อูคาชิ เซดะ นินจาเลือดซามูไร Part2 สมรภูมิปักษา6
สมรภูมิปักษา6
เงาปิศาจ
“จันทร์หอม…จันทร์หอม” เสียงเรียกเบาๆ ของชายหญิงดังสลับกันไปมาที่เชิงบันได ในขณะที่จันทร์หอมกำลังจะดับไฟเข้านอน
“ใคร ใครนะ” นางแข็งใจตะโกนถามทั้งๆ ที่ยังหวาดระแวง แต่ก็บังคับน้ำเสียงให้เข้มแข็งสมกับเป็นหัวหน้าครอบครัวในยามที่สามีถูกจับไปเป็นเชลยสงคราม…
“ข้าเอง ขามกับมยุรี เรามีเรื่องสำคัญจะบอก” เสียงตอบกลับมาทำให้ลมหายใจของนางโล่งเบาขึ้น นางละแขนออกจากหัวของลูกสาวที่ใช้หนุนต่างหมอนจนหลับและกระชับผ้าห่มให้บุตรสาวก่อนจะคว้าตะเตียงน้ำมันเดินออกมาจากห้อง
“มีอะไรพี่…มาค่ำๆ มืดๆ” จันทร์หอมถามด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งติดคอ แต่ก็พยายามจะเข้มแข็งให้มากที่สุดเช่นเคย ทั้ง 3 นั่งลงกับพื้นระเบียง มยุรีสาวม่ายวัยเดียวกับนางรีบกระเถิบเข้าไปใกล้ๆจนเกือบชิดเหมือนจะบอกอะไรบางอย่างที่เป็นความลับ แต่ขามก็แทรกขึ้นก่อน
“พวกข้ามีเรื่องสำคัญบอก” เขาเว้นจังหวะและขยับเข้าใกล้ๆทั้ง 2 อีก จันทร์หอมรู้สึกเย็นวาบขึ้นทันที แต่นางก็พยายามจิกมือกับแผ่นพื้นเอาไว้แน่น
“นายทหารที่ชื่อ มินา…มินา โ มโต เอ่อ โค…โร ที่พวกเจ้าสนิทสนมกันอยู่นั้นแหละ” ขามพูดช้าๆ ยิ่งทำให้จันทร์หอมรู้สึกโหวงเหวงหน่วงลึกเข้าไปอีก นางสูดอากาศเข้าจนเต็มปอดค้างไว้ ก่อนจะผ่อนมันออกมาช้าๆ “นาย มินาโมโต โคทาโร่…มีอะไรหรือ พี่ขาม”
“ให้ฉันเล่าดีกว่า…เอ็งต้องทำใจดีไว้นะคือเรารู้มาว่าที่นายโคทาโร่ไม่พยายามจะช่วยโมกนั้นก็เพราะว่า…เอ่อ เพราะว่าเขาแอบชอบเอ็งอยู่…”
“หา!…อะไรนะพี่…ไม่…เป็นไปไม่ได้” จันทร์หอมอุทานปฏิเสธ
“เขาไม่ช่วยผัวเอ็งตั้งแต่แรก ก็เพราะเขาหวังในตัวเอ็ง…” ขามเสริมต่อในความหมายเดียวกัน เวลานี้ความรู้สึกหวิวๆ หวาดๆ…กำลังจะทำให้นางควบคุมตัวเองไม่ได้
“พรุ่งนี้นายโคทาโร่ อะไรนั้น จะไปตามผัวเอ็งที่กาญจนบุรี ข้าเกรงว่า…เขาจะไม่ปล่อยให้ไอ้โมกกลับมา” มยุรีพูดอย่างเกรงๆในที แต่ก็ใช้อีกมือโอบกระชับจันทร์หอมเอาไว้
“ไม่…โคทาโร่ ไม่ใช่คนอย่างนั้น เขาจะไปช่วยพี่โมก” จันทร์รีบแก้ต่างตามที่ตนเองรู้สึก
“เราก็ภาวนาขอให้มันเป็นอย่างนั้น…เอ็งต้องใจเย็นๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก คืนนี้มยุรีจะมานอนเป็นเพื่อน” ขามบอกพลางใช้มือดับแสงตะเกียง “ข้ารู้สึกเหมือนมีคนกำลังจ้องเราอยู่” ขามพูดต่อในท่าทีหวาดๆ ตาก็มองซ้ายทีขวาที จนจันทร์หอมและมยุรีที่นั่งอยู่ติดกันพลอยเป็นไปด้าย
“จริงหรือพี่ขาม” มยุรีถามเสียงสั่น
“อย่าถามอะไรตอนนี้” ขามกระซิบ “พวกเอ็งเข้านอนได้แล้ว ข้าก็จะรีบกลับเช่นกัน” แต่จันทร์หอมก็ยังนิ่ง…นางเริ่มกลัวแต่เรื่องราวของโคทาโร่ก็แวบเข้ามาในหัวจนไม่อาจหยุดคิดได้ง่ายๆ
“เจ้าไม่จำเป็นต้องเชื่อพวกข้าตอนนี้ มยุรีรีบพาจันทร์หอมเข้าห้องได้แล้ว ข้าจะได้ไปเสียที” ขามกำชับอย่างไม่ไว้ใจกับความมืด
“เออ…ระวังตัวด้วยนะพี่” มยุรีบอกส่งและหันไปสะกิดจันทร์หอมอีกคน “จันทร์หอม…”
“ขอบคุณนะพี่” จันทร์หอมพูดและขามก็เร่งเดินลงบันไดไปเงียบๆ เขาหายไปตามทางเดินเล็กๆเลียบแม่น้ำเพชรบุรี…สักครู่เสียงวิ่งด้วยความเร็วสูงก็ฟ้องทั้ง 2 ให้ต้องรีบเข้าไปภายในห้องนอนด้วยความตื่นกลัวพอกัน…
……….
อีกมุมหนึ่ง
#หึๆ หูเบา…ใช้ได้ทีเดียว หึๆ ฮาๆ…# น้ำเสียงและภาษาที่ไม่คุ้นหูดังออกมาจากความมืด มันแผ่วเบาเสียจนคล้ายเป็นส่วนหนึ่งของเสียงลำไผ่เบียดกอ “ฮึๆ…” แต่เสียงหัวเราะครั้งหลังสุดมันชัดเจนโดดออกมาจากทุกๆ สรรพเสียง…เหมือนจะดังขึ้นที่ปลายต้นไม้สูงที่กำลังสั่นไหวทางทิศตะวันตก “ฮาๆ…” และค่อยๆ ดังไกลออกไปเรื่อยๆ…ฮาๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
……….
เช้ามืดวันต่อมา
ที่ค่ายทหารญี่ปุ่นจังหวัดเพชรบุรี มินาโมโต โคทาโร่ พาความสับสนออกจากร่างที่ยังนั่งจมอยู่กับกองเอกสารตรงหน้า เขาไม่ลืมที่พรางร่างที่เพิ่งแยกออกมาเดินออกไปหยุดนิ่งที่ริมระเบียงชั้น 2 อย่างคนกำลังคิดไม่ตก จนแววตากังวลตกอยู่ที่พื้น สักครู่ร่างพรางพร้อมกับดาบคาตานะ มูโตก็ลอยสูง เขาโผข้ามหลังคาโรงครัว กดปลายเท้าส่งต่อที่สันหลังคาอาคารเรือนเพาะชำและอีกครั้งที่ยอดต้นมะปราง ไล่ไปตามยอดไม้จนลับหายออกไปนอกค่าย
(ข้าคิดถึงบ้าน คิดถึงคาโกคุมะ คิดถึงซากุระ คิดถึงเพลงดาบซามูไรที่เทียวบรรเลงรอบแล้วรอบเล่าใต้เงาต้นสนมซึ คิดถึงเจ้ากิเบะ ม้าสีน้ำตาลทองตัวใหญ่ ที่ข้าเห็นน้ำตาของมันครั้งแรกในวันสุดท้ายที่ข้าจากมา ท่านพ่อข้าคิดถึงท่าน) มินาโมโต โคทาโร่ยืนพร่ำพรรณนาผ่านเสียงสื่อ ในขณะที่ใจกำลังสับสนหน่วงลึกเจ็บช้ำๆอยู่กับผู้หญิงที่ชื่อจันทร์หอม ฝ่าเท้าติดนิ่งท้าสายลมอยู่เหนือยอดตาลโตนดสูง เขาปล่อยให้คืนร่างกลับดังเดิมเพื่อเฝ้ารับแสงอรุณทางทิศตะวันออก มันอาจจะเป็นวันสุดท้ายที่จะได้อยู่ท่วมกลางดงตาลแห่งนี้ มรดกจากบรรพบุรุษนินจาช่วยพยุงร่างที่หนักอึ้งของเขาบนใบตาลที่แผ่รูปพัดได้อย่างสบาย…
ไม่นานนักแสงแรกที่โหยหาก็ไต่ระดับขึ้นมาจากเงามืด มันสว่างขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาชิโนบิที่ใช้นำทางออกมาจากค่ายทหารก็กระพริบถี่ๆติดกันหลายครั้งเพื่อปรับลดแสงสีเขียวอมเหลืองเข้าสู่เฉดปกติ เขาทิ้งจังหวะรอจนแสงสีแดงส้มลามกรีบเมฆ มันค่อยๆเปลี่ยน เป็นสีอำพันสาดลำแสงดุจท่ออากาศจากสวรรค์มากระทบกับตัวเขา เสียงนกกาที่จับคอนหลับอยู่ตามกิ่งไม้ใกล้ๆ เริ่มส่งเสียงจ้อกแจ้กจอแจ ประหนึ่งพวกมันกำลังส่งสัญญาณปลุกกันและกัน สักพักปีกทั้ง 2 ข้างที่ปกคลุมไปด้วยขนบางๆ ก็เริ่มขยับ พวกมันโปกสะบัดไปมาหลายครั้งเหมือนสะลัดน้ำค้างในคืนหนาวให้หมด ก่อนตัวใหญ่ที่เป็นหัวหน้าฝูงจะออกบินนำล้อแสงแรกและตัวอื่นๆก็ล่อนถลาตามออกไปติดๆ บางตัวเหินไต่ระดับสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ก่อนจะทิ้งดิ่งพุ่งสู่แรงโน้มถ่วง มันสะบัดปีกพรึบเดียวทิศทางสู่ความตายก็เปลี่ยนเหินขึ้นสู่ลมบน…และสิ่งนั้นเองที่เพิ่มความเจ็บปวดให้กับซามูไรหนุ่มจากคาโกคุมะให้เจ็บปวดช้ำยิ่งขึ้น
“ความสุขของพวกเจ้าช่างหาได้ง่ายซะเหลือเกิน” โคทาโร่พึมพำ เขาดึงดาบคาตานะที่เหน็บอยู่ข้างลำตัวขึ้นมาพิจารณาตราสัญลักษณ์ประจำตระกูลที่ด้ามจับประสานเข้ากับดวงอาทิตย์ที่กำลังลอยพ้นยอดไม้ ยิ่งสูงเท่าไรมันก็ยิ่งทำให้ตราสัญลักษณ์สะท้อนความทรงจำกับตราสัญลักษณ์อีกดวงที่ลอยเด่นอยู่เหนือผนังด้านหน้าประตูทางเข้าห้องลับที่ปราสาทมินาโมโตได้ชัดเจนมากขึ้น เขาสูดลมหายใจเข้าสู่ปอดจนฝ่าเท้าที่แตะใบตาลลอยสูงขึ้นและมันก็ค่อยๆ ลดระดับลงสู่จุดเดิมเมื่อลมหายใจถูกปล่อยทิ้งออกไป
(คืนสุดท้ายที่บ้านมินาโมโต ข้าเห็นแสงจากดวงโคมสะท้อนปีกทั้งสองข้างของนกกระเรียนขยับขึ้นลงอยู่กลางดวงอาทิตย์สีแดง จนคล้ายมันจะกลับมีชีวิต) เขาขบคิดเทียบกับภาพฝูงนกกับดวงอาทิตย์ในเวลานี้ “คงจะเป็นเพราะเจ้าซินะ ที่ได้นำทางข้าสู่มหาสงครามเอเชียบูรพาที่นี้ และนำทางให้ข้ามาพบกับความรัก…หึๆ ความรักกลางสนามรบเฉกเช่นเดียวกับท่านพ่อ…” เขาพึมพำหลุดเป็นเสียงเบาๆ…
(ข้าไม่มีอะไรมาจากคาโกคุมะ นอกจากมูโต เจ้าเป็นสิ่งเดียวที่ใช้แทนความคิดถึง เป็นที่พึ่งทางใจยามเมื่อข้าสับสน และเป็นสิ่งเดียวที่ข้าใช้แทนเข็มทิศชีวิตชี้นำอนาคตที่ข้าไม่เห็นทางออก) เขาเทียวลูบไล้ที่ด้ามจับหนังปลากระเบนไปมา ก่อนจะเก็บมันเข้าที่เดิมทันทีที่ดวงอาทิตย์ลอยสูงขึ้น
(กระเรียนจากบ้านมินาโมโตแห่งเมืองคาโกคุมะ ทางทิศเหนือของ กรุงเกียวโต ประเทศญี่ปุ่นกำลังสยายปีกทั้งสองข้างโบยบินล้อกับแสงแรกเหนือดงตาลเมืองเพชรบุรีทางทิศใต้ของกรุงเทพฯประเทศไทย ข้าช่างเป็นความเหมือนที่แตกต่าง…ดุจมองเหรียญประจำตระกูลผ่านกระจกเงาโดยแท้) โคทาโร่คิดไปเรื่อย แต่สิ่งที่อยู่ในใจมาตลอด 2 คืนก็สำแดงฤทธิ์
“…จันทร์หอมเจ้ารู้ไหมว่าทุกเสียงเต้นของหัวใจ มีแต่ชื่อของเจ้า…มันเทียวเรียกชื่อเจ้ามากกว่า 90 ครั้งต่อนาที” โคทาโร่ตะโกนจนสุดกลั้น เหมือนอยากจะให้อีกคนในบ้านที่เขาเห็นเพียงหลังคาสีสนิมที่ขอบทุ่งหลังแนวกอไผ่ที่ไกลสุดสายตาได้ยิน “ข้าเจอนางช้าไป…ท่านพ่อข้าเจอนางช้าไปจริงๆ”
………..
อาบอรุณรุ่งลามข้ามแผ่นฟ้า
ช่อมาลาชบาบางกางรับแสง
หมู่ภมรมวลผีเสื้อเมื่อแมลง
ขยับปีกจ้องแสงท้าถลาลม
ชวนเจ้าเอยหวังเชยชิดเสน่หา
ปองมาลาหากลิ่นแก้วตามเกสร
หวานน้ำผึ่งหวังกลีบลิ้มรสลอง
พลางเพียงจองมองมาลีที่หมายเชย
.………
“พิษรักใยทำให้ข้าทรมานเช่นนี้ จันทร์หอม…”
……….
“ความรัก……………….สังหารขุนศึก
มิใช่…………………..สงคราม 10 ทิศ”
มินาโมโต โคทาโร่
……….
ความหวังสุดท้าย
“พ่อนาย…พ่อนาย…ไม่ไปได้ไหม” เสียงเด็กหญิงวัย 6 ขวบยืนถือลูกจันทร์สีเหลืองทอง วิงวอนนายทหารญี่ปุ่นที่ลานโล่งหน้าค่ายทหารด้วยดวงตาที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา เธอพยายามจะยิ้มในขณะที่ริมฝีปากแนบสนิทเป็นเส้นตรง มินาโมโต โคทาโร่ทรุดนั่งข้างๆ พร้อมกับดึงเธอเข้ามากอดแทนคำปลอบโยนที่ยังนึกไม่ออก เขาอุ้มเธอและส่งยิ้มในแบบของเขา เธอเบะหน้าเหมือนจะระบายสิ่งที่อัดอั้นออกมา เพียงเท่านั้นมือของจันทร์หอมก็กระชากตัวเธอกลับคืน
“แม่ไม่อนุญาตให้ร้องไห้อีกแล้ว เรไร…พ่อจะต้องกลับมา” จันทร์หอมดุเสียงแข็ง แต่โคทาโร่ก็ดูออกว่านางกำลังพยายามจะเข้มแข็งให้ลูกสาวเห็น หรืออาจจะกระทบกระเทียบใครบางคน ซึ่งอาจจะเป็นเขาในเวลานี้
(อะนะทะโอะ โอฌิเทะอิมะซึ…ข้าอยากจะเอ่ยคำๆ นี้กับเจ้า) โคทาโร่คิดอย่างนั้นและจงใจส่งมันผ่านสายตาให้ไปถึงจันทร์หอม นางจ้องเขานิ่งๆ แต่คนที่สะดุ้งหน้าเสียจนดูหมองลงไปกลับเป็นหมอไอซึเกะ เรียวตะ ที่ยืนอยู่คู่กับฮาราชิ จิโระอยู่ด้านหลัง
“ข้า…ข้าจะดูแลนางให้เอง คุณชาย…ไม่ต้องเป็น เป็นห่วง” ไอซึเกะ เรียวตะ รีบรับปากและหันหน้าหนีไปทางอื่น โคทาโร่พยักหน้าขอบคุณ… “เที่ยวนี้ ข้าให้ฮาราชิ จิโระไปเป็นเพื่อน” ไอซึเกะ เรียวตะพูดต่อ และก็หลบสายตาของโคทาโร่ไปอีกเช่นเคย
“ข้าขอไปเองแหละ…” จิโระหักหน้าเรียวตะพลางมองเพื่อนทั้ง 2 สลับกันไปมา อย่างไม่เข้าใจในท่าที
(คุณชายจะทำให้ข้าหลับ…) เรียวตะพยายามเบี่ยงเบนความรู้สึกที่แท้จริงเพื่อมิให้โคทาโร่รู้ทัน
(ข้าจะไม่ทำอย่างนั้น เพียงแต่ข้ากำลังสงสัยในความผิดหวังที่ฉายออกมาของเจ้า)
(คุณชายแปลความหมายของมันผิดแล้วละ) เรียวตะโต้กลับ พร้อมกับฝืนยิ้มในแบบของเขาให้เพื่อน
(ฝากดูแลนาง…ที่เสมือนหัวใจของข้าด้วย) โคทาโร่สั่งด้วยเสียงสื่อ เขาหันหลังเดินไปขึ้นรถขนเสบียงที่จอดพร้อมอยู่แล้ว โดยไม่รู้เลยว่าคำพูดนั้นได้เล่นงานเรียวตะเข้าให้แล้วจริงๆ…
(ข้าเป็นชายและวันนี้ข้าก็เป็นทหารขององค์จักรพรรดิ ข้าไม่มีสิทธิ์ในความรู้สึกนี้…ข้าไม่มีสิทธิ์ในความรู้สึกเยี่ยงนี้) เรียวตะเบือนหน้าหลบมุมเพื่อสกัดกั้นความรู้สึกของตัวเองให้อยู่…
“นาย…โค ทา โร่ ช่วยพี่โมกด้วย” จันทร์หอมหยิบลูกจันทร์สีเหลืองทองในมือของเรไร แล้วเดินรี่เข้าไปส่งให้ “พี่โมก คือทุกอย่างของฉัน…” นางพูดต่อและเว้นวรรคถ่ายเทความรู้สึกจากดวงตาสู่ดวงตาอีกคู่ “ได้โปรดอย่าฆ่าพี่โมก…อย่าฆ่าลมหายใจของฉัน…โคทาโร่” เป็นเสียงสุดท้ายที่ติดเอาความเจ็บปวดมาด้วย…โคทาโร่ปิดตาสู่สีดำอยู่นาน…มันบาดลึกเข้าไปข้างในจนเกินจะทนไหวแล้วเวลานี้
………..
ฝุ่นดินคลุ้งฟุ้งดั่งม่านพรางกั้นหลัง
เห็นเงารางร่างของนางค่อยจางหาย
เสียงของเจ้าเฝ้าหลอนหลอกบอกมิคลาย
ใจสลายมลายลับไปกับเงา
โอ้เชยแท้แม่ดอกแรกตะแบกป่า
ช่อมาลามาเด่นบานยามใบร่วง
พร่างชูช่อชมพู-ขาวพราวเป็นพวง
เปลี่ยนอมม่วงสรวลเป็นเศร้ายามเจ้าโรย
……….
“ความรัก สังหารขุนศึก โคทาโร่ มิใช่ สงคราม 10 ทิศ…ทำใจให้ลืมนางซะ” ฮาราชิ จิโระพูดจริงจังกว่าทุกวัน…และเป็นครั้งแรกที่ดวงตาของเขาฉายแววความฉลาดเฉียบแหลมออกมาให้เพื่อนเห็น โคทาโร่นิ่ง ความรู้สึกหน่วงลึกยังติดแน่นอยู่ข้างใน จนยากที่จะทำใจได้…
(ได้โปรดอย่างฆ่าพี่โมก) เป็นเสียงวิงวอนของจันทร์หอมที่แวบเข้าถึง “ไม่!…ข้าจะไม่ฉวยโอกาสนั้น…เขาเป็นเพื่อนข้าเป็นเพื่อนที่แสนซื่อ…เขามิได้ทำอะไรผิด…”
……….
“มิตรแท้…………………….มิใช่ทอง
ที่ต้อง……………………….พิสูจน์ไฟ”
โมก ธารารักษ์
……….
## จบ สมรภูมิปักษา6 ##