บนเตียงสีขาว นิยายอ่านฟรี เรื่อง อนุชาย ตอนที่ 10 นิยายอ่านฟรีจบเรื่อง
อนุชาย ตอนที่ 10
ภายในห้องสีฟ้าอ่อน ชั้น 18 โรงพยาบาลแห่งหนึ่งบน ถนนพระราม 9 แสงสีขาวจากโคมไฟสาดรัศมีครอบเตียงพยาบาลที่ขาวอยู่แล้วยิ่งทำให้มันดูขาวเด่นราวกับหลุดลอยเคว้งคว้างอยู่กลางอากาศ เวลาของธรรมชาติถูกปกปิดจากม่านสีฟ้าทึบๆ เมื่อคิดว่าตัวเองเป็นคนป่วย คงเดาเวลาจริงๆไม่ถูก คุณหญิงพวงพรเดินคู่มากับชานนท์ที่หอบแจกันดอกกุหลาบสีโอโรสจากสวิตเซอร์แลนด์เข้ามาภายในโดยไม่ทันเคาะประตู แคราย เชาว์ที่นั่งเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่ก่อนแล้วจึงสะดุ้งนิดๆ แต่เธอก็มีไหวพริบพอที่จะลุกพร้อมๆ กับยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
“ขอโทษคะ น้องแคร์ พี่ชายนึกว่าไม่มีคนอยู่” ชานนท์ออกรับก่อนจะเดินนำแจกันไปตั้งประดับไว้ที่หัวเตียง
“สวัสดีคะคุณหญิงป้า สวัสดีคะพี่ชาย”
“อ้าว!….หนูแครี่ป้าก็นึกว่าหนูกลับไปแล้วซะอีก ไม่เห็นเข้าไปเล่นกับป้าที่บ้านเลย” คุณหญิงพวงพรทัก
“คุณแม่ยังนึกว่ามหาวิทยาลัยไทยกับแคนาดา เปิด-ปิดพร้อมกันนะคะ” ชานนท์แทรก
“อิ อิ อิ….อันที่จริงแคร์เตรียมแพ็คกระเป๋าเดินทางไว้แล้วละคะ…แต่พอดีคุณพ่อลงเครื่องก็ถูกหามส่งตัวมาที่นี้ แคร์เลยถือโอกาสอยู่ต่ออีกสัก 2 อาทิตย์”
“ดีแล้วแหละจ้าหนูแคร์” คุณหญิงพวงพรเดินอ้อมไปหยิบถุงมือพยาบาลในลิ้นชักมาสวมจนเกิดเสียงดังแต๊บๆอย่างชำนาญก่อนจะกดแอลกอฮอล์ที่แขวนอยู่ปลายเตียงถูกับฝ่ามือ “ป้าขอเช็คความดันเลือดให้คุณพ่อสักพักนะจ้ะ…ชาย พาน้องไปทานข้าวก่อนซิลูก แม่จะอยู่กับคุณอาสักครึ่งชั่วโมง”
“คะคุณแม่….แคร์ทานอะไรบ้างรึยัง หน้าซีดเชียว” ชานนท์หันไปถามแครายก่อนจะลากแขนเธอเดินตรงไปยังประตู
“เดี๋ยวก่อนคะพี่ชาย….เออ! ขอบคุณนะคะคุณหญิงป้า แคร์ฝากคุณพ่อด้วย ดีเหมือนกันตั้งแต่เที่ยงแคร์ยังไม่ได้ทานอะไรเลย”
แคราย เชาว์ เธอมักจะเป็นคน 2 บุคลิก แบบนี้เสมอ บางครั้งเธอก็บ้าระห่ำ แต่บางเวลาเธอกลับดูดีมีมารยาท น่าสงสาร ซึ่งคนที่รู้จักเธอดีที่สุดเห็นจะมีแค่อนุชัย ธารากรณ์ เท่านั้น
“จ้าหนูแคร์ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกลูก” สายตาของคุณหญิงพวงพรที่จ้องแคราย บอกความหมายเอาไว้มากมาย มากมายกว่าความเอ็นดูธรรมดาๆ
“ขอบคุณคะ”
“ไปน้องแคร์ พี่ชายมีเรื่องจะถามเยอะเชียว”
“เรื่องอะไรคะ….พี่ชายชอบอำแคร์อยู่เรื่อยจนไม่อยากตื่นเต้นละ”เสียงของหนุ่มสาวดังห่างออกไปเรื่อยๆ จนเสียงประตูปิดลงตามหลัง คุณหญิงพวงพรจึงลงมือทำหน้าที่
และเมื่อชายวัยไล่เลี่ยกับเธองัวเงียสะลึมสะลือ ดวงตากระพริบช้าๆ แต่ก็มัวจนแทบจะคิดว่าเป็นสายตายามละเมอ คุณหญิงพวงพรจึงก้มกระซิบใกล้ๆ หู
บนเตียงสีขาว
“อนุชาติ ฉันมีข่าวดีมาบอก เตรียมฟังให้ดีนะ” เธอหยุดประเมินพลางเช็คความดันที่ข้อมือไปด้วย “ลูกชายเธอ อนุชัย กับพวงพรยังไม่ตาย พวกเขายังมีชีวิต อนุชาติเธอได้ยินฉันไหม ถ้าได้ยินกระพริบตาให้ฉันรับรู้หน่อยซิ” กระนั้นดวงตาที่สะลึมสะลือก็ผล็อยหลับลงอีก เธอจึงหยิบกระดาษกับปากกาที่หัวเตียงมาเขียนบางอย่าก่อนจะสอดมันไว้ใต้หมอน “ตื่นแล้วก็อ่านมันด้วยนะ เพราะฉันเองก็ดีใจเหลือเกิน ดีใจจนอดทนรอบอกเธอตรงๆ ไม่ไหว หายเร็วๆ พักผ่อนอีกสัก 3 วันก็น่าจะปกติ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอก” คุณหญิงพวงพรพูดพร้อมกับดึงถุงมือพยาบาลโยนลงถังขยะก่อนจะกดแอลกอฮอล์ล้างมืออันเปลือยเปล่าอีกรอบ
“มรสุมกำลังผ่านไปแล้วละ ถ้าฉันได้ข่าวพวงพรเมื่อไรฉันจะรีบแจ้งให้เธอรู้ทันที” คุณหญิงพวงพรสำรวจร่างชายที่กำลังหลับใหลบนเตียงสีขาวไปมา ก่อนจะหยิบแฟ้มประวัติที่เสียบอยู่ข้างขึ้นมาอ่าน “ก็ไม่มีอะไรน่าห่วง พักผ่อนซะนะ ฉันจะกลับมาเยี่ยมใหม่ แต่คิดว่าเธอคงไม่อยู่รอให้ฉันกลับมาโรงพยาบาลแล้วละ ฮึๆ…เจอกันที่บ้านตระกูลเชาว์จ้า…” เมื่อคุณหญิงพวงพรเดินออกจากห้องได้ไม่นาน ท่านผู้หญิงแขไขกับคนขับรถรุ่นลูกหน้าใสหล่อราวกับพระเอกเกาหลี ก็ผลักประตูเดินเข้ามาแทนที่
“คุณเป็นโรคบ้าอะไรนักหนา….หึ! คุณอนุชาติ” มาถึงท่านผู้หญิงแขไขก็ร่ายยาว โดยมีคนขับรถหน้าใส่หล่อเดินผ่านไปนั่งกับโซฟาที่มุมห้องพร้อมกับควักมือถือขึ้นมาฆ่าเวลาแบบไม่ใส่ใจ “อันที่จริง ถ้าคุณไม่หงก คุณก็ควรจะตายไปเกิดใหม่ได้แล้ว ไม่แน่ปานนี้คุณอาจจะเกิดมาเป็นพระเอกหรือลูกพระเอกไปแล้วมั่ง ฮ่าๆๆๆ” ท่านผู้หญิงแขไขหัวเราะด้วยน้ำเสียงน่ารำคาญก่อนจะสะบัดผมทรงฟาร่าที่ตั้งเสาเอกเสาโทเกินหน้าผากกว้างๆหลายเซนติเมตรไปทางคนขับรถ “เธอว่าไหมปกรณ์”
ปกรณ์ปล่อยขาที่ก่วยห้างแล้วตอบนิ่มๆ “ครับท่านผู้หญิง”
“พี่บอกเธอกี่ครั้งละ….เวลาเราอยู่ 2 ต่อ 2 ให้เรียกฉันว่าพี่” ท่านผู้หญิงแขไขดุ แต่ไม่จริงจัง สายตาหวานเยิ้มราวกับมีน้ำผึ้งสาดใส่เขาอย่างฟุ่มเฟือย แต่หางตาปกรณ์หนุ่มขับรถกลับชี้ไปตกยังร่างที่นอนเป็นผักอยู่บนเตียง “ฮ่าๆ เธอกลัวเขารึ…..จุ๊ๆๆๆๆ….ดูเขาเวลานี้ซิคะปกรณ์ขา เขาก็ไม่ต่างจากจงอางโดนรีดพิษจนหมดสภาพรอวันตายเท่านั้นแหละค้า….” ท่านผู้หญิงแขไขเดินเข้าไปยืนจนสะโพกผายกว้างๆอยู่ระดับสายตา “เรียกพี่ซิคะ ปกรณ์ขา” พร้อมกับก้มลงจูบหน้าผากเด็กหนุ่มราวจะประชด
“ครับพี่แข” ปกรณ์พูดพร้อมกับปล่อยมือจากโทรศัพท์มาโอบสะโพกท่านผู้หญิงแบบมีนัยยะหลายๆ อย่าง กระทั้งเสียงพลิกตัวดังมาจากเตียง ท่านผู้หญิงแขไขจึงเดินกลับไปดูใกล้ๆ
“คุณอนุชาติ อย่าสำออยไปเลยคะ….คุณต้องเซ็นเอกสารหลายแผ่นให้ฉัน ลุกขึ้นมา ลุกเดี๋ยวนี้…” เธอใช้สองมือเขย่าร่างสามีแบบคนไม่ใส่ใจ “คุณ คุณอนุชาติ บ้าเอ้ย!….” แต่อยู่สายตาก็เหลือบไปเจอเข้ากับกระดาษโน้ตที่คุณหญิงพวงพรทิ้งไว้โดยบังเอิญ ท่านผู้หญิงแขไขหยิบมันขึ้นมาอ่าน พร้อมกับสีหน้าตื่นตระหนกจนเห็นใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีขาวซีดๆ ฝ่ามือแน่นๆทุบหน้าอกตัวเองจนปกรณ์รีบสาวเท้าเข้ามาประคองหลัง
“เกิดอะไรขึ้นพี่แข”
ท่านผู้หญิงแขไขยัดกระดาษโน้ตใส่กระเป๋า “2 คนแม่ลูกมันยังไม่ตาย…” เธอพึมพำปนกับเสียงขบกราม “เรากลับกันได้ละ….” เธอออกคำสั่งและเดินนำไปยังประตู “ไปซี้!….ห่วงอะไรกับคนไม่มีน้ำยา”
“ครับ ครับ ครับ”
ขณะที่คนทั้ง 2 อยู่ภายในลิฟต์ “หานักสืบ นักฆ่า มือสังหารให้ฉันที”
“หา!…” ปกรณ์อุทานเสียงหลง แต่เมื่อสายตาพิฆาตยิ่งใส่ตรงๆ สติที่ตัดผึงก็กลับคืน “ครับๆพี่แข”
“เร็วที่สุด…ที่เซฟเฮ้าส์วันศุกร์….อย่าให้พลาด”
“ครับ ครับได้ครับ”
และขณะที่รถเบ้นซ์สีดำคันใหญ่กำลังจะออกตัว
“เดี๋ยวคะปกรณ์ขา! พี่ขอไปนั่งหน้าดีกว่า” ท่านผู้หญิงแขไขไม่ยอมเสียเวลาเปิดประตูรถ เธอก้าวขายาวข้ามมานั่งเบาะหน้าอย่างชำนาญ และขณะรถยนต์แล่นอยู่บนถนนพระราม 9 กำลังข้ามแยกศรีนครินทร์ออกสู่ถนนมอเตอร์เวย์ ท่านผู้หญิงแขไขก็หยิบกระดาษโน้ตเจ้าปัญหาออกมาอ่านอีก เธอสะบัดผมแรงๆ ก่อนจะปลอดแขนเสื้อย้วยๆบางๆลงไปกองที่เอว
“โอ้ย! ฉานนเครียดดด ปกรณ์ขา….. ” พร้อมกับปล่อยกลิ่นกระดังงาลนไฟเอื้อมไปคว้ามือเด็กหนุ่มมาแปะกับหน้าอกที่เปลือยเปล่า “เค้นนมให้พี่ที….ปกรณ์ขา!”
“ครับๆ ท่านผู้หญิง”
“ฉันสั่งเธอว่าไง หา!”
“ครับๆ พี่แข”
…ฟิล์มสีดำทึบๆ ปิดบังสายตาผู้คนไว้จนหมดสิ้น 6 โมงเย็นเกือบจะครึ่งละ
“อื้อดีๆ อื้อดีจังเลยคะ ปกรณ์ขา!”
เซฟเฮ้าส์ ณ เขาแผงม้า
เมื่อแดดสุดท้ายกำลังบอกลา ไร่ภูตะวัน ณ เขาแผงม้า ก็ค่อยหมอง แสงจากโคมไฟสนามที่ขนานทั้ง 2 ข้างของถนนคอนกรีตสีปูนลาดลงตามไหล่เขาก็สว่างขึ้นทีละดวง ความลึกลับของที่นี้ไม่ใช่ไร่ภูตะวัน แต่หากเป็นเซฟเฮ้าส์ก่อสร้างด้วยไม้หลังขนาดมหึมาที่ตั้งตระหง่านท้าทายขุนเขาสลับซับซ้อนสุดลูกหูลูกตาต่างหาก เมื่อลำแสงสุดท้ายจากดวงอาทิตย์สาดกระทบสีไม้ที่เคลือบด้วยน้ำยามันวาว มันก็สุกสว่าง และสุกสว่างอย่างต่อเนื่องถึงแม้เงาจะพยายามนำจมสู่รัตติกาลก็ไม่เป็นผล
รถเบนซ์สีดำคันใหญ่วิ่งผ่านประตูไม้รูปกงเกวียน ไต่ระดับลงไปตามทางลาดชันช้าๆ ก่อนจะเข้าไปจอดนิ่งใต้หลังคามุข หน้าประตูทางเข้าบานไม้สักคู่สูงไม่ต่ำกว่า 3 เมตรที่อยู่เหนือเฉลียงกว้างๆ คนขับรถหน้าหล่อสวมสูทดำทับเสื้อเชิ้ตเวอร์ซาเช่ลายเทาน้ำตาล เดินอ้อมมาเปิดประตูรับไฮโซสาวรุ่นแม่ที่คล้องแขนเขาทันทีที่ผ้าลูกไม้บางๆพลิ้วๆเข้าชุดกันทั้งเสื้อและกระโปรงยืนนิ่งในแนวตั้ง แว่นดำบนใบหน้าของเธอสำรวจไปรอบๆ สักพักเธอก็ปล่อยจากคล้องแขนมากุมมือคนขับรถส่วนตัวแบบคู่รักขณะพาส้นสูงกว่า 4 นิ้วไต่ขึ้นไปตามบันได แดดสุดท้ายสีอำพันทาทับ สายลมแผ่วๆพัดชายกระโปรงปลิวพลิ้ว มองเผินๆ ตั้งแต่ผมทรงฟาร่าสีน้ำตาลอ่อนจรดปลายเท้า เธอก็ไม่ต่างอะไรกับนางพญาดีๆ นี่เอง
“สวัสดีครับท่านผู้หญิง” เสียงทักทายดังจากที่ไหนสักแห่ง เมื่อคนทั้งคู่เดินไปหยุดยื่นใกล้ๆ ประตูบานนั้น
“หวัดดีจ๊ะ….จะต้องให้ฉันกดรหัสเองไหม” ท่านผู้หญิงแขไขกระแหนะกระแหนเสียงแหลมจนคนขับรถใช้ฝ่ามือปิดปากหัวเราะเบาๆ
“ไม่ต้องลำบากหรอกครับท่านผู้หญิงทุกคนรออยู่ในลับหมายเลข U 312 เรียบร้อยแล้ว” พอเสียงบุรุษทุ้มๆ สิ้นสุด ประตูไม้สักบานใหญ่ก็ค่อยเปิด
“ทางนี้ครับท่านผู้หญิง” ปกรณ์ผายมือนำทาง
เพี้ย!…เสียงฝ่ามือตีต้นแขน จนเด็กหนุ่มคนขับรถสะดุ้งโหยง “จะให้พี่บอกกี่ครั้งเธอถึงจะจำ”
“ครับ ครับพี่แข”
“เออดี….ต่อหน้าพวกโสโครก ก็ต้องเรียกฉันว่าพี่ด้วย เข้าใจไหมจ๊ะ…”
“ครับพี่แข” ปกรณ์ตอบเร็วๆ พร้อมกับปล่อยมือที่กุม ยกตั้งฉากให้ท่านผู้หญิงแขไขสอดมือเข้าหว่างกลางพร้อมกับดันหน้าอกที่เพิ่งไปยกกระชับมาหมาดๆ สัมผัสกับหัวไหล่ของเด็กหนุ่มให้แน่นที่สุด
“อุ่นจังเลยคะปกรณ์ขา…”
“ครับพี่แขเชิญทางนี้ครับ เราต้องลงลิฟต์แคบสัก 2 ชั้น” ปกรณ์เอ่ยพลางผายมือนำทาง
“ดีคะ ยิ่งแคบ ยิ่งชิดกับปกรณ์ พี่ยิ่งชอบ” เธอส่งสายตาหวานเยิ้มพลางดันหน้าอกดุลแขนเขาอย่างจงใจ ขณะทั้ง 2 ยืนนิ่งอยู่หน้าตู้เก็บของบานทึบๆ “สถาปนิกเขาออกแบบเซฟเฮ้าส์ที่นี้ได้ดีมากๆ เลย ว่าไหม”
“ครับ”
สักพักบานตู้ห้องเก็บของก็เลื่อนเปิดช้าๆ คนทั้งคู่เข้าไปยืนเบียดกันและกันในนั้น
“ดีเหลือเกิน ว่าไหมคะปกรณ์ขา”
“ครับพี่แข”
เมื่อลิฟต์นำมาถึงโถงสีขาวเพดานเตี้ย พ่อบ้านลักษณ์ขี้โรคกับหญิงวัยดึกอ้วนดำจนเผลอนึกว่าเป็นถ่านมีชีวิตก็เปิดประตูกระจกกล่าวต้อนรับพร้อมกับยื่นหน้ากากอำพรางใบหน้า
“เชิญด้านในคะท่านผู้หญิง” หญิงวัยดึกผายมือนำทาง เมื่อเห็นทั้ง 2 สวมหน้ากากเข้าที่เรียบร้อยแล้ว
“พวกเธอ ได้กำชับพวกสวะในห้องแล้วใช่ไหมว่าให้ใช้ทางออกประตูหลัง” ท่านผู้หญิงแขไขก้มกระซิบ แต่ระดับเสียงก็ดังพอที่พ่อบ้านลักษณะขี้โรคยืนห่างออกไปราวๆ 2 เมตรได้ยิน เขาจึงตอบขึ้นมาแทน
“เรียบร้อยแล้วครับวางใจได้เลย”
“ดีมากจ๊ะ”
เมื่อคนทั้งคู่เดินเข้าไปหยุดกลางห้อง เธอไม่ยอมแนะนำตัวเอง และพวกเขาก็ปรารถนาในลักษณะเดียวกัน ไม่มีเสียงพูดคุยใดๆหลุดลอดออกมา แม้จะตะโกนสุดเสียงพ่อบ้านลักษณ์ขี้โรคกับหญิงวัยดึกอ้วนกลมก็ไม่มีทางได้ยิน ท่านผู้หญิงแขไข เดินแจกซองสีน้ำตาลให้คนทั้งหมด ก่อนจะกล่าวสรุปสั้นๆ ด้วยท่าทางเอาจริงเอาจัง จนกลุ่มชายโสโครกก้มหัวให้เธอทีละคน…
อีก 10 นาทีต่อมา “ให้พวกสวะใช้ประตูสำรอง เข้าใจไหม” ทานผู้หญิงแขไขกำชับเป็นครั้งที่ 2 ก่อนจะถอดหน้ากากคืนให้
“คะ…”
“ไม่ทราบว่าท่านผู้หญิงจะค้างหรือเปล่าครับ” ชายพ่อบ้านลักษณะขี้โรคถาม เมื่อสายตาเกรี้ยวกราดยิงใส่ เขาจึงก้มหน้า “เออกระผมเพียงแต่อยากรู้ว่าจะต้องเตรียมอาหารเย็นหรือเปล่าเท่านั้น”
“ฉันขอเป็นสะลัดโลกับน้ำส้ม…แล้วปกรณ์ละจ๊ะ” เธอส่ายหน้าทำตาแบ๊วๆ ไปยังเด็กหนุ่ม
“ผมเอาแบบพี่แขก็แล้วกันครับ….แต่ขอเปลี่ยนจากน้ำส้มเป็นเบียร์เย็นๆ”
“อ้อ ใช่!แล้วอย่าลืมเอาเบียร์ไปแช่ไว้ในห้องสักไหลด้วยนะจ๊ะขอบใจมาก ไปคะปกรณ์ขา”
“ครับๆ ท่านผู้หญิง”
ภายในห้องใต้หลังคากระจก ท้องฟ้าในคืนเดือนมืดผลักแสงดาวทั้งจักวาลให้สุกสว่าง ทางช้าเผือกเผยแสงโคมของโกโบริให้เห็น เหนือระเบียงนอกผนังกระจก ณ.ยอดต้นลำพูก็ยังมีหิ่งห้อยนับร้อยกระพริบแสงราวกับโคมไฟของอังสุมาริน แขไขสวมชุดน้อยชิ้นนอนอาบแสงดาวอยู่บนเตียงสีขาว เมื่อแสงไฟแบล็คไลท์ถูกเปิดมันก็ผลักร่างของเธอลอยเด่นจากรัตติกาล จนแทบจะเห็นจากดาวอังคารอย่างนั้น….ท่านผู้หญิงแขไขอ้อยอิ่งขณะเด็กหนุ่มกำลังถอดเสื้อสูทสีดำ เธอวาดวงขาเรียวยาวให้เปิดกว้างขณะเขาปลดเข็มขัดก่อนจะรูดกางเกงสแล็คเหวี่ยงทิ้งๆ อย่างไม่แยแส เธอถอดชุดนอนให้พ้นตัวก่อนจะวางกระป๋องเบียร์ไว้ที่เนินอก ขณะที่เด็กหนุ่มมีเพียงบล็อกเชอร์คานเข้าหาช้าๆ
“ปกรณ์ขา”
“ครับพี่แข….”
“พี่ยังสวยสำหรับเธอไหม”
“ทั้งขาว ทั้งสวยไปหมดทุกส่วนเลยครับ”
“ฉันอยากให้เธอเมาเบียร์บนหน้าอกฉัน” แล้วท่านผู้หญิงแขไขก็คว้ากุมเป้าเด็กหนุ่มจนล้นมือ ปกรณ์เปิดเบียร์ลาดจากปลายยอดของเนินสวรรค์ “อ้า!….บอกพี่ซิคะปกรณ์ขา…ว่าจะมีพี่แขเพียงคนเดียว”
“ครับพี่แข…”
แสงดาวที่สุกสว่างบนท้องฟ้า ก็ประหนึ่งสวรรค์ลงมาประดับดิน รัตติกาลแห่งนี้ยืดยาว แม้แต่เสียงคร่ำครวญก็ยาวนานไม่ต่างกัน
“ปกรณ์ขาๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”