำรวจดูนะครับ
เมื่อเจอเป้าหมายหรือได้ที่ปรึกษาในมุมเงียบเรียบร้อยแล้ว คราวนี้คุณก็ต้องระบายปัญหาที่ค้างคาอยู่ในหัว… พูดออกมา ….ทิ้งปัญหาให้หลุดออกจากปากให้ได้มากที่สุด พูดกับเขา ถึงแม้เขาจะเป็นแค่ที่ปรึกษาในมุมเงียบๆ คุณก็ต้องพูด….อย่าหวังอะไรจากเขาหรือเธอคนนั้น… เมื่อพูดจบปัญหาทั้งหมดทั้งมวลก็จะถูกระบาย สมองจะโล่งขึ้น หากที่ปรึกษาในมุมเงียบตบไหล่ปลอบ หรือแค่บอกส่งให้ “สู้ สู้” วันพรุ่งนี้ของคุณก็จะสดใสขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
ปกติค่าตัวของผู้รับฟังปัญหา หรือจิตแพทย์ในต่างประเทศแพงถึงแพงมากๆ หากมีใครสักคนที่คุณไว้ใจ-ไม่ว่าคนๆ นั้นจะเป็นใคร อ่านหนังสือออก-ไม่ออก บอกยี่ห้อด๊อกเตอร์หรือไม่ หญิง ชาย เทียม บวก-ลบไม่สำคัญ…ขอเพียงนั่งนิ่งๆ เฉยๆ คอยตอบ-โยนคำถามสั้นๆ เป็นระยะๆ…ที่ปรึกษาในมุมเงียบของคุณก็จะถือได้ว่าสมบูรณ์แบบ
“ปัญหารกสมองเก่าๆ-ฝังลึก ถูกกวาดล้าง-สมองก็จะเกิดช่องว่างสำหรับเรียนแก้ปัญหาการงาน….เมื่อรายได้เกิดปัญหาการงานหลุด….ปัญหาครอบครัวที่ละเอียดอ่อนก็จะมีทางออก”
“Timmy คะ อ่านให้อิฉันฟังอีกรอบได้ไหมคะ….”
“สมองคุณเริ่มเปิดแล้วละ….หายใจลึกๆอีกรอบหนึ่ง จิบน้ำเย็นบางๆ สักอึก เปิดดวงตาสู้กับสิ่งที่รออยู่ตรงหน้า…คุณต้องช่วยเหลือตัวเองแล้วนะครับ….”
“น้ำผักหรือน้ำผลไม้ได้ไหมคะ”
“ได้ครับ”
“ถ้าแช่เย็นไม่ทันเติมน้ำแข็งหลอดหรือน้ำแข็งก้อนดีคะ”
“ปัญหาส่วนหนึ่งเกิดจากตัวคุณเองนั้นแหละ….การคิดวน…ย้ำคิดย้ำทำจะทำให้เนื้อสมองเน่า…ไม่เกิดประโยชน์….ขยับเข้ามา…ขอกอดแน่นๆ สักที…”
“Timmy….”
เมื่อวงแขนเปิดโอบรัดกันและกัน ฝ่ามือก็ไล่ตบปลอบแผ่นหลังเบาๆ คำพูดสุดท้ายจึงดังขึ้น…..“คิดบวก…แล้วคุณจะชนะทุกๆสิ่ง สู้ สู้ นะครับ”