อูคาชิ เซดะ นินจาเลือดซามูไร Part2 สมรภูมิปักษา10
สมรภูมิปักษา10
แหกค่ายนรก
วันที่ 20 กรกฎาคม 1943 ในป่าดิบชื้นจังหวัดกาญจนบุรี
สายลมแห่งป่าดิบชื้นนิ่งสนิทผิดวิสัยกับหลายๆ คืน ทำให้บรรยากาศรอบๆ ค่ายกักกันต้องเพิ่มความระแวดระวังกับทุกๆ เสียงที่เกิดขึ้น แต่สำหรับหน่วยงานก่อสร้างทางรถไฟแล้ว นรกบนพื้นดินก็ยังคงเป็นนรกบนดินอยู่นั้นเอง ความอยุติธรรมยังคงดำเนินต่อไป ผิดกับสวรรค์ที่ยังคงหยุดพักร้อนตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม ปี 1941 จนกระทั้งวันนี้ยังไม่มีกำหนดจะเปิดทวงถามความยุติธรรมให้กับเหล่าเชลยสงครามง่ายๆ…อาจจะจนกว่าสงครามแห่งศักดิ์ศรีจะยุติลงแล้วกระมังเหล่านางฟ้าและเทวดาถึงจะดาหน้าแสดงตน…ชิ!…ว่าเป็นทูตผู้พิทักษ์คอยปกปักรักษาผู้บริสุทธิ์ (ที่รอดชีวิต)…น่าขันสิ้นดี
เวลาตามทางเดินของดวงดาวที่เชลยสงครามคนหนึ่งเฝ้าสังเกตมาตั้งแต่แสงสุดท้ายหมดลง บอกว่าใกล้จะเข้าสู่เที่ยงคืนเข้าไปทุกขณะ แสงไฟสีเหลืองจางๆ จากคบเพลิงที่กระจายเอาไว้เป็นจุดๆ ยาวเป็นเส้นขนานไปตามรางเหล็กจนหายลับไปกับมุมโค้งของเหลี่ยมเขาที่ดำทะมึนเบื้องหน้า ทุกสรรพสิ่งเวลานี้ยังปกติ แต่แรงกดดันที่เห็นเพื่อนเชลยค่อยๆ ทยอยตายไปทีละคนสองคน ประกอบกับต้องกรำงานอย่างหนัก จนไม่มีเวลาพักผ่อนกำลังจะทำให้หลายคนเป็นบ้า มันน่าเศร้ากับบทเรียนราคาแพงที่ตีค่า 1 ชีวิต เท่ากับ 1 หมอนหนุนรางรถไฟสายนี้…ฮึๆ…เป็นความอึดอัดที่ถูกลมจากข้างในดันออกมาเป็นเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความขมขื่น…
สายน้ำยังคงไหลเอื่อยๆ นานๆ ครั้งถึงจะได้ยินเสียงนกกลางคืนร้องแทรกขึ้น แต่มันก็ตามมาพร้อมเสียงปืนที่กระหน่ำสาดกระสุนใส่อย่างไม่ปรานี…หรือแม้แต่เสียงใบไม้ร่วงก็ไม่เว้น ทหารญี่ปุ่นที่ยืนคุมการทำงานในคืนนี้น้อยกว่าปกติตามที่โคทาโร่คาดไว้ไม่ผิด อาจจะเป็นเพราะบางส่วนได้ไปรอรับการมาเยี่ยมของพอเอกโตโจ หรืออาจจะภารกิจอื่นที่สำคัญมากกว่าในตัวจังหวัดกาญจนบุรี เสียงเคาะแผ่นเหล็กดังกังวานไกล จนแทบจะปลุกป่าทั้งป่าที่กำลังหลับใหลให้สะดุ้งตื่น โมกรีบลุกขึ้นจากที่นอนใบไม้ที่ใช้ปูแทนเสื่อ หัวใจเต้นแรงขึ้นเมื่อดวงดาวสีอำพันบอกเวลาของแผนการหลบหนีใกล้เข้ามา เขาลุกขึ้นคว้าจอบที่วางอยู่ข้างๆเดินตรงไปยังตำแหน่งงานที่รับผิดชอบ เขาเริ่มสับลงไปตามที่ต่างๆ เพื่อให้เกิดเสียง แต่ไม่ได้หวังผลในงานตรงหน้า หางตาก็เฝ้าระวังไปที่ทหารญี่ปุ่น 2 คน ที่ยืนคุมในระยะ 6 เมตร เขาเริ่มขยับตำแหน่งเข้าสู่มุมที่มืดกว่า แต่พยายามไม่ให้เสียงจอบที่สับลงดินขาดห้วนจนเป็นเหตุแห่งความสงสัยขณะเดียวกันเมื่อมีเสียงทำงานของเพื่อนเข้ามาแทนที เขาก็เริ่มลดเสียงสับให้เบาลง เบาลงพลางขยับเข้าใกล้เพื่อนเชลยต่างชาติ 2 คน…ทุกอย่างเป็นไปตามแผน เขาทบทวนเส้นทางหลบหนีที่โคทาโร่เขียนให้รอบแล้วรอบเล่าจนมั่นใจ
“iuytedsiaW” เสียงกระซิบจากเพื่อนเชลยต่างชาติดังขึ้นเบาๆ หลังสังเกตเห็นเขานิ่งไปนาน โมกฟังไม่รู้เรื่อง เขาส่ายหน้าพร้อมกับโกยเศษหินใส่กระบะช้าๆ เหมือนต้องการตอบเพื่อนที่ร่วมในชะตากรรมเดียวกันว่าไม่มีอะไร…
(อภัยด้วยเพื่อน กูพาพวกมึงไปไม่ได้จริงๆ) โมกคิดพร้อมๆ กับเหลือบมองเพื่อนทั้ง 2 อีกครั้ง ก่อนจะยกกระบะหินเดินไปตามทางแคบๆ แต่สายตาก็ยังคงเฝ้าสำรวจทางหนีทีไล่อย่างระแวดระวัง เขาเทหินลงไปในแม่น้ำช้าๆ หางตาก็ออกสำรวจแนวโผไปยังแนวป่าทางทิศตะวันออก
(ได้เวลาแล้วไอ้โมก) เขามองดวงดาวที่สุกสว่างในคืนเดือนมืดทางทิศใต้ มันกำลังบอกเวลานัดหมายว่ามาถึงแล้ว (มันช่างเป็นใจกับกูนัก) เขาคิดและเดินถือกระบะกลับมาที่เดิม พร้อมกับหมายตาช่องทางหลบหนีเอาไว้อย่างคราวๆ เสียงเกลี่ยหินของเพื่อนเชลยต่างชาติเงียบลง พวกเขาหายไปแล้ว โมกพอเดาคำพูดของพวกเขาได้ในนาทีนั้นเอง
(พวกเขาจะชวนเราหนีไปด้วยอย่างนั้นหรือ)โมกครุ่นคิดพลางหยิบจอบขึ้นเกลี่ยหินรอจังหวะไปเรื่อยๆ เวลานี้ใจเขาเต้นเร็วและแรงขึ้น
จ๋อม!!แจ๋ม!!
ปังๆๆ “เชลยหลบหนี” ปังๆๆ เสียงปืนรัวติดต่อกันหลายนัดตามมาด้วยเสียงตะโกนเป็นภาษาญี่ปุ่นดังกังวานไปทั้งบริเวณ ทำให้ทหารที่ยืนคุมอยู่หลายคนต่างวิ่งกรูไปยังทิศต้นเสียง โมกวางจอบในมืออย่างช้าๆ เขาวิ่งหายไปตามเส้นทางที่ได้วางเอาไว้ทางทิศตะวันออก เสียงปืนเสียงโวยวายของทหารญี่ปุ่นยังคงดังไล่หลังมา เขาวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตเมื่อเสียงปืนช่วยอำพลางเสียงฝีเท้าย้ำใบไม้ แต่เมื่อเงียบเขาก็หยุดหมอบราบไปกับพื้น
“ไอ้โมก…มึงต้องรอด” เขาพึมพำกับสถานการณ์ที่กำลังบีบคั้น พร้อมกับปรับสายตาเพื่อให้ชินกับความมืดก่อนจะสำรวจแนวโผไปข้างหน้าตามแผนที่ที่เขียนขึ้นในหัว เสียงปืนนำทางเงียบหายไปนานจนรอต่อไปไม่ไหว เขาเริ่มคลานและทำตัวไม่ต่างอะไรกับเสือโคร่งย่างตะปบเหยื่อ…และมันก็ได้ผล สักพักเสียงปืนที่ค่ายกักกันก็ดังขึ้นอีกหลายนัด เขาลุกขึ้นวิ่งต่อไปข้างหน้าอย่างไม่คิดชีวิตอีกเป็นครั้งที่ 2
“มึงต้องรอด…มึงต้องรอดไอ้โมก” เขาพึมพำเสียงลอดไรฟันไปพร้อมกับทุกๆฝีก้าวที่เร่งให้เร็วขึ้น เร็วขึ้นก่อนจะหยุดนิ่งอีกเมื่อเสียงปืนเงียบลง แต่ตอนนี้เขาอยู่ห่างจากแนวอันตรายมาได้ไกลพอสมควรแล้ว เสียงฝีเท้าที่วิ่งสลับเดินไปเรื่อยๆ จึงไม่เป็นผลมากนัก อิสรภาพที่ริบรี่กำลังสว่างและชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เส้นทางหลบหนีถูกทบทวนเป็นระยะๆ สายตาก็อ่านเป้าหมายต่อไปสลับกับดวงดาวที่ใช้แทนเข็มทิศไปเรื่อยๆ
(เรารอดตายแน่แล้ว)โมกหยุดคิดเพื่อปรับสายตาอีกเป็นครั้งที่ 2 อาหารมื้อเย็นที่เขาพยายามกินให้มากที่สุด ช่วยให้มีแรงพอที่จะวิ่งต่อไปได้อีกหลายกิโลเมตร แสงดาวนับล้านบนท้องฟ้าต่างพร้อมใจกันกระพริบแทนเสียงปรบมือ เขารู้สึกขอบคุณในที แต่ก็มีเพียงดวงดาวที่สุกสว่างสีอำพันเพียงดวงเดียวเท่านั้นที่จะช่วยเขาให้ออกจากป่าแห่งนี้ได้ “ขอบคุณ” เขาพึมพำและยิ้มให้มันอย่างมีความหวังอีกครั้ง
“รอพี่นะ จันทร์หอม รอพ่อก่อนนะเรไร…” เขาพึมพำกับตัวเองก่อนจะวิ่งต่อไปไม่หยุด แต่ทันใดนั้นแสงไฟจากหน้ารถก็ทำให้เขาต้องรีบซ่อนตัวตามสัญชาตญาณ ในสถานการณ์เช่นนี้คงมีแต่รถยนต์ของทหารญี่ปุ่นเท่านั้นที่จะแล่นเข้ามาในเขตป่าลึก ไม่นานนักแสงไฟก็โผล่พ้นมุมโค้งของถนนจากทางลาดชัน เขานับจำนวนได้ 10 คัน หัวใจกำลังทำงานอย่างหนัก จนกลัวว่าเสียงเต้นระทึกจะดังไปถึงหูเหล่าทหารที่นั่งมาบนรถนั้น…
(คุณพระ คุณเจ้าหากลูกยังพอมีบุญเก่าเหลืออยู่บ้าง ขอเจอหน้าลูกเมียสักครั้งเถอะเจ้าประคุณ) เขาภาวนาพร้อมกับยกมือไหว้ท่วมหัว…และเหมือนจะสมปรารถนาเมื่อแสงไฟจากรถคันแรกเคลื่อนผ่านไป เขากลั้นลมหายใจสุดชีวิต แต่ยังเหลืออีก 9 คัน
(หากช้าอีก 10 นาที คงไม่มีโอกาสหลบหนีอย่างแน่นอน) โมกครุ่นคิดเมื่อเห็นทหารที่นั่งมาเต็มรถ…เหลืออีก 8 คัน…อีก 7 คัน…อีก 6 คัน…อีก 5 คัน
(เราคงต้องตายหากช้าไปกว่านี้) โมกคิดพลางมองลอดใบไม้ที่ใช้พรางตัว (เหลืออีก 2 คัน เหลืออีก 2 คัน) โมกพยายามเร่งแต่ทันใดนั้น
…ปังๆๆ…ปังๆๆ…เสียงปืนและลูกกระสุนก็เฉี่ยวหัวเขาจนแทบจะถากเอาเส้นผมติดไปด้วย เขาตกใจพอๆ กับเห็นความตายมายืนรออยู่ตรงหน้า เมื่อขบวนรถ 2 คันสุดท้ายหยุดลง
“มีเชลยหนีค่าย…” เสียงตะโกนบอกเป็นภาษาญี่ป่นดังลั่น
“ไปเอาตัวมันมา…และตามล่าพวกที่เหลืออย่าให้หนีรอดไปได้” คำสั่งที่แข็งกร้าวดังก้องไปทั้งป่า แต่โมกก็ฟังไม่รู้เรื่องอยู่ดี
(คุณพระ คุณเจ้า เจ้าป่า เจ้าเขาช่วยลูกด้วย) โมกภาวนาพร้อมกับเกร็งมิให้ขาสั่น…เสียงทหารกระโดดลงจากรถ แต่เขาก็ยังนอนหมอบก้มหน้านิ่งอยู่กับพื้น ลมหายใจแทบหยุดเมื่อทหารญี่ปุ่นคนหนึ่งเหยียบเข้าที่ขา ความเจ็บปวดกำลังทำให้เขาไม่สามารถควบคุมมันได้…
“เอาตัวมันไปขึ้นรถ…มันหนีมากี่คน” เสียงทหารญี่ปุ่นถาม
“ข้าเห็นมันสองคน อีกคนหนึ่งโดนกระสุนตายตั้งแต่นัดแรกแล้วครับท่าน” แต่แล้วเสียงตะโกนเป็นภาษาไทยในสำเนียงที่โมกไม่มีวันลืมก็ดังแทรกพวกเขา “มีอีกคน มันชื่อโมก มันชื่อไอ้โมก มันหนีมาก่อนพวกกู”
“มันพูดอะไร” เสียงนายทหารถามเป็นภาษาญี่ปุ่น…โชดดีที่พวกเขาไม่เข้าใจ
“กูบอกแล้วไง ยังมีอีกคน มันชื่อโมก มันชื่อโมก” เสียงตะโกนบอกเป็นภาษาไทยเสียงดังขึ้นไปอีก
“ไอ้บัดซบ! มึงคิดว่าจะหนีรอดได้อย่างนั้นหรือ ไอ้ลูกหมา” เสียงตบหน้าและเสียงตะคอกเป็นภาษาที่โมกฟังไม่รู้เรื่องก็ดังขึ้นชุดใหญ่ ลมหายใจของเขาหยุดไปนานกว่า 2 นาที นายทหารที่เหยียบขาเขาอยู่เดินผ่านไป…โมกถึงคลายความกลัวลงได้ระดับหนึ่ง
(ขอบคุณ คุณพระ คุณเจ้าที่คุ้มครองลูก) เขาค่อยๆ แง้มใบไม้เพื่อหวังเพียงจะเห็นหน้าคนไทยคนนั้น ทั้งๆ ที่มั่นใจอยู่แล้วว่าเจ้าของสำเนียงที่ไม่กินเส้นนั้นคือใคร
“พี่ดำ!” เขากัดฟันแน่น แต่ก็ยังเก็บอาการไม่ให้พลุ่งพล่านออกมา
…ปังๆๆ…เสียงปืนกระชากวิญญาณดังขึ้นอีก คราวนี้มันเฉี่ยวหัวเขาใกล้มากขึ้นไปอีก
“ไปดูชิ…ข้าเห็นพุ่มไม้ไหวๆ มาจากทางนั้น”
(เรไร พ่อคงไม่รอดแน่แล้ว) เหมือนเขาจะยอมแพ้…โมกนิ่งพร้อมกับหลับตายอมรับชะตากรรม
(ฆ่ากูซะตรงนี้เลย ไอ้พวกนรก) โมกครุ่นคิดอย่างคนยอมแพ้…และพร้อมจะปลิดชีพตัวเองเมื่อพวกมันเข้ามาแตะต้องตัวเขา
“หมูป่า…หมู่ป่าฮาๆ” เสียงตะโกนบอกพร้อมกับเสียงหัวเราะดังขึ้น แต่โมกก็ยังฟังไม่รู้เรื่อง
“ไปกันได้สักที เสียเวลามามากแล้ว…ลากมันขึ้นรถ” เสียงออกคำสั่งดังมาจากด้านหน้า พวกมันช่วยกันดันหมูป่าตัวเขืองขึ้นไปแล้วหันมาขู่บังคับชายชื่อดำอีก “ขึ้นไป!…”
“มันจะเป็นอาหารเช้าที่อร่อยที่สุดของพวกเรา…ฮา ฮา ฮา” เสียงพูดคุยเสียงหัวเราะแต่ก็ยังดังสลับกับเสียงของชายที่ชื่อดำ ที่ยังไม่ยอมง่ายๆ
“ฟังกูไม้รู้เรื่องรึไง ไอ้พวกโง่ ยังมีอีกคนที่มันหนีไป ไอ้โมก ไอ้โมก…กูบอกว่าไอ้โมกหนีไป” ดำตะโกนสุดเสียง แต่ดูเหมือนทหารญี่ปุ่นจะฟังไม่รู้เรื่องอยู่ดี
ปังๆ…กระสุนปืน 2 นัด มาจากนายทหารที่นั่งอยู่ด้านหน้า เจาะเข้าที่กลางหน้าผากของดำพอดี เขาล้มหงายหลังลงไปนอนดิ้นเป็นปลาถูกทุบหัวกับพื้น
“ขอข้าบ้าง…ปังๆ” เสียงปืนจากทหารที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุด ซ้ำตามไปติดๆ จนร่างของเขาอาบโชกไปด้วยเลือดที่มองไม่เห็น ในที่สุดดำก็แน่นิ่ง
(พี่ดำ…)โมกอุทาน…ความรู้สึกของคนไทยด้วยกันหวนกลับมาบาดลึกเข้าไปข้างใน…
“ไปต่อได้สักที” สิ้นเสียงคำสั่ง ทหารญี่ปุ่นก็กระโดดขึ้นรถ แสงไฟนำทางกำลังพาพวกเขาเคลื่อนจากไปอย่างช้าๆ…มันเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับโมก…แต่เป็นร่องรอยความโชคร้ายของผู้ที่เสมือนพี่ชายของเขา
“นี้คือสงคราม นี้คือสงคราม…ฮาๆๆ” เสียงหัวเราะด้วยความสะใจค่อยๆ ไกลออกไป โมกปล่อยลมหายใจออกมาอย่างระมัดระวัง ขาค่อยๆ ลุกขึ้นเดินเข้าไปหาดำ ทันทีที่ปลอดภัย
“ฉัน อโหสิกรรมให้ พี่อย่าตามจองเวรฉันอีกเลยนะ” เขาพึมพำพลางเอามือลูบเปลือกตาที่เปิดค้างให้หลับ “ลาก่อนพี่” เขาพูดก่อนจะสำรวจตำแหน่งของดาวนำทางอีกครั้ง มันย้ายค่อนลงไปทางทิศตะวันตกเจียนจะลับยอดไม้ เขาต้องเร่งออกจากป่าไปยังทิศตรงข้ามให้เร็วที่สุด ก่อนมันละลับหายจนเป็นเหตุให้แผนการหลบหนีในครั้งนี้ล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า
โมกพาร่างที่เต็มไปด้วยเหงื่อไคลวิ่งไปเรื่อยๆ จนกระทั้งมาถึงลำธารเล็กๆ ที่แยกออกมาจากลำน้ำแควน้อย เขานึกถึงแผนที่ที่โคทาโร่ได้เขียนให้อย่างไม่แน่ใจนัก
……….
ตำแหน่งดวงดาวบอกใกล้จะ 03.00 น.
“โคทาโร่…ข้าไม่แน่ใจ…” โมกนิ่งคิด…สักพัก “ทางซ้าย ไม่!…ขวา…หากเลือกผิดมีหวังต้องกลับไปยังค่ายนรกนั้นอีกแน่ๆ” เขาพูดเร็วจนสั่นรั่ว “โคทาโร่…”
(หากไม่แน่ใจก็จงใช้ใบไม้วางลงบนผิวน้ำ เพราะกระแสน้ำในลำธารจะไม่มีวันนิ่งอย่างเช่นตาเห็น ทิศทวนกระแสก็จะเป็นทางรอดสู่จุดนัดพบของเรา) โมกนึกบางคำพูดของโคทาขึ้นมา เขายิ้มให้กับความโง่เขลาของตัวเองก่อนจะเด็ดใบไม้วางลงบนผิวน้ำที่เห็นว่านิ่งสนิท ไม่นานมันก็ค่อยๆ ลอยห่างออกไป
“ขอบคุณ โคทาโร่” รอยยิ้มที่ฉายออกมาเสมือนประตูแห่งความหวังกำลังเปิดตอนรับ
“พี่รอดแล้วจันทร์หอม…พ่อรอดตายแล้วเรไร”
……….
ดวงดาวที่สุกสว่างนับล้านในคืนข้างแรม เวลานี้มันย้ายตำแหน่งจากเที่ยงคืนต่ำลงและดวงดาวที่เขาใช้นำทางก็ได้ลับหายไปกับยอดไม้แล้วเช่นกัน แต่โมกยังยิ้มได้…และเหมือนจะขอบคุณมันเป็นที่สุด…เพราะเวลานี้มีเพียงลำน้ำเท่านั้นที่จะนำพาเขาไปยังสะพานคอนกรีตที่ญี่ปุ่นพึ่งจะสร้างเสร็จใหม่ๆ…และที่นั้นก็คือจุดนัดพบของพวกเขา
……….
แสงเรืองรองส่องประกายที่ปลายฟ้า
บอกเวลาว่าวันใหม่ใกล้มาถึง
เป็นแสงแรกแทรกเสียงร้องก้องรำพึง
ว่าคิดถึงนงคราญที่ห่างมา
……….