เพื่อนรัก คืออีกตำนานหนึ่งที่มีคนเล่าขานไม่รู้จบ…หลายคนก็หลายเรื่อง พันคนก็พันตำนาน
เพื่อนรัก
“ เพื่อนรัก ” คืออีกตำนานหนึ่งที่มีคนเล่าขานไม่รู้จบ…หลายคนก็หลายเรื่อง พันคนก็พันตำนาน “คิดบวก ความสุขในมุมเล็กๆ” ก็มี….ถ้าคุณพร้อมแล้ว
มา!…เดี๋ยว Timmy จะเล่าให้ฟัง
ต้นปี 2535 ผมกำลังเรียนอยู่ ปวช.3 ที่วิทยาลัยเทคนิคแห่งหนึ่งในภาคอีสาน เพื่อนสุดเลิฟที่เรียนห้องเดียวกันชื่อ “ไอ้หมู” มันเป็นเพื่อนรักเบอร์หนึ่งของผมมาตั้งแต่เรียนอยู่ปี 1 เราทั้งคู่เรียนเก่งอันดับต้นๆ ของห้อง กระนั้นก็ใช่ว่าไอ้หมูจะเป็นเด็กเรียนเหมือนกับทุกท่านกำลังเข้าใจ มันออกจะเกเร เหี้ยๆ ไปตามเรื่อง ชอบโดดเรียนไปส่องสาว-ดูหนัง…ไอ้ห่านี้ก็จะลากคอผมไปเป็นเพื่อนเสมอๆ…กระนั้นการเรียนของเราทั้งคู่ก็ไม่ตก เรื่องฐานะทางบ้านนั้นรึ!… ผมแย่กว่ามันหลายเท่าตัว แต่ผมก็ไม่เคยคิดจะไปอาศัยมันในเรื่องนี้ พอปิดเทอมมันกับครอบครัวก็จะไปเที่ยว ส่วนผมต้องย้ายเข้าไปทำงานที่จังหวัดนครราชสีมาตามระเบียบ
กลางๆ เดือนกรกฎาคมในปีเดียวกัน ผมจำได้คลับคล้ายคลับคราว่าเป็นวันอังอาคาร ประมาณ 4 โมงเย็น ปกติหลังเลิกเรียนเราทั้งห้องจะยังไม่แยกย้าย แต่มักจะหามุมเหมาะแซวสาวบัญชีรอบค่ำตามประสาปากหมา-ภาษาคนหน้าตาดีจนตะวันตกดินถึงจะแยกย้าย แต่วันนั้นผมรู้สึกปวดหัว สงสัยไข้จะขึ้น จึงขอแยกตัวกลับห้องเช่าก่อน บ่าย 4 โมงครึ่งพอเดินมาถึงห้องเช่าเล็กๆ หลังหอพักที่เป็นบ้านไม้กึ่งปูน 2 ชั้นขนาดกลาง ทันทีที่ประตูเปิดออก….ผมก็ต้องช็อกถึงกับก้าวขาไม่ออก เพราะข้างในที่ปกติจะมีข้าวของ เครื่องใช้ส่วนตัววางอยู่เต็มห้อง…เวลานี้มันกลับหายเกลี้ยง
“เกิดอะไรขึ้นวะเนี้ย” ผมพึมพำขณะที่หัวใจหล่นไปกองอยู่กับพื้น พอตั้งสติได้ก็เดินไปสำรวจตู้เสื้อผ้า ใช่! มันว่างเปล่า แม้แต่กางเกงในก็ไม่เหลือ
“เหี้ยเอ้ย!….” ผมเริ่มสำรวจในจุดอื่นๆ ทั้งๆ ที่แทบไม่เหลืออะไรให้สำรวจนอกจากขวดน้ำปลาตราหน่อไม้ที่เหลืออยู่ครึ่งขวดมุมห้อง …
“ห่าเอ้ย!” ผมหลุดคำด่ารอบแล้วรอบเล่าแบบคนไม่มีสติ ผมปวดหัวขณะเดินไปหยุดริมหน้าต่างที่ถูกของแข็งงัดจนพัง หลังมือแตะหน้าผากบอกไข้กำลังขึ้นสูง เสือผ้าเหลือแค่ชุดนักศึกษาชุดเดียว “กูจะทำไงดีวะ” ผมพูด ผมงึมงำคนเดียวในห้องโล่งๆ ผมปวดหัวเพราะพิษไข้กำลังเล่นงานจนขาทั้ง 2 ข้างไม่อาจรับน้ำหนักต่อได้ ร่างของเด็กหนุ่มวัย 17 จะย่างเข้า 18 ปีจึงล้มแผละลงไปกองกับพื้นกระเบื้อง “กลับบ้าน” ปากก็เพ้อในหัวก็คิด (แม่จะต้องกลุ้มใจมากกว่าเดิม เงินไม่เหลือติดบ้าน แกคงวิ่งยืมเงินบ้านนั้นลงบ้านนี้ให้ชาวบ้านด่าตามหลังอีกแน่ๆ) ผมคิดวนน้ำตาก็ไหลหัวก็ปวดตึบๆ ไข้กำลังขึ้นสูง เงินในกระเป๋าเหลือไม่ถึง 300 บาท
“โอ้ย! ใครก็ได้ช่วยกูด้วย ช่วยผมที ไอ้หมู ใช่ๆ ไอ้หมู” มันเป็นคนเดียวที่ผมนึกถึง แต่เวลานี้มันคงนั่งอยู่บนรถเมล์กลับบ้านที่อยู่อีกอำเภอหนึ่งไปแล้ว ผมคิดวน คิด คิด แล้วก็คิด ปวดหัวมากกว่าเดิม ไข้ขึ้นสูงจนพุ่งทะลุเพดาน ในที่สุดความอ่อนเพลียก็ทำให้ผมหลับ ผมหลับนานเท่าไรไม่รู้ รู้สึกตัวอีกทีก็มีพี่ๆ สาวๆ โรงงานทำวิกผม 3 -4 คน เอาผ้าชุบน้ำเย็นมาเช็ดตัวให้
“ตอนกลางวันพี่เห็นน้องชายพี่ตุ่มจ้างสามล้อขนของออกไป…Timmy ไหวไหม”
ผมสะลึมสะลือเมื่อมีสาวๆ มาห้อมล้อม ไม่ไหวก็ต้องไหวละ ตาผมแดงจนทุกคนทักขึ้นเกือบจะพร้อมกัน “ไหวครับไหว” ผมพูดพร้อมกับลุกขึ้นนั่งพิงผนัง
“เอาเสื้อผ้าพี่ไปเปลี่ยนก่อน” อยู่ๆ เสียงพี่กล๊อฟ หนุ่มโรงงานทำวิกผมก็ดังจากด้านนอกแล้วส่งกางเกงบอลขาสั้นกับเสื้อยืดสีขาวเข้ามาให้
“ขอบคุณครับ” ผมกล่าวขอบคุณพร้อมกับหันไปบอกสาวๆ ขอเวลาส่วนตัว…พร้อมกับนำชุดนักศึกษาที่เหลือเพียงชุดเดียวไปชุบน้ำแล้วบิดจนแห้งก่อนจะนำกลับมาแขวนผึงลมไว้ในห้อง….ผมห่วงแหนมันยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้นเวลานี้
“ไปตามถึงที่บ้านมันเลย Timmy” พี่สาวโรงงานทำวิกผมแนะพร้อมกับส่งชื่อที่อยู่ให้เสร็จ
“อำเภอนางรองเลยรึพี่”
“ใช่!…มันต้องขนกลับบ้านแน่นอน…นี่เอาเงินพี่ไปใช้ก่อน” เงิน 200 บาทยัดใส่มือ เวลานี้ทั้งเนื้อทั้งตัวผมมีแค่ชุดนักศึกษาที่ตากทิ้งไว้ในห้อง กางเกงบอลสั้นจู๋กับเสื้อยืดคอกลมสีขาวของพี่กล๊อฟ พร้อมกับเงินไม่ถึง 500 บาทเท่านั้น เมื่อได้สติ ไข้ลดลงบ้างแล้วผมจึงตัดสินใจออกเดินทางตามที่อยู่ที่พี่สาวยัดใส่ในมือ เกือบๆ จะทุ่มหนึ่ง แดดสุดท้ายกำลังบอกลาผมก้าวขาขึ้นรถทัวร์ขาล่องด้วยชุดที่ผู้โดยสารอดเหลือบมองไม่ได้ กางเกงในก็ไม่ได้ใส่ ผมไปทั้งอย่างนั้น ถามว่าอายไหม ก็ผมไม่เหลืออะไรที่ต้องมาอายแล้วนี่ครับ ผมต้องไปเอาของๆ ผมคืน
อีก 2 ชั่วโมงต่อมารถทัวร์ก็จอดส่งผมลงข้างทางที่เห็นบ้านผู้คนเปิดไฟไม่กี่หลัง ผมเที่ยวถามคนไปทั่วว่ารู้จักบ้านคนที่ชื่อ อาร์ทไหม ทุกคนส่ายหน้าตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า
“ไม่รู้!” พอบอกอาร์ทน้องพี่ตุ้ม ทุกคนกลับชี้นิ้วนำทางให้… ผมเดินมุ่งไปตามทิศทางที่ไม่คุ้นชิน เกือบจะ 3 ทุ่มผมก็ถึงบ้านหลังดังกล่าว มันเป็นบ้านไม้ 2 ชั้นใต้ถุนโล่งสูงที่มีแต่แม่เฒ่าแก่ๆ อยู่เพียงลำพัง ผมถามหาคนชื่ออาร์ทน้องพี่ตุ้ม แต่หูแกกลับไม่ได้ยินกระทั้งน้าสาวข้างบ้านเดินเข้ามาแนะนำตัวและบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ผมฟัง แต่ผมก็ไม่ยอมปริปากเรื่องและจุดประสงค์ที่มา….ผมนิ่งงงๆ….เอ๋อๆ เบลอๆ ลอยๆ อยู่ในมุมมืดแบบคนคว้าน้ำเหลว สุดท้ายผมก็ต้องรีบเดินทางไปรอขึ้นรถทัวร์เที่ยวสุดท้ายเพื่อกลับเข้าตัวเมือง ถามว่า : เวลานั้นผมกลัวไหม “มีอะไรที่ต้องกลัวได้อีก” เกือบเที่ยงคืนผมก็ถึงห้อง ชุดนักศึกษาเริ่มมาดละ คิดว่าพรุ่งนี้น่าจะพอใส่ได้
ข้าวเย็นไม่ได้กิน…เหนื่อยเกินจะยืนไหวพอปิดประตูห้อง… ผมแก้ผ้านำเสื้อและกางเกงไปผึ่งลมไว้ใส่ต่อวันพรุ่งนี้ นอนทั้งๆ ที่เปลือยเปล่าแบบไม่เคยทำ….ขวดน้ำปลาตราหน่อไม้ยังตั้งอยู่ที่เดิม ผมมองมันราวกับเพื่อนรักในยามยากและในที่สุดผมก็ผล็อยหลับ
เช้าวันต่อมา…ผมใส่กางเกงในกับชุดนักศึกษาที่แห้งพอใส่ได้…วันนี้มีเรียนวิชาออกแบบทั้งวัน ผมมีปากกาลูกลื่นกับดินสอกด ส่วนรอตติ้ง (ปากกาเขียนแบบ) กับอุปกรณ์อื่นๆ ไม่ต้องไปพูดถึง ผมเจอหน้าไอ้หมูกับเพื่อนจึงเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง ไอ้ป้อมเอาชุดนักศึกษามาให้ผมเปลี่ยนตอนบ่าย….เกือบๆ บ่าย 2 โมงขณะกำลังออกแบบศาลาพักคอย งานที่ทำตรงหน้าเกือบจบสมบูรณ์แบบแล้ว เหลือเพียงลงรายละเอียดนิดหน่อย ผมจึงลุกเดินกะจะขอยืมรอตติ้ง (ปากกาเขียนแบบ) จากไอ้หมู่ที่แอบหลบมานั่งอยู่หลังห้อง
“หมู กูยืมรอตติ้งเบอร์ 4 หน่อยนะ” ผมถือวิสาสะหยิบก่อนเจ้าตัวจะอนุญาตแบบเคยชิน ไอ้หมูมันไม่ละสายตาจากแบบตรงหน้าและไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาแม้จะสบสายตา…อยู่ๆ เสียงมันจึงดังขึ้น
“รอตติ้ง…ชุดหนึ่งราคาไม่ใช่บาทสองบาทนะ เขียนหัวแตกแล้วใครจะรับผิดชอบ”
*รอตติ้ง
(*รอตติ้ง : ขอขยายความสักนิดนะครับ รอตติ้งหรือปากกาเขียนแบบ เป็นปากกาหมึกซึมชนิดหนึ่งสีดำ มีหลายเบอร์ ตรงปลายปากกาที่เรียกว่าหัวนั้นจะเป็นไส้เล็กๆ ตามเบอร์ หากคนเขียนกะน้ำหนักมือผิด ไส้ที่เรียกว่าหัวก็อาจจะแตก จนส่งผลให้เส้นที่เขียนไม่คมชัด ประมาณนี้นะครับ)
ผมอึ้งก้าวขาไม่ออก ไปต่อไม่เป็น… เมื่อสมองทบทวนคำพูดที่หลุดจากปากเพื่อนรัก ผมจึงค่อยๆ วางรอตติ้งด้ามนั้นลงที่เดิมพร้อมกับเดินกลับโต๊ะแล้วใช้ดินสอลงรายละเอียดต่อจนจบ….1 ชั่วโมงหลังจากนั้นผมจึงนำแบบไปฝากให้ไอ้เตี้ยช่วยส่งให้ตอนเย็น
ผมกลับห้องเช่าที่ว่างเปล่าด้วยหัวใจสับสนหนักกว่าเมื่อวาน เพื่อนก็คือเพื่อน แต่คำว่าเพื่อนรักที่ผมใช้กับไอ้หมู เป็นคำที่ผมคิดไปเองข้างเดียวหรือเปล่าน้อ!… ผมปิดประตูขังตัวเองขณะที่มีเพียงกางเกงบอลของพี่กล๊อฟเพียงตัวเดียว กางเกงในก็ไม่ได้ใส่เช่นเดียวกับเมื่อวาน แล้วอยู่เสียงทุบประตูก็ดังขึ้นรัวๆ แบบคนกำลังโมโหสุดขีด ผมพอเดาทางออก ว่าต้องเป็นไอ้หมูแน่นอน ผมปล่อยให้มันทุบประตูแบบคนคลั่งอีกสักพัก จึงยอมเปิดให้ แต่ทันที่ที่เรา 2 คนเผชิญหน้ากัน… มันก็พุ่งเข้าใส่
“มึงทำกับกูแบบนี้ได้ไง” มันชกผมเข้าที่ท้องหลายหมัด ส่วนผมได้แต่เกรงแขนกดมันไว้กับพื้น
“กูทำไรมึง กูทำไรมึง…แค่ยืมรอตติ้งไม่ได้ กูก็ไม่ยืมเท่านั้นเอง…กูทำไรมึง”
“มึงมันเหี้ย!…ทำไมจะยืมไม่ได้แค่รอตติ้งอันเดียว”
“มึงพูดไรกับกู” มันพลิกตัวขึ้นทับข้างบน ขณะที่ไอ้เตี้ยที่ยืนตะโกนห้ามอยู่ข้างนอกก็ทำได้แค่ตะโกน ในห้องที่ว่างเปล่าจึงไม่ต่างอะไรกับเวทีมวยวัด แต่สุดท้ายขวดน้ำปลาตราหน่อไม้ที่อยู่มุมห้องก็ถูกไอ้หมูทุบแตกเป็นรูปปากฉลาม (มึงกะจะฆ่าผมเลยรึ) ผมกลัว ผมกลัวที่สุดในสามโลก
“อ๊าก! ไอ้เหี้ย!” มันกดปากฉลามลงที่แขนผมจนเห็น เลือดพุ่งกระฉูดก่อนที่ไอ้เตี้ยจะกระโจนเข้ามาร่วมวง ผมผลักทั้งคู่ให้ออกจากห้องพร้อมกับปิดประตูขังร่างที่กำลังซวนเซไว้… ผมร้องไห้ ร้องให้กับเพื่อนรัก เสียงข้างนอกกำลังดังไกลออกไปเรื่อยๆ (ไอ้เตี้ยคงลากคอไอ้หมู่ออกแล้วละ) ผมคิด แต่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เสียงรถมอเตอร์ไซด์คันเดิมก็แล่นเข้ามาจอดที่เดิมอีก
(สงสัยเป็นพวกไอ้โจ้) ผมคิด แต่ผิดถนัดเมื่อ….
“เก่งจริงเปิดประตูสิ ไอ้เหี้ย เปิดประตู….สัสสสส”
(ไอ้หมู) ผมกลัวมันเป็น 2 เท่า แต่ก็อยากคุยกับมันให้รู้เรื่อง… เสียงทุบประตูแรงขึ้น แรงขึ้น หากประตูพังงานต้องเข้ากูอีกแน่ๆ….ตอนบ่ายทุกคนไปเรียน ไปทำงานกันหมด…กว่าพวกพี่ๆ โรงงานทำวิกผมจะกลับก็ราว 6 โมงเย็น….(ต้องคุยกับมัน ต้องคุยดีๆ กับมัน คุยให้จบๆ) ผมคิด- พึมพำเพื่อปลอบใจตัวเอง แต่พอประตูเปิด มีดปลายแหลมที่ไอ้หมูถือในมือก็พุ่งเข้าหา ผมหลบและพยายามผลักมันให้พ้นประตู ผมกลัวตาย ผมเห็นความตาย เห็นเงามัจจุราชมายืนคอยอยู่ต่อหน้าจึงเตะถีบยอดอกมันจนหงายท้องล้มลงไปนอนแผ่หลากับพื้นสีปูน แต่มีดปลายแหลมก็ยังไม่หล่นจากมือ ผมจึงกระโจนเข้าไปกดข้อมือให้นิ่งอยู่กับพื้น มันไม่ยอม ถ้าผมยอมนั่นก็หมายถึงความตาย มันลุกตั้งหลักได้ก็เหวี่ยงผมไปชนกับแถวรถจักยานที่จอดเรียงกันอยู่ 3 4 คัน
“ไอ้หมูอย่า…ไอ้หมู…ไอ้หมู….” ผมตวาดเพื่อเรียกสติ เมื่อมันเสียหลักล้มหัวคะมำเป็นครั้งที่ 2 ผมก็ออกแรงวิ่งหนี เป็นการวิ่งหนีที่กลัวมากที่สุด “ช่วยด้วย ช่วยผมด้วย” ผมวิ่งเข้าไปขอความช่วยเหลือในบ้านป้าเจ้าของห้องเช่าที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 100 เมตรด้วยกางเกงบอลเพียงตัวเดียว เสื้อไม่ได้ใส่…ป้ากับลุงและคนข้างบ้านเข้ามาล้อมผมเอาไว้ ไอ้หมูขับมอเตอร์ไซด์ตามหลังมาพร้อมกับชี้ปลายมีดขู่แบบคนอาฆาต
“กูเอามึงแน่”
ผมกลัวมัน ผมร้องไห้แบบไม่อายใคร ป้ากับลุงปลอบแป๊บหนึ่งเมื่อทุกคนแยกย้าย ผมจึงขอนั่งอยู่ตรงนั้นต่ออีกสักพัก แล้วป้าเจ้าของห้องเช่าก็เดินกลับมานั่งคุยด้วย
“หอพักป้ามีไว้เฉพาะนักเรียน นักศึกษาไม่ใช่นักเลง…เดือนหน้าย้ายออกซะนะ…ไม่อย่างนั้นเรื่องนี้จะไปถึง ผอ.แน่นอน”
ผมจะทำอะไรได้ละ ผมหยุดร้องไห้ทันทีและพยายามเรียกสติ ผมไม่ตอบ ในหัวมีแต่คำถามมากมาย (จะทำไงต่อดี กลับไปบอกแม่ แม่คงจะเครียดมากกว่าเดิม พ่อทำงานโรงงานน้ำตาลได้วันละไม่ถึงร้อยบาท แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปหาห้องเช่าใหม่) ผมคิด คิดหนักขณะก้าวขาออกจากบ้านหลังนั้น คิดไม่ตกขณะก้าวเข้าไปนั่งลงในห้องที่แม้แต่ขวดน้ำปลาที่เป็นเพื่อนรักเพียงสิ่งเดียวให้เห็น ผมเอามือกุมขมับที่กำลังจะระเบิด….จะหกโมงเย็นละ พี่ๆ โรงงานทำวิกผมกำลังจะกลับ ผมต้องทำอะไรสักอย่าง “อาจารย์” ผมนึกเห็นหน้าอาจารย์วิศวกรที่สอนอยู่วิทยาลัยเทคนิคแห่งหนึ่งที่บังเอิญรู้จักกันในสวนอาหารที่ผมไปทำงานเมื่อปิดเทอมใหญ่ที่ผ่านมา …ผมรีบแต่งตัวด้วยชุดนักศึกษาของไอ้ป้อม รีบเก็บกวาดห้อง แล้วไปยกรถจักยานที่ล้มระเนระนาดให้เข้าที่ ก่อนจะตรงดิ่งไปยังสถานีรถไฟ….
#ถ้ามีอะไรให้มาหา#….ผมระลึกถึงคำพูดของเขาพร้อมกับดึงเบอร์โทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า ผมอ่านและทวนมันหลายรอบ (ถ้าอาจารย์ไม่อยู่ละ….เงินมี 400 กว่าบาทนั่งรถไฟกลับมา…รถไฟจากกรุงเทพฯ มีทั้งคืน….)
ฟ้าทั้งฟ้านอกหน้าต่างกำลังขยับจากเฉดสีเทาสู่สีดำ การเดินทางด้วยอารมณ์สับสนกินเวลาเกือบ 3 ชั่วโมง
อาจารย์วิศวกรเป็นใคร ไม่ใช่ญาติ เป็นแค่ลูกค้าคนหนึ่งที่เข้ามาเมาหลับในสวนอาหาร เขาต้องการอะไร ผมไม่ใช่คนโง่…พอเดาทางออก (ผู้ชายกับผู้ชายจะมีอะไรมากวะ แค่ลูบๆ คลำก็น่าจะจบ) ผมคิดแบบปลอบใจตัวเอง…กระนั้นเขาก็คือคนเดียวเป็นเป้าหมายเดียวในเวลานี้….ใช่ครับ….ผมมาอยู่กับอาจารย์ 3 วัน เป็น 3 วัน 3 คืนที่มีหลายอย่างเกิดขึ้นกับผม…ผมไม่แคร์และไม่สน…กระทั้ง เช้าวันอาทิตย์อาจารย์จึงมาส่งขึ้นรถไฟกลับ พร้อมกับให้ข้อคิดมากมาย
#เรื่องมันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป อย่าเก็บเชื้อไฟใส่กระเป๋า เพื่อนรัก หรือเพื่อนลัก ก็ให้พิจารณาด้วยสติ เพื่อนบางคนก็เหมาะจะเป็นแค่เพื่อน….บางคนก็เหมาะจะเก็บไว้ใกล้ๆ แต่ เมื่อรู้สันดานดิบแท้ของเพื่อนที่คิดว่าดีที่สุด สติจะบอกเองว่าคนๆ นั้นเหมาะจะเป็นเป็นเพื่อนหรือเพื่อนรักต่อไปหรือไม่…การขอโทษคนประเภทนี้ไม่ทำให้เราต่ำลง ขอโทษเพื่อให้เราอยู่ด้วยกันอย่างปกติจึงเป็นการขอโทษที่ควรจะขอโทษ ส่วนอนาคตจะยังคบเป็นเพื่อนหรือไม่ Timmy ต้องใช้สติ ใช้วิจารณญาณตัดสินเอง ถ้าไม่สบายใจให้มองเขาอีกด้าน เข้าใจเขาอีกด้าน และต้องขอบคุณที่เขาแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาก่อนจะสายเกินไป…#
ผมคิดขณะกำลังนั่งรอรถไฟเวลา 09.45 น. “อีกด้านสันดานดิบของเพื่อนแสดงให้ผมเห็นชัดเจน….ใช่ครับอาจารย์ผมต้องขอบคุณเขา ผมต้องเข้าใจเขา แล้วผมจะขอโทษเขา…แต่จะให้กลับไปเป็นเพื่อนรักที่ไว้ใจเหมือนเมื่อก่อนคงไม่ไหว”
“การวางตัวก็สำคัญ Timmy จงวางตัวให้เหมือนกับเสือ อย่าสักแต่เห่าไปวันๆ เหมือนหมา…”
“ครับอาจารย์….”
ผมกลับมาพร้อมกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่กับเงินมาเริ่มต้นซื้ออุปกรณ์การเรียนอีกก้อนหนึ่ง วิทยาลัยเทคนิคที่ผมเรียนมา 3 ปีกลายเป็นสถานที่แห่งใหม่สำหรับผม ผมยอมขอโทษไอ้หมูที่นัยน์ตามันมีห้อเลือดกำลังจะจาง สัมพันธภาพของเรากลับเข้าสู่สภาวะเพื่อน หลายเดือนต่อมามันพยายามสานความสัมพันธ์ให้สถานะสองเรากลับสู่บัลลังก์เดิม (เพื่อนรัก) ผมได้แค่ยิ้มบางๆ ห่างๆ อย่างคนรู้ คนเห็น…เห็นสันดานดิบที่เพื่อนรักแสดงให้เห็น ผมต้องขอบคุณมันในข้อนี้ ขอบคุณก่อนที่จะเลยเถิด ขอบคุณก่อนจะเข้าสู่อนาคต ขอบคุณพร้อมกับพยายามเข้าใจ “คิดบวก ความสุขในมุมเล็กๆ” เกิดขึ้นได้เสมอ อยู่ที่ว่าคุณจะเห็นมันหรือไม่
ก่อนเรียนจบเราได้โควต้าเรียนต่อในแผนกเขียนแบบโยธาฯ ที่เทคโนโลยีราชมงคลภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มันมั่นใจว่าผมจะต้องไปเรียนคณะเดียวกับมัน แต่ผมกลับไปแอบสอบใหม่ที่คณะช่างเทคนิคสถาปัตยกรรมและผมก็สอบติด มันโมโหมากๆ ถึงขนาดประกาศเลิกเป็นเพื่อนรักกับผม ผมเข้าใจก่อนจะอวยพรให้มันประสบความสำเร็จ ผมปรารถนาอย่างนั้นจริงๆ สาบานไม่มีสิ่งใดเคลือบแคลง ผมยิ้มให้มัน โบกมือให้มันแล้วความสุขในมุมเล็กๆ ก็เกิด….ผมมีความสุขโคตรๆ ที่มันสอบได้เป็นครู ผมมีความสุขโคตรๆ ที่ได้ข่าวว่ามันแต่งงานกับฝรั่ง ผมมีความสุขโคตรๆ ที่รู้ว่ามันร่ำรวยมหาศาล และผมมีความสุขโคตรๆ ที่มันกลับมารับราชการที่เมืองไทย ผมมีความสุขโคตรๆ ที่สถานะเพื่อนรักลดระดับแค่เพื่อน
“ไอ้หมู กูต้องขอบคุณมึงมากๆ ที่แสดงสันดานดิบให้กูได้เห็น….กูมีความสุขเมื่อรู้ว่ามึงประสบความสำเร็จ แต่กูจะเฉยๆ เมื่อรู้ว่ามึงมีปัญหา….โชคดี เพื่อนรัก”