หลอน ภวังค์ ภาพ ๑ คิดบวกความสุขในมุมเล็กๆ
หลอน ภวังค์ ภาพ ๑
“วันนี้วันเสาร์ ทำงานครึ่งวัน+ 2 ชั่วโมง โอ้ย!…ชีวิตทำไมมันเหนื่อยอย่างนี้…ปิดออฟฟิตเปิดแอร์นอนสัก 2 ชั่วโมงค่อยกลับบ้านดีกว่า….เอาแม่งโซฟารับแขกสีเทาๆ นี้แหละวะ….นอนสบายชิบหาย…แต่ทำไมอินทีเรียต้องบังคับให้กูต้องนอนหันหัวไปทางทิศตะวันตกด้วยเนี้ย ทิศของคนตายชัดๆ โอ้ย! ไม่ไหวแล้วปวดหัว…ชั่งเถอะ กูไม่ถือ…..อ้า! นอนกลางวันมันสบายดีจริงๆ เล้ยยยย”
Timmy มันหลับละ….เปิดแอร์-เปิดไฟดาวไล้ท์สีเหลืองอ่อนๆ ทิ้งไว้ซะด้วย น่าอิจฉาชะมัด…เอาละๆ คิดบวก ความสุขในมุมเล็กๆ ตอน “หลอนภวังค์-ภาพ ๑” จะเป็นอย่างไรต่อ
มา!….ตามผมมา เงียบๆ เบาๆ เดี๋ยว Timmy ตื่นเดี๋ยวเรื่องจะจบซะเปล่าๆ….. OK OK…ดีครับ เฮ้ย!…ไอ้แว่น มึงนะ เออมึงนั้นแหละ ปิดโทรศัพท์มือถือด้วย-สาวโทรเข้าเดี๋ยวก็จบเห่กันพอดี….เฮ้ยๆ….ได้เรื่องละๆ ไอ้ ไอ้ Timmy กำลังจะฝัน อ้าวๆ…ขยับเข้ามานั่งใกล้ๆ จะได้รู้ได้เห็นกันครบทุกคน
#ภาพขาวดำมัวๆ…ล่องลอยหมุนวนไปรอบตัว มันคือหมอกหรือควันกันน่า…แล้วนี่ผมอยู่ที่ไหน ผมอยากกลับบ้าน ผมอยากกลับบ้านเหลือเกิน …# และอยู่ๆ กลุ่มหมอกหรือควันบางๆ สีเทาอ่อนก็ค่อยรวมตัวเป็นรูปร่าง… จนคล้ายชายชราหน้ายาวรีใส่ชุดขาวคล้ายพระ แต่วิธีสวมกลับคล้ายชุดยูกาตะสำหรับชายชาวญี่ปุ่น…เขา -เขา –ลอยได้ราวกับฝ่าเท้าไม่แตะพื้น… และอยู่ๆ เขาก็ยิ้มให้ จากสะแยะแค่มุมปากค่อยๆ ชัดเจน…โหนกแก้ม ดวงตาทำไมรู้สึกคุ้นเคยและอบอุ่น…เขาเป็นใครกันนะ
#ผมรู้จักกับคุณไหม….# ผมตัดสินใจถาม ขณะที่ชายชราหน้าเรียวผิวขาวเอาแต่ยืนยิ้ม…เขาเริ่มลอยวนไปรอบตัวผม…หลายรอบ หลายรอบไม่ยอมหยุด #คุณเป็นใครกันแน่….ทำไม ผมถึงรู้สึกว่าเราเคยรู้จักกันมานานแสนนาน….คุณ เป็นอะไรกับผม# ผมพลั้งปากตะโกนเสียงดังขึ้นอีกระดับ แต่ชายชราผมขาวก็ยังคงสถานะเดิม กระทั้งผมเริ่มหงุดหงิด…กิริยาปิดปากก็ค่อยๆ แสดงอย่างอื่นให้เห็น… เขาค่อยๆ ยกฝ่ามือด้านซ้ายขึ้นตรงๆ…แล้วน้ำเสียงทุ้มๆ ก้องลึกก็ดังขึ้น
#กลับบ้านเราเถอะ…กลับพร้อมกับพ่อ…กลับบ้านเราเถอะ…กลับพร้อมกับพ่อ# เสียงทุ้มๆ ก้องลึกเย็นวาบลงไปถึงช่องท้อง….เกิดอะไรขึ้น…มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่…
#คุณเป็นใคร คุณเป็นพ่อผมเหรอ…แต่หน้าตาพ่อผมไม่เหมือนคุณเลยสักนิด…คุณเป็นใคร คุณเป็นใครกัน…คุณไม่ใช่พ่อผมสักหน่อย#
ชายชราขยายยิ้มกว้างขึ้น….จนเผยให้เห็นฟันแถวบนชัดเจน #ข้าคือพ่อของเจ้า….พ่อที่กำลังรอเจ้าอยู่ที่บ้าน…กลับบ้านเราเถอะ…มากับพ่อ….ลูกชายของข้า#
#คุณไม่ใช่พ่อผม…ผมไม่เชื่อ คุณโกหก คุณกำลังโกหก#
#สงครามทำให้เจ้าลืมทุกๆ สิ่งแล้วจริงๆ….ได้ ถ้าเจ้าไม่เชื่อ พ่อจะแสดงให้เห็น….ข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นกับตา…# ชายชราเสียงดังใบหน้าเปลี่ยนเป็นดุร้ายพร้อมกับชี้นิ้วตรงๆ มาที่ผม โอ้ย!…นั้นดวงตาของเขาเริ่มแดงขึ้น แดงขึ้น….แต่ แต่ทำไมมันยิ่งให้ระลึกถึงความสูญเสีย ความเศร้ามากมายแบบนี้….
#จงดูข้า…ลูกพ่อ จงดู ข้าๆ จะแสดงให้เจ้าเห็น ข้าจะแสดงให้เจ้าเชื่อ….#
#ไม่….ม่าย….ไม่….#….
“ไม่ ไม่ ไม่…อย่า อย่า อย่า….โอ้ย!…กูฝันกลางวันรึนี้” เหงื่อกาฬเปียกชุมที่ซอกคอ กระนั้นผมก็ยังไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ “เอะ!…..ทำไม….ขยับแขนไม่ได้ กระดิกนิ้วไม่ได้ …โอ้ย!..กูเป็นอะไรไปเนี้ย!”
#กลับบ้านเถอะลูก….กลับบ้านด้วยกัน#….
“เฮ้ย!….เสียง ดังมาจากไหน กูฝัน กูฝัน….สงสัยผีอำ…ใช่ๆ นอนกลางวันแม่เคยบอกว่าผีอำ….” ผมกลัวแต่ก็ขยับเขยื้อนไม่ได้ การสวดมนต์ภาวนานั้นรึ ลืมไปได้เลยเพราะสถานการณ์นั้นผมไม่ทันนึกถึงมันด้วยซ้ำ
“นอนนิ่งๆ สักพัก ใช่!….เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง อู้ อู้ อู้” ผมเป่าลมออกทางปากตามจังหวะหายใจขณะที่ดวงตาเหลือบไปยังนาฬิกาสีขาวที่แขวนบนผนังปลายเท้า มันบอกเวลาบ่าย 4 โมงกับ 15 นาที
“นี้กูหลับไป 2 ชั่วโมงกว่าๆ…ไหนลองกระดิกนิ้วซิ!….ตายห่านิ้วไม่ขยับ….อู้…ผีอำเป็นแบบนี้เองรึ…นอนต่ออีกสักพักน่าจะดีขึ้นเอง” แล้วผมก็วาดดวงตาไล่จากนาฬิกาเลื่อนไปยังแสงไฟสีเหลืองอ่อนๆ จากโคมดาวไล้ท์ที่ฝ้าเพดาน…มุมมองขณะที่ศีรษะหนุนพนักพิงด้านทิศตะวันตกชั่งพอเหมาะพอเจาะดีเหลือเกิน ผมจ้องมัน มองมัน กระทั้งสังเกตเห็นเบ้าโคมดวงนั้นหลุด-หล่นออกมาจากฝ้าเพดานยิบซั่มบอร์ดจนเกิดรูโหว่สีดำเห็นชัด (เดี๋ยวลุกได้จะหากาว 2 หน้าแปะแล้วยัดให้เข้าที่ซะหน่อยและ…ถ้าลูกค้าเห็นอายเขาแย่) ผมคิด ขณะที่ความพยายามจะกระดิกนิ้วก็ยังไม่หยุด
“โอ้ย!…กูเป็นอะไรวะ…กูจะตายไหมเนี้ย” ผมเผลอหลุดเสียงดังที่ได้ยินก้องในความเงียบ…แต่ทันใดนั้นสายตาที่ไม่อยู่สุขก็เลื่อนจากโคมไฟกลับลงไปที่ปลายเท้าช้าๆ ช้าๆ…และมันก็จบที่ปลายเท้าด้านซ้ายที่พาดอยู่กับพนักพิงด้านทิศตะวันออก มันหมิ่นเหม่จะหล่นไม่หล่นอยู่รอมร่อ
(เออ….ลองกระดิกขาให้หล่นจากพนักพิงก่อนก็แล้วกัน ถ้าขาหล่นถึงพื้นกูตื่นแน่ๆ) ผมคิดขณะเดียวกันก็ออกแรงทั้งหมดส่งพลังงานทั้งมวลไปยังปลายเท้าที่ว่า….อื้อๆๆๆ…..โอ้ย! ….อีกทีหนึ่ง….ผมกลั้นลมหายใจสุดแรงเกิด…. “ต้องทำได้ กูต้องทำได้” ผมพูดเสียงดังจนได้ยินสำเนียงตัวเองชัดเจนในโลกเงียบ…
“อื้อ!….เอาวะใกล้ ละ….ฮึบ!…อ้า….เย้ๆ….กูตื่นแล้วกูทำได้แล้ว…กู กู รอด รอด- ตา…ตา …” ผมลุกขึ้นนั่งแบบคนโล่งอก แต่แอร์ก็ทำให้ผมเย็นวาบขึ้นมาทันทีทันใด…ผม ผม ผม สำรวจตัวเอง….ไม่ ม่าย ไม่นะ….ผมลุกนั่ง ใช่ผมลุกนั่ง แต่…เมื่อมองกลับไปที่เดิม….ปลายเท้า…ปลายเท้าทั้ง 2 ข้างยังพาดอยู่ตำแหน่งเดิม…(แล้วนั้น นั้นมันขาใคร….อะไร มัน มันเกิดอะไรขึ้น….)
#พ่อจะแสดงให้เจ้าเห็น….กลับบ้านเถอะลูกรัก…สงครามจบแล้ว# และเสียงของชายชราในฝันก็ยังคงทุ้มก้องลึกในความวังเวง…..(เกิดอะไรขึ้น…นี้กูถอดร่างได้ด้วยรึ)….ผมลุกยืนพร้อมกับหันมองกลับไปยังโซฟา….ผมเห็นตัวเอง….เห็นร่างตัวเองยังนอนปิดสีเทาของโซฟาตัวนั้นไว้ได้อย่างมิดชิด…
“โอ้!พระเจ้า…ไม่…ใช่ๆ…ตัวกู-นั้นร่างกูกำลังนอนเหลือกตาโพลงอยู่ที่เดิม…เป็นไปได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้…โอ้ย…เกิดอะไรขึ้น มันเกิดขึ้นได้อย่างไร กูคือวิญญาณหรืออะไรกันแน่….นั้นๆร่างของกู …กูตายแล้ว…ไม่ ไม่ ไม่ กูจะตายตอนนี้ไม่ได้เด็ดขาด….พระเจ้า…พระพุทธเจ้า…เทวดาฟ้าดินองค์ไหนก็ได้ช่วยลูกด้วย ถึงลูกจะเป็นคนไม่มีศาสนา แต่ลูกก็เคารพทุกๆศาสนาอย่างเท่าเทียม…ลูกไม่เชื่อเรื่องบุญเรื่องบาป ลูกไม่เชื่อชาติหน้า ลูกไม่เชื่อภพหน้ามันก็เรื่องของลูก แต่วันนี้ ตอนนี้หากลูกไม่ได้กระทำสิ่งใดที่เป็นการลบหลู่ก็จงช่วยลูกให้รอด…แต่หากลูกได้ลบหลู่สถานที่แห่งนี้ นั้นก็หมายความว่า ลูกมิได้ตั้งใจ…ลูกจะแก้ไข…ช่วยลูกด้วย”….ผมพร่ำพรรณนาทุกสิ่งอย่างที่นึกออกพร้อมกับล้มตัวลงนอนทับร่างเดิม…การภาวนากินเวลาอีกไม่น้อยกว่า 20 นาที เมื่อปลายจมูกสัมผัสถึงลมหายใจอุ่นๆ นิ้วมือเริ่มขยับ ขาผมก็เริ่มมีแรง….ผมเป่าลมออกมาทางปากเพื่อทดสอบ
“โอ้ยๆ….กูรอดตายแล้ว….” วินาทีเดียวกันภาพของชายชราในชุดยูกาตะก็ผุดขึ้นมาในหัวอีก “คุณจะเป็นใคร…หรือหากเคยเป็นพ่อลูกเมื่อภพชาติที่แล้ว…เวลานี้ ขอให้ลูกทำความเข้าใจกับมันอีกสักหน่อย…ขอลูกอยู่ต่อที่นี้อีกสักนิด….ถ้าพร้อมลูกจะกลับบ้าน ลูกอยากกลับบ้าน แล้วบ้านที่ว่ามันอยู่ที่ไหนกันแน่” ผมพร่ำต่อแบบคนบ้า ขณะใช้ฝ่ามือขยี้ตาพร้อมๆ ยันตัวเองลุกนั่ง
“ผมสัญญา…ผมสัญญา…”
ครับนี้ก็คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับผม…ภาพชายชราสวมชุดยูกาตะสีขาวจากในฝันได้ตอกตรึงอยู่ในหัวจนไม่มีวันลบล้าง…ผมคิดถึงเรื่องนี้…ทบทวนเรื่องนี้เป็นแรมปี ผมพยายามใช้พลังด้านบวกเข้ามาเสริม และส่งต่อความฝันหรือผีอำสู่บทนิยายที่กำลังโพสต์อยู่ในขณะนี้…. ใช่ครับนิยายเรื่องนั้นคือ “อูคาชิ เซดะ” เป็นนิยายที่ผมพล็อตขึ้นมาจากความฝัน และถ้าวันนั้นผมเอาแต่หวาดกลัว คิดถึงเพียงพลังด้านลบ คงหนีไม่พ้นการไปทำบุญสังฆทานสะเดาะเคราะห์- แก้เวร- แก้กรรมไปตามเรื่อง…ที่สำคัญอาจจะไม่มีนิยายเรื่องนี้เกิดขึ้นมาบนโลก…..OK….ผมเฉลยก็ได้ ชื่อที่ชายชราในชุดยูกาตะสีขาวเรียก…ท่านเรียกผมว่า “ชิเดะ” อันที่จริงนิยายเรื่องนี้น่าจะมีชื่อว่า “อูคาชิ ซิเดะ” มากกว่า แต่ผมทดลองออกเสียงหลายรอบ ผมว่ามันห้วนๆ สำหรับคนไทยไปนิดหนึ่ง-แบบฟังแล้วไม่สบายหูว่างั้น เลยตัดสินใช้คำว่า เซดะ แทน
คิดบวก ความสุขในมุมเล็กๆ ของผม…จากฝันร้ายหรือผีอำได้สร้างนิยายเรื่องหนึ่งขึ้นมา ผมเชื่อเหลือเกินว่า หากคุณ คุณขุดพลังด้านบวกมาใช้งาน-หลายคนอาจจะมีผลงานที่มากกว่านิยายก็ได้….ลองเดินให้ห่างจากด้านลบ-คิดอย่างมีสติ-ไตร่ตรองและใคร่ครวญด้วยเหตุผล… ผมเชื่อเหลือเกินว่ามีหลายสิ่งกำลังรอคุณสร้างมันขึ้นมาอย่างแน่นอน….คิดบวก ความสุขในมุมเล็กๆ ก็เกิดเชื่อ Timmy นะครับ
ปล….เกือบลืม…เช้าวันจันทร์ต่อมา….ผมได้เอากาว 2 หน้าไปแปะฐานด้านในของโคมไฟดาวไล้ท์ แล้วยัดมันคืนเข้าเบ้าเดิมด้วยนะครับ…และสิ่งนี้เองที่เป็นหลักฐานยืนยันว่าบ่ายวันเสาร์ มันคือเรื่องจริงไม่ใช่ความฝันอย่างแน่นอน….เอ้!…หรือจะแค่ “หลอน-ภวังค์-ภาพ” กันแน่…แล้วคุณละ…ว่าไง?