อนุชาย2 บทที่8 เดียรเนียล สแปนเลย์
อนุชาย2 บทที่8 เดียรเนียล สแปนเลย์
กลางเดือนกรกฎาคมที่เรือนจำบางขวาง…
ชายตัวสูงผิวขาวหล่อราวกับพระเอกเกาหลี สวมเสื้อเชิ้ตลายสก็อตสีเทา ไว้ผมยาวประบ่า สวมแว่นดำมาขอเข้าเยี่ยมนักโทษชาย อนุชา เชาว์ เขาปฏิบัติตามขั้นตอนของเรือนจำอย่างคล่องแคล่วราวกับเคยมาที่นี้เป็นประจำ ซึ่งอันที่จริงมันก็เป็นเช่นนั้น ในเมื่อนอกคุกชายผู้นี้คล้ายจะไม่มีใครให้ถามหา เมื่อนักโทษชายอนุชา เดินผ่านห้องตรวจเข้ามานั่งต่อหน้ากระจกตรงตำแหน่งที่รออยู่ เสียงนิ้วเคาะกระจก 2 ทีจากข้างในก็ทำให้เขาถอดแว่นพร้อมกับยกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู
“คุณเป็นไงบ้างครับ” เขากรอกน้ำเสียงเรียบๆ ยิ้มให้ก่อน อนุชา เฉยเมยเป่าลมออกจากปากให้เห็น
#นายไม่มีที่ไปรึไงปกรณ์ ถึงได้มาเยี่ยมฉันทุกอาทิตย์แบบเนี่ย…แล้วได้ไปเยี่ยมพี่หญิงแขไขบ้างหรือเปล่า เธอเป็นอย่างไรบ้าง#
“ท่านผู้หญิงแก่ลงไปเยอะเจ็บป่วยก็ไม่หนักหนาอะไร”
#จะว่าไปแล้วพี่หญิงแขไขถึงจะไม่ใช่แม่แต่ก็ใกล้เคียงคำว่าแม่ของนายมากที่สุดแล้ว ถ้าไปเยี่ยมคราวหน้าฝากบอกเธอด้วยว่าฉันคิดถึง#
“อื้อ!…ได้ครับ…อีกไม่กี่เดือนคุณก็จะพ้นโทษ ผมเลยมีหลายเรื่องที่ต้องถาม….” ปกรณ์นิ่งเหมือนคนกำลังคิด “….เอ่อ….”
#ว่าแต่นายเถอะตอนนี้อยู่ที่ไหน เงินมีใช้ไหม#
“เรื่องเงินไม่เท่าไรหรอก….แต่….เขานะซิ…คล้ายจะรุกผมหนักขึ้นทุกวัน” ปกรณ์บอกพลางแสดงสีหน้าไม่สบายใจให้เห็น
#นายหมายถึงเฮียชาญนั้นนะ# อนุชาถามแต่ปกรณ์ชี๊ดปากเชิดหน้าไม่ตอบ
“ตอนนี้ผมก็ใช้วิธีหลบไปเรื่อยๆ ก็ได้ดอกเตอร์ชวนนท์กับคุณหญิงพวงพรช่วยแนะนำให้ไปทำงานในร้านอาหารแถวๆ เกษตร-นวมินทร์ เลยขอพักหลังร้านซะเลย”
#เขารุกนายหนักนั้นแสดงว่า….นาย#
“อันที่จริงผมไม่สนมรดก 10 เปอร์เซ็นต์ของบ้านตระกูลเชาว์หรอก…ผมเพียงแต่อยากจะชัดเจนกับชีวิตและเรื่องราวของตัวเองก็เท่านั้น…เรื่องนี้คุณหญิงพวงพรเธอก็ยื่นมือเข้ามาช่วย ผมจึงปฏิเสธท่านไม่ลง”
#หู-ตาเขายังกับสับปะรด ขนาดฉันเป็นน้องชายแท้ๆ เขายังไม่คิดจะเอาไว้เลย อันที่จริงฉันอยู่ในคุกแบบนี้ปลอดภัยกว่าอยู่ข้างนอกเป็นไหนๆ#
“เรื่องนี้แหละที่ผมตั้งใจจะมาคุยกับคุณ….คุณอาครับ….” ทั้งคู่นิ่งจ้องตากันผ่านกระจกเพราะประโยคสุดท้าย
#นี้แสดงว่า….#
“ครับผลตรวจ DNA. ออกมาแล้ว ผมควรจะเรียกคุณว่า คุณอาหรือว่า….ผม ผม แค่อยากมีญาติสักคน”
นัยน์ตาของอนุชาค่อยๆ ปรากฏผิวน้ำรื่นๆ ในที่สุดน้ำตาหยดแรกก็หล่นแหมะลงเคาน์เตอร์ปูนขัดมันสีเทาเข้ม…ขณะที่พฤติกรรมอย่างอื่นยังไม่ขยับ
“ผม ผมขอโทษที่ล่วงเกิน คุณจะให้ผมเตรียมอะไรก็เก็บไว้บอกคราวหน้าก็แล้วกัน” พูดจบปกรณ์ก็วางสายโทรศัพท์สวมแว่นหันหลังซ่อนความรู้สึกอับอายเดินออกจากห้องไปเร็วๆ ปล่อยให้ อนุชา เชาว์ นั่งถือโทรศัพท์ค้างอยู่ข้างในเพียงลำพัง
#นี้นายเป็นหลานในไส้ฉันจริงๆ หรือปกรณ์…ทำไมเฮียถึงได้ใจดำทำกับนายได้ถึงเพียงนี้ เฮีย…เฮียทำกับอั๊วคนเดียวไม่พอ นี้เฮียถึงขนาดทำกับลูกชายแท้ๆของเฮียอีกคนรึนี้…#
สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ
ทันทีที่ไฟท์บิน XX-619 จากฮ่องกงถึง สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ อนุชัยก็ไม่เสียเวลากลับห้องตัวเอง เขาสั่งแท็กซี่ตรงไปยังบ้าน Loft Love เป็นที่แรก นัยน์ตาฉ่ำๆ เป็นประกายระยิบระยับขณะที่ริมฝีปากแบะเผยรอยยิ้มบางๆ ไล่ไปตามถนนมอเตอร์เวย์และวงแหวนตะวันออก จนกระทั้งสายตาปะทะกับผนังบ้าน Loft Love ที่ซ่อนตัวอยู่กลางต้นแคนาที่กำลังแทงยอดใหม่ในระยะไกล ฝ่ามือกว้างๆ เห็นหลังมือกระดิกสั่นก็ยกขึ้นปิดปาก
: แสงใกล้บ่ายโมงสีขาวกำลังฉาบไล้ท์สีสัน 2 สิ่ง คือตัวบ้านทรงโมเดิล 2 ชั้นเรียบๆ ผนัง Loft สีปูนจมดำที่ขัดแย้งจากใบต้นแคนาที่เพิ่งจะแทงยอดอ่อนสีเขียวอมเหลือง มันจึงโดดเด่นแก่สายตาผู้คนได้จากระยะไกล ผนังรั้วโปร่งๆ ที่ประดิษฐ์ประกอบจากเหล็กแฟลตบาร์ขนาด 3 นิ้ว รูปตารางช่องเล็กๆ เป็นแนวยาวไปจบที่ประตูไม้ดิบทาสีดำสนิทกว้าง 5 เมตรก็ราวกับเป็นของดั่งเดิมที่ไม่เคยผ่านการทุบทำลายมาตั้งแต่แรก อนุชัยเกือบจะเผลอทำน้ำตาหยดรดเบาะหนังหากเสียงคนขับแท๊กซี่ไม่แทรกขึ้นมาซะก่อน
“ใช่บ้านปูนเปลือยหลังข้างหน้าหรือเปล่าครับ”
“ครับจอดที่หน้าประตูไม้สีดำนั้นละ….” เขาบอกพร้อมกับควักเงินในกระเป๋าจ่าย เมื่อกระเป๋าเดินทางถูกยกลงมาตั้งบนพื้นถนน เจ้าของก็ก้าวลงจากรถมายืนนิ่งๆ มองทุกสิ่งทุกอย่างตรงหน้าราวกับหุ่นหิน เมื่อเวลาเดินเข้าสู่นาทีที่ 12 ขาก็ก้าวไปยังผนังรั้วอีกฝั่งที่เห็นป้ายหินแกรนิตสีน้ำตาลดำสลักด้วยกรดกัดลึกเป็นอักษรภาษาอังกฤษสไตล์โรมันว่า “Loft Love House” สีโอโรสในความทรงจำพร้อมกุหลาบขาว 2 ดอกพัวพันกันไปมาก็ยังเด่นชัดราวกับพิมพ์เดียวกัน อนุชัยค่อยๆเอื้อมมือจะลูบ แต่เสียงสั่นๆ ของ รปภ.วัยไม้ใกล้ฝั่งที่เปิดประตูเล็กโผล่หน้าออกมาก็ดักอารมณ์ไว้ซะก่อน
“ขอโทษนะครับ…”
เมื่ออนุชัยเงยหน้าหันไปจ้องตรงๆ….
“นาย นายน้อย นายน้อยใช่หรือเปล่าครับ” เขาเรียกชื่อนี้ซ้ำๆ ด้วยใบหน้าที่ตกตะลึงพรึงเพริด “นายน้อยใช่ไหมครับ”
อนุชัยพยักหน้าให้ “ลุงยังแข็งแรงนะครับ ไม่นึกว่าจะยังอยู่บ้านหลังนี้อีก”
“นายน้อยที่ผมอยู่ก็เพื่อจะรอนายน้อย รอเพื่อขอบคุณที่ช่วยเหลือ และอยู่เพื่อจะใช้หนี้ให้นายน้อยไปจนกว่าจะตายนั้นแหละ” รปภ. ที่เขาเคยให้เงินไปตั้งหลักก้อนโตพูดแบบคนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว สุดท้ายน้ำตาที่คิดว่าเหือดแห้งไปตามกาลเวลาก็ล้นออกมาให้เห็น “ผม ทิ้งนายน้อยไม่ได้ และผมก็เฝ้าที่นี้จนกระทั้งบ้าน Loft Love ถูกคุณชาย ดอกเตอร์ชานนท์สร้างขึ้นมาอีกครั้งและสร้างขึ้นมาจากภาพเก่าๆ ในหัวของเขา จนทุกวันนี้ผมยังคิดว่าบ้านที่ถูกทุบทิ้งชั่วข้ามคืนเป็นเพียงความฝันเท่านั้นเอง”
อนุชัยจ้องหน้า รปภ. วัยใกล้จะ 80 ปีด้วยความรู้สึกยากจะอธิบาย
“เชิญนายน้อยเข้าบ้านก่อน…ส่งกระเป๋ามาครับผมลากไปให้” รปภ.กดรีโหมดประตูรั้วให้กว้างขึ้น
“ตั้งไว้ข้างๆ ป้อมนั้นละเดี๋ยวผมกลับมา” อนุชัยบอก เขาก้าวต่อไปตามทางเดินทรายล้างสีเทาช้าๆ ขณะที่สายตายังไม่ลดละไปจากซุ้มเฉลียงสูงด้านหน้าที่มีไม้ระแนงดิบๆ มุงด้วยหลังคาโปร่งแสงสีชาเรียบๆ กระถางดินเผาสีธรรมชาติที่ห้อยแขวนเป็นสายใต้หลังคานั้นก็ยังปรากฏดอกไม้กระจิดริดหลากสีราวกับมันไม่เคยเหี่ยวเฉาตลอด 15 ปีที่ผ่านมา เขายืนเหม่อปล่อยอารมณ์และความรู้สึกผิดใต้ต้นแคนาจนกระทั้งแดดสีขาวไล้ท์อาบแผ่นหลังจนอุ่น ขาจึงได้ค่อยๆ ก้าวตรงไปยังบันไดช้าๆ และเมื่อขึ้นไปยืนอยู่บนเฉลียงหน้าบ้านอย่างเต็มตัว ความรู้สึกในวันเก่าๆ ก็ถาโถมเข้าใส่
“ไอ้คุณ นี้นายจำรายละเอียดได้แม้กระทั้งเม็ดทรายล้างเลยรึนี้….” เขานั่งใช้ฝ่ามือลูบกับพื้นทรายล้างทีละเม็ดกระทั้งประตูอลูมิเนียมอบสีดำสูงกว่า 3 เมตรถูกเลื่อนเปิดจากด้านในโดยหญิงวัย 60 ต้นๆ
“เชิญด้านในคะนายน้อย” เธอใช้สรรพนามราวกับรู้จักเขาดี เมื่ออนุชัยลุกจ้องไปที่เธอแบบคนแปลกใจ “เอ่อ…ลุงเย็นเธอเล่าประวัติของบ้าน Loft Love ให้ฟังเกือบทุกวัน ดิฉันเลยคุ้นจะเรียกคุณด้วยสรรพนามตามเธอ….ขอโทษด้วยนะคะ”
อนุชัยส่ายหน้ายิ้มๆ “ไม่เป็นไรหรอกครับ”
“ดิฉันชื่อสมใจคะ…เป็น…..” เธอหยุดราวกับนึกถึงคำสั่งของใครคนหนึ่งขึ้นกะทันหัน “….เออ เป็นแม่บ้านคะ…เชิญนายน้อยเข้าบ้านก่อนคะ” เธอวาดมือนำเข้าไปด้านใน พออนุชัยก้าวผ่านประตูเข้าไปยืนบนพื้นกระเบื้องแกรนิตโต้แผ่นใหญ่สีขุ่นๆ สายตาที่ไล่ไปรอบๆ โถงรวมสูงๆ ก็ต้องตกตลึงค้างอีกวาระเมื่อชุดรับแขกชุดนั่งเล่นเป็นชุดเดิมสีเดิม โต๊ะทำงานกับเคาน์เตอร์ครัวฝรั่งที่เห็นอยู่ลึกเข้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ก็ยังเป็นตัวเดิม หินแผ่นเดิม มีเพียงเปียโนสีดำที่ตั้งระหว่างโถงรับแขกกับโซนทำงานเท่านั้นที่แสดงตัวตนของสมาชิกใหม่เพิ่มเข้ามาอย่างเห็นได้ชัด
“ตอนสร้างบ้านหลังนี้ คุณชายเธอเข้ามาดูงานแทบทุกวัน และเธอก็จะใช้วิธีหลับตาดึงภาพในหัวอาศัยฝ่ามือลูบไปตามผนัง ตรงไหนสะดุดเธอก็จะสั่งทุบทิ้งทำใหม่แบบไม่เสียดายจนทีมก่อสร้างปวดหัวไปตามๆ กันเลยคะ” สมใจรายงานขณะเดินกลับมาพร้อมกับน้ำส้มคั้น
“วางไว้บนโต๊ะกลางนั้นก็ได้ ขอบคุณครับ” อนุชัยหมายถึงโต๊ะกลางในโซนรับแขก เขาเดินต่อไปหยุดมองผนัง Loft โล่งๆ หน้าโซนอาหารที่เห็นพุกตัวเดียวโผล่ออกมา
“คุณชายเธอตั้งใจจะติดอะไรสักอย่าง แต่ยังหาไม่ได้….ดิฉันคิดว่าน่าจะเป็นรูปภาพนะคะ”
อนุชัยหันไปมองหน้าเธอนิ่งๆ “ไม่ใช่รูปหรอกครับ แต่เป็นกระดานชนวนต่างหาก” เขาบอกพร้อมกับใช้หลังนิ้วชี้ซับหางตาที่ละข้าง
“อ๋อ คะ….”
“ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างเขาจะจำรายละเอียดได้มากถึงเพียงนี้….”
สมใจยิ้มฉ่ำๆ ตามแผ่นหลังของอนุชัยกระทั้งเธอหมุนตัวหายเข้าไปในครัวไทยทางทิศตะวันตก อนุชัยจึงได้แต่นั่งเสพความสุขอย่างไม่รู้จักอิ่มเพียงลำพัง จนกระทั้งได้ยินเสียงคนกำลังเดินลงบันไดมา
“คุณ คุณ นายมาถึงก่อนฉันรึไง” อนุชัยตะโกนถามทั้งๆ ที่ยังไม่เห็นหน้า และขณะกำลังจะลุกเพื่อเดินเข้าไปหา ชายฝรั่งตัวสูงผมบลอนนัยน์ตาสีฟ้าหล่อราวกับพระเอกฮอลลีวูดสวมชุดลำลองขาสั้นสีเทาสบายๆ ของดร.ชานนท์ก็ปรากฏตัวให้เห็น อนุชัยชะงักเท้าแบบคนไม่รู้เหนือรู้ใต้ จนชายฝรั่งเผยรอยยิ้มบางๆ ให้ก่อน เขาจึงได้สติ
“Hi สะ หวัด ดี ครับ” เขาทักทายด้วยภาษาไทยที่ไม่ค่อยดีนัก เมื่อเดินมานั่งลงฝั่งตรงข้ามเขาก็พูดขึ้นอีก “คุณ คง มา หา ชา นนท์ ใช่ไหม คราบบ”
“สวัสดีครับ ใช่ ใช่” อนุชัยตอบอย่างคนไร้ทิศทาง ในหัวเริ่มจะวุ่นวายอ่านชายฝรั่งตรงหน้าไม่ออก ความสะอาดสะอ้านของสีผิวและนิ้วมือบอกว่าฝรั่งคนนี้ไม่ธรรมดา
“ชา นนท์ เขา ติด Business ยู Hong Kong คุณ มี อารัย ฝาก ไว้ กับ I ได้ ครับ” เขาพูดภาษาไทยผสมอังกฤษทีละคำพลางวางตัวราวกับเป็นเจ้าของบ้านคนใหม่ อนุชัยจ้องเขา อ่านเขา จนร่างการเริ่มชาไปทีละส่วน
“ผมชื่ออนุชัย เรียกผมว่า นุ หรือ Timmy ก็ได้ แล้วคุณ……” อนุชัยเว้นจังหวะอย่างคนขลาดหวาดและระแวงไปเสียทุกอย่าง
“อ๋อ….Sorry I ลืม แนะ นำ ตัว ไป เลย” เขาหยุดราวกับนึกเป็นภาษาไทย… “I am ชื่อ Dearniel Spanlay”
“เดียรเนียล” อนุชัยทวนตามติดๆ
“ใช่ I ชื่อ เดียรเนียล สแปนเลย์….ครับ คุณ Timmy”
อนุชัยอึ้งอยู่สักพักก่อนเสียงเดียร์เนียลจะดังขึ้นมาอีก
“ I เป็น แฟน กับ ชา นนท์ ครับ We are แฟน กัน มา ตั้ง เรียน High School at ซานฟรานซิสโก และ I and ชานนท์ ก็อยู่ ด้วยกัน Together ที่ บริ ติสโคลัมเบีย University too….”
อนุชัยหน้าซีดชามือสั่นจนแทบอยากจะหายตัวไปจากตรงนั้น “คุณว่าอะไรนะ คุณเป็น แฟน เป็น คนรัก ของชานนท์ อย่างนั้นหรือ”
“คนรัก…คน รัก หมาถึง แฟน” เดียรเนียลหยุดคล้ายจะนึกความหมาย “อ๋อ…แฟน Oh! Yess…. เรา เป็น คน รัก กัน มา นาน แล้ว….จน I ใช้ ชื่อ ชาย (Chai) ใน E-mail ด้วย เรา แลก ชื่อ เล่น กัน ใช้ ใน โลก Internet เรา 2 คน รัก กัน มากๆ ครับ” เดียรเนียว สแปนเลย์ พูดอย่างคนภาคภูมิใจเป็นพิเศษ
“รักกันถึงขนาดแลกชื่อเล่นใช้ในนามแฝงเลยอย่างนั้นหรือ” อนุชัยอยากจะมั่นใจให้มากขึ้น เขาจ้อง เดียรเนียล สแปลนเลย์ ชายฝรั่งผมบลอนนัยน์ตาสีฟ้าไม่กระพริบ
“Yesss….เรา รัก กัน ยู ด้วย กัน เป็น Roommate…จน I คิด ว่า I รู่จัก เขา มากกว่า ทุกคน ใน โลก นี้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เขาหัวเราะสั้นๆ ก่อนจะพูดต่ออีก “ชา นนท์ ชอบแวนคูเวอร์ มาก กว่า ซานฟรานซิสโก I เลย ต้อง ย้าย ตาม ไป เรียน กับ เขา ที่ นั่น….เรา ชอบ ไป ดื่ม ไป เดินเล่น ใน แก๊สทาวน์ เป็น ประจำ คุณเคย ไป ที่ แก๊ส ทาวน์ ไหม ครับ Timmy”
ขณะที่ในหัวของอีกคนได้ยินแต่เสียงในอดีตดังกึกก้อง—ตั้งใจจะให้ฉันชื่อ น้องมะขามรึไง”——>“งั้นก็เป็น Timmy ก็แล้วกัน ดูหล่อขึ้นเยอะ”——>“ทิมมี่ บูโตะ แล้วไอ้คำว่าบูโตะละมาจากไหน”——>“เดี๋ยวนายก็จะรู้เองแหละ”——>“โอเค!….คราวนี้ เป็นฉันตั้งนามแฝงให้นายมั่ง….”——>“ไม่ต้องเลย ฉันมีของฉันตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว นายฟังฉันให้ดีนะ ฉันชื่อว่า เดียร์เนียล”—->“เดเนี่ยว….”—->“ไม่ใช่ต้อง เดียร์ เดียร์เนี่ยล เดียร์เนียล”……….
“Timmy ยู OK” และเสียงเดียรเนียลก็กระตุ้น อนุชัยจึงได้ตื่นจากภวังค์ เขาหายใจติดๆ ขัดๆ จนชาตามแขนขาแทบขยับไม่ไหว
“คุณว่าอะไรนะครับ” เขาถามขณะที่มือยังสั่นระริก
“I ถาม ยู ว่า เคยไป แก๊สทาวน์ ใน แวนคูเวอร์ ไหม ครับ เพราะ ที่นั้น เป็นที่ I กับ ชา นนท์ ชอบมากๆ เลย เวลา เมา เรามัก จะเปิด ห้อง โรงแรม แถวนั้น นอน กัน เป็น ประจำ”
“อ๋อ เป็นแบบนี้นี่เอง” อนุชัยพยักหน้า…. ก่อนจะรวบรวมพลังที่เหลือค่อยๆ ยันตัวลุกยืน “ยินดีที่ได้รู้จักครับเดียรเนียล ผมคงต้องกลับซะที”
เดียรเนียลลุกตามพลางยื่นมือขอจับ อนุชัยมองฝ่ามือขาวๆ นิ้วยาวๆ เป็นระเบียบ ก่อนจะก้มหน้าซ่อนความรู้สึกจับลาบางๆ “ผมดีใจที่ได้ฟังเรื่องราวดีๆ ของพวกคุณ 2 คน”
“แล้ว จะ ให้ I บอก แฟน ไหม”
“ไม่ต้องหรอกครับ มันไม่สำคัญแล้วละ ลาก่อนเดียรเนียล” อนุชัยบอกส่งที่ประตูขณะหันหลังให้ และตั้งแต่นาทีนั้นเขาก็หันหลังให้กับบ้าน Loft Love โดยสิ้นเชิง
“นายน้อย….จะกลับแล้วหรือครับ ไม่อยู่รอคุณชายเหรอ” รปภ. ถามเสียงดัง
อนุชัยส่ายหน้าแดงๆ และพยายามซ่อนนัยน์ตาด้วยการก้มต่ำๆ “ไม่ต้องบอกเขาว่าผมมาหานะครับ…”
“นายน้อย นายน้อยครับ”
“แต่ถ้าเขาถามบอกแค่ว่ามีคนหลงทางแวะถามทางกลับบ้านเท่านั้น” พูดจบกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ก็ถูกลากออกไปนอกประตู ด้านหลังของเขาคือบ้าน Loft Love เป็นบ้านปูนเปลือยที่มองไม่เห็นจนกระทั้งรถแท็กซี่วนเข้ามาจอดรับ เมื่อทุกอย่างเข้าไปอยู่ในรถเรียบร้อยแล้ว แรงสะอื้นที่เงียบงันก็ระเบิดทิ้งอย่างไม่เสียดาย จนคนขับอดมองผ่านกระจกหลังมองไม่ได้
“จะไปไหนครับ”
“ลาดพร้าว 20…..” พูดจบอนุชัยก็สะอึกเกร็งกรอบอยู่กับเบาะหลัง “คราวนี้นายได้ฆ่าฉันจริงๆ แล้วเดียรเนียล นายได้ฆ่าฉันจริงๆ แล้วละชานนท์ ชานนท์&เดียรเนียล….แล้วฉันละ แล้วฉันละชานนท์ ฉันเป็นใคร ฉันเป็นอะไรกับนาย ไอ้บ้า! ไอ้เหี้ย! ไอ้สัตว์!…..อ๊ากกก”
ที่บ้านสายสกุล….
สายๆ วันเดียวกันขณะที่ ดร.ชวนนท์ กำลังวุ่นวายอยู่กับโต๊ะทำงานในห้อง คุณหญิงพวงพรก็ถือวิสาสะผลักประตูเดินเข้าไปหาโดยไม่ทันได้เคาะ
“คุณคะ เป็นอย่างไรบ้าง ติดต่อกับตาชายได้หรือยัง” เธอไม่รอคำตอบจากสามี โทรศัพท์มือถือก็ถูกใช้งานสุดท้ายก็ต้องกดวางสายด้วยใบหน้าไม่สู้ดีอย่างเคย “คุณคะว่าไง”
ดร.ชวนนท์ เงยใบหน้าคล่ำเครียดมองภรรยาตัวเอง “ยังติดต่อใครไม่ได้เลยคุณ”
“2 วันแล้วนะ หรือว่าคุณจะบินไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่”
“คุณหญิง” ดร.ชวนนท์ปรามกึ่งปลอบใจ “คนของเราอยู่ในฮ่องกงก็หลายคน ถ้าเกิดเรื่องมิดีมิร้ายกับตาชายต้องมีใครโทรกลับมาบอกอย่างแน่นอน” แล้วเขาก็ก้มหน้าเช็คข้อมูลหน้าจอคอมพิวเตอร์อีก
“คุณก็ใจเย็นเป็นน้ำแข็งอยู่ได้ คนเคยคุยกันทุกวัน อยู่ๆ ก็เงียบไปเฉยๆ คงมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ ลองให้กวงเฉาไปดูที่คอนโดมิเนียมซิคะ…ทำอะไรสักอย่างเถอะดิฉันจะบ้าตายอยู่แล้ว”
ดร.ชวนนท์ เงยหน้ามองภรรยาสั้นๆ อีกครั้งก่อนจะพยักหน้าเร็วๆ แล้วโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างๆ จึงถูกใช้งาน ดร.ชวนนท์เดินวนจากโต๊ะไปหยุดคุยยาวที่หน้าต่างด้านติดกับสระว่ายน้ำรูปเลขแปด ขณะที่คุณหญิงพวงพรก็วางสีหน้าเป็นกังวลรอคำตอบอยู่บริเวณนั้น เมื่อ ดร.ชวนนท์วางสาย
“กวงเฉาว่าอย่างไรบ้างคุณ”
“ยังติดต่อไม่ได้เหมือนกัน แต่รับปากว่าอีกไม่เกิน 2 ชั่วโมงจะเข้าไปดูให้”
“โอ้! ตั้ง 2 ชั่วโมง ตาชายนะตาชาย เป็นอะไรเหรอลูก เป็นอะไร….”
ดร.ชวนนท์เดินเข้ามาวางมือทั้ง 2 ข้างที่หัวไหล่ “คุณหญิง คุณหญิง ตาชายไม่เป็นไรง่ายๆ หรอก ใจเย็นๆ…ว่าแต่คุณหมอสแปนเลย์ที่ตามหลังตาชายมาจากแวนคูเวอร์ติดๆ คุณรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่” ดร.ชวนนท์ถามต่อก่อนจะปล่อยมือจากบ่าเดินวนกลับไปนั่งที่เดิม จนคุณหญิงพวงพรต้องตามไปนั่งลงกับเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“ดิฉันก็เป็นกังวลอยู่….เพิ่งจะเจอกันไม่กี่วัน ไหนรีบร้อนซื้อตั๋วราคาสูงบินตามมาถึงเมืองไทย”
“แล้วคุณไม่ได้ถามคุณหมอเขาเลยเหรอ…”
“คะดิฉันถาม แต่เขาก็ได้แต่บ่ายเบี่ยง คล้ายกับคนมีความลับอย่างไรไม่รู้” คุณหญิงพวงพรดึงมือ ดร.ชวนนท์มากุมและจ้องเข้าไปในดวงตาแบบคนมีหลายเรื่องให้คิด
“หึ!….มีอะไรรึคุณ”
“ดิฉันแอบเป็นกังวลเรื่องที่ตาชายยอมเป็นอาสาให้คุณหมอสแปนเลย์ทำปริญญาเอกเกี่ยวกับระบบสมองนั้นแหละคะ….คุณคะดิฉันเป็นหมอนะคะ ถึงจะเก็บความลับของคนไข้ได้ดีแค่ไหน แต่ดิฉันก็เก็บอาการไม่อยู่โดยเฉพาะคนใกล้ตัว”
“คุณหญิง” ดร.ชวนนท์อุทาน
“ดิฉันเห็นบางอย่างนัยน์ตาของคุณหมอสแปนเลย์ แต่ดิฉันก็ไม่กล้าคาดเดา คุณคะดิฉันควรจะทำอย่างไรดี” คุณหญิงพวงพรกดน้ำเสียงต่ำๆ ก่อนจะบีบกุมมือสามีไว้แน่น
“ใจเย็นๆ คุณ อย่างน้อยการที่คุณหมอสแปนเลย์ไม่แสดงความกังวลให้เห็น นั้นก็แสดงว่ายังไม่ร้ายแรง หรือไม่ก็อาจจะเป็นเรื่องอื่นไม่ใช่เรื่องสุขภาพ”
“เรื่องอื่น…..คุณหมายถึงเรื่องอะไรคะ” คุณหญิงพวงพรซักสามีทันทีทันใด ก่อนจะพูดต่อซะเอง “คุณหมอเขาเป็นรูมเมทกับตาชายมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมที่ซานฟรานซิสโก และยังย้ายไปอยู่ด้วยกันอีกที่แวนคูเวอร์ ที่สำคัญคุณหมอเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วแต่ก็อยู่ได้ไม่นาน หรือว่า….คุณหมอกับตาชายจะ”
“คุณหญิง คุณหญิง ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งรีบสรุป….อย่างไงๆ ในสายตาตาชายที่ผมเห็นเขาก็ไม่เคยวอกแวกเรื่องทำนองนี้นะ…” ดร.ชวนนท์ตัดบท แต่เสียงของคุณหญิงพวงพรก็ตามขึ้นอีก
“ดิฉันก็คิดเหมือนคุณ….แต่เวลาก็ทำให้ใจคนเปลี่ยนได้….ใครจะไปรู้ใช่ไหมคะ” คุณหญิงตบหลังมือ ดร.ชวนนท์เบาๆ ก่อนจะลุกเดินอย่างคนเป็นกังวลไปหยุดที่ประตูทางออก “ถ้าอีก 2 ชั่วโมงกวงเฉาไม่โทรมา ดินฉันจะบินไปดูลูกที่ฮ่องกงด้วยตัวดิฉันเอง”
จบ อนุชาย2 บทที่8 เดียรเนียล สแปนเลย์