อนุชาย2 บทที่33 ปกรณ์ เชาว์
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้….
หลังแยกย้ายจากบ้านเช่าไม่มีเลขที่ของอดีตท่านผู้หญิงแขไข อนุชานั่งคู่มากับอนุชาญที่เบาะหลังของรถเบนซ์สีน้ำเงินก็เอ่ยถามพี่ชายแบบคนไม่เข้าใจ
“ทำไมเฮียไม่เตือนว่า รายต่อไป เป็นเขา”
อนุชาญใช้มือ 2 ข้างบีบขมับตัวเอง หมายคนขับรถลอบมองคนทั้งคู่ผ่านกระจกหลัง “อั๊ว!…..” พูดคำเดียวแล้วอนุชาญก็เงียบไปอีก
“มันเป็นทางเดียวที่จะช่วยปกรณ์ได้….หรือว่า….”
“ไม่ใช่อย่างที่ลึ! กำลังคิดหรอกอาชา….เมื่ออั๊ว! เห็นอาปกรณ์ชัด ๆ….เขา เขา….” อนุชาญหันไปพูดกับอนุชาตรง ๆ “เขาเหมือนลูกชายอั๊ว! มากเกินไป”
อนุชาช็อกคล้ายไม่อยากเชื่อ “อาเฮีย”
“จริง ๆ อั๊ว! เห็นตัวเองครึ่งหนึ่งอยู่ในตัวอาปกรณ์” พูดจบอนุชาญก็พยักหน้ายืนยัน
“แล้ว ต่อไปเฮียจะทำอย่างไร”
อนุชาญส่ายหน้า หมายเองก็คล้ายกำลังคิดบางอย่างแต่ก็เลือกเก็บอาการ กระทั้งรถเบนซ์สีน้ำเงินชะลอจอดส่งอนุชาริมทางเท้า
“อาชา”
อนุชามองหน้าพี่ชายเป็นครั้งสุดท้าย เขาพยักหน้ายืนยันตามความตั้งใจก่อนจะเปิดประตูรถก้าวลงไปยืนบนถนน…. “วันหนึ่ง อั๊ว! จะกลับบ้าน” อนุชาบอก
“อื้อ!….ดูแลตัวเองให้ดี” เมื่อรถวิ่งต่อไปได้สักพัก “กลับเข้าบ้านเลยนะ”
“บ้านหลังไหนครับนาย” หมายถามเพื่อความมั่นใจ
“บ้านตระกูลเชาว์ อั๊ว! มีเรื่องที่ต้องสะสาง”
“ครับนาย”
หลังเกิดเหตุร้ายจนเป็นเหตุให้อนุชาญเสียชีวิต ปกรณ์ต้องวิ่งวุ่นอยู่หลายวัน โชคดีหน่อยที่งานส่วนไหนไม่จำเป็นต้องแสดงตัวตน ตำรวจก็จะให้อนุชาเป็นผู้ดำเนินการแทน ภาระที่คิดว่าจะหนักก็เลยถูกแบ่งเบาและระหว่างกำลังเคลียร์บิลแทนเด่นดวงอยู่ภายในห้องผู้จัดการในสวนอาหารสะบันงา อยู่ๆ เสียงแหลมเล็กๆ ที่แง้มประตูชะโงกเข้ามาก็ดังขึ้น
“เฮียคะมีคนมาขอพบ”
ปกรณ์รวบเอกสารที่กระจัดกระจายให้เป็นก้อนเดียวก่อนจะหันไปถาม “ใคร ผู้หญิงหรือผู้ชาย”
“ผู้ชายคะเขาบอกว่าชื่ออำพล” พนักงานสาวรายงาน
ปกรณ์คิด… “อ้อ….ถ้าอย่างนั้นพาไปนั่งรอในห้องคาราโอเกะหมายเลข 28 เลย เดี๋ยวจะตามไป…” พนักงานสาวพยักหน้า แต่ก่อนประตูจะปิด “แนนๆ…อย่าลืมนำของว่างเข้าไปเสริฟรอด้วยละ”
“ค่ะ ได้ค่ะเฮีย” เธอผลักชะโงกหน้าเข้ามารับคำสั่งอีกก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป
ทันทีที่เคลียร์งานบนโต๊ะพร้อมกับโทรสั่งของสดจำพวกต่างๆ จนครบถ้วน อีกครึ่งชั่วโมงปกรณ์ก็ผลักประตูอลูมิเนียมอบสีดำเข้าไปในห้องคาราโอเกะหมายเลข 28 ที่แยกตัวออกจากอาคารใหญ่ไปทางทิศตะวันออก ทนายอำพลมาพร้อมกับผู้ช่วยคล้ายนักศึกษาฝึกงานหญิง 2 คนก็ยืนกล่าวทักทาย
“สวัสดีครับคุณอำพล ต้องขอโทษด้วยที่มาช้าไปหน่อย”
“สวัสดีครับคุณปกรณ์ สบายดีนะ ได้ข่าวว่าได้ลูกสาวขอแสดงความดีใจด้วยครับ” ทนายอำพลกล่าวยิ้มๆ แบบคนเบิกบาน ขณะที่นักศึกษาฝึกงานนั่งคู่กันยกมือไหว้ เขารับไหว้สั้นๆ ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งลงฝั่งตรงข้าม
“ขอบคุณครับ…ว่าแต่วันนี้มีอะไรพิเศษหรือเปล่า…เล่นบุกมาหาผมถึงที่เลย” ปกรณ์ถามนำ
“ครับ…” ทนายอำพลขานรับพร้อมกับหยิบเอกสารหลายแผ่นออกจากกระเป๋าวางเรียงต่อหน้า “เรื่องคืนสถานะแรกๆ ผมก็หวั่นว่าจะยาก แต่…” มือป้อมๆ ขยับเอกสารริมซ้ายสุดเป็นการชี้นำ “ก่อนที่คุณอนุชาญจะเสียชีวิต ท่านเรียกให้ผมเข้าไปพบ แล้วท่านก็เซ็นรับรองบุตรให้ กระบวนการเลยจบเร็วกว่าที่คิด”
ปกรณ์อึ้ง เขากะว่าจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับบ้านตระกูลเชาว์แล้ว แต่เมื่อเห็นลายเซ็นต์ของอนุชาญในเอกสารสมองก็พาลให้นึกถึงอนุชาติ เชาว์ ผู้ที่ DNA.ฟ้องว่าคือพ่อแท้ๆ…อีกคนที่นึกถึงและอยากจะรู้เรื่องราวให้กระจ่างนั้นก็คือผู้หญิงที่ให้กำเนิด เขานิ่งคิด จนทนายอำพลต้องขยับเอกสารอีก 2 แผ่นที่วางคู่กันเข้าไปใกล้ๆ
“ส่วน 2 แผ่นนี้คือใบมอบอำนาจสำหรับผู้ที่จะต้องไปดำเนินเรื่องแทนและเอกสารรับรองความเป็นตัวตนครับ”
“ตกลงว่า…..”
“เรื่องราววุ่นวายทั้งหมดก็จะจบลง…ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับตัวคุณปกรณ์เองแล้วละว่าจะทำอย่างไรกับชีวิตต่อไป” ทนายอำพลพูดเนิบๆ ปกรณ์เป่าลมทิ้ง ก่อนจะหยิบขึ้นมาอ่าน
“ถ้าผมยอมเซ็น….”
“คุณก็จะกลายเป็น นายปกรณ์ เชาว์ ทายาทลำดับที่ 2 ของบ้านตระกูลเชาว์ที่ยังมีชีวิตอยู่และจะมีอำนาจเต็มในการจัดการกับมรดกตามที่คุณอนุชาติได้ทำพินัยกรรมเอาไว้”
ปกรณ์แสดงสีหน้าหวาดวิตกขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ภาพที่เกิดขึ้นทำให้เขาไม่อยากแม้กระทั่งจะใช้นามสกุลเชาว์เพื่อทวงสิทธิ์ของตัวเอง ใช่!…เขาได้สละสิทธิ์ไปแล้ว แต่ว่า…. “เออ….คุณอำพลครับเรื่องคืนสถานะเกี่ยวข้องกับการเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกับอาชาหรือเปล่าครับ บอกตรงๆ ผมไม่อยากเข้าไปยุ่งเลยจริงๆ”
“ไม่เกี่ยวข้องกันครับ นี้คือเอกสารสละสิทธิ์อย่างเป็นทางการ แต่ก่อนที่จะสมบูรณ์ผมต้องทำเรื่องเปลี่ยนสถานะให้เสร็จซะก่อน”
“หมายความว่าผมจะต้องเป็น นายปกรณ์ เชาว์ ก่อนจึงจะสามารถสละสิทธิ์ตามพินัยกรรมได้ ผมเข้าใจถูกต้องหรือเปล่าครับ” ปกรณ์ถามกลับแบบคนร้อนใจ ทนายอำพลขยับเอกสารที่เรียงกันไว้อีก 2 แผ่นให้
“ครับถูกต้อง เมื่อคุณปกรณ์เซ็นเอกสารแผ่นนี้ คุณปกรณ์ก็จะกลายเป็น นายปกรณ์ เชาว์ ทายาทลำดับที่ 2 โดยสมบูรณ์ และเอกสารอีก 2 แผ่นที่ผมเตรียมมาด้วยก็คือใบสละสิทธิ์ตามพินัยกรรมเดิม”
ปกรณ์หยิบขึ้นมาอ่านอีก “ถ้าเซ็นทั้ง 3 แผ่นนี้”
“จากนายปกรณ์ นาครัตน์ คุณก็จะเป็น นายปกรณ์ เชาว์ และเมื่อเซ็นเอกสารอีก 2 แผ่นการสละสิทธิ์ตามพินัยกรรมก็จะสิ้นสุดลงอย่างสมบูรณ์” ทนายอำพลอธิบาย ปกรณ์จึงไล่อ่านเอกสารแบบจริงๆ จังๆ
“ครับ ผมก็แค่อยากมีตัวตน แต่ไม่ต้องการมรดกใดๆ จากบ้านตระกูลเชาว์แม้แต่บาทเดียว”
“แต่ถ้าคุณอนุชา เชาว์ ยืนยันตามพินัยกรรมเดิม คุณปกรณ์เองก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธในเบื้องต้นนะครับ ส่วนจะมอบให้ใครภายหลังนั้นก็ขึ้นกับตัวของคุณปกรณ์เองแล้วละ…..วู้!…..” พูดจบทนายอำพลถึงกับเป่าลมระบายความอึดอัดทิ้งแรงๆ จนปกรณ์อดเหลือบมองไม่ได้
“กว่าจะผ่านมาได้ผมก็แทบเอาชีวิตไม่รอด” ปกรณ์พูดพร้อมกับยิ้มให้
ทนายอำพลยิ้มตอบ “ถ้าคุณอนุชาติไม่ได้วางแผนระยะยาว ผมก็คงทิ้งงานนี้ตั้งแต่ 15 ปีที่แล้วละครับ”
“ผมเข้าใจดี แล้วถ้าจบจากตรงนี้” ปกรณ์คล้ายอยากรู้ความในใจ
“ผมแก่แล้วเห็นทีต้องวางมือสักที ทั้งเหนื่อย ทั้งเสี่ยง ขอเลี้ยงหลานอย่างเดียวดีกว่า….”
ปกรณ์ยิ้มก่อนเซ็นเอกสารทั้ง 5 แผ่นอย่างไม่ลังเล เขาหยิบมันขึ้นมาอ่านทวนอีกรอบก่อนจะส่งมอบให้ทนายอำพล
“ต่อจากนี้เป็นต้นไปคุณก็คือ นายปกรณ์ เชาว์ อย่างเต็มภาคภูมิและหวังว่าจะนำตระกูลเชาว์ให้โดดเด่นขึ้นมาได้อีกครั้ง” ทนายอำพลกล่าว ปกรณ์วางปากกาด้วยท่าทีสบายใจ
“ถึงผมจะเป็นคนบ้านตระกูลเชาว์ แต่ก็ต้องการสร้างธุรกิจใหม่ด้วยมือผมเอง…สบายใจกว่ากันเยอะ”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ได้ข่าวว่าสวนอาหารสะบันงากำลังจะขยายสาขาเพิ่มอีก 2 แห่ง ใกล้จะเปิดกิจการหรือยังครับ” ทนายอำพลถาม
“สาขารามอินทราอีก 2 เดือนน่าเปิดได้แล้วละ แต่สำหรับในห้างสรรพสินค้าไอค่อนฯ คงต้องรอให้อาตี้เรียนจบโน้นแหละเพราะผมดูแลคนเดียวไม่ไหว” ปกรณ์บอก
“อ้าว!…แล้วคุณอนุชัยกับดร.ชานนท์ไม่ลงมาลุยด้วยกันเหรอครับ” ทนายอำพลถามอีก
“2 คนนั้นรับผิดชอบเฉพาะงานออกแบบอย่างเดียว เห็นแว่วๆ ว่าจะขยายบริษัทข้ามไปเวียดนาม-ลาว-กัมพูชาและเมียนมา คงไม่ว่างหรอก พอจะอาศัยได้ก็มีแค่หลานชายนั้นแหละครับ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
“ยินดีด้วยนะครับคุณปกรณ์”
“ขอบคุณครับ เดี๋ยวอาหารมื้อนี้คุณอำพลสั่งเต็มที่เลยนะผมเป็นเจ้าภาพเอง” ปกรณ์บอก
“อ้อ!….คือว่า”
“แหม!….อุตส่าห์มาหาถึงสวนอาหารทั้งที ถ้าปฏิเสธเสียใจแย่เลยและดูท่าทางน้อง 2 คนคงจะหิวแล้วด้วย ไม่รบกวนแล้วนะครับตามสบาย…..เออ…แนนๆ” ปกรณ์เรียกสาวบริกรที่ยืนอยู่หลังประตู
“ค่ะเฮีย….” เธอผลักประตูเดินเข้ามารับคำสั่ง
“ช่วยดูแลคุณอำพลกับน้องๆ ด้วยนะ…..” พูดจบปกรณ์ก็หันไปหาทนายอำพลอีกรอบ “เต็มที่เลยนะครับคุณอำพล ถ้าสาขาใหม่เปิดเมื่อไรผมจะส่งบัตรสมาชิกสำหรับส่วนลดพิเศษไปให้ถึงบ้าน”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ขอบคุณครับ คุณปกรณ์ เชาว์”
ที่บ้านตระกูลเชาว์…..
เช้าวันเสาร์อยู่ๆ ลุงสยาม ยามเก่าแก่ประจำบ้านตระกูลเชาว์อายุใกล้จะ 90 ปี ก็หายจากป้อมยามก่อนที่ฟ้าจะสาง สมศักดิ์ยามอีกคนที่เพิ่งทำงานไม่ถึงปีเวรรอบเช้าก็ไม่ได้เอะใจอะไร เขาปฏิบัติหน้าที่ต่อโดยสรุปเอาเองไปต่างๆ นานาโดยไม่ได้บอกซ้อหงส์หรือโทรแจ้งอนุชาญที่ไม่ได้กลับเข้าบ้านตระกูลเชาว์จนคล้ายเป็นเรื่องปกติ สำหรับเรื่องที่อนุชาญไม่กลับเข้าบ้านนั้น…ซ้อหงส์ไม่มีความคิดแม้จะโทรตามอย่างภรรยาควรจะทำ ยิ่งอนุชาญไม่อยู่บ้านสมหวังคนขับรถส่วนตัวก็ยิ่งแสดงอำนาจและปฏิบัติกับเธอได้สะดวกขึ้น ข้อนี้ซ้อหงส์เองก็แอบพึงพอใจไม่น้อย และเกือบ 10 โมงเช้าวันเดียวกัน อนุชา เชาว์ กับ ทนายอำพล โรจน์ชัยนาม ก็ปรากฏตัวขึ้นที่ป้อมยาม
เมื่อสมศักดิ์นำทั้งคู่ไปยังเรื่อนรับรองข้างสระว่ายน้ำตามที่อนุชาแนะนำ แม่บ้านที่พูดไทยไม่ชัดก็นำเครื่องดื่มเข้ามาเสริฟ อนุชาจึงออกคำสั่งอีกคน
“ไปบอกให้ทุกคนในบ้านมารวมกัน อั๊ว!มีเรื่องจะต้องแจ้ง”
แม่บ้านวัยใกล้ 40 ปีแสดงสีหน้าไม่เข้าใจ “ทุ โค เลย หรา คะ นายชา”
“ใช่ทุกๆ คน….รวมทั้งพวกเธอทั้งหมดด้วย” ทนายอำพลเสริม
“คา คา คา….” เธอหน้าซีดขานรับก่อนจะซอยเท้าสั้นๆ เป็นตุ๊กตาไขลานหายไปทางเรื่อนใหญ่
สักพักซ้อหงส์ที่มาพร้อมกับโลม้วนผมเต็มหัวก็เดินหน้าตึงเป็นนายยักษ์ขมูขีเข้ามายืนท้าวสะเอวชี้หน้าอนุชาและทนายอำพลอย่างคนไม่พอใจอย่างแรง
“พวกคุณมีสิทธิ์อะไรไม่ทราบ ถึงเข้ามาวุ่นวายในบ้านของฉัน”
ทนายอำพลชูเอกสารทางราชการให้เห็น “ซ้อครับ ได้โปรดทำตามเราเถอะ ไม่อย่างนั้น…” เมื่อทนายอำพลออกลักษณะเชิงข่มขู่…จากนางยักษ์ขมูขีตัวเป็นๆ ก็กลายเป็นรูปปั้นนางพันธุรัตน์ในบัดดล
“ซ้อ….ทำตามที่ทนายอำพลแจ้งเถอะเรามีเรื่องสำคัญกับทุกคนในบ้านจริงๆ” อนุชาใช้น้ำเสียงระดับทางการทำให้ซ้อหงส์ยิ่งช็อกหนักเข้าไปอีก
“แม้แต่คนสวนเลยใช่ไหม” เธอถามกลับราวจะประชดประชัน
“ครับรวมทั้งคุณหนูวิวกับคุณซันด้วย” ทนายอำพลบอก ทำให้เธอต้องหมุนตัวเดินกลับไปตามทางเดิม และอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงคนในบ้านตระกูลเชาว์เกือบ 10 ชีวิตก็เข้ามารวมตัวกันอยู่ในห้อง สมหวังที่ดูจะกร่างวางอำนาจมากกว่าคนอื่นๆ จึงเอ่ยนำเสียงดัง….
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ นายชาบอกได้ไหม” สมหวังถาม เมื่อสายตาหลายคู่มองมาที่เขาจึงพูดขึ้นอีก “แล้วตาสยามที่หลับอยู่ในห้องต้องให้คนไปปลุกแกด้วยไหม”
“ก็บอกแล้วไงว่าทุกคนไม่มีข้อยกเว้น…ไปปลุกด่วนเลย” ซ้อหงส์กระชากเสียงกระด้าง “ไปซิ!….” และหันไปตวาดคนใช้ 3 – 4 คนที่รวมตัวกันอยู่มุมประตูอีก
“ใน ห้อง ม่าย มี ตา ค่ะ…ม่าย รู้ ปาย ไหน”
“ไม่เป็นไรๆ ถ้าทุกคนพร้อมแล้วผมขอเริ่มเลยแล้วกันจะได้ไม่เสียเวลา” ทนายอำพลตัดบท
“เชิญซ้อนั่งให้สบายๆ ก่อนเถอะ ตาซัน ยายวิว มานั่งข้างๆ อาก็ได้” อนุชากำกับ สมหวังที่ยืนคู่กับซ้อหงส์ถือโอกาสนั่งลงข้างๆ….สายตาไม่สบายใจชำเลืองไปที่ซ้อหงส์เป็นระยะๆ ก่อนจะเงียบก้มหน้าราวกำลังอ่านเกม
“เดี๋ยวก่อน! ถ้าไม่มีเฮียชาญก็เป็นอันว่าการประชุมยังไม่สมบูรณ์ถูกต้องใช่ไหมค่ะ” ซ้อหงส์ทักท้วง
อนุชาอ่านข้อความในโทรศัพท์มือถือสั้นๆ และพยักหน้าบอกทนายอำพล เอกสารแผ่นแรกจึงถูกหยิบออกจากกระเป๋าวางลงต่อหน้า
ซ้อหงส์ดึงมาอ่าน…ไม่ทันไรตาก็เหลือกสะดุ้งพร้อมกับกรีดร้องเสียงหลง เธอโยนตัวทิ้งน้ำหนักไปด้านหลัง โชคดีที่สมหวังคว้าตัวเอาไว้ได้ทัน
“อ๊ากกกกกกกกกกก!…..”
“ซ้อ…..” สมหวังเรียก ขณะที่ทุกคนในห้องต่างช็อก ซันกับวิวได้สติก็วิ่งกลับไปหา
“แม่/แม่”
“ซ้อ…ซ้อครับเกิดอะไรขึ้น” สมหวังถามแต่ซ้อหงส์ยังไม่มีสติที่จะพูดอะไร เมื่อเธอยันตัวเองได้ระดับหนึ่ง สมหวังจึงหยิบเอกสารแผ่นดังกล่าวมาอ่าน…เขาสั่นเทิ้มไปทั้งตัวก่อนใบหน้าจะเปลี่ยนเป็นซีดสลดขาวจนคล้ายกับผีดิบขาดเลือด “ไม่ ไม่ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด……หมาย หมาย แกหายหัวไปไหนวะ”
“เขาไม่อยู่ที่นี่หรอก” อนุชาสวนกลับเร็ว ๆ
“พวกแกแกล้งฉัน พวกแกรวมหัวกลั่นแกล้งฉัน ไม่จริง ไม่จริง” เสียงซ้อหงส์ดังขึ้นอีก ซันรวบโอบเธอไว้ในอ้อมแขนทั้งๆ ที่ยังไม่รู้เรื่อง “อาเฮีย…ไม่มีทาง…ไม่ ไม่…อาเฮียยังไม่ตาย อาเฮียยังไม่ตาย เป็นไปไม่ได้ ฮื้อๆ”
“เกิดอะไรขึ้นกับเขา” สมหวังเผลอตะคอกอนุชา…ใบหน้าซีดๆ เมื่อครู่เปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดราวกับเสือสมิงลอยห่างไม่ถึง 2 เมตร
“นายก็น่าจะรู้ดี” อนุชาพูดทำเอาสมหวังถึงกับหุบปากแทบไม่ทัน ซ้อหงส์หันขวับ เธอผละซันกับวิวออกก่อนจะยืดตัวขยับเข้าไปหยุดในระยะประชิด เมื่อดวงตาประสานดวงตาความในที่พูดไม่ได้ก็บังคับให้ทั้งคู่ได้แต่จ้องหน้ากันอยู่แบบนั้น สักพักทนายอำพลก็หยิบเอกสารอีกแผ่นมาวาง ซ้อหงส์หันกลับไปคว้ามาอ่านเร็วๆ สักพักเธอก็หันมาทุบโต๊ะเสียงดัง…ปัง!…จนคนใช้หลายคนผวากอดกันกลม “อย่ามาเล่นเกมกับฉัน”
อนุชากำลังจะลุกเผชิญหน้าแต่ทนายอำพลก็รั้งแขนเอาไว้
“รู้ใช่ไหมว่าเฮียชาญยังมีลูกอีก 2 คนและต้องเป็นฉันเท่านั้นที่จะเป็นผู้จัดการมรดกแทนในฐานะภรรยาถูกต้องตามกฎหมาย….ไม่ใช่……” ซ้อหงส์จ้องอนุชา อนุชาเองก็ไม่มีท่าทีจะยอมแพ้กระทั้งทนายอำพลต้องหยิบเอกสารอีก 2 แผ่นมาวางให้เห็นอีก
“ผมแค่ทำตามหน้าที่…ไม่ได้กลั่นแกล้งใครทั้งนั้น….” ทนายอำพลพูดพร้อมกับใช้สายตาชี้นำ สมหวังกวาดรวบขึ้นมาอ่านเอง จนแผ่นกระดาษขนาด A. 4 ยับยูยี่คามือ ซ้อหงส์หันไปแย่ง เธอตาเหลือกโพลงก่อนจะทรุดฮวบลงไปกองกับเก้าอี้
“ไม่จริง…….”
“ผล DNA. ฟ้องชัดเจนแล้วครับ ผมไม่อยากให้เรื่องนี้กระทบถึงตัวเด็ก” ทนายอำพลใช้สายตาชี้นำไปยังวิวกับซันที่ยืนสั่นคู่กันจนแม่บ้านต้องดึงไปรวมอยู่ข้างประตู “ได้โปรดเถอะครับซ้อหงส์”
“แค่กระดาษ 2 แผ่นจะบอกว่ายายวิวกับตาซันไม่ใช่ลูกเฮียชาญไม่ได้ งานนี้ฉันฟ้องพวกคุณกลับแน่นอน”
“ใช่!….แล้วเรื่องอะไรต้องอ้างว่าผมเป็นพ่อของคุณหนู พวกคุณอย่าพูดพล่อยๆ…ออกไปจากบ้านผมเดี๋ยวนี้” สมหวังลืมตัวจนอนุชาลุกแสดงตัว
“เมื่อครู่นายว่าบ้านหลังนี้เป็นของใครนะ”
“คุณอนุชา…..” ทนายอำพลดึงให้นั่งลงอีก อนุชาจึงทำตามอย่างว่าง่ายและทนายอำพลก็หยิบกระดาษอีกแผ่นวางลงที่เดิมเป็นลำดับถัดมา
“อะไรกันนักกันหนา” ซ้อหงส์ตวาดพร้อมกับคว้าเอกสารแผ่นสุดท้ายขึ้นมาอ่าน เธอเงียบไปสักครู่ก่อนจะกรี๊ด! “กร๊ด!!!!!!!” ลั่นห้องและสลบไปในที่สุด
“ซ้อ….” สมหวังพุ่งเขย่าเรียก “ซ้อ ครับ….” และแม่ครัวอายุน่าจะเกิน 60 ปีก็เข้าไปหยิบเอกสารแผ่นนั้นไปอ่านเสียเอง
“นาย นายชาญเป็นหมันอย่างนั้นหรือ….” เธออุทาน
“อย่าเสือก……” เปี้ย! สมหวังใช้หลังมือฟาดเข้าใบหน้าอย่างจังจนเธอเซล้มลงไปกองกับพื้น
“แกมันไอ้คนกินบนเรือนขี้รดบนหลังคาและฉันก็รู้เรื่องนี้มานานแล้วด้วย ฮื้อๆ…..ไอ้สมหวังเป็นชู้กับซ้อหงส์มานานแล้ว คราวนี้ละมึงไม่รอดแน่ ๆ ฮื้อๆ”
“หา!….แม่ / คุณแม่”
อนุชาอาศัยช่วงชุลมุนไปดึงซันกับวิวไปไว้หลังตัวเอง…..ซ้อหงส์เริ่มได้สติ ทนายอำพลมองเธอเงียบๆ กระทั้งเห็นแววตากลับมาเป็นปกติจึงได้พูดต่อ
“ก่อนเสียชีวิตคุณอนุชาญขอให้กันตัวคุณซันกับคุณหนูวิวเอาไว้….ขอโทษนะครับผมต้องทำตามกฎหมาย”
ซ้อหงส์ค่อยๆ หันไปทางสมหวังก่อนดวงตาแบบเสือหิวจะลุกโพลงขึ้นมา…. “แกใช่ไหมที่ฆ่าสามีฉัน แกใช่ไหม” เธอเข้าขย้ำคอในขณะที่สมหวังได้แต่ดิ้นทุรนทุรายจนยามที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ต้องเข้าไปแยก
“กูเป็นผัวมึงและไอ้เด็ก 2 คนนั้นก็เป็นลูกกู คิดจะหักหลังรึไง….”
ทุกคนในห้องอุทานต่างคำต่างภาษาพร้อมกับมองไปที่ซ้อหงส์กับสมหวังไม่กระพริบ
“ไอ้บ้า!…..แกมันเลี้ยงไม่เชื่อง ไอ้สารเลว….กูจะฆ่ามึง กูจะฆ่ามึง ฮื้อ ฮื้อ” ซ้อหงส์ผลักสมหวังจนล้มนอนกับพื้นก่อนจะขึ้นค่อมตบตีราวจะฆ่าให้ตาย…..แดดใกล้เที่ยงของวันเสาร์กำลังเปิดเผยหลายอย่างในบ้านตระกูเชาว์ให้หลายคนได้เห็น เส้นทางการเงิน เส้นทางที่ยามเก่าแก่ประจำบ้านตระกูลเชาว์เดินทางเข้า-ออกระหว่างประเทศไทยกับประเทศรัสเชียอยู่ในมือของตำรวจ….แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ละ สวรรค์-นรกไม่มีทางรู้นอกจากหมอดูโง่ๆ ที่บังเอิญเดาได้ถูกต้อง….
……….แสงโสมส่อง อาทิตย์ฉาย นานา……….
……….เผยแผ่ ขยายสาขา มุมมอง………
………..ในเงาสลัว เมามัว หม่นมืดหมอง……….
……….สุดท้ายตรอง ต้องจนใจ ใต้แสงนำ……….
จบ อนุชาย2 บทที่33 ปกรณ์ เชาว์