ผู้หญิงข้ามโลก คิดบวกความสุขในมุมเล็กๆ
ผมรู้จักกับผู้หญิงสูงวัย 2 คน คนหนึ่งอายุ 67 ปี อีกคน 65 ปี พวกเธอผ่านการมีครอบครัวมาแล้วทั้งสิ้น แต่ทั้งคู่ก็ไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องนี้ ปัจจุบันพวกเธออยู่ตัวคนเดียวในต่างประเทศ คนหนึ่งอยู่ซีกโลกใต้ เมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย อีกคนอยู่ขั้วโลกเหนือเมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา คำถามทุกครั้งที่มีโอกาสก็คือ ทำไม? พวกเธอถึงไม่ยอมกลับมาอยู่ประเทศแม่ คนหนึ่งหนีหนาวจากแคนาดาตอนต้นเดือนธันวาคมก่อนจะหนีร้อนกลับประเทศที่เธอเรียกว่าบ้านปลายเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี อีกคนทางซีกโลกใต้ก็หนีจากบางอย่างปลายเดือนเมษายนก่อนจะบินกลับประเทศที่พวกเธอเรียกว่าบ้านต้นเดือนสิงหาคม พวกเธอกลับบ้านทั้งๆ บ้าน 2 หลังที่อยู่ทั้ง 2 ขั้วโลกต่างไม่มีคนให้กลับไปหา เป็นบ้านหลังเล็กๆ ที่แยกตัวออกจากชุมชนเมืองราวกับว่าพวกเธออยากจะหนีจากประเทศแม่เพื่อไปบำเพ็ญศีลภาวนาในป่าเขาเพียงลำพังอย่างนั้น
ใครอยากอ่านเรื่องราวของพวกเธอบ้าง มา! ตาม Timmy มาเลยครับผมจะพยายามแกะ-สะกิดความคิดของพวกเธอให้ได้อ่านกัน
ผู้หญิงข้ามโลก
ต้นปี 2005 ขณะที่ผมมีอายุ 30 ต้นๆ ปัญหาหลายอย่างวิ่งเข้าใส่จนแทบเอาตัวไม่รอด ผมลาออกจากงานที่ทำมา 10 กว่าปีแล้วบินสู่ประเทศออสเตรเลียเพื่อหวังจะพักผ่อนยาวๆ สัก 3 เดือนกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมเรียกเธอว่าแม่จนติดปากมาตั้งแต่วัยเด็ก
และเดือนกรกฎาคม 2015 ผมก็ตัดสินใจบินข้ามโลกไปหาเธออีกคนที่ผมเรียกเธอว่าป้าที่ขั้วโลกเหนือ ประเทศแคนาดาเพื่อฟื้นความทรงจำบางอย่าง ผมได้ไปนอนในบ้านเล็กกลางป่าสนติดแนวชายแดนประเทศสหรัฐอเมริกา 2 คืนกับ 2 วัน และเป็น 2 คืน 2 วันที่จิตใจผมสงบนิ่งที่สุดในรอบหลายปี
เราคุยกันได้ทุกเรื่องแม้กระทั้งเรื่องลับๆ ส่วนตัว ข้อนี้ผมเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมาจึงไม่เป็นกำแพงมากั้นระหว่างพวกเรา แม่อยู่ขั้วโลกใต้ ป้าอยู่ขั้วโลกเหนือ ผมอยู่แนวเส้นศูนย์สูตร ทุกปีแม่กับป้าก็จะสลับกันมาเยี่ยมแผ่นดินแม่ปีละครั้ง ครั้งละ 2 ถึง 4 เดือนเป็นอย่างมาก สุดท้ายก็จะกลับไปประเทศที่พวกเธอเรียกว่าบ้านที่ไม่มีคนรอ ด้วยสังขารและด้วยวัยที่ย่างเข้าสู่วัยชรา ผมมีคำถามมากมายที่อยากจะถามพวกเธอ และผมก็ได้โอกาสอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ดังนี้ครับ
- ทำไมแม่กับป้าถึงไม่ยอมกลับมาอยู่ประเทศแม่เป็นการถาวรในเมื่อวัยและสังขารไม่ค่อยเอื้ออำนวยในการเดินทางเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
ตอบ : เพราะบ้านพวกเธออากาศดีกว่า รัฐบาลประเทศที่พวกเธอไปอาศัยก็ให้การดูแลดีกว่าประเทศแม่… เออ!….ถ้าเป็นผมก็จะเลือกแบบพวกเธออะนะ
- เวลากลับบ้านที่มีเพียงตัวเองอยู่คนเดียว ไม่เหงาบ้างรึ?
ตอบ : จะมีเวลาไหนมาเหงาเพราะพวกฉันต้องทำงานทุกวัน
ถาม : วัยขนาดนี้แล้วยังต้องทำงานอีกรึ
ตอบ : ฝรั่งเขาจะทำงานจนกว่าจะทำไม่ไหวโน้นละ เขาเรียกว่า Work For Life ป้าทำงานอยู่ในฟาร์ม เก็บผลไม้เมืองหนาว เก็บเห็ดที่ออกตลอดทั้งปี เพื่อนเยอะแยะสนุกจะตาย ส่วนแม่ทำงานบ้านให้ฝรั่ง ไม่มีเวลาเหงาเลยสักนิด
เออ…เท่าที่ผมไปอยู่ด้วยเคยเห็นก็เป็นจริงอย่างที่พวกเธอว่าอะนะ อยู่ต่างประเทศความเป็นส่วนตัวสูง ฝรั่งเองก็อยู่ในลักษณะไม่ต่างจากพวกเธอ อีกประการอาจจะเป็นเพราะวัฒนธรรมฝรั่งได้ครอบงำพวกเธอเข้าแล้วโดยสมบูรณ์แบบ
- เวลากลับประเทศแม่ทีไร ทำไมต้องขนอาหาร-ผัก-ผลไม้ไปซะเยอะแยะขนาดนั้น
ตอบ : เพราะผัก-ผลไม้จากประเทศแม่ที่มีขายอยู่ที่โน้นราคาแพงมาก จนซื้อกินไม่ไหวทั้งๆ ที่ประเทศแม่หาเก็บกินได้โดยไม่ต้องซื้อขาย
- เวลาอยู่คนเดียวมีสักช่วงเวลาไหมที่คิดถึงบ้าน
ตอบ : พวกฉันก็อยู่บ้านอยู่แล้วทำไมต้องคิดถึงด้วยละ
ถาม : ผมใช้คำผิด มีสักช่วงเวลาไหมที่คิดถึงญาติพี่-น้องที่อยู่ประเทศแม่นะ
ตอบ : ก็คิดถึงปกติ แต่ชีวิตแม่กับป้าเคยอยู่ตัวคนเดียวมาตั้งแต่สาวๆ มันเลยชินและชอบที่จะอยู่คนเดียวสบายตัวสบายใจมากกว่า
ถาม : หากตัวเองป่วยหรือเป็นไรขึ้นมาจะทำอย่างไร?
ตอบ : โอ้ย Timmy ถ้าพวกฉันป่วยก็โทรเข้าศูนย์สิ!… รถจากโรงพยาบาลก็มารับตัวถึงบ้าน โรงพยาบาลที่นี้เขาดูแลเราดีมากๆ ไม่เห็นจะต้องกลัวอะไรเลย ถ้าพวกฉันกลับไปอยู่ประเทศแม่ สิ! คำถามนี้ถึงต้องคิดหนัก…เออใช่ๆ…ข้อนี้ใช่เลย
- แล้วเวลาทำงานไม่ไหว หาเงินไม่ได้ ค่าใช้จ่ายจะเอามาจากไหน?
ตอบ : เราทำงานเสียภาษีให้รัฐบาลประเทศที่มาอาศัยทั้งชีวิต ถึงเวลาที่ทำงานไม่ไหว-รัฐบาลจะกลับมาดูแลเราเอง ฝรั่งเขาคิดแบบนี้กันเธอเข้าใจไหม?
- เงินที่รัฐบาลจ่ายให้เพียงพอหรือเปล่าครับ ประเทศแม่เขาให้คนแก่เดือนละ 500 บาทเอง
ตอบ : รัฐบาลประเทศฉันอยู่นะเขามีข้อมูลพื้นฐานหมดทุกอย่าง และเขาก็คำนวณค่าใช้จ่าย – ค่าเช่าบ้าน – ค่าน้ำ – ค่าไฟ – ค่าอาหารและค่าพื้นฐานอื่นๆ ของชีวิตเสร็จสรรพ เพียงพอแบบสบายๆ นั้นแหละ ถ้าไม่เอาไปซื้อของพิเศษอย่างอื่นนะ
- ผมขอถามแม่กับป้าอีกข้อหนึ่ง หากวันหนึ่งข้างหน้ารัฐบาลประเทศแม่มีการบริหารจัดการกับเงินภาษีของประชาชนในแบบประเทศที่อาศัยอยู่ แม่กับป้าจะกลับไปอยู่ประเทศแม่หรือไม่ครับ
พวกนางนิ่งด้วยกันทั้งคู่ก่อนจะเป็นป้าตอบขึ้นมาก่อน : อันที่จริงประเทศไหนๆ ก็เทียบประเทศแม่ไม่ได้หรอกนะ ถ้ารัฐบาลประเทศแม่สามารถบริหารจัดการกับเงินภาษีของประชาชนได้จริงๆ ป้าก็จะกลับไปอยู่ประเทศแม่นั้นแหละ ไม่มีใครอยากมาอยู่ประเทศอื่นหรอก
แต่แม่ว่ารัฐบาลประเทศแม่ชาตินี้ทั้งชาติคงทำแบบประเทศที่แม่อาศัยอยู่ไม่ได้หรอก เพราะต่างฝ่ายต่างเห็นแก่ตัว ศีลธรรมแต่ปาก ให้ดิ้นตายก็เป็นไปไม่ได้ แม่เลยไม่คิดถึงเรื่องนี้
ใช่!…ป้าคิดว่าแม่เธอพูดถูกนะ จะเป็นจะตายป้าก็ขอตายอยู่ประเทศที่ป้าอาศัยดีกว่า…ตายแล้วตายเลยไม่มีใครมาห่วงสบายใจดี
แม่ก็คิดแบบป้านี้แหละ ที่นี่จะฝรั่ง เอเชีย แอฟริกา จะผิวเหลือง ดำ ขาว เขาจะอยู่แบบเท่าเทียมกันหมด มีชีวิตที่ไม่ต่างกันมากเหมือนประเทศแม่ ทุกคนตายงานศพก็เหมือนๆ กัน ตายแล้วตายเลยไม่มีคนมาห่วงแบบประเทศเรา แม่ก็เลือกที่จะตายอยู่ที่นี่….
และในระหว่างต้นเดือนสิงหาคม แม่ก็บินจากขั้วโลกใต้มาหาป้าที่ขั้วโลกเหนือเพื่อมาเก็บบลูเบอร์รี่เป็นงานอดิเรก แสงแดดหลัง 6 โมงเย็นยังเด่นชัดราวกับบ่ายๆ ของประเทศแม่ก็สาดกระทบแผ่นหลังของหญิงสูงวัยที่กำลังก้มๆ เงยๆ อยู่ในแถวบลูเบอร์รี่อย่างไม่มีท่าทีว่าจะเหน็ดเหนื่อย ในขณะที่ผมต้องขอตัวออกมานั่งพักเพราะร่างกายบอกไม่ไหวจริงๆ ผมมองพวกเธอด้วยความชื่นชมในข้อนี้แต่ก็อดตั้งคำถามไม่ได้ว่า ทำไมพวกเธอถึงต้องทำงานหนักอย่างนี้ทุกๆ วัน พวกเธอคิดถึงอะไรอยู่ขณะที่มือกวัดสะกิดลูกบลูเบอร์รี่จากพวงที่ยังไม่สุกทั้งหมดลงในกระแตะพลาสติกสีเทาขุ่นใบนั้น เสียงคุย เสียงหัวเราะที่เกิดขึ้นเป็นระยะๆ คือความสุขที่พวกเธอได้รับหรือเป็นแค่วิธีระบายความเหน็ดเหนื่อยเท่านั้น หรืออาจจะเป็นเพราะผมติดกับวัฒนธรรมของประเทศแม่มากเกินไปเลยมองพวกเธอในมุมที่ผมเคยชิน เออ…อาจจะเป็นไปได้เพราะหลายครั้งที่ผมเข้าไปซื้อของในซุปเปอร์มาเกตุทั้งในแวนคูเวอร์และซิดนีย์ภาพชาย-หญิงฝรั่งสูงวัยเข้าไปทำงานแพ็คของมีให้เห็นจนชินตา ผิดกับภาพชาย-หญิงสูงวัยในประเทศแม่ลิบลับที่วันๆ เอาแต่นั่งๆ นอนๆ ผมคงต้องศึกษาชีวิต-วัฒนธรรมของคนที่นี่ให้กระจ่างซะก่อนจึงจะอ่านพวกเธอทั้งคู่ได้อย่างเหมาะสมและตรงประเด็น นี่ถ้าให้คนในประเทศแม่มาเห็นวิธีดำเนินชีวิตของพวกเธอ พวกเขาคงมอบรางวัลหญิงแกร่งแห่งปีให้เป็นแน่แท้
วันต่อมาพวกเธอก็จะทำงานแบบเดียวกันนี้ซ้ำๆ กระทั้งหมดฤดูบลูเบอร์รี่ป้าก็เข้าฟาร์มเห็ด ส่วนแม่ก็บินกลับขั้วโลกใต้ไปรับจ้างปัด-กวาดบ้านฝรั่งอย่างเดิมเสมือนชีวิตของ “ผู้หญิงข้ามโลก” คือชีวิตที่เกิดมาเพื่อพวกเธอโดยแท้….
คิดบวก ความสุขในมุมเล็กๆ ตอน “ผู้หญิงข้ามโลก” เพียงต้องการอยากสะท้อน แนวทางการบริหารงานของภาครัฐที่จะส่งผลต่อความคิด วัฒนธรรมและความเป็นอยู่ของคนในสังคมเท่านั้น มิได้มีเจตนาเป็นอย่างอื่น ถ้าคนมองคนให้เป็นคน ไม่ใช่ควาย ไม่ใช่ทาส สังคมก็จะผาสุกโดยอัตโนมัติ แต่ถ้าเมื่อไรยังมองคนเป็นลูกน้อง เป็นบ่าว เป็นนายอยู่แบบนี้สังคมก็เพียงรอวันล่มสลายเท่านั้น เพราะสันดานดิบของคนที่เรียกว่า “มนุษย์” ต่างถวิลหาความเท่าเทียมเป็นหลักใหญ่….เข้าใจตรงกันนะครับ
……แค่ลืมตาก็ขื่นขม……
……ขออีกสัก 10 นาที……
…….1 2 3 4 ที่ระทม……
……เพื่อชื่นชมรำลึกภาพ……
……แผ่นดินแม่ที่แดงฉาน……
“จากฉันกับนางฟ้าตัวกลมตอนที่ 34”