ฉันกับนางฟ้าตัวกลม2

ฉันกับนางฟ้าตัวกลม ตอนที่2

สวนเฟิร์นสันเขา ฉันกับนางฟ้าตัวกลม ตอนที่2 นิยายอ่านฟรีจบเรื่อง

ฉันกับนางฟ้าตัวกลม ตอนที่2

ระหว่างทางบนถนนฟาร์เซอร์ (Fraser Highway) ที่มุ่งหน้าสู่แลงเลย์(Langley) แดดแรกสีวะนิลากำลังระบายแผ่นดินแคนาดาไปทีละส่วน มันทำให้ผมตื่นตาตืนใจราวกำลังมองภาพวาดของจิตกรเลื่องชื่อที่แขวนโชว์บนผนัง

“อาเจ่…ทำไมป่าสนเยอะจัง ขนาดยังไม่ออกจากเมืองนะ” ผมถามพลางกระชับเสื้อแจ๊คเก๊ตใหญ่โคล่งให้แนบกับตัว “หนาวมากๆ…น่าจะเอาผ้าพันคอมาด้วย”

“ฮาๆๆๆ ไอ้บ้าฉานร้อน…จะเอาเสื้อฉานไปใส่ไหมเธอ” อาเจ่ตัวกลมหัวเราะรัวลั่นห้องโดยสาร “บักหล่าคำแพง ก้อนเท่าแคงเอื้อย! นั้นไม่ใช่ป่าสนธรรมชาติอย่างเดียวนะเธอ มีบ้านคนแทรกอยู่เต็มไปหมด อย่างนั้นๆ” เธอชี้นิ้วป้อมนำสายตา “เห็นทางเข้าเล็กๆนั้นไหม ข้างในคือสถานีตำรวจนะเธอ หรือสุดถนนทางทิศเหนือโน้นก็เป็นป่าสนโรงพยาบาล วันหลังฉันจะพาไปดู” อาเจ่ตัวกลมอธิบาย นิ้วป้อมๆไม่อยู่นิ่ง บางครั้งความเร็วของเธอแทบจะทำให้ผมเอาดวงตาซื่อๆ มาทิ้งที่นี้ “เราจะแวะไปรับแม่ทิมมี่กับป้าจักกี้ก่อนนะ”

“บ้านป้าจักกี้อยู่ไกลไหม?”

“2 ชั่วโมง แม่เธอไปพักกับยายจักกี้แถวๆ แลงเลย์ (Langley) นะเธอ ฉันบอกให้ยายต้อยอยู่บ้านฉันแกก็ไม่ยอม” อาเจ่ตัวกลมบ่น สีหน้าผิดหวังไล่ไปกับความเร็วที่เธอควบคุมคู่กับป้ายบอกที่เกาะกลางและไหล่ทางบางช่วง “ขับรถที่นี้เธอจะขับเร็วเกินที่กำกับไว้บนป้ายไม่ได้นะเธอ ไม่งั้นจะมีจดหมายค่าปรับสูงลิ่วส่งตรงถึงห้องนอน” อาเจ่ตัวกลมจิปากเบาๆ แบบเดียวกับคนหงุดหงิด

“โดนมาละซี้!” ผมตั้งใจลากคำสุดท้ายทะยานสู่ดวงดาวและทำเสียงดิกๆ ล้ออีก

“ไม่ใช่ฉาน…สามีโว้ย! ฮา ฮา หลังๆ โดนฉานบ่น เลยไม่กล้าละ”

ขออธิบายก่อน อันที่จริงแม่ต้อยไม่ใช่แม่จริงๆ ของผมนะครับ เธอเป็นเพื่อนแม่นะ ไปไหนมาไหนเธอก็มักจะหิ้วผมไปด้วย (ถ้าผมว่าง) ไม่ว่าจะเป็น ออสเตรเลีย หรือ แคนาดา Trip นี้ก็เช่นกัน ปกติแม่ต้อยจะเลี้ยงหลานให้หลานสาว อ้าว! น่าจะเรียกว่าเลี้ยงเหลนให้หลานสาวมากกว่า หลานแกชื่อแองจี้เป็นฝรั่งออสเตรเลียย้ายมาอยู่แวนคูเวอร์ หลายปีละ บ้านแองจี้อยู่แถวๆ สแควมิสซ์ (Squamish) ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของแวคูเวอร์ ถ้าเทียบกับกรุงเทพฯ ก็น่าจะเป็นบางกะปิกับนครปฐมประมาณนั้น ด้วยธรรมชาติของเด็กฝรั่งออกดื้อๆ สักหน่อย แม่ต้อยเลยขอแองจี้พักร้อนเพื่อมาเก็บบลูเบอร์รี่ 1 เดือนคือเดือนกรกฎาคมของทุกๆ ปีเป็นการพักผ่อนไปในตัว แต่ประเด็นที่ลากตัวผมมาสมทบในคราวนี้อดสงสัยไม่ได้ที่แม่ต้อยหวังจะใช้แรงงานผมหรือเปล่าน่า! แอบคิดนะครับ ถ้าแกรู้ สงสัยผมต้องได้อยู่แวนคูเวอร์ยาวๆ แน่นอน

ผมเพลินกับบ้านในฟาร์มและทุ่งโล่งจรดแนวป่าสน ทุ่งแล้วทุ่งเล่า จนอาเจ่ตัวกลมแทรก “นั้นนะเธอคือทุ่งบลูเบอร์รี่ทั้งหมดเลยนะ มันจะออกผลปีละครั้งคือเดือนกรกฎาคมกับสิงหาคม 2 เดือน…ทิมมี่รู้ไหม?” เธอพูดเบาลง ขณะที่สายตาของผมได้ข้ามทุ่งบลูเบอร์รี่ที่เธอพึ่งบอกสู่แนวเขาป่าสนทึมๆ เชิงเขาไปแล้ว แดดสีวะนิลากำลังทำให้ผมลุ่มหลง ถึงขนาดรักเลยละ คนใจง่ายอะนะ

กระนั้น “หึ!” ผมกึ่งตอบกึ่งปัดความรำคาญ จนอาเจ่ตัวกลมตาเขียวปั๊ด แยกเขี่ยวใส่ราวจะให้ผมคิดว่าเธอคือแดร๊กคูลา…แต่นี้มันแมงมันตัวอ้วนๆต่างหาก “ทิมมี่นะ…สนใจฉันหน่อย” เธอลากคำสุดท้ายยาวปี้ดเฉียดทะลุหลังคารถ

“เจ่ว่าอะไรนะ….” ผมแกล้งเบลอ ขณะเดียวกันก็เผลอซีดปากไปกับภาพทุกๆ มุมที่กำลังดำเนินอยู่

“เห็นไหมเธอไม่สนใจฉานเลย ทิมมี่อ่า”

“เปล่าๆ…ว่าต่อเลยเจ่” อันที่จริงผมก็อยากรู้เรื่องของบลูเบอร์รี่อยู่ไม่น้อย เพราะเกิดจากท้องพ่อท้องแม่เคยกินไอ้ผลไม้สีดำๆ ก็เพียงครั้ง หรือ 2 ครั้ง ต้นมันถึงจะเคยผ่านตาในเว็บไซต์อยู่บ้าง แต่มันก็เป็นแค่รูปภาพกับข้อมูลลวกๆ ตอนอยู่เมืองไทยผมยังเข้าใจว่า แรงงานที่ไปเก็บบลูเบอร์รี่ต้องหิ้วตระกล้าห่อข้าวห่อน้ำขึ้นไปเก็บบนเขาเหมือนกับเก็บเห็ด เก็บหน่อไม้ป่าบ้านเราซะด้วยซ้ำ…

“บักหล่าคำแพง…2 เดือนเนี้ยนะ บางคนถึงกับลาหยุดงานมาเก็บบลูเบอร์รี่อย่างเอาเป็นเอาตายเลยนะ” คล้ายจะอวดนิดๆ นะอาเจ่ของผมนะ

“ขนาดนั้นเลยรึ” ผมถามกลับแบบคนไม่เชื่อ

“ลาหยุดที่นี้ก็ได้เงินเดือนนะเธอ แบบฉานนี้ไง ลาหยุด 1 เดือนเงินที่ Walmart ฉันก็ได้เหมือนเดิม ถ้าฉันมาเก็บบลูเบอร์รี่ ฉันก็ได้อีก เงินสดไม่ต้องจ่ายภาษี 2 ต่อใครจะไม่เอาว่าจริงไหม”

“อื้อ ก็จริงอะนะ…แต่มันจะคุ้มรึ”

“โอ้ยยยยบักหล่าเอ้ย…วันละ 100-200 ดอลล่าร์ใครจะไม่เอา (ตอนนั้น 1 ดอลล่าร์แคนาดาเท่ากับ 25.65 บาท) บางคนเก่งๆ ได้ 300 400 500 ดอลฯ ก็มีนะเธอ”

“ฮู้…ก็ประมาณ 2600-5000 บาทต้นๆ ต่อวันนะซิ”….ผมพูดแอบตาโตนิดๆ “จริงๆ เหรอ”

“จริงสิเธอ อยู่ที่นี้ถ้าขยันเงินหาได้ทั้งปีแหละ หมดบลูเบอร์รี่ ก็เข้าฟาร์มเห็ด หรือไม่ก็ย้ายเมืองไปเก็บลูกแบรี่ สตอร์เบอร์รี่ แอปเปิล เชอร์รี่ และอะไรรี่ๆ ทั้งปีอะเธอ” อาเจ่ตัวกลมพูดเชิงกล่อมให้เคลิ้มตาม ผมพยักหน้าตึงๆตื่นๆ รถยนต์สีขาวผ่านสี่แยกซุปเปอร์มาเกตสีแดงขนาดกลางบนถนน 200St จากตรงนั้นไม่ถึง 50 เมตรก็เลี้ยวซ้ายเข้าถนน 24 Ave. ผ่านร้านพิซซ่าของคนอินเดียไม่ถึง 100 เมตรก็จะเจอป้ายสีขาวขนาด 2 เมตรคูณ 2 เมตรเขียนด้วยอักษรภาษาอังกฤษหวัดๆ ว่า “สวนเฟิร์นสันเขา” (Fern Ridge Park) ตั้งอยู่ใต้เงาต้นสนโดยมีไม้ใบคล้ายๆ ต้นไทรเกาหลีปลูกแทนรั้วเป็นทางยาวลึกเข้าไปจนสุดโค้งบ้านสีขาว อาเจ่จึงเอ่ยขึ้นอีก “หมู่บ้านที่ยายจักกี้อยู่ เป็นหมู่บ้านสำหรับคนแก่โดยเฉพาะนะเธอ หมู่บ้านนี้จะเป็นบ้านรถทั้งหมด” ก็จริงอย่างอาเจ่บอก เพราะขณะที่รถกำลังเคลื่อนผ่านช้าๆบ้านทุกหลังจะมีล้อเป็นเอกลักษณ์ ขนาดก็ประมาณน้องๆ รถบัสแดงบ้านเรา แต่เป็นรถบัสที่ถูกออกแบบให้มีระเบียง ห้องน้ำ ห้องนอน ห้องครัว รับแขก นั่งเล่น เก็บของ ตากผ้าโดยมีหลังคาใสๆ คลุ่มกันหิมะอยู่ด้านบน

“บ้านที่นี้หลังละเท่าไรอาเจ่” ผมถามขณะที่รถกำลังเลี้ยวด้วยมุมแคบๆ อ้อมต้นสนสูง

“มีหลายราคาบักหลาเอ้ย! ตั้งแต่หมื่นเหรียญ สองหมื่นเหรียญ 3 หมื่นเหรียญแล้วแต่จะมีเงิน พอเราซื้อรัฐบาลก็จะใช้รถมาลากไปวางจุดที่เขากำหนดให้จอด”

“อ้าว!…ถ้าแบบนี้ก็ไม่มีกรรมสิทธิ์บนที่ดินอะดิ” ผมถามตรงๆ

“บักหล่าคำแพงก้อนเท่าแคงเอื้อย…บ้านทุกหลัง ตึกทุกตึกในแวนคูเวอร์ บางโซนหรืออาจจะทั้งมณรัฐบริติชโคลัมเบียไม่ได้กรรมสิทธิ์บนที่ดินนะเธอ รัฐบาลแคนาดาจะเก็บค่าเช่าเป็นรายเดือน”

“ถ้าเป็นแบบนี้ ซื้อบ้านก็จะได้เฉพาะบ้านเหนือพื้นดินนะซิ”

“ใช่ๆ ซื้อบ้านขายบ้านที่นี้จะได้เฉพาะตัวบ้านเท่านั้นนะเธอ ส่วนที่ดินต้องจ่ายเป็นค่าเช่าให้รัฐบาลคล้ายๆ กับค่าน้ำ ค่าไฟฟ้าแหละ” ผมอึ้ง สมองก็คิดวนสำรวจบ้านทุกๆ หลังที่เห็น (มิน่าละบ้านฝรั่งส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยมีใครสร้างรั้ว) อาเจ่บอก ถ้าใครสร้างรั้วล้อมที่ดินเยอะขนาดไหน ก็ต้องจ่ายค่าเช่ามากขึ้นเท่านั้น แต่ถ้าปล่อยโล่งๆ รัฐบาลก็จะเก็บค่าเช่าเฉพาะบริเวณบ้าน “อ้อ…” ผมถึงบางอ้อขณะที่รถเลี้ยวเข้าไปจอดหน้าบ้านรถหลังย่อมๆ ใต้เงากำแพงต้นสนที่ปิดฟ้าทางทิศเหนือเกือบ 80 เปอร์เซ็นต์

สวนเฟิร์นสันเขา

“ยายต้อย ยายจั๊กกี้เอ้ยลูกชายแกมาถึงแล้วนะ” อาเจ่ตัวกลมแหกปากดังลั่นระดับ 8 หลอดตั้งแต่ยังไม่ก้าวขาสั้นๆ ลงจากรถ

“ต้ายๆ หลานทิมมี่มาถึงแล้ว อุ้ย มา มา เข้าบ้านก่อน” เสียงป้าจักกี้แหลมเล็กจนแสบแก้วหูดังขึ้นก่อนประตูจะเปิด ไม่นานหญิงวัยค่อนดึกใบหน้าขาวอวบอิ่มยิ้มแป้นๆ เป็นเอกลักษณ์ก็ชะโงกหน้าออกมาหา โดยมีหญิงวัยไล่เลี่ยงกันทำลับๆ ล่อๆ อยู่ด้านหลัง

“เหนื่อยไหม” แม่ต้อยถาม ผมเข้าสวมกอดป้าจักกี้ก่อนจะต่อด้วยเธอผู้อบอุ่นคนนั้น

“ไม่หรอกนอนบนเครื่องอิ่มละ เมื่อวานเครื่องบินดีเลย์ตั้ง 3 ชั่วโมง…ที่ฮ่องกงนะโคตรเบื่อเลย”

“แหมมมมม!…น่าจะปล่อยมันทิ้งไว้ที่สนามบินซะให้เข็ด” อาเจ่ตัวกลมยังเคืองเรื่องเมื่อวานไม่หาย…แต่กล้วยเบรกแตกกว่า 10 กิโลกรัมที่เตรียมไปก็ทำให้เธอเงียบได้หลายวัน…

“ไป ไป ไป สายละเดี๋ยวพ่อไอ้เบ๊บจะถามหา” อาเจ่ออกคำสั่งเร็วๆ ประมาณไล่ต้อน

“ฮาๆ ใช่ๆ ไปๆ เอาน้ำ เอากระเป๋าห่อข้าวมายายต้อย แม่เธอห่อพิชซ่าให้ด้วยนะ” ป้าจักกี้พูดไปหัวเราะไป ขณะลากสัมภาระตัวเองไปกับพื้น “พ่อไอ้เบ๊บ ฮา ฮ่า ฮ่า”

ตอนแรกผมก็ยังมึนๆ งงๆ กับมุขคนแก่ แต่หลายวันเข้าถึงรู้ว่าป้าจักกี้กับพ่อไอ้เบ๊บแขกอินเดียเจ้าของฟาร์มบลูเบอร์รี่เป็นไม้เบื่อไม้เมากัน…ตอนต่อไปผมรับประกันว่าเราจะถึงฟาร์มบลูเบอร์รี่แน่นอน…สำหรับตอนนี้ผม Timmy Buto รายงานจาก “สวนเฟิร์นสันเขา” (Fern Ridge Park) แลงเลย์ (Langley) แวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา เจอกันตอนต่อไป เร็วๆ นี้ครับผม

(Visited 14 times, 1 visits today)