กระเรียนหลงฟ้า บทที่1 อูคาชิ เซดะ นินจาเลือดซามูไร Part3 นิยายอ่านฟรีจบเรื่อง
กระเรียนหลงฟ้า บทที่1
เสียงปลุกจากโลกมืด
#ข้าชื่อ มินาโมโต โคทาโร่อายุ 25 ปี บุตรแห่งเมืองคาโกคุมะ สืบตระกูลต่อจาก มินาโมโต ฟูจิกาว่า เป็นซามูไรลำดับที่ 201 ข้าคือนักรบผู้เกรียงไกร ได้รับมอบหมายจากเทพวาตะให้นำหน่วยรบพิเศษอาซาฮี 2 กระทำกามิกาเซ่กับเรือบรรทุกเครื่องบินอินเทรบริด ภารกิจที่พิกัด 730131 บัดนี้ทุกอย่างเป็นไปตามแผน ขอให้มินาโมโตเจริญสืบต่อไป#
: เสียงระเบิดจากเครื่องบินซีโร่ 2 ลำ
: ที่พุ่งชนเรือบรรทุกเครื่องบิน
: กลางมหาสมุทรทางทิศใต้
: เป็นผลงานสุดท้ายของหน่ายอาสาตาย “กามิกาเซ่”
: ที่มีชื่อว่า “อาซาฮี 2”
: เปลวเพลิงสีแดงฉาน
: ทะลายความมืดในยามวิกาลลงในพริบตา
: ประหนึ่งไฟกัลป์จากอเวจีโพยพุ่งขึ้นลามสวรรค์
: มหาสมุทรเดือดเป็นไอ
: ดุจน้ำนรกในกระทะทองแดงกลางป่าหนาม
ลมหนาวจากทิศเหนือพัดผ่านร่องฝาไม้ที่แยกตัวยามอากาศแห้ง ดังหวีดหวิว…โหยหวนเหมือนมีใครเป่านกหวีดเร่งให้ตื่นในตอนเช้าๆ ไม่นานไก่โต้งบนคอนข้างบ้านของป้าเรไรก็ขันสมทบขึ้นอีก มันทอดเสียงดังยาวก่อนตัวอื่นๆ ที่อยู่ไกลออกไปจะรับช่วงต่อเป็นทอดๆ
“ข้าชื่อมินาโมโต โคทาโร่ อายุ 25 ปี บุตรแห่งเมือง…” เสียงแว่วยังค้างติดจากความฝันพร้อมกับเสียงเรียกก่อนฟ้าสาง “โอ๊ก…อี โอ๊ก…โอกกกกก…แห่งเมืองคา โก คุ มะ”มันค่อยๆ เบาลงและเงียบทันทีที่สมองตื่น
“ฝัน…ฝันเหมือนเดิมอีกแล้ว” ดาบไผ่ ธารารักษ์ เด็กชายที่เพิ่งจะผ่านการเป็นหนุ่มมาเมื่อวานพึมพำประโยคเดิมทุกๆ เช้า เขาสะบัดหัวไปมาเหมือนไม่อยากใส่ใจ “ก็แค่ฝัน…” และพูดต่อพร้อมกับกระพริบตาถี่ๆ เพื่อปรับแสงในความมืดให้เห็นชัดเป็นแสงสีเขียวอมเหลือง ความเคยชินจนรู้สึกไปเองว่ามันไม่ผิดปกติทำให้เขาไม่แตกต่างไปจากคนอื่นๆ เขาดีดตัวจากเตียงนอนเดินออกจากห้องตรงไปยังตุ่มน้ำข้างๆ ครัวเพื่อล้างหน้า ความเย็นเฉียบทำให้สมองตื่นเร็วขึ้น เขาเช็ดหน้าลวกๆ กับผ้าขนหนูที่ตากเอาไว้ใกล้ๆ ตั้งแต่เมื่อวาน ก่อนจะเดินฝ่าความมืดที่แสงสีอำพันกำลังตะกายขอบฟ้าทางทิศตะวันออกเป็นแนวยาว แสงสีเขียวอมเหลืองจากดวงตาช่วยนำทางเขาเดินเข้าไปในเงาต้นมะม่วงหน้าบ้านก่อนจะเลี้ยวขวาไปตามทางเล็กๆ สู่ “อุโมงค์ไผ่รำพรรณ” ที่ผู้คนเรียกขานแนวกอไผ่ปลายเรียวโค้งงุ้มเข้าหากัน ประสานกับเสียงลำไผ่เบียดกอยามเมื่อลมพัด เขากระพริบตาถี่ๆ อีกครั้งก่อนจะเดินลอดหายเข้าไปในเงามืด สักพักแสงแรกที่ปลายอุโมงค์ไผ่รำพรรณก็ทำให้เขายิ้มออกมา เขาเร่งฝีเท้าไต่ไปตามสันเขื่อนดินของบึงน้ำขนาดใหญ่ กระทั้งมาหยุดที่เนินเขาเตี้ยๆ ใต้ต้นมะค่าเหมือนกับทุกๆ เช้า เขาเฝ้ามองไปยังขอบฟ้าที่เริ่มสว่างอย่างใจจดใจจ่อ
(คิดถึงบ้าน) เป็นความรู้สึกแรกที่เห็นส่วนโค้งของดวงอาทิตย์โผล่พ้นเหนือยอดไม้ทิศฝั่งตรงข้าม
“คิดถึงบ้าน” เขาหลุดเสียงละเมอออกมาอีก เมื่อดวงอาทิตย์สีแดงค่อยๆ ลอยเด่นจนเห็นเต็มดวง เขาเพ่งสายตาและสมาธิเข้าไปในรัศมีวงกลมอย่างไม่มีเหตุผลอื่นชักนำ นอกจากความกระหายที่ไม่มีเหตุผลเช่นกัน
(อยากกลับบ้าน) ความรู้สึกชั่งชัดเจนจนหัวใจหน่วงลึก เขากระพริบตาเพื่อปรับลดระดับแสงสว่าง แต่บางอย่างที่ส่งตรงจากดวงอาทิตย์ก็ทำให้ภายในร่างกายปั่นป่วน
“อยากกลับบ้าน…อยากกลับบ้าน” เขาตะโกนตามที่หัวใจสั่ง แม้กระทั้งน้ำตาที่เอ่อจวนล้นก็ไม่มีเหตุผลเช่นกัน เขารีบเชิดหน้าเพื่อบังคับให้มันไหลย้อนกลับเข้าไปข้างใน… (อยากกลับบ้าน) ดวงอาทิตย์สีแดงไต่ระดับสูงขึ้น เขาก็ลุกขึ้นยืนตามทิศทางที่ว่า
“มีบางอย่างลอยอยู่กลางวงกลมสีแดง…มันคืออะไรกันแน่” เป็นคำถามซ้ำๆ ซากๆ ที่ยังหาคำตอบไม่ได้ (อยากกลับบ้าน)
“อยากกลับบ้าน…กลับไปไหนกัน ที่นี้ก็บ้านของเรา…แล้วจะกลับไปไหนอีก บ้าจริงๆ” เขาพึมพำ “เรากำลังเป็นบ้า…หึๆ” พลางแดกดันตัวเองขำๆ แต่เสียงหัวเราะในลำคอต้องหยุดลงทันทีเมื่อเสียงฝีเท้ามาพร้อมกับกลิ่นสาบของผู้คนที่เขาไม่คุ้นชินโชยมาแตะจมูก
(ใครกัน) สัญชาตญาณสั่งให้กระโจนหลบหลังต้นมะค่าสูง สักครู่ชาย 4 คนในชุดสูทสีดำสนิทที่ไม่เคยเห็นก็เดินเข้ามาหยุดใกล้ๆ
“เด็กหลบอยู่หลังต้นไม้…ครับนายท่าน”
“เขาพลางตัวใช้ได้ดีทีเดียว”
“ใช่…หึๆ ขนาดยังไม่รู้จักตัวตนด้วยซ้ำ ความเป็นชิโนบิ…เด่นชัดเหลือเกิน”
“ครับนายท่าน”
“จับตาดูให้ดี หากเป็นคนที่เรากำลังตามหา…สมบัติที่มีค่ามากที่สุด…ก็คือเขา…ฮาๆ”
“ครับนายท่าน…ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปข้าจะส่งคนมาเฝ้าดูตลอด 24 ชั่วโมง”
“อย่าเพิ่งให้พวกนอกรีตรู้…โดยเฉพาะไอ้ยูกาว่า”
“ครับนายท่าน” เสียงสนทนาด้วยภาษาที่ไม่คุ้นหูยังดังต่อเนื่อง
(พวกเขาพูดภาษา…เอ่อ ไม่ใช่อังกฤษ ภาษาจีน…ญี่ปุ่น..เออใช่นี้มันภาษาญี่ปุ่นนี้น่า) ดาบไผ่คิดตอบตัวเองก่อนจะเบี่ยงตัวหลบไปอีกทางเมื่อกลุ่มชายเหล่านั้นขยับตัวใกล้เข้ามาอีก
“ไม่นานอั้ว! ต้องได้ทุกอย่าง…”
“เราต้องกลับแล้วครับนายท่าน…มิฉะนั้นยูกาว่าจะสงสัย”
“เดี๋ยว!…อย่าโผ…เพราะสายตาของเด็กยังจ้องพวกเราอยู่”
“เอ่อ…ขอโทษ ข้าลืมตัว”
“ไปกันได้แล้ว อั้ว! สั่งให้คนขับรถรอเราข้างหน้า” พูดจบชายทั้ง 4 คนก็เดินไปตามทางเล็กๆ ที่ตัดออกสู่ถนนใหญ่ ดาบไผ่ได้แต่มองตามอย่างหวาดๆ ก่อนเขาจะวิ่งกลับบ้านทันทีที่คนพวกนั้นเดินลับสันเขื่อนดินที่เป็นทางลาดลึกหายไปแล้ว
……….
“………….หากไม่วางใจคนที่ 2, 3, 4,
ก็อย่าพึ่งหวังให้คนที่ 1.เป็นที่ไว้ใจ”
ดาบไผ่ ธารารักษ์
……….
จันทร์กระจ่างฟ้า
(อูคาชิ เซดะ…อูคาชิ เซดะ…อูคาชิ เซดะ) เสียงสื่อคล้ายจะเรียกชื่อเป็นภาษาไม่คุ้นเคยของใครบางคนดังก้องขึ้นในหัว ดาบไผ่พยายามจับทิศทางต้นเสียงแต่ก็ไม่เป็นผล…จนความหวาดกลัวเข้ามาครอบงำ
(อูคาชิ เซดะ…อูคาชิ เซดะ…ไม่ ต้อง กลัว ข้า) เสียงสื่อค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆเหมือนจะรู้ความรู้สึก ณ ขณะนั้นของเขา
(อู คา ชิ เซ ดะ ใคร… อะไรกัน) ดาบไผ่ทวนและคิดตามสำเนียงเรียกแปร่งๆ
(อูคาชิ เซดะ…อูคาชิ เซดะ)
(อะไร…อู คา ชิ เซ ดะ ไม่…ใครกัน) “ใครกัน” เขาพลั้งปากหลุดเสียงดังขึ้นมา
“ใช่ฝัน…เราฝันไป บ้าฉิบ!” ดาบไผ่ลุกนั่งสะบัดหัวไปมาหลายครั้ง…กระนั้น
“อูคาชิ เซดะ ไม่ต้องกลัว ข้าอยู่ทางนี้…เดินออกมา” คราวนี้น้ำเสียงเดิมดังขึ้นในระยะจับทิศทางได้
“หา!…ใคร…” ความกลัวที่ครอบงำเมื่อครู่กำลังเปลี่ยนเป็นความรำคาญจนเด็กหนุ่มต้องลุกพรวดพราดเดินตรงไปยังประตูระเบียงอย่างท้าทาย เขากระพริบตาถี่ๆติดต่อกันหลายครั้งจนมองเห็นชัดในความมืดที่เป็นสีเขียวอมเหลืองได้อย่างชัดเจนและทันทีที่ก้าวออกมายืนนอกระเบียงชั้น 2
เสียงเต้นของหัวใจ 2 คน…ไม่ใช่สัตว์ก็สัมผัสได้ถึงสัญญาณของสิ่งมีชีวิตที่ไม่ปกติในทิศตรงข้ามกับเสียงของชายเมื่อครู่
(ใช่จริงๆ…กลิ่นสาบเหมือนกลุ่มคนเมื่อเช้าเลย) เขาเทียบกับความทรงจำเดิม ก่อนจะตะโกนถามเข้าไปในเงามืด…“ใคร ใครนะออกมานะ…”
(อูคาชิ เซดะ…อูคาชิ เซดะ…อูคาชิ เซดะ) แต่น้ำเสียงเดิมก็ดังขึ้นอีกในหัวอีก เหมือน 2 สิ่งกำลังดึงดูดเขาได้พอกัน
“อูคาชิ เซดะ…ข้าอยู่ทางนี้…ไม่ต้องกลัวข้า” คราวนี้ต้นเสียงเรียกชื่อที่ไม่คุ้นเคยก็ดังขึ้นอีกทาง ดาบไผ่ค่อยๆ หันตาม และภาพของชายชราในชุดกิโมโนสีขาวก็ปรากฏลอยนิ่งอยู่กลางอากาศท่วมกลางรัศมีแสงจันทร์สีเงิน…ดั่งกับเป็นภาพฉายจากสวรรค์
“หา!…”
“ไม่ต้องกลัว…” น้ำเสียงนุ่มนวลเรียกความอุ่นใจได้อย่างน่าประหลาด ยิ่งรอยยิ้มบางๆ กับแววตาที่เป็นมิตรคู่นั้นด้วยแล้วมันตรึงเขาให้นิ่งอยู่กับที่เหมือนกับโดนมนต์สะกดตั้งแต่ในวินาทีแรก…
“เจ้าไม่ต้องกลัวข้า…” เสียงพูดดังขึ้นทั้งๆ ที่ริมฝีปากไม่ขยับ “ในที่สุดข้าก็ตามหาเจ้าจนเจอ…หลังจากที่รอคอยการกลับมา กว่า 60 ปี” ชายชราในชุดกิโมโนสีขาวยังไม่ทันพูดจบ ร่างในแสงจันทร์ก็ค่อยเลือนหายไปพร้อมๆ เงาเมฆที่ลอยเข้ามาปิดบัง
“เดี๋ยว!…” ดาบไผ่เรียกตามและเงามืดที่เข้ามาทาบแทนก็ไม่ปรากฏร่างของชายชราผู้นั้นแล้ว เขาตัดสินใจเดินเข้าไปยืนยังตำแหน่งที่เห็นเมื่อครู่ แต่มันก็ไร้ร่องรอยโดยสิ้นเชิง
“เขา…เขาหายตัวได้…” เสียงสั่นเมื่อความกลัวเริ่มทำงานอีก
“อู คา ชิ เซ ดะ…ข้ารอคอยการกลับมาของเจ้ากว่า 60 ปี…” ดาบไผ่พึมพำ “เขาเป็นใครกัน…เทพหรือปิศาจกันแน่” แต่ทันทีที่ลมวูบแรกโชยผ่าน เสียงเคลื่อนไหวจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งก็ปลุกให้เขาตื่นจากภวังค์
“ใคร…ออกมา” เขาตะโกนเสียงดังอีกระดับ แต่กลิ่นสาบและเสียงหัวใจของพวกมันก็ยังท้าทายไม่เลิก
“ไอ้พวกหัวขโมย…” น้ำเสียงที่เกลียดชังตะเบ็งแทรก เขากระพริบตาและกวาดมองไปรอบๆเหมือนกับนักสำรวจในที่สุดเงาของ 2 คนในชุดสีดำก็ค่อยๆ เด่นชัดออกมาจากเงามืดของต้นมะม่วง
“ไอ้ๆ…พวก” ไม่ทันจะพูดจบ พวกมันก็โผวูบจากเงาสู่เงา ก่อนจะดีดตัวลอยขึ้นราวกับตัวทากในป่าชื่นหายไป
“ไอ้พวกปลิงลมสันดานหนอน!…” ดาบไผ่กดเสียงต่ำลึกในลำคอ จนความกลัวเปลี่ยนเป็นความเกลียดชังขึ้นมาแทน “ไอ้พวกปลิงลมสันดานหนอน” ราวกับเห็นพวกมันเป็นตัวทากกินสิ่งปฏิกูลในบ่อเกรอะเป็นอาหาร เวลาเดียวกันเขาก็กระโจนเข้าไปดึงดาบยาวที่แขวนโชว์อยู่บนผนังในบ้าน เพียงเสี้ยวนาทีก็กลับมายืนนิ่งอยู่ในท่าที่เตรียมพร้อม ณ จุดเดิม
(ยังไวดุจสายลมเช่นเดิมนะ…เซดะคุง…ฮึๆ ข้าจะปลุกเจ้าให้ตื่นขึ้นมาเพื่อเผชิญหน้ากับพวกมันเอง แต่แสงจันทร์ในคืนนี้ไม่เป็นใจอย่างที่หวัง…สื่อนำทางถูกบดบัง…ไว้คืนจันทร์กระจ่างหลังข้างแรมอีกครั้งแล้วข้าจะกลับมาใหม่)
“อะไร…มีอะไร…” เสียงพ่อกับแม่ที่พึ่งตื่นตะโกนออกมาจากข้างใน
“พ่อไปเอาไฟฉายมา” เสียงแม่ดูสั่นกลัวตามขึ้น
“ไม่ต้อง…แสงไฟฉายทำให้เห็นมันในวงแคบๆ” ดาบไผ่บอกขณะกำลังดักฟังเสียงที่โผทะยานห่างออกไปไกลเรื่อยๆ
“มีอะไร…” พ่อถามย้ำและเร่งฝีเท้าเดินเข้ามาหยุดใกล้ๆ
“ขโมยครับพ่อ” เขาตอบสั้นๆ พ่อหันหลังจะวิ่งเข้าไปเอาปืนในห้อง “ไม่ต้องหรอกพ่อ…พวกมันไปแล้ว”
“ทีหน้าที่หลัง…อย่าทำอย่างนี้นะลูก” แม่ต่อว่าเสียงสั่น
“ต่อไป…ต้องปลุกพ่อ…อย่าทำอย่างคืนนี้อีกเด็ดขาด” เสียงพ่อตามขึ้นสมทบ ทั้ง 3 ปล่อยให้ความเงียบเข้ามาเยียวยาจนปกติ
“กลับไปนอนเถอะ…พรุ่งนี้ต้องไปเรียนแต่เช้า”
“โตเป็นหนุ่มจนแม่โอบไหล่ไม่ถึงแล้วนะ…พ่อคนเก่ง” แม่พูดเย้า พร้อมกับดึงเขาเข้าไปกอดแน่น
“แม่เข้าไปนอนก่อนเถอะเดี๋ยวจะตามไปครับ”
“อย่านานนะลูก…”
“ครับแม่…”
(ท่านเป็นเทพหรือปิศาจกันแน่) ดาบไผ่เผลอคิดถึงชายชราในชุดกิโมโนสีขาวเมื่อครู่ขึ้นมาลอยๆ
(อู คา ชิ เซ ดะ…การเปรียบเทียบระหว่าง สีขาวกับสีดำ บุญและบาป เทพหรือมาร ล้วนแล้วทำให้ข้าเจ็บทั้งนั้น)
“ท่าน!…”
(…ข้าจะปลุกให้เจ้าตื่นขึ้นมาเพื่อเผชิญหน้ากับมันเอง…ไม่ต้องกลัว)
……….
“เกิดมาเพื่อจะเผชิญหน้ากับความตายโดยแท้
“โอ้เจ้าดอกไผ่สีทอง…………………………….”
ดาบไผ่ ธารารักษ์
……….
จบ กระเรียนหลงฟ้า บทที่1