ในที่สุดมันก็ผ่านไป คิดบวกความสุขในมุมเล็กๆ
ผมเชื่อว่าในชีวิตคนๆ หนึ่งมักจะมีช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งที่ปัญหารอบด้านมะรุมมะตุ้มจนหายใจแทบไม่ทัน หากใครกำลังเผชิญอยู่
มา! เรามาแชร์ประสบการณ์ที่น่าสะพรึงนั้นๆ และผ่านมันไปพร้อมกับบทความส่งท้าย “คิดบวก ความสุขในมุมเล็กๆ” ด้วยกัน หายใจลึก อย่าเพิ่งให้หัวใจหยุดเต้นเป็นอันขาด…มิฉะนั้นแล้ว 1 ชีวิตที่อุตส่าห์อยู่ยั้งยืนยงจะล้มสลายก่อนสิ่งดีๆ จะเกิดขึ้นกับชีวิตที่เหลืออยู่
ในที่สุดมันก็ผ่านไป
เมื่อ 7-8 ปีที่แล้ว พอนึกย้อนกลับไปทีไรผมก็มักจะหายใจไม่ทั่วท้องทุกครั้ง เพราะอะไรนะรึ! ก็เพราะปัญหาสารพัดวิ่งเข้ามาชน-จนแทบจะเอาตัวไม่รอด โดยเริ่มจากปัญหาเบสิกก่อน แฟนที่คบกันมาเกือบ 12 ปีจำเป็นต้องกลับไปแต่งงาน ต่อด้วย พ่อเสีย น้องล้มละลาย ครอบครัวแตกแยก ทิ้งหนี้สินพะรุงพะรัง บริษัทมีปัญหาปิดไม่ลง รถยนต์จะโดนยึด บัตรเครดิตตามทวงเช้า-กลางวัน-เย็น….ปัญหาต่างๆ เหล่านี้ล้วนไม่ได้เกิดจากตัวเอง แต่เมื่อเกิดกับคนใกล้ชิดที่เมินเฉยปัญหาก็รังแต่จะขยายใหญ่ขึ้น จะหนีไปทำงานต่างประเทศ หนังสือเดินทาง-วีซ่า ตั๋วเครื่องบินซื้อไว้แล้วแม่ก็ดันมาป่วยหนัก ต้องเข้าผ่าตัดด่วน โรคประจำตัวที่เก็บอาการมานานกำลังสำแดงอีก…จะทำอย่างไรดี ทั้งหมดทั้งมวลยังไม่รวมปัญหาพื้นฐานจำพวกเงินที่ต้องชำระรายเดือนนะครับ ผ่อนรถจาก 1 คันเป็น 2 คัน บ้านจากหลังเดียวก็ขยายเพิ่มเป็น 2 หลัง ผมผ่านมันมาได้อย่างไร เออนั้นนะสิ…คิดบวกความสุขในมุมเล็ก ตอน “ในที่สุดมันก็ผ่านไป” ซึ่งเป็นตอนสุดท้ายจะได้แชร์ประสบการณ์นี้ให้ได้อ่านกัน เผื่อใครบางคนกำลังเผชิญชะตากรรมเดียวกันอยู่จะได้รับรู้ว่าอย่างน้อยก็มีผม Timmy Buto คนหนึ่งละที่ผ่านมันมาแล้ว ผมมีกรรมวิธีบริหารจัดการกับปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไรติดตามกันเลยนะครับ
หลังจากพ่อเสียได้ไม่นาน แม่ที่อยู่บ้านคนเดียวก็โทรเข้ามือถือผมกลางดึก
“Timmy…รู้รึยังว่าน้องขนเสื้อผ้าย้ายออกจากบ้านเมียแล้วนะ ไม่รู้ตอนนี้ไปอยู่ที่ไหน แม่โทรเท่าไรก็ไม่ยอมรับสาย”
มือที่ถือหนังสือเดินทางพร้อมตั๋วเครื่องบินพับสอดไว้ในเล่มก็สั่นระริก “ตกลงมันเลิกกันจริงๆ รึแม่”
“ก็เนี้ยแม่เพิ่งวางสายกับอุ (อุชื่อเมียน้องชายที่กำลังท้องแก่ซึ่งเป็นลูกคนที่ 2) เห็นบอกว่าขนคอมพิวเตอร์เสื้อผ้าขึ้นรถฟอร์จูนเนอร์ไปหมดเลย”
“อะไรของมันอีกวะ…” ผมหยุดหลับตา-ผ่อนลมหายใจเข้า-ออกยาวๆ “แม่ไปนอนก่อนเถอะ Timmy จะโทรหามันเอง”
“โทรหาน้องให้เจอนะ แล้วโทรบอกแม่ด้วยไม่อย่างนั้นแม่คงหลับไม่ลง”
สรุปแล้วน้องชายขนของกลับมาอยู่คอนโดฯ ที่มันซื้อไว้ที่แถวๆ สี่แยกบางนา ผมปลอบใจมันสารพัด เมื่อสติสตังกลับคืนมาพอจะคุยกันรู้เรื่อง ผมเลยให้มันแจกแจงปัญหาให้ฟังทั้งหมดปรากฏว่า ทุกอย่างรอบตัวล้วนเกิดปัญหาทั้งสิ้น บริษัทส่อล้มละลาย คอนโดฯขาดส่ง รถฟอร์จูนเนอร์ขาดผ่อนไป 2 เดือนหากเดือนหน้าไม่จ่ายก็มีแววว่าจะโดนยึด บัตรเครดิตอีก 3 สถาบันไม่มีปัญญาผ่อนชำระ ลูกคนโตไม่มีคนเลี้ยง ลูกคนเล็กที่กำลังจะคลอดยังไม่ทราบชะตากรรม บ้านส่วนกลางของครอบครัวก็ขาดส่ง….เออโว้ย! ทำไมมันถึงได้หนักหนาสาหัสเช่นนี้หนอ…คืนนั้นผมโทรบอกแม่ตอนเกือบๆ ตี 3 ก่อนจะนั่งทำสมาธิ บังคับจิตไม่ให้แกว่ง อีก 2 เดือนครึ่งก็จะบินไปทำงานที่ประเทศออสเตรเลียแล้ว แผนการเดินทางจะสะดุดหรือเปล่าน้อ!…..ใจก็คิด สติก็ย้ำเตือนอย่าเพิ่งออกนอกเส้นทางแก้ปัญหา เช้าวันรุ่งขึ้น อันที่จริงคืนนั้นยังไม่ได้นอนต่างหาก ผมก็ขับรถตรงไปยังคอนโดฯ ที่น้องชายใช้ซุกหัวนอน ก่อนจะเอาปัญหาทั้งหมดมากองรวมกันต่อหน้าระหว่างเรา ผมแนะให้มันขายคอนโดฯ ใช้หนี้แล้วไปรับลูกกลับไปอยู่กับแม่ก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากันภายหลัง ซึ่งนาทีนั้นมันเองก็ว่านอนสอนง่ายละ ตกลงมันก็ขายคอนโดฯ ในราคาล้านต้นๆ ใช้หนี้ยังไม่ถึงครึ่งเงินก็หมด หากจะให้มันขายรถอีกคันก็กลัวเวลาไปอยู่กับแม่หากไม่มีรถใช้จะยิ่งแย่ไปกันใหญ่เพราะแม่เองก็ป่วยออดๆ แอดๆ 3 วันดี 4 วันไข้ต้องพาไปหาหมออยู่เป็นประจำ ผมเลยต้องส่งค่าผ่อนรถให้ บัตรเครดิตที่เหลืออีก 1 ใบเกือบ 3 แสนผมก็เป็นคนจัดการให้ บริษัทที่ส่อล้มละลายให้รีบๆ ปิดตัวเร็วที่สุด หนี้บ้านส่วนกลางของครอบครัวที่มันอาสาจะผ่อนส่งกับน้องชายคนเล็กเหลือเงินต้นอีกราวๆ 1.5 ล้านก็ต้องเป็นหน้าที่ของเฮีย สรุปงานนี้กูเหมาหมด แล้วจะไหวไหมละ…ผมแค่คิดแต่ไม่พูดเพราะช่วงเวลายังไม่เสริมส่ง ผมจึงยอมกัดเนื้อตัวเองรอให้สภาพจิตใจมันเข้าที่เข้าทางซะก่อนแล้วค่อยว่ากัน
หลังจากสรุปได้ดังนั้นมันก็ดำเนินการตามขั้นตอนที่คุยกัน มันกับลูกชายคนโตย้ายกลับไปอยู่กับแม่ ผมก็เลือกที่จะมองมุมบวกๆ เข้าไว้ว่า อย่างน้อยแม่ก็มีคนคอยดูแล แต่หลังจากวันนั้นเดือนกว่าๆ มันก็โทรศัพท์เข้ามือถือผมอีก
“พี่ Timmy แม่เหนื่อยมากๆ หมอเลยส่งตัวเข้าโรงพยาบาลประจำจังหวัด”
แม่เป็นอะไรอีกน้อ….ผมเริ่มเครียด หัวใจเต้นแรงจนแน่นหน้าอก ผมพอเดาออกทันทีว่า โรคประจำตัวที่แฝงตัวรอเวลากำลังสำแดงตน ผมรู้ ผมเข้าใจในบริบททั้งหมดทั้งมวลจึงค่อยๆ ผ่อนลมหายใจเข้า-ออกช้าๆ จนกลับสู่ปกติ 80% แล้วจึงตอบกลับไปว่า “ใจเย็นๆ ตอนนี้อยู่ไหน”
“อยู่กับแม่ที่โรงพยาบาล”
“แล้วลูกละ” ผมหมายถึงหลานชายที่อายุยังไม่ 3 ขวบดี
“หลับอยู่ข้างๆ นี้แหละ”
“ถ้าอย่างนั้นก็พาหลานกลับไปนอนที่บ้านก่อน พี่จะออกไปตอนนี้เลย จากกรุงเทพฯ ถึงบุรีรัมย์ไม่น่าจะเกิน 5 ชั่วโมง” ครับผมขับรถ 4 ชั่วโมงนิดๆ ถึงโรงพยาบาลก็เกือบสว่าง พอได้คุยกับทีมแพทย์ผมก็ต้องนั่งบีบขมับ-กุมหัวใจไม่ให้เต้นเร็ว สติก็บอกลมหายใจให้ผ่อนเข้า-ออกช้าๆ….นาทีนั้นมีผมคนเดียว คนเดียวจริงๆ ทีมแพทย์สันนิฐานเบื้องต้นว่าแม่อาจจะมีไขมันอุดตันในเส้นเลือด จนเป็นเหตุให้เลือดเข้าสู่หัวใจไม่เพียงพอ ทั้งนี้ทั้งนั้นทีมแพทย์ก็ต้องขอฉีดสีดูก่อนว่าไขมันไปอุดตันเส้นไหน-ตำแหน่งใดหากสามารถทำบอลลูนได้ก็จะทำให้เลย แต่หากเกิดในตำแหน่งสุ่มเสี่ยงก็จะนำไปสู่การผ่าตัดรักษาต่อไป ผมจึงตัดสินใจให้ทีมแพทย์ฉีดสีตั้งแต่อยู่โรงพยาบาลบุรีรัมย์โดยไม่ต้องไปรอฉีดสีโรงพยาบาลอื่นให้เสียเวลา ส่วนงานผ่าตัดใหญ่ผมเลือกโรงพยาบาลมหาราชในตัวจังหวัดนครราชสีมา เพราะเห็นว่าโรงพยาบาลศรีนครินทร์ที่จังหวัดขอนแก่นคิวผ่าตัดนานเกินไปกลัวคุณแม่จะรอไม่ไหว เมื่อสรุปได้ดังนั้นแผนการเดินทางที่จะไปทำงานประเทศออสเตรเลียก็ต้องล้ม-พับไปโดยปริยาย
“ไม่เป็นไร” ผมปลอบใจตัวเอง ต้องมีสติอย่างเดียวจึงจะนำพาทุกคนรอดได้ เมื่อขั้นตอนฉีดสีจบลง ผมก็พาแม่ไปรอคิวผ่าตัดที่โรงพยาบาลมหาราชในตัวจังหวัดนครราชสีมาอีก 3 เดือน
และเมื่อวันผ่าตัดใหญ่มาถึง ผมพาคุณแม่ไปนอนรอก่อน 1 คืน ซึ่งผมก็ได้วางแผนจองโรงแรมระดับ 3 ดาวไว้ให้หลานตัวเล็กๆ กับน้องชายอีก 2 คนที่จะสลับกันไปดูแลคุณแม่ระหว่างพักฟืน
ขบวนการผ่าตัดเป็นไปด้วยดี สรุปคุณหมอทำบายพาร์ทเส้นเลือดเข้าสู่หัวใจให้คุณแม่ 5 เส้น คุณแม่ผมฟื้นตัวได้เร็วมากครับ พอเช้าวันรุ่งขึ้นงานที่แพลนเอาไว้ก็เกิดปัญหา บังเอิญมีโครงการหนึ่งผมลืม COPY ข้อมูลมาด้วย (ระหว่างเฝ้าคุณแม่ผมจะเอาโน้ตบุ๊กมานั่งทำงานข้างๆ เตียงคนป่วยไปด้วย โดยจ่ายค่าไฟฟ้าเป็นเงินบริจาคให้โรงพยาบาล) ผมมีความจำเป็นต้องกลับเข้ากรุงเทพฯ โดยด่วนไม่อย่างนั้นดีลเลอร์ที่นัดไว้จากจังหวัดเชียงใหม่จะพลอยเสียเวลาไปด้วย พอหมดเวลาเยี่ยมเวลา 18.00 น.ผมก็ขับรถกลับเข้ากรุงเทพฯ ทันที ผมมาถึงคอนโดฯ แถวๆ บางกะปิเกือบๆ จะ 4 ทุ่ม ระหว่างที่เช็คจดหมาย อยู่ๆ หมายเรียกจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ส่งถึงน้องชายก็ทำให้ผมเกือบล้มทั้งยืนอีก….จะทำอย่างไรดีละ ผมเลยโทรคุยกับมัน มันบอกว่าเกี่ยวกับบริษัทเดี๋ยวพรุ่งนี้ผมกลับถึงโรงพยาบาลจะรีบเข้าไปเคลียร์ เฉพาะดอกนี้เกือบ 2 แสน ผมทำอะไรไม่ถูกได้แต่เอามือซ้ายบีบขมับเอามือขวากุมหัวใจเรียกสติ…ผมร้องไห้ไม่ได้ครับ เพราะมันเลยเวลานั้นมาไกลพอสมควรแล้ว ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า “ไม่เป็นไร….ไม่เป็นไร เงินทองหาใหม่ได้ แต่ชีวิตคนไม่มีขาย” คืนนั้นผมเคลียร์งานเสร็จเกือบๆ เที่ยงคืน ผมเหนื่อยสุดๆ มีเวลานอนแค่ 2-3 ชั่วโมง พอ 03.00 น. ก็ต้องตื่นขับรถจากกรุงเทพฯ กลับจังหวัดนครราชสีมาอีกรอบ…บอกไม่ถูกเหมือนกันนะครับว่าผมผ่านมันมาได้อย่างไร
ทั้งหมดทั้งมวลก็อยู่ที่สติเพียงอย่างเดียว ส่วนหนี้สินผมก็ใช้วิธีจ่ายในส่วนที่จำเป็นก่อน ส่วนไหนพอจะดึงเวลาได้ผมก็จะโทรเข้าไปคุยกับเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบโดยตรง เมื่อตรงไปตรงมาไม่มีสถาบันการเงินไหนเขาไม่รับฟังหรอกครับ บางแห่งเขากลับชอบซะด้วยซ้ำที่จะได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ผมถูลู่ถูกังแบกรับหนี้สินก้อนโตอยู่ประมาณ 5 ปี ทำงานแบบไม่ลืมหูลืมตา เช้ายันสว่างแทบทุกคืน หนักก็เอา เบาก็ลุยกระทั้งทุกอย่างผ่านไปพร้อมกับเวลา พอกลับมานั่งนึกย้อนหลัง หากนาทีนั้นผมเห็นแก่ตัวเลือกบินหนีทิ้งปัญหาไปตายเอาดาบหน้า ผมก็คงหนีไม่พ้นไอ้งั่งที่รู้สึกผิดอยู่ต่างแดนแบบคนตกนรกทั้งเป็นเพียงลำพังตลอดชีวิต
เพราะคิดบวก มองมุมบวก “ในที่สุดมันก็ผ่านไป” ถึงวันนี้เงินทองผมจะมีไม่เยอะไม่ร่ำรวยเมื่อเทียบกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่ผมก็มีความสุข ถึงคุณพ่อจะจากพวกเราไปแล้ว แต่คุณแม่-หลานที่เหมือนกับลูกชายของผม 2 คน น้องชาย 2 คน และลูกของน้องชายคนเล็กอีก 2 คนกับน้องสะใภ้เราก็อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา วันทำบุญให้คุณพ่อคือวันที่ทุกคนมารวมตัวกันเป็นวันที่ผมมีความสุขจนน้ำตาไหลพรากเกือบทั้งวันซึ่งนั้นน่าจะเป็นของขวัญ เป็นรางวัลสำหรับพวกเราแน่นอน
คิดบวกๆ เหมือนผมสิครับ เวลาจะดึงสิ่งไม่ดีหลุดไปทีละอย่าง ในที่สุดก็จะผ่านมันไปได้เช่นเดียวกัน ใช้เวลาหน่อย อดทนอีกนิด คิดบวกๆ ประสบการณ์แบบที่กำลังเผชิญอยู่จะไม่มีใครสัมผัสได้ลึกซึ้งเท่ากับคุณ….คิดบวก ความสุขในมุมเล็กๆ ตอน “ในที่สุดมันก็ผ่านไป” ซึ่งจะเป็นตอนสุดท้ายก็ขอจบลงประมาณนี้นะครับ ใครมีอะไรดีๆ เก็บไว้แชร์กันโอกาสหน้า อาจจะมีภาค 2 (ถ้ายังมีคนติดตาม) เตรียมพบกับบทความใหม่ซึ่งจะเป็นแนวจินตนาการล้วนๆ มีชื่อว่า…. “หลังสงครามโลกครั้งที่ 3” เร็วๆ นี้ สวัสดีครับ