นิยายอ่านฟรีจบเรื่อง อนุชาย2 บทที่3
อนุชาย2 บทที่3 เปิดพินัยกรรม
อีก 5 เดือนกับ 15 วันหลังจาก อานนท์ สายสกุล ลืมตาดูโลก อนุชาติ เชาว์ ก็เสียชีวิต สมร ธารากรณ์ คุณแม่ที่ไม่ยอมปริปากจึงโทรศัพท์บอกเรื่องดังกล่าวกับอนุชัย การบินด่วนกลับเมืองไทยเพื่อมาร่วมงานศพผู้เป็นพ่อจึงเป็นไปอย่างเงียบๆ และต้องระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ
หลังจากพิธีสวดอภิธรรมศพและพิธีกงเต็กตามความเชื่อของชาวไทยเชื้อสายจีนคืนแรกผ่านไป หมอ แครราย เจมส์มาร์ทคอร์ บุตรสาวคนเดียวก็ได้ตรวจดูความเรียบร้อยภายในศาลาที่ตั้งศพ เมื่อประตูศาลาปิด เธอกับ สตีป เจมส์มาร์ทคอร์ สามีกับลูกสาว 2 คนก็ขึ้นรถกลับบ้าน แต่พอตอนเช้าทันทีที่ประตูศาลาเปิดเธอก็จัดอาหารเช้าเข้าไปวางให้อนุชาติตามความเชื่อโบราณ พลางไล่ทำความสะอาดและสำรวจบริเวณตั้งศพไปรอบๆ อย่างเป็นปกติ กระทั้งเจอเข้ากับกานธูปปักคาอยู่ในกระถางประกอบกับที่เชิงเทียนก็คล้ายจะมีน้ำตาเทียนเพิ่มจากเมื่อเย็นวาน หนำซ้ำยังมีมาลัยดอกมะลิวางค้างอยู่บนโลงศพพวงใหญ่ด้วย
“เอ้…ใครกันนะ” เธอคิดนิ่งๆ สักพักชายชราผมขาวคนดูแลศาลาก็เดินถือกล่องธูปมาเพิ่มสำหรับงานช่วงเย็น เธอจึงถามขึ้น “คุณตาคะ…เมื่อคืนหลังจากปิดศาลามีใครเข้ามาไหว้คุณพ่ออีกไหมคะ”
“อ้อ…มีครับ เกือบจะ 5 ทุ่มมีชายหนุ่มผิวขาวหน้าตาดีทีเดียวอายุน่าจะไล่เลี่ยกับหนูนี้แหละมายืนลับๆ ล่อๆ อยู่หน้าประตูขณะที่ตากลับมาเปลี่ยนธูปรอบ 2 เขาบอกเป็นลูกชายของผู้เสียชีวิต ตาเลยอนุญาต เขานั่งร้องไห้อยู่พักใหญ่ก่อนจะขึ้นรถแท็กซี่กลับไปเกือบๆ จะเที่ยงคืนนั้นแหละ ใช่พี่ชายหนูหรือเปล่า”
แครรายยกมือปิดปากตาแดงน้ำตาคลอเกือบจะล้นออกมา “นุ…ใช่! ต้องเป็นนุแน่นอน”
อีกคน
ฝนแรกของฤดูกระหน่ำปิดฟ้าตั้งแต่บ่ายห้าโมงเย็น กระนั้นพิธีสวดอภิธรรมและพิธีกงเต็กก็ยังดำเนินต่อจนจบ ฝนก็ไม่ยอมทิ้งช่วง 4 ชั่วโมงผ่านไปจึงค่อยๆ ซาเม็ดลง ผู้คนรวมทั้งเจ้าภาพต่างทยอยกลับ จนกระทั้งประตูศาลาที่ตั้งศพกำลังจะปิดชายหนุ่มชุดดำสวมแว่นดำใส่หมวกแก๊ปสีเดียวกันก็ปรากฏตัวขึ้น
“ขอให้ผมไหว้คุณพ่ออีกสักคืนเถอะครับตา” น้ำเสียงของเขาดังสม่ำเสมอ
“อ้าว! เราอีกแล้วเหรอ…ตามสบายเลยลูกเดี๋ยวตาเอาสายสิญจน์ไปคืนหลวงพ่อก่อน…มาดึกทุกคืนเลยนะ”
“ขอบคุณครับ….” เขาถอดรองเท้าที่เปียกน้ำฝนไว้ด้านนอกก่อนจะเดินช้าๆ ไปยังหน้าพิธีที่มีโลงศพสีทองประดับดอกไม้ไฟกระพริบพวงหรีดจากหลายสำนักหลายบริษัทจนนับไม่ถ้วน เมื่อธูปดอกเดียวถูกจุดจนเห็นควันสีขาวลอยอ้อยอิ่งขึ้นด้านบน แผ่นหลังที่เปียกชุมก็สะท้านราวกับแผ่นดินไหว
“คุณพ่อครับ คราวนี้นุไม่เหลือใครบนโลกแล้วจริงๆ ขอบคุณสำหรับทุกๆ สิ่ง ขอบคุณที่คุณพ่อยังเคารพการตัดสินใจของคุณแม่….ขอบคุณที่คอยช่วยเหลือนุมาโดยตลอด ถึงวันนี้นุจะไม่ใช่ทาญาติตระกูลเชาว์ ซึ่งก็ไม่ใช่มาตั้งแต่แรก แต่คุณพ่อก็ยังรักและเสียสละหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อนุ คำขอสุดท้ายที่คุณพ่อแจ้งไว้กับทนายอำพล นุจะสานต่อให้จบ”
และขณะที่เขากำลังล่องลอยอยู่คนเดียว เงาของคน 2 คนก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังเงียบๆ…
“นายน้อย…นายน้อยใช่ไหมครับ” เสียงคนขับรถประจำตัวของอนุชาติดังต่ำๆ อนุชัยสะดุ้งอย่างคาดไม่ถึง เขารีบเช็ดน้ำตาแบบลวกๆ แต่วงแขนเรียวๆ ขาวๆ ก็เข้าโอบรัดจากด้านหลังอย่างไม่ทันตั้งตัว
“นุ อนุชัย ตัวเองไปอยู่ไหนมา ฮื้อๆ….” แครรายพุ่งเข้าไปนั่งกอดสะอื้นตัวโคลง อนุชัยเองขณะที่ยังไม่เห็นหน้าแค่น้ำเสียงราวกับกระดิ่งต้องลมกับกลิ่นกุหลาบบางๆ ก็ทำให้ต้องยกฝ่ามือขึ้นประกบแขนสะอื้นจนพูดอะไรไม่ออกไปหลายนาที “ตัวเองทำไมโง่อย่างนี้นุ…ทำไมตัวเองต้องเสียสละมากมายถึงเพียงนี้ แครไม่เข้าใจ นุ นุ ตัวเองทำไมบ้าได้ถึงเพียงนี้ ฮื้อๆ”
เมื่อเวลาเข้ามาบำบัดจนโพลงจมูกรู้สึกโล่ง อนุชัยจึงค่อยๆ ถอดหมวกแก๊ปวางลงกับพื้นและหันมาเผชิญหน้ากับหญิงสาวที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นรักแรกของเขา “แครรี่ เค้า….”
“ตัวเองไปอยู่ไหนมานุ….”
“แคร…เค้ายังบอกตัวเองในเวลานี้ไม่ได้ รอสักระยะเมื่อพร้อมตัวเองจะรู้เอง” อนุชัยพูดด้วยน้ำเสียงเกือบปกติ
“แล้วทำไมตัวเองต้องเสียสละถึงเพียงนี้ ในเมื่อตัวเองคือทาญาติตระกูลเชาว์แท้ๆ ผิดกับเค้า เค้าต่างหากคือคนนอก เสมือนลูกกาฝากในบ้านแท้ๆ….นุ ทำไม ตัวเองคิดอะไรอยู่” แครายซักยาวจนอนุชัยเบือนหน้าหลบสายตาออกไปด้านนอก
“เค้าคือธารากรณ์แครรี่ ธารากรณ์ไม่เคยทิ้งเค้า ธารากรณ์โอบอุ้มเลี้ยงดูเค้าตั้งแต่คุณแม่ตัดสินใจทิ้งบ้านตระกูลเชาว์ไปแล้ว เค้าอยู่ข้างคุณแม่ เคารพการตัดสินใจของคุณแม่เพราะกว่าผู้หญิงจะตัดสินใจทำอะไรสักอย่างเธอย่อมรอบคอบและคิดว่าดีที่สุด…ตัวเองเป็นผู้หญิงย่อมเข้าใจข้อนี้ดี….ไม่เอา ไม่ร้องไห้แล้วเดี๋ยวคุณพ่อจะไม่สบายใจ”
“นายน้อยพูดถูกต้อง เพราะผมเองเมื่อไม่มีนายชาติ ผมก็อยู่บ้านตระกูลเชาว์ต่อไม่ไหวเช่นกัน” คนขับรถที่รู้จักกันเป็นอย่างดีพูดจากด้านหลัง อนุชัยพยักหน้าขอบคุณ แครรายปล่อยวงแขนมากุมมืออนุชัยไว้แน่น
“แต่ตัวเองน่าจะได้อะไรเพื่อเป็นการชดเชยบ้าง….แครว่ามันไม่ยุติธรรมกับแม่พรและตัวเองอีกคน”
“เค้าไม่สนมรดกจากบ้านตระกูลเชาว์หรอกแคร แต่เค้าเป็นห่วงตัวเองมากกว่า” อนุชัยพูดพร้อมกับจ้องแครายนิ่งๆ “ตัวเองจะกลับแคนาดาเมื่อไร”
“ก็หลังงานศพคุณพ่อแล้วเสร็จนั้นแหละ”
“เค้าอยากให้ตัวเองกลับก่อนพินัยกรรมจะเปิด” อนุชัยจับใบหน้าอดีตคนรักให้มองเขาตรงๆ “กลับให้เร็วที่สุด ตัวเองต้องเชื่อเค้านะ”
“นุ นุ…ตัวเองจะไม่บอกเค้าสักคำเลยเหรอว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่”
“ตัวเองรู้แค่ว่าเค้าสบายดีก็พอแล้ว….” และอนุชัยก็หันไปพูดกับคนขับรถที่นั่งมองในระยะ 2 เมตร “พี่นพ…ผมได้จัดการเรื่องสถูปคุณพ่อไว้ข้างๆ คุณแม่ตามความต้องการของท่านเรียบร้อยแล้ว วานพี่สานต่อให้จบที คุณพ่อจะได้สบายใจและผมฝากค่าใช้จ่ายทั้งหมดไว้กับทนายอำพลแล้วเช่นกัน”
“ตัวเองหมายความว่า….”
“เค้าจะต้องกลับพรุ่งนี้เช้าไฟท์ตี 5.45 น. แครรี่”
“นุทำไมตัวเองถึงใจร้ายได้ถึงเพียงนี้….ตัวเองรู้ไหมว่าตอนนี้พี่ชายเป็นอย่างไรและกำลังทำอะไรอยู่”
“อย่าแครรี่….อย่าเอ่ยชื่อเค้าให้นุเจ็บปวดไปมากกว่านี้อีก มันจบไปแล้ว” อนุชัยลุกยืนพร้อมกับเธอพลางขยับเท้าห่างออกไปเรื่อยๆ
“นุ…พี่ชาย…พี่ชาย เค้า เค้า”
“อย่า อย่าพูด อย่าเอ่ยชื่อคนๆ นั้นให้เค้าได้ยิน….เสร็จงานตัวเองต้องบินกลับแคนาดาทันทีเข้าใจไหม”
“นายน้อย นายน้อยครับจะไปไหนครับผมไปส่งได้”
“ผมไม่ใช่นายน้อยบ้านตระกูลเช้าอีกแล้ว ขอบคุณมากผมกลับเองได้”
“นุ อนุชัย ตัวเองจะไม่บอกลาเค้าสักคำเลยเหรอ นุ นุ นุ”
“คุณหนูครับ คุณหนู นายน้อย นายน้อย….คุณหนูครับนายน้อยลืมหมวกแก๊ป”
“เปล่า!….เขาจงใจจะฝากแครไปให้พี่ชายต่างหาก…ฮื้อๆ นุ อนุชัย”
………เม็ดฝนปอย ปอย….ท้องฟ้าเหนือศาลาก็มืดมิด……….
……….ทางข้างหน้าไร้แสงไฟ ทุกสิ่งทุกอย่างจึงเคลือบด้วยสีดำ………
………กระนั้นเจ้านกป่าก็ยังสะบัดปีกสีน้ำตาลทวนพายุ………
………ป่าที่เรียกบ้าน คอนที่เรียกห้อง อยู่แห่งหนตำบลใด……….
……….จะอบอุ่นหรือเหน็บหนาว ข้ามฟ้า ข้ามมหาสมุทร……….
………แสงตะวันเท่านั้นที่รู้ ข้าจึงแอบอิจฉาดวงตะวัน……….
ก่อนหน้านี้ 1 เดือน
ที่ร้านอาหาร Pizzeria บนถนน Georges River เมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย บ่าย 2 โมงอากาศค่อนข้างเย็น ชายหนุ่มสวมแจ๊คเก็ตตัวใหญ่ มีแว่นกันแดดเคลือบปรอทปักไว้บนผมสีดำเดินเข้ามาในร้าน เขาพูดคุยเป็นภาษาอังกฤษที่เคาน์เตอร์สั้นๆ ก่อนพนักงานสาวฝรั่งผมสีทองจะเดินนำไปยังมุมด้านใน พอเจอกับทนายอำพลที่นัดเอาไว้เขาก็ผงกหัวขอบคุณเธอเร็วๆ “Thanks…”
“Hi! สวัสดีครับ คุณ…”
“ผมอำพลเป็นทนายความของ คุณอนุชาติ เชาว์ ครับนายน้อย” เขาเลือกใช้การทักทายแบบฝรั่งโดยการลุกจับมือแล้วทั้งคู่ก็นั่งลงแบบสบายๆ
“ไม่น่าลำบากมาไกลถึงซิดนีย์เลยนะครับ ว่าแต่อาการของคุณพ่อเป็นอย่างไรบ้าง” อนุชัยถามกลับเร็วๆ
“หลังๆ อาการท่านไม่สู้ดีทรุดลงทุกวัน นายน้อยจะไม่กลับเมืองไทยไปเยี่ยมท่านจริงๆ เหรอครับ” ทนายอำพลถามราวกับมีนัยยะบางอย่าง
อนุชัยดึงแว่นเหน็บไว้บนหัวมาสวมเพื่ออำพรางอารมณ์ที่ไม่อยากให้อีกคนเห็น “ผมกับคุณพ่อ เราเจอกันสั้นมากๆ ความสัมพันธ์แบบพ่อลูกจริงๆ จึงค่อนข้างน้อย….”
“นายน้อย แต่ท่านต้องการนายน้อยมากเลยนะครับ”
“……..” อนุชัยนิ่งพลางดันลมเข้าจมูกแรงๆ 2 ที “ผมคุยกับคุณพ่อหมดทุกเรื่องแล้วครับ”
“ท่านส่งผมมาเพื่ออ้อนวอนขอให้นายน้อยเปลี่ยนใจ นายน้อยครับท่านหวังดีกับนายน้อยจริงๆ นะครับ” ทนายอำพลจ้องกระจกแว่นไม่กระพริบ “ท่านรู้ตัวว่าจะอยู่ได้อีกไม่นาน ท่านจึงส่งผมมาเพราะเรื่องนี้โดยเฉพาะ”
“ขอบคุณครับ แต่ผมต้องเคารพการตัดสินใจของคุณแม่เป็นหลัก ท่านหนีจากบ้านตระกูลเชาว์และท่านก็เสียชีวิตเพราะคนบ้านตระกูลเชาว์” อนุชัยกลืนน้ำลายที่เริ่มหนืดเหนียว เขาคว้าแก้วน้ำที่เพิ่งวางจากพนักงานเสริฟชายเอเชียมาจิบบางๆ “ผมเองก็ต้องตายหากไม่ได้บ้านธารากรณ์เข้ามาช่วยเหลือ เพราะฉะนั้นผมจึงเลือกยืนอยู่ข้างคุณแม่ อย่าเอาผมเข้าไปเกี่ยวข้องกับพินัยกรรมหรือมรดกของบ้านตระกูลเชาว์เลยครับเพราะเวลานี้ผมคือธารากรณ์เต็มตัว”
“แต่นายน้อยครับ….”
“อย่าพยายามเลยครับคุณอำพลมันไม่ได้ผลหรอก….”
“ถ้าอย่างนั้นนายชาติฝากผมมาขอร้องนายน้อยเรื่องหนึ่ง ผมคิดว่านายน้อยไม่ควรปฏิเสธ….” ทนายอำพลพูดแล้วก็เงียบรอจังหวะ กระทั้งเห็นอนุชัยถอดแว่นเสียบไว้ที่เดิม เขาจึงได้จังหวะพูด “ท่านฝากผมมาขอร้อง หากเสียชีวิตท่านอยากไปอยู่ใกล้ๆ กับคุณแม่ของนายน้อยนะครับ”
อนุชัยสะอึกจนต้องจิบน้ำเปล่าเป็นรอบที่ 2 “คุณพ่อ….อยากไปอยู่ที่ อำเภอมวกเหล็ก เหรอครับ”
“ท่านแจ้งความจำนงว่าอย่างนั้น….และยังฝากสิ่งนี้มาให้นายน้อยด้วยและนายน้อยไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธท่านอีกเช่นกัน” ทนายอำพลวางเอกสาร 4 แผ่นเรียงกันตรงหน้า 2 ใบแรกเป็นหนังสือมอบอำนาจอีก 2 ใบเป็นหนังสือจากทางธนาคาร 2 แห่ง “นายน้อยครับนี้คือเงินฝากส่วนตัวของนายชาติที่ท่านต้องการจะส่งต่อให้นายน้อยช่วยดูแล”
อนุชัยเชิดหน้าสูงเพื่อกรอกน้ำตาให้ไหลกลับเข้าข้างใน กระนั้น “คุณพ่อทำแบบนี้ทำไมกัน”
“ก็เพราะท่านมีลูกชายคนเดียวไงละครับนายน้อย”
“คุณพ่อ…..”
ที่บ้านตระกูลเชาว์หลังจากงานศพผ่านไปแล้ว 100 วัน
ขณะที่แดดแรกพึ่งทำงานไม่ถึง 2 ชั่วโมง แสงสีครีมน้ำนมก็มาพร้อมกับอุณหภูมิที่ทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว เสียง ดร.ชวนนท์ที่เดินตามหลังคุณหญิงพวงพรลงบันไดมาก็ดังขึ้น
“ผมไม่เข้าใจจริงๆ คุณหญิงพอจะรู้ไหมว่าทำไมทนายความบ้านตระกูลเชาว์ถึงต้องตามให้เข้าไปรับฟังเปิดพินัยกรรมบ้าๆ นั้นด้วย”
“คุณคะ….คุณกับอนุชาติเป็นเพื่อนรักกันไม่ใช่เหรอ….และอีกอย่าง….” คุณหญิงพวงพรหยุดที่โถงทางออกและหันกลับไปจ้องหน้าสามีตรงๆ จนดร.ชวนนท์เกิดอาการประหม่าเห็นได้ชัด
“คุณหญิงจ้องผมทำไมเนี้ย….ไหนว่ารีบไม่ใช่เหรอ”
“นอกจากคุณกับอนุชาติจะเป็นเพื่อนรักกันแล้ว คุณ….คุณยังเป็นพ่อของหนูแครรายด้วย จำไม่ได้รึไงคะ”
“เรื่องมันผ่านไปนานแล้วน่าคุณหญิง อย่ายกขึ้นมาเป็นประเด็นเลย” ดร.ชวนนท์พยายามบ่ายเบี่ยง
“ดิฉันไม่ได้หาเรื่องและดิฉันก็หมดไฟหึงหวงไปนานแล้วด้วย แต่ที่ดิฉันย้ำก็เพื่ออยากจะเห็นคุณทำเพื่อหนูแครราย ลูกสาวอีกคนของคุณบ้าง เธอเหมือนตัวคนเดียวในโลกนะคะ….”
ดร.ชวนนท์เชิดหน้าราวกับคนคิดไม่ตก “นั้นนะซิ วันนี้ผมเลยต้องไปบ้านตระกูลเชาว์เพื่อปกป้องลูกสาวซินะ”
“คะ ดิฉันก็คิดว่าอย่างนั้น ไปคะคุณ งานนี้เราต้องร่วมมือกันปกป้องผลประโยชน์ของลูกสาวเราแล้วละ”
“ขอบคุณคุณหญิงมากๆ ที่ไม่ถือโทษโกรธผมเลยสักนิด”
“คนเราไม่มีใครสมบูรณ์แบบหรอกคุณ แม้แต่พระพุทธรูปในอุโบสถที่นั่งยิ้มนิ่งๆยังมิวายจะมีคนตำหนิ…ไปๆ รีบเถอะเดี๋ยวเจ้าภาพรอ” คุณหญิงพวงพรห้อยกระเป๋าผ้าไหมที่ข้อศอกนำหน้า เธอไปด้วยชุดเรียบๆ สีครีมแต่ก็ดูดีใช่เล่น “ดูเน็คไทด์คุณซิ ชวนนท์คะคุณต้องให้ดิฉันจัดเข้าที่ให้ทุกครั้งเลยรึไงไม่ทราบ”
“ยิ่งแก่ยิ่งขี้บ่นนะคุณเนี้ย ไปๆ เดี๋ยวอนุชาญจะรอนาน”
เมื่อรถเบนซ์สีดำจอดเข้าที่ แม่บ้านพูดภาษาไทยไม่ชัดก็เดินนำเข้าสู่เรือนรับรองข้างสระว่ายน้ำขนาดมาตรฐาน แขกที่เข้าร่วมรับฟังการอ่านพินัยกรรมของอนุชาติประกอบไปด้วยหลายคนหลายฝ่าย อนุชาและท่านผู้หญิงแขไขที่ยังไม่พ้นโทษได้ส่งทนายความส่วนตัวเข้าร่วมและหนึ่งในนั้นที่โดดเด่นเห็นจะเป็นเด็กหนุ่มผิวขาวตัวสูงโปร่งดูดีราวกับพระเอกเกาหลีที่เป็นอดีตคนขับรถให้กับท่านผู้หญิงแขไข
“นายมาทำอะไรปกรณ์” อนุชาญซึ่งเป็นลูกชายคนกลางของบ้านตระกูเชาว์ถามอย่างมีจุดประสงค์จะขับไล่ ปกรณ์จ้องหน้าอนุชาญนิดๆ ก่อนจะลุกและขณะที่ปลายเท้ากำลังจะแตะขอบประตูทางออก เสียงทนายความอำพลที่นั่งอยู่หัวโต๊ะก็ดักเอาไว้
“คุณปกรณ์ต้องอยู่ในห้องด้วยไม่เช่นนั้นผมจะอ่านพินัยกรรมฉบับนี้ไม่ได้”
“เขาก็แค่เด็กขับรถในบ้าน จะสำคัญอะไรนักหนา” น้ำเสียงอนุชาญเหมือนจะปนโมโหมากกว่า 50เปอร์เช็นต์
“คุณอนุชาญคะดิฉันเป็นทนายความส่วนตัวของท่านผู้หญิงแขไขขอยืนยันตามทนายอำพลว่าอย่างไรเสียปกรณ์ก็ต้องอยู่ในห้องนี้ด้วยคะ” หญิงวัยกลางคนรูปร่างท่วมสวมชุดสูทเป็นทางการสนับสนุนอีกคน
“คุณปกรณ์เชิญครับ…” เสียงทนายอำพลดังขึ้นอีก ปกรณ์จึงเดินกลับมานั่งที่เดิม จนเป็นเหตุให้อนุชาญถึงกับควันออกหู
“นายสำคัญอะไรนักหนา หรือถือว่าหล่อเลยเอาตัวเข้าแลกมาละซิ” อนุชาญกดเสียงต่ำกระซิบ แต่ปกรณ์ก็ยังนิ่ง เขาเหลือบมองตามแผ่นหลังอนุชาญด้วยความรู้สึกที่ดูไม่ออกกระทั้งอนุชาญเข้าที่
“เอาละเมื่อทุกท่านมาพร้อมหน้าพร้อมตาแล้วกระผม ทนายอำพล โรจน์ชัยนาม ทนายความประจำบ้านตระกูลเชาว์ซึ่งได้รับอำนาจเต็มจากคุณอนุชาติ เชาว์ ผู้วายชนม์จึงขอปฏิบัติหน้าที่เลยนะครับ หากท่านใดมีข้อขัดแย้งกรุณายกมือ ผมจะเปิดโอกาสให้พูดทีละท่าน ตกลงตามนี้นะ ขอบคุณครับ….”
แล้วทนายอำพลก็เริ่มอ่านพินัยกรรมจากลายมือของอนุชาติกว่า 3 หน้ากระดาษช้าๆ ชัดๆ กระทั้งถึงความประสงค์ในการแบ่งมรดกกงสีของบ้านตระกูลเชาว์ให้กับทาญาติและบุคคลที่เกี่ยวข้องในครอบครัว…….
“ผู้ที่จะได้รับมรดกกงสีของบ้านตระกูเชาว์มีทั้งหมด 5 ท่านด้วยกันนะครับ
1. นายอนุชา เชาว์ ลูกชายคนเล็กได้รับมรดกเป็นจำนวน 20 เปอร์เซ็นต์ของเงินกงสี
2. นายอนุชาญ เชาว์ ลูกชายคนกลางได้รับมรดกเป็นจำนวน 25 เปอร์เซ็นต์ของเงินกงสี”
อนุชาญหน้าถอดสีพร้อมกับยกมือโวยวาย “ทำไมอั๊ว!ได้แค่นี้ละ…เฮียชาติเสียชีวิตแล้วเงินทั้งหมดก็ต้องเป็นของอั้ว!ไม่ใช่เหรอ”
“รอให้ผมอ่านให้จบก่อนเถอะ”
อนุชาญหงุดหงิดจนอยากจะฆ่าใครสักคนแต่ก็จำใจนั่งลงที่เดิมแบบเด็กดื้อ
“ 3. นางสาวแคราย เชาว์ หรือปัจจุบันใช้นามสกุล เจมส์มาร์ทคอร์ ตามสามีซึ่งเป็นบุตรสาวของผู้วายชนกับท่านผู้หญิงแขไขได้รับมรดกเป็นจำนวน 15 เปอร์เซ็นต์ของเงินกงสี
4. ชายนินามรอผลตรวจ DNA. กระผมขอสงวนชื่อไว้ก่อน ได้รับมรดกเป็นจำนวน 10 เปอร์เซ็นต์ของเงินกงสี…. 5”
……..เสียงซุบซิบภายในห้องดังขึ้น ทนายอำพลหยุดอ่านพินัยกรรม เขารอกระทั้งเสียงฮึ่มๆ เงียบลง…. “5. ดช”……และเสียงฮึ่มๆ ก็ดังขึ้นมาอีกรอบ ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่ทนายอำพลไม่กระพริบ…. “ 5. ดช.อานนท์ สายสกุล ได้รับมรดกเป็นจำนวน 30 เปอร์เซ็นต์ของเงินกงสี”
คุณหญิงพวงพรกับดร.ชวนนท์หน้าซีดเผือดพร้อมกับจับมือกันแน่น ฝ่ายอนุชาญ เชาว์ได้แต่กัดฟันก้มหน้านิ่งจนเดาอารมณ์ไม่ออก
“คุณคะ คุณคะ”คุณหญิงพวงพรใช้นิ้วสะกิดสามีดร.ชวนนท์จึงได้สติ
“ระเบิดเวลาถูกจุดขึ้นอีกลูกแล้วละคุณหญิง”
“ทำไมอนุชาติต้องทำแบบนี้ คุณคะ เราจะทำอย่างไรดี” คุณหญิงพวงพรก้มกระซิบจนคล้ายจะ
ร้องไห้ กระทั้งทนายอำพลสรุปเขาจึงเป็นคนแรกๆ ที่เดินออกจากห้องไปเร็วๆ
เมื่อบ้านตระกูลเชาว์กลับมาเป็นปกติ อนุชาญ เชาว์ที่ยังจมคิดอยู่ที่เดิมก็ยังนิ่งราวกับหุ่นหินจนคนขับรถส่วนตัวเดินเข้ามาเรียก
“นายชาญ นายชาญครับ”
“หานักสืบให้อั๊ว! หน่อย….”
“อะ อะ ไรนะครับ”
“อั๊ว! บอกหานักสืบฝีมือดีมาให้อั๊ว! หน่อย….นี้ถ้าอาชาอยู่คงจะคุยรู้เรื่องมากกว่าลึ!….”
“ครับๆ ได้ครับ”
เพียงแค่อาทิตย์เดียวเอกสารหลายแผ่นก็มากองอยู่ตรงหน้า อนุชาญจมเครียดเช่นเดียวกับวันอ่านพินัยกรรม เขาไล่อ่านเอกสารทีละแผ่นที่ละหน้าถึงแม้จะอ่านไปแล้วหลายรอบ กระทั้งหันไปจ้องรูปอนุชาติที่แขวนอยู่บนผนังด้านใน เขาจึงลุกเดินไปยืนจ้องรูปพี่ชาย นาน นาน กระทั้ง “อ้อ! เป็นแบบนี้นี่เอง เฮียชาติทำไมเฮียไม่บอกอั๊ว! เฮียไม่ไว้ใจอั๊ว! ตั้งแต่เมื่อไรกัน”
หลังจากอ่านพินัยกรรมจบลง…คุณหญิงพวงพร กับ ดร.ชวนนท์ขณะอยู่ภายในรถกำลังจะกลับบ้านสายสกุล
“คุณคะ….เราต้องเหนื่อยอีกรอบแล้วใช่ไหม”
“หนักเลยละคุณ นึกไม่ถึงว่าอนุชาติจะทำกับเราแบบนี้ได้”
“อนุชัยกลับไม่มีชื่อรับมรดก แต่ลูกชายที่เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำต้องมารับกรรมแทน คุณคะดิฉันกลัว” คุณหญิงพวงพรเสียงสั่นก่อนจะสอดมือเข้าวงแขนไปกุมมือสามีแน่น
“ใจเย็นๆ คุณหญิง แต่ผมกำลังสงสัยข้อหนึ่ง ชายนิรนามที่ได้รับมรดกตั้ง 10 เปอร์เซ็นต์ซึ่งเป็นเงินจำนวนไม่น้อยเป็นใคร คุณพอจะรู้ไหม”
คุณหญิงพวงพรจ้องหน้าสามีและพยักหน้าเห็น “ดิฉันเป็นคนทำคลอดเขาเองกับมือคะ”
จบ อนุชาย2 บทที่3 เปิดพินัยกรรม