อนุชาย2 บทที่34 มรดกเลือด
ตำรวจแบ่งกำลังออกติดตามมือปืนหลายกลุ่ม หนึ่งในเป้าหมายนั้นก็คือคนขับรถคนใหม่ของอนุชาญที่ชื่อว่า “หมาย” หลังก่อเหตุบนอาคารจอดรถภายในสนามบิน ผ่าน 48 ชั่วโมงคนแรกที่เขาต้องการไปพบเพื่อเบิกเงินที่จะต้องใช้ในการหลบหนีจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเจ้าของเซฟเฮ้าส์ในไร่ภูตะวันที่ อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมานั้นเอง
ย้อนกลับไปเมื่อเวลา 03.00 น.ของคืนที่ผ่านมา…
โคมไฟริมถนนภายในหมู่บ้านยังคงสว่างและให้ความรู้สึกปลอดภัยไม่ต่างจากเวลากลางวัน ยิ่งมีแสงโคมบนรั้วรอบๆ บ้านหลังใหญ่ทรงร่วมสมัย 3 ชั้นสีครีมเสริมเข้าไปด้วยแล้ว แม้แต่แมลงหวี่ยังเล็ดลอดสายตาเข้าไปภายในได้ยาก สยามยามวัยใกล้ 90 ปียังปฏิบัติหน้าที่อยู่ภายในป้อมยามขนาด 2 เมตรคูณ 2 เมตรอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เสียงเพลงจากนักร้องสาวชาวจีน เติ้ง ลี่จวิน ยังคลอเป็นเพื่อน…ในขณะที่ทุกคนในบ้านหลังใหญ่กำลังหลับใหล เขาดื่มชาและกาแฟหลังเที่ยงคืนอย่างละแก้ว กระนั้นกาน้ำร้อนที่ตั้งอยู่ข้างๆ ก็ยังเดือดปุดๆ รอกากชาแก้วสุดท้ายก่อนจะสว่าง กิจวัตรซ้ำๆ เช่นนี้เกิดขึ้นมาหลายสิบปีตั้งแต่จำความได้ อีกสิ่งหนึ่งที่เขาชื่นชอบมากเป็นพิเศษเห็นจะเป็นภาพยนตร์จีนบู้ล้างผลาญ-กำลังภายในเก่าๆ จากโทรทัศน์เครื่องเล็กๆ เหนือหัว ถ้าเมื่อไรถึงบทที่มีข้อความประมาณว่า
#ท่านพ่อ…จะ 10 ปีหรือ 100 ปีข้าก็จะตามล้างแค้นแทนท่านให้สาสม ข้าสัญญา# รอยยิ้มเหี้ยมๆ จนเดาอารมณ์ไม่ถูกก็จะฉายออกมาและทันทีที่เสียงนาฬิกาบนผนังภายในเรือนรับรองข้างสระว่ายน้ำบอกเวลา 03.00 น. เขาก็เงยหน้าลุกยืดตัวบิดขี้เกียจเพื่อขับไล่ความง่วง เวลาเดียวกันเสียงรถมอเตอร์ไซด์จากหน้าหมู่บ้านก็ใกล้เข้ามา เขาขยับตัวให้มั่นคงไฟฉายและกระบองที่วางคู่กันถูกหมายตาเอาไว้…ในที่สุดมันก็เป็นจริงดังคาด เมื่อชายรูปร่างสูงสวมหมวกกันน๊อกสีเทา-แดงขับรถมอเตอร์ไซด์สีดำ-ขาวมาจอดเทียบ กระนั้นเขาก็ยังไม่ขยับ จนกระทั้งชายคนดังกล่าวถอดหมวกกันน๊อกเสียบไว้กับกระจกแล้วตรงดิ่งเข้ามาหา สยามก็ยังไม่ขยับอีก
“หมาย….” สยามเรียกชื่อราวกับคุ้นเคยเป็นอย่างดี “มัวทำอะไรอยู่ เวลานี้แกน่าจะอยู่ในเขมรแล้วนะ”
“กว่าจะหลบตำรวจมาได้” หมายบอกพลางจุดบุหรี่สูบอย่างใจเย็น กระทั่งสยามวางซองเอกสารสีน้ำตาลที่บรรจุเงินสดจำนวนหนึ่งให้ เขาคว้าไปหนีบไว้ในรักแร้พร้อมกับพ้นควันสีขาวทิ้ง จนสยามต้องกระทุ้งเสียงดัง
“ยังไม่ไปอีก….โดนจับขึ้นมาจะซวยกันหมด”
นาทีเดียวกันชายลึกลับไม่ต่ำกว่า 10 คนไม่รู้มาจากทางทิศไหนก็กรูเข้าตะครุบตัวพร้อมกับปิดปากคนทั้งคู่ลากไปขึ้นรถยนต์ที่พุ่งเข้ามารับ อีก 2 คนก็ยกรถมอเตอร์ไซด์ยัดใส่ท้ายกระบะอย่างไม่ประณีต ไม่ถึง 10 นาทีทุกสิ่งทุกอย่างก็กลับเข้าสู่สภาพเดิมราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น….
อีก 12 นาทีจะ 11 โมง
ปกรณ์ เชาว์ พร้อมกำลังตำรวจไม่ต่ำกว่า 50 นายก็ปิดล้อมบ้านตระกูลเชาว์ในรัศมี 100 เมตรไว้ทุกด้าน 30 นาทีผ่านไปสัญญาณบอกให้เข้าจู่โจมจากคนข้างในก็ดังขึ้น
สมหวังเห็นและได้สติก่อนคนอื่นๆ เขาวิ่งตรงไปยังรถเบนซ์ที่จอดอยู่หน้าบ้านโดยมีซ้อหงส์ร้องโหยหวนอย่างกับคนบ้าอยู่ในเรือนรับรอง
“อ๊ากกกกกกก!……”
ยามและคนใช้ไหลไปรวมกันมุมประตูด้านข้าง ตำรวจกลุ่มหนึ่งเข้าตะครุบตัวสมหวังขณะกำลังจะสตาร์ทรถ อีกกลุ่มก็ถือหมายจับเดินเข้าไปในเรือนรับรอง ปกรณ์แยกไปกันวิวกับซันที่ตกใจร้องไห้ออกประตูข้างพาเข้าไปสงบสติภายในตัวบ้าน อนุชากับทนายอำพลลุกยืนคล้ายกับหน้าที่ของพวกเขาสิ้นสุดลงแล้ว
“อ๊ากกกกก! ทำไมต้องจับฉัน ฉันทำอะไรผิด ฉันทำอะไรผิด” ซ้อหงส์ร้องสลับโวยวายไม่หยุขณะที่เจ้าหน้าที่ใส่กุญแจมือลากไปขึ้นรถ สมหวังดิ้นหนีตายเป็นครั้งสุดท้าย แต่กำแพงรั้วที่สูงไม่ต่ำกว่า 3 เมตรก็บังคับให้เขาจนมุม
“ผมไม่ได้ทำ ผมไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น ปล่อยผม ปล่อยกู ปล่อยกูซิโว้ย”
“เชิญครับ เราไปคุยกันที่โรงพักดีกว่า” นายตำรวจผู้ใหญ่ที่มาด้วยพูด แล้วรถตำรวจกว่า 10 คันก็แล่นเข้ามาจอดเทียบรับคนทีละกลุ่ม แม่บ้าน คนรับใช้ คนสวนและยามถูกเชิญไปให้ปากคำ ยกเว้น วิวกับซันที่อยู่ในความดูแลของปกรณ์ ไม่นานอนุชาและทนายอำพลก็เดินเข้าไปสมทบ
“แม่ แม่ ฮื้อๆ”
“ยายวิวฟังอา….” อนุชาจับไหล่เด็กสาว ขณะที่ปกรณ์โอบซันไม่ยอมปล่อยกระทั้งพวกเขาเข้าไปอยู่รวมกันในห้องรับแขกการพูดคุยอย่างเป็นทางการจึงเริ่มขึ้น
“อาชา อาชาขา เตี่ยเสียชีวิตแล้วจริงหรือค่ะ ฮื้อๆ” วิวถามอนุชาเป็นประโยคแรก
“เราไม่ใช่ลูกเตี่ยจริงหรือฮะ” ซันตามขึ้นติดๆ ปกรณ์จึงรวบมือวิวกับซันมารวมกัน เขามองหน้าทั้งคู่ในเชิงปลอบโยน
“ก่อนเตี่ยของพวกเราจะสิ้นลม ได้สั่งไว้กับ…..เอ่อ”
“นายเป็นพี่ใหญ่ของพวกเขาปกรณ์” อนุชาเตือน
“เตี่ยได้สั่งไว้กับเฮีย แม้ว่าเราจะไม่ใช่ลูกแท้ๆ แต่เตี่ยก็รักเหมือนลูก….เตี่ยก็ยังเป็นเตี่ย…เรา 2 คนก็คือลูกสาว-ลูกชายของเตี่ยและยังเป็นอาหมวย อาตี๋ของเฮียกับอาชาตลอดไป” ปกรณ์พูดยาวพร้อมกับตบหลังมือซันกับวิวไม่หยุด กระทั่งซันผวาเข้ากอดเขา ขณะที่วิวโผเข้ากอดอนุชา
“อาชาขา ฮื้อๆ อาอย่าทิ้งพวกหนู อาอย่าทิ้งพวกเรานะค่ะ ฮื้อๆ”
“อาเอีย อาเฮียครับ…..”
เมื่อสติของทั้ง 2 สงบลงจนเกือบเป็นปกติ ทนายอำพลที่นั่งรอจังหวะจึงพูดขึ้น “คุณหนูยังเป็นลูกสาวและลูกชายของพ่ออนุชาญ เชาว์ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง…” เขาเงียบประเมิน “เวลานี้คุณหนูโตพอจะรับรู้เรื่องราวทั้งหมด ลุงเลยต้องการจะให้รู้เรื่องนี้ไปพร้อมๆ กับทุกคนในบ้าน หวังว่าคงเข้าใจลุงนะ”
ซันกับวิวปาดน้ำตาก่อนจะพยักหน้าอย่างว่าง่าย
“บางทีเรื่องของผู้ใหญ่ เด็กๆ อย่างเราไม่ควรเข้ามาเกี่ยวแต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ ต่อจากนี้เป็นต้นไปอาสัญญาว่าจะดูแลพวกเราให้ดีที่สุด” อนุชาตบท้าย
……….รัตติกาล แรกสลัว มัวมืดมิด……….
………ราวจะปิด ชีวิตพรุ่งนี้ ที่ยุ่งเหยิง………
………เหมือนกับเชื้อ เพื่อรอไฟ ใต้แสงเพลิง………
………สิ้นเถลิง เริงลาภจบ ภพนิรันดร์……….
ตำรวจงัดหลักฐานตั้งแต่อดีตที่สยามอยู่เบื้องหลังอนุชาและท่านผู้หญิงแขไขขึ้นมาประกอบสำนวนฟ้อง จนล่าสุดกลุ่มมือปืนหลายกลุ่มที่ถูกจับก่อนหน้านี้ได้ซัดทอดมาที่อนุชาญ สมหวังและซ้อหงส์ตามลำดับ แต่เมื่อนำหลักฐานและข้อมูลเชิงลึกมารวมกันถึงได้รู้ว่าตัวการใหญ่ไม่ใช่พวกเขา แต่เป็นเจ้าของเซฟเฮ้าส์ภายในไร่ภูตะวันอำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา หลักฐานการครอบครองจากกลมที่ดินจึงมัดตัว นายสยาม แช่ลอ ยามเก่าแก่ประจำบ้านตระกูลเชาว์จนดิ้นไม่หลุด
ข้อมูลในส่วนนี้ นายสยาม แซ่ลอ ได้ให้การสารภาพภายหลังว่า ตัวเองควรจะใช้นามสกุล “เชาว์” ตามพ่อมาตั้งแต่ต้น แต่ในเมื่อคนตระกูลเชาว์ไม่ยอมรับ ซ้ำยังกดขี่ไม่ยอมให้ไปไหน แม่จึงเป็นได้แค่แม่ครัวจนกระทั้งเสียชีวิต ตัวเองก็ยังถูกบังคับให้เป็นยามในบ้าน มูลความแค้นจากอดีตจึงถูกสะสม การล้างแค้นถึงจะใช้เวลารอนานแค่ไหนก็ไม่มีวันสายและเมื่อสมหวังบุตรชายคนเดียวที่เขาส่งไปเรียนต่อที่ประเทศรัสเชีย แต่ก็เรียนไม่จบจนต้องกลับมาเป็นคนขับรถภายในบ้านอีกคน แรงแค้น-แรงอาฆาตจึงเพิ่มปริมาณเร็วขึ้นอย่างรวดเร็ว การยุยงและสังหารคนบ้านตระกูลเชาว์ด้วยสารพิษ โนวิชอก-คัสตาร์ด จึงถูกใช้เรื่อยมา
“อั๊ว!…เป็นลูกที่เตี่ยลืมเพียงเพราะแม่อั๊ว! เป็นคนใช้ อั๊ว! ไม่เคยได้รับความยุติธรรมมาตั้งแต่แรก เพราะฉะนั้นหากวันนี้ อั๊ว!โดนศาลตัดสินประหารชีวิต อั๊ว!ก็ไม่กลัว อั๊ว!ผ่านความกลัวมาสารพัดจนรู้สึกว่ามันคือเพื่อนแท้”
“แต่อากงก็รวยมากๆ ถึงขนาดเป็นเจ้าของไร่ภูตะวัน ยังไม่พอใจรึครับ” นายตำรวจถาม
สยามมองนายตำรวจแล้วก็ส่ายหัว “ไร่ภูตะวันเป็นสมบัติของคนแซ่ลอ ไม่ใช่มรดกส่วนที่เป็นสิทธิ์ที่อั๊ว! ควรจะได้รับจากคนตระกูลเชาว์ เพราะฉะนั้นมันจึงถูกเก็บเป็นความลับมาโดยตลอด”
“อากง”
“ในเมื่อเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว อั๊ว!ก็พร้อมจะตาย ตายไปพร้อมกับสิทธิ์และชีวิตที่ไม่เคยชัดเจน ได้โปรดให้ศาลเร่งตัดสินประหารชีวิตเร็วๆ ด้วยเถอะ อั๊ว! จะได้กลับไปสู่ ดิน-น้ำ-ลม-ไฟ ลืมว่าครั้งหนึ่งเคยเกิดมาเป็นมนุษย์ในตระกูลเชาว์ แต่ต้องใช้แซ่ลอตามแม่…เป็นได้แค่คนรับใช้และยามภายในบ้านของตัวเอง….พี่น้องก็เอาแต่ดูถูกเหยียบหยาม จนอั๊ว! ทนมีชีวิตต่อไปไม่ไหวแล้วละ”
นายตำรวจมองชายชราด้วยคำถามมากมาย “อากงมีอะไรจะฝากถึงลูกชายหรือเปล่าครับ ผมหมายถึง นายสมหวัง แซ่ลอ นะครับ”
สยามนิ่งค้างราวกับรูปปั้น เขาเป่าลมทิ้งสั้นๆ “หลานอั๊ว! 2 คน ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้แม้กระทั่งว่าอั๊ว! เป็นกงแท้ๆ สิ่งที่อั๊ว!อยากฝากจึงไม่ใช่ลูกชายที่กำลังจะถูกศาลตัดสินประหารชีวิต แต่เป็นอาตี๋-อาหมวยที่บ้านตระกูลเชาว์ บอกพวกเขาว่ากงแอบมอง-แอบชื่นชมและแอบรักพวกเขามาโดยตลอด”
“อากงคงหมายถึงคุณหนูวิว กับคุณซันใช่ไหมครับ”
สยามพยักหน้า “ใช่!”
“อากงไม่ต้องเป็นห่วง คุณอนุชาญก่อนจะเสียชีวิตได้ทำพินัยกรรมไว้ให้ทั้งหมดแล้วและคุณอนุชา เชาว์ กับคุณปกรณ์ เชาว์ เชาว์เองก็ได้รับปากว่าจะดูแลให้ดีที่สุด”
สยามยิ้มพร้อมกับหายใจยาวๆ เขามองหน้านายตำรวจราวจะขอบคุณ แต่…. “อั๊ว!ไม่มีอะไรจะแก้ตัว หรือพูดให้ตัวเองพ้นผิดแล้วละ พาอั๊ว!กลับเข้าห้องที อั๊ว! ง่วงนอนเหลือเกิน”
หลายคนในคดีนี้ถูกศาลตัดสินประหารชีวิตและอีกหลายคนถูกจำคุกตลอดชีวิต ซ้อหงส์ก็เป็นหนึ่งในนั้น อนุชา เชาว์ ย้ายกลับเข้ามาอยู่ในบ้าน คนใช้ คนขับรถหลายคนยังเต็มใจอยู่กับเขา แต่หลายคนก็ลาออกไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ การจัดการตามพินัยกรรมเดิมและพินัยกรรมฉบับใหม่ เขาจึงเป็นคนรับผิดชอบสะสาง ทนายอำพลถูกขอร้องให้ช่วยงานต่อจนกว่าจะจบ
“หากความยุติธรรมไม่มีซะแล้ว ก็อย่าถามหาความสงบสุขคุณอำพลว่าจริงไหมครับ”
“ครับ มันเป็นสมการตรงตัว 1 + 1 = 2 ไม่ว่าสังคมไหนหากไม่มีความเป็นธรรม สังคมนั้นก็นับวันถอยหลังสู่กาลล่มสลายได้เลย” ทนายอำพลกล่าวปิดท้าย รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยบาดแผลย่อมเจ็บปวดเสมอ จะนานหรือสั้นขึ้นอยู่กับหลายองค์ประกอบ แต่หากตัดขาดจากความโลภโมโทสัน มองให้เห็นความเป็นจริง อยู่กับความจริง สติครองชีวิตก็จะสร้างความสุขอย่างอัตโนมัติ
และเมื่อเหตุการณ์ได้ดำเนินมาถึงขั้นนี้ ดร.ชานนท์กับอนุชัยก็ไม่ลังเลจะนัด อนุชา ปกรณ์ รวมทั้งทนายอำพลเข้ามาปรึกษาหาทางออกและห้องคาราโอเกะหมายเลข 28 ภายในสวนอาหารสะบันงา บนถนนเกษตรนวมินทร์ ก็ถูกจับจองเพื่อใช้เป็นห้องประชุม
เมื่อถึงเวลานัดหมายทุกคนก็พร้อม
นายตำรวจใหญ่ผู้ดูแลคดี 3 นาย คุณหญิงพวงพรกับดร.ชวนนท์ผู้เป็นพ่อขอเข้าร่วมสังเกตการณ์ ทุกคนจึงสบายใจและพร้อมจะหาทางออกในมรดกเลือดก้อนนี้ ทันทีที่ทุกคนเข้าประจำตำแหน่ง เครื่องดื่มมีเพียงน้ำเปล่าก็ถูกเรียงพร้อมแก้วกระจายไปจนครบ เมื่อเห็นว่าได้เวลาทนายอำพล โรจน์ชัยนาม จึงกล่าวนำ
“ทุกๆ ท่านครับ กระผมนายอำพล โรจน์ชัยนาม เป็นทนายความและผู้ดูแลมรดกตามพินัยกรรมฉบับเดิมของคุณอนุชาติ เชาว์ รวมทั้งพินัยกรรมฉบับใหม่ของคุณอนุชาญ เชาว์ ที่เพิ่งเสียชีวิต กระผมจึงใคร่ขอทบทวนเพื่อความเข้าใจทั้งหมดดังนี้นะครับ….
- นายอนุชา เชาว์ ทายาทลำดับที่ 3 ได้รับมรดกเป็นจำนวน 20 เปอร์เซ็นต์ของเงินกงสี
- นายอนุชาญ เชาว์ ทายาทลำดับที่ 2ได้รับมรดกเป็นจำนวน 25 เปอร์เซ็นต์ของเงินกงสี”
- นางสาวแคราย เชาว์ หรือปัจจุบันใช้นามสกุล เจมส์มาร์ทคอร์ ตามสามีซึ่งเป็นบุตรสาวของ นายอนุชาติ เชาว์ กับท่านผู้หญิงแขไขได้รับมรดกเป็นจำนวน 15 เปอร์เซ็นต์ของเงินกงสี
- ชายนิรนามรอผลตรวจ ซึ่งปัจจุบันคือ นายปกรณ์ เชาว์ ได้รับมรดกเป็นจำนวน 10 เปอร์เซ็นต์ของเงินกงสี….
- ด.ช.อานนท์ สายสกุล หรือปัจจุบันคือ นายอานนท์ สายสกุล ได้รับมรดกเป็นจำนวน 30 เปอร์เซ็นต์ของเงินกงสี
ส่วนนี้คือพินัยกรรมเดิมของนายอนุชาติ เชาว์ ที่ยังไม่ถูกบังคับใช้…เนื่องจากเหตุผลใดนั้นเราทุกคนก็น่าจะรู้ดีและต่อมาเมื่อวันที่ XX เดือนมีนาคม พ.ศ. XXXX ก่อนคุณอนุชาญ เชาว์ จะเสียชีวิต ท่านได้เรียกกระผมเข้าพบเพื่อทำพินัยกรรมขึ้นมาเฉพาะส่วนของตัวเองดังนี้ ผมขออ่านตามลายมือของคุณอนุชาญที่ได้เขียนเอาไว้เลยก็แล้วกัน
วันที่ XX เดือนมีนาคม พ.ศ. XXXX
กราบเรียนท่านที่เกี่ยวข้อง ข้าพเจ้า นายอนุชาญ เชาว์ มีความประสงค์จะแบ่งมรดกเฉพาะส่วนที่ตัวเองได้รับตามพินัยกรรมของ นายอนุชาติ เชาว์ พี่ชายคือจำนวน 25 เปอร์เซ็นต์ของเงินกงสี หากข้าพเจ้าเสียชีวิตเพราะอะไรก็ตามขอให้แบ่งทรัพย์สินก้อนดังกล่าวออกเป็น 2 ส่วนเพื่อมอบให้บุตร 2 คนของข้าพเจ้าดังนี้
- นายโชคชาญ เชาว์ บุตรชายคนโตเป็นจำนวน 12.5 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนที่ได้รับตามพินัยกรรมเดิม
- น.ส.ชิดชนก เชาว์ บุตรสาวเป็นจำนวน 12.5 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนที่ได้รับตามพินัยกรรมเดิม
ข้าพเจ้าจึงขอให้ทุกคนทุกท่านที่เกี่ยวข้องได้ปฏิบัติตามนี้อย่างเคร่งครัด
ด้วยความปรารถนาดี
อนุชาญ เชาว์
ครับที่ผมได้อ่านไปนั้นก็เป็นพินัยกรรมที่คุณอนุชาญมอบไว้ก่อนจะเสียชีวิต สำหรับทายาทที่มีชื่อตามพินัยกรรมต้องมีอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์จึงจะมีสิทธิ์ตามพินัยกรรม สำหรับส่วนของกระผมก็มีเท่านี้ ท่านใดจะแย้งหรือเห็นต่าง เชิญได้เลยครับ” ทนายอำพลพูดจบก็ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มพร้อมกับกวาดสายตาไปรอบๆ ห้อง
“เออ…ผมขอพูดก่อนในฐานะคนนัดประชุมนะครับ” ดร.ชานนท์ใช้น้ำเสียงเป็นทางการ เขาหันไปมองอนุชัยที่นั่งอยู่ข้าง “กระผมกับแฟน ผมหมายถึงอนุชัยตลอดทั้งคุณแม่และคุณพ่อนั้นก็คือคุณหญิงพวงพร ดอกเตอร์ชวนนท์ สายสกุล…เป็นเวลาหลายปีมาแล้วนะครับ เกี่ยวกับมรดกเลือดก้อนนี้ เรามีความประสงค์จะสละสิทธิ์ไม่ขอเข้าไปเกี่ยวข้องกับกงสีของบ้านตระกูลเชาว์ เบื้องต้นทนายอำพลได้แจ้งเอาไว้ว่า ต้องให้นายอานนท์ สายสกุล ผู้ที่ถูกระบุในพินัยกรรมอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์เสียก่อนจึงจะยื่นขอสละสิทธิ์ได้ แต่ในเมื่อเกิดเหตุเลวร้ายขึ้นกับครอบครัว เราจึงรอให้ถึงวันนั้นไม่ไหว กระผมและครอบครัวจึงอยากจะขอความเห็นจากทุกๆ ท่านว่าพอมีทางอื่นที่จะช่วยเหลือเรื่องนี้ให้จบเร็วๆ หรือไม่” ดร.ชานนท์พูดจบ เขาก็วางสายตาไปทีละคน
“อันที่จริงเขาคือทายาทสายสกุลโดยตรง ไม่น่าเข้าไปเกี่ยวข้องกับบ้านตระกูลเชาว์ตั้งแต่แรก ผมของเสริมเท่านี้ครับ ขอบคุณมาก” อนุชัยต่อ เขาพยักหน้าให้ดร.ชานนท์กระทั่งเห็นคุณหญิงพวงพรกับดร.ชวนนท์ที่นั่งอยู่ริมสุดพยักหน้ายืนยัน
“ครับ….เอ่อ….ทุกๆ ท่านครับ….” ปกรณ์พูดคล้ายจะเกร็ง เมื่อสายตาทุกคู่จ้องไปที่เขา “คือสำหรับส่วนที่คุณพ่อ เอ่อ คุณอนุชาติ เชาว์ ได้มอบไว้ให้นั้น ผมต้องขอขอบพระคุณมากๆ แต่สิ่งที่ต้องการไม่ใช่มรดก ผมเพียงแต่อยากได้ชีวิตตัวเองกลับคืนมา ซึ่งบัดนี้ผมก็ได้ส่วนนั้นครบถ้วน เอ่อ….สำหรับเรื่องอื่นๆ หมายถึงทรัพย์สินเงินทองของบ้านตระกูเชาว์ ผมไม่ต้องการเช่นเดียวกับอาตี้….จึงอยากขอสละสิทธิ์ด้วย….เออ…ขอบคุณมาก”
“คุณอนุชาครับ เชิญครับ” ทนายอำพลวาดมือไปยังเขา อนุชาเงยหน้าสำรวจสักพัก
“เรียนทุกท่านที่เคารพ….กระผม นายอนุชา เชาว์ ในฐานะผู้จัดการมรดกคนใหม่ ทุกคนครับ พวกเราทุกคนครับ” อนุชาพูดพร้อมกับทิ้งสายตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดให้เห็น “บทเรียนจากมรดกเลือด…เราได้รับ ได้เห็น ได้เผชิญกันถ้วนหน้า…เราทุกคนรู้ดีและเป็นสาเหตุให้มานั่งรวมกันในห้องนี้-วันนี้และเวลานี้…กระผมติดอยู่ในคุก 15 ปี แถมยังถูกไล่ยิงไล่ฆ่าจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด ปัจจุบันกระผมเองก็อายุเลย 50 มาหลายปีพอสมควร กระผมไม่ต้องการเป็นคู่อาฆาต ไม่อยากมีศัตรู อยากจะเป็นลุง อยากจะเป็นอา อยากจะเป็นพี่ชายให้ทุกคน กระผมโสดอยู่ตัวคนเดียว หากทุกคนสละสิทธิ์กันหมด แล้วกระผมจะรับมือกับมรดกเลือดก้อนนี้เพียงลำพังได้อย่างไร…” อนุชาเงียบ ปล่อยเวลาให้ทุกคนคิด “ครับ…ทุกท่านคงเข้าใจ ได้โปรดช่วยกระผมในเรื่องนี้ด้วย”
“คุณอนุชาหมายถึง…”
“ขอให้เคารพตามพินัยกรรมที่เฮียชาติ กับเฮียชาญที่ได้ทำเอาไว้ทั้ง 2 ฉบับ กระผมจะขอรับผิดชอบเฉพาะส่วนที่เป็นของตัวเองเท่านั้น ไม่เอาอีกแล้วความขัดแย้ง” เขาหันหน้าไปทางปกรณ์ “อาขอเป็นอาและขอเป็นกงของหนูประดุจดาวเถอะนะ” พูดจบเขาก็หันไปทางดร.ชานนท์กับอนุชัยอีก “ที่ผ่านมาอาขอโทษ ในเมื่ออาเป็นกงของอาตี้ อาก็อยากเห็นอาตี้มีความสุขและอยากส่งมอบความสุขที่คนตระกูลเชาว์ต้องการจะให้กับทายาท….สายสกุลก็คือครอบครัวที่ใกล้ชิดและให้ความช่วยเหลือตระกูลเชาว์มาโดยตลอด ได้โปรดรับไว้เถอะ….อนุชัย ชานนท์ อาขอร้อง” อนุชาปล่อยแววตาวิงวอนจนอนุชัยต้องพูดต่อ
“คุณอาครับ” อนุชัยเรียก ทำให้อนุชาตื่นเพราะสรรพนามจากปากเขา “ในเมื่อเราทุกคนต่างก็ได้รับบทเรียนที่เลวร้ายร่วมกัน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาภายหลัง ผมกับชานนท์จึงอยากขอใช้สิทธิ์ของผู้ปกครองพูดแทนลูกชายว่า” อนุชัยทิ้งสายตาไปที่ดร.ชานนท์
“เราจะรับมรดกเลือดที่ว่าเอาไว้ก็ได้” ดร.ชานนท์พูดแทน ทำให้คุณหญิงพวงพรกับดร.ชวนนท์สะดุ้งสุดตัว “เรารับไว้ก็ได้ครับ….แต่อยากให้คุณอาช่วยจัดการกับมรดกเฉพาะส่วนที่เป็นของอาตี้เฉลี่ยกลับคืนให้กับทายาทในจำนวนเพิ่มขึ้นเท่าๆ กัน เราถึงจะยอมรับ”
“หมายความว่า ในจำนวน 30 เปอร์เซ็นต์ที่คุณอาตี้จะได้…ให้เกลี่ยกลับไปให้ทายาทคนอื่นๆ” ทนายอำพลถามย้ำ
“ในปริมาณที่เพิ่มขึ้น…ถูกต้องไหม” อนุชาทวน
“แต่ในส่วนของอาตี้ให้ลดลง…เราถึงจะยอมรับครับคุณอา” และอนุชัยเน้น ดร.ชานนท์บีบริมฝีปากและพยักหน้าเห็นด้วย อนุชาเองก็คลายกังวล มีเพียงปกรณ์เท่านั้นยังนั่งก้มหน้า จนอนุชาตบหลังเรียก
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
ปกรณ์เงยหน้าแดงๆ มองกลับ “ผม ผม ผม”
“พี่นะควรจะได้มากกว่า 10 เปอร์เซ็นต์” อนุชัยบอก
“ใช่!….อย่าลืมนะเวลานี้นายเป็นใคร นายอยู่ในสถานะพี่ใหญ่ของบ้านตระกูลเชาว์ไปเรียบร้อยแล้วนะปกรณ์” อนุชากระตุ้นอีกคน ทำให้ปกรณ์ลุกรวบทั้ง 2 มากอด และเขาก็ร้องไห้ออกมาจริง ๆ
“ขอบคุณ ขอบคุณ” ปกรณ์พูดได้เพียงเท่านั้น
“เมื่อแสดงความจำนงครบทุกคน อากับทนายอำพลก็จะได้ดำเนินการต่อให้จบ อาอยากจะเป็นอา เป็นลุง เป็นพี่ เป็นกงให้หลานเต็มทีแล้ว” อนุชาพูด…อนุชัยและปกรณ์กอดเขาแน่น คุณหญิงพวงพรที่นั่งเงียบมาตลอดถึงกับปาดน้ำตาทิ้ง
“เดี๋ยวก่อนครับ….ก่อนจะถึงตรงนั้น เอ่อ….” ทนายอำพลพูดและเงียบราวกำลังคิดเรียบเรียงเอกสารที่ต้องใช้ “ในเมื่อคุณอาตี้อายุยังไม่ครบ 18 ปีเพราะฉะนั้นถ้าจะให้ดี คุณอนุชัยกับดร.ชานนท์ที่เป็นผู้ปกครองจำเป็นจะต้อง….เอ่อ….” ทนายอำพลอ้ำๆ อึ่งๆ ราวกับคนเกรงใจจนดร.ชานนท์ทนไม่ไหวต้องพูดขึ้นมาเอง
“คุณอำพลต้องการให้เรา 2 คน…..”
“ครับ….เป็นไปได้ไหมถ้าคุณอนุชัยกับดร.ชานนท์จะไปจดทะเบียนสมรสกันที่ต่างประเทศเพื่อมาเพิ่มน้ำหนักให้เอกสาร” ทนายอำพลเบิกตารอ ขณะที่อนุชัยกับดร.ชานนท์มองหน้ากันไม่ขยับ
“เอาเลยพี่เห็นด้วย” ปกรณ์สนับสนุน “เพราะพี่กับเด่นดวงเองเมื่อเอกสารสมบูรณ์ก็จะหาเวลาไปจดทะเบียนสมรสเช่นกัน”
“นั้นนะซิ….อารอได้นะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” อนุชากล่าวปิดท้ายก่อนทุกคนจะพยักหน้าเห็นด้วยไปรอบๆ ห้อง
“เอาละครับทุกคนเมื่อสรุปได้แบบนี้ อาหารมือนี้ผมในฐานะพี่ชายของอนุชัยกับดร.ชานนท์จึงขอเลี้ยงฉลองให้ทั้งคู่ล่วงหน้าเลยแล้วกัน….เต็มที่ไปเลยครับ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
เสียงหัวเราะ รอยยิ้มวนไป…แต่สายตาของอนุชัยกลับหุบหาย…ดร.ชานนท์เองก็คล้ายกำลังคิดหนักจนแทบอยากจะหนีไปให้พ้นๆ
(ฉันตกอยู่ในสถานะเมียน้อยที่สมบูรณ์แบบให้นายมานานแค่ไหนแล้วเนี่ย! ชานนท์)
(ฉันจะจดทะเบียนซ้อนได้อย่างไร ถ้าไม่หย่าขาดกับดาริการซะก่อน) ดร.ชานนท์คิด
กระนั้นเมื่อสายตาของทั้งคู่ประสานกันเรื่อง 2 เรื่องก็คล้ายจะหลอมรวมเป็นเรื่องเดียวที่ยังหาทางออกไม่เจอ
(อนุชาย….ฉันเกลียดคำๆ นี้มาตั้งแต่แรก…. อนุชายยยยยยย)
จบ อนุชาย2 บทที่34 มรดกเลือด