นิยายอ่านฟรีจบเรื่อง กระเรียนหลงฟ้า บทที่15 อูคาชิ เซดะ นินจาเลือดซามูไร Part3
กระเรียนหลงฟ้า บทที่15
บ้านมินาโมโต
เช้าวันต่อมาที่บ้านมินาโมโต
บ้านพักอาศัย 2 ชั้นทรงร่วมสมัยสีน้ำตาลดำหลังใหญ่ ที่ตั้งอยู่ระหว่าง 2 ซอยขนานกัน มีป้ายชื่อเป็นแผ่นหินแกรนิตสีน้ำตาลแดงขนาดย่อมๆ ติดกับกำแพงรั้วด้านซอยกว้างที่ลึกจากถนนสีลมราวๆ 500 เมตร มันถูกแกะสลักเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษสีทองว่า “MINAMOTO HOUSE” โดยมีป้อมยามเล็กๆ ที่ไม่เคยว่างเว้นไปจากยามแก่ๆ ที่วันๆ เอาแต่นั่งหลับเป็นหินล้มอยู่ด้านใน ความลึกลับของสีผนังดึงดูดความสนใจแก่ผู้คนที่ผ่านเข้ามาในซอยนี้ได้ไม่ยาก เวลา 06.30 น. เสียงรถมอเตอร์ไซด์ส่งหนังสือพิมพ์แล่นมาหยุดที่หน้าประตูรั้วไม้สัก หนังสือพิมพ์ 3 ฉบับถูกม้วนรวมกันแล้วเหวี่ยงข้ามเข้ามาด้านใน มันถูกใช้เป็นนาฬิกาปลุกสำหรับยามแก่ๆ คนนั้นในทุกๆ เช้า เขาลุกเดินไปเก็บและคลีมันออกมาอ่านเป็นคนแรกอย่างเป็นกิจวัตรประจำวัน…แต่วันนี้…
“พวกนอกคอก!…” ดวงตาเขาลุกวาว ก่อนจะเร่งนำหนังสือพิมพ์ทั้ง 3 ฉบับนั้นเข้าไปส่งด้านใน “เซดะ!…เซดะ!”
เวลา 7.20 น. ดาบไผ่ ธารารักษ์ เดินลงมาจากบันไดตรงดิ่งไปยังห้องนั่งเล่นที่อยู่ติดกับบ่อบัว เขานั่งลงโซฟาหนังสีดำและหยิบหนังสือพิมพ์ที่มีรอยยับที่มุมของทุกฉบับขึ้นมาอ่านทีละหน้า ภาพข่าวหน้าหนึ่งที่มีรูป ต้องตะวัน ประภาสกร ปรากฏอยู่ทุกฉบับไม่ทำให้เขาตกใจเท่ากับข่าวแทรกเพิ่มเติมจากเมื่อวาน… “ไม่นะ!…”
……….
“The M ยอมถอย เปิดทางสู่เค้กก้อนใหญ่ให้ Siam Noble เป็นผู้จัดงานแสดงเพชร เพราะบุตรชายเป็นเหตุ”
……….
“…คุณป๋ายอมปล่อยงานแสดงเพชรหลุดมือได้อย่างไร…” ดาบไผ่ตั้งคำถามกับตัวเอง เขารีบคว้าหนังสือพิมพ์อีก 2 ฉบับที่วางเรียงกันอยู่ขึ้นมาพลิกอ่านรายละเอียดที่ซ่อนอยู่อย่างกระหาย
“เป็นไปได้อย่างไร” เขาอุทานออกมาอีกและเวลาเดียวกันภาพวันงานประมูลที่ต่างฝ่ายต่างฟาดฟันอย่างเอาเป็นเอาตาย ภาพท่านนายกและคณะรัฐมนตรีเข้ามาแสดงความยินดีและอาการกระหายอยากจะผูกมิตรเพื่อผลประโยชน์ผุดขึ้นมาในหัว เพชรเม็ดดังๆ จากทั่วโลกกำลังจะนำมาจัดแสดงในงานนี้ โดยเฉพาะเพชรสีน้ำเงิน ที่ชื่อ “หัวใจราชินี” ได้มีการเซ็นสัญญารับประกันไปแล้วหลายพันล้านบาท วันนี้อยู่ๆ เขากลับยกผลประโยชน์ทั้งหมดให้กับคู่แข่งทางธุรกิจอย่างไม่น่าเชื่อ
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่…”
เหตุผลที่ผมยอมให้ Siam Noble เป็นเจ้าภาพแต่เพียงผู้เดียวในงานแสดงเพชรนั้นก็เป็นเพราะ การหายไปของบุตรชายคนเดียวของผม ต้องตะวัน ประภาสกร เขาคือทั้งหมดในชีวิต…ถึงแม้ว่างานแสดงเพชรจะประสบความสำเร็จงดงามสักเพียงใด แต่ถ้าไม่มีบุตรชาย ทุกอย่าง ก็ไร้ความหมาย นาทีนี้ชื่อเสียงเงินทองไม่สำคัญไปกว่า ชีวิตของต้องตะวันอีกแล้วครับ
คุณ รักเกียรติ ประภาสกร เปิดใจที่บ้าน The M เมื่อวานเวลา 14.30 น.
“นี่เราเป็นสาเหตุของเรื่องราวทั้งหมดจริงๆ หรือ…” ดาบไผ่พึมพำอย่างคนวิตกจริต เขาพลิกหนังสือพิมพ์กลับไปดูรูปของต้องตะวันที่หน้าหนึ่งอีกครั้ง พร้อมกับถอนหายใจออกมายาวๆ “ไม่…”
“มันเป็นบทเรียนแรกสำหรับเจ้า…อย่าเพิ่งตัดสินเชื่อในสิ่งที่เรายังไม่รู้ความจริง บางครั้งสื่อเองก็ถูกใช้ให้เป็นสะพานเชื่อมสู่ผลประโยชน์ที่มากกว่า…เรื่องโง่ๆ อย่างนี้แหละที่พวกมันฉลาดนัก” เสียงของเซดะดังขึ้นทางด้านหลัง
“เซดะ คุณอ่านมันแล้วรึ” ดาบไผ่ถามกลับ
“เป็นวิธีของพวกนอกคอกที่มักจะใช้ความดีอาบยาพิษเป็นอาวุธ”
“ผลประโยชน์ที่มากกว่า…ความดีอาบยาพิษ…มันหมายความว่าอย่างไร” ดาบไผ่ถามตามความรู้สึกที่ยังขัดแย้งกันอยู่ภายใน
“อย่าเพิ่งรีบสรุป…ที่ข้าพูดเพียงจะให้เจ้าใช้มันเป็นเครื่องมือเพื่อป้องกันความคิดไม่ให้หลงทางและอาจจะตกเป็นเหยื่อของบางคนได้ง่ายๆ” เซดะเดินอ้อมมานั่งลงข้างๆ “อาจจะมีผลประโยชน์ต่างตอบแทนซ่อนอยู่ โดยที่ไม่ต้องลงแรงหรือรับผิดชอบใดๆ และข่าวสารนี้แหละที่จะเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้คนร้ายกลายเป็นพ่อพระในชั่วพริบตา” เซดะพูดต่อ ดาบไผ่ได้แต่มองหน้าเขาสลับกับหนังสือพิมพ์ที่กองอยู่ไปมา
“ท่านพ่อ…” อยู่ๆ ชายวัย 72 ก็เอ่ยคำๆ คำนี้ออกมาพร้อมกับแววตาและสีหน้าที่ไม่ต่างอะไรกับเด็กวัย 4 ขวบ “นับตั้งแต่นี้อะไรที่เป็นของข้า มันก็ต้องเป็นของท่านโดยปริยาย ข้าสร้างบ้านหลังนี้ขึ้นมาก็เพื่อรอท่าน ห้องนอนที่ท่านหลับได้ตลอดคืนมันถูกเตรียมไว้สำหรับท่านตั้งแต่แรก…ท่านพ่อคงเข้าใจในเจตนาของข้า” ทำเอาดาบไผ่ถึงกับเย็นวาบตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า…
“เรื่องนั้นเอาไว้ทีหลัง…แต่เรื่องนี้ซิที่ผมไม่เข้าใจ” ดาบไผ่บอพลางขยับสายตาไปที่หนังสือพิมพ์ตรงหน้า
“มันอธิบายยาก พวกนอกคอก ข้าหมายความถึงนักการเมืองบางกลุ่มด้วย อาวุธหลักที่คนพวกนี้ใช้ ไม่ใช่ปืนผาหน้าไม้ ไม่ใช่ดาบคาตานะ ไม่ใช่ดาวกระจาย แต่มันคือความดีอาบยาพิษ” เซดะอธิบายสั้นๆ เขาพยักหน้ายืนยัน “ท่านพ่อ…นี้คือความจริง”
“ขอบคุณ…แต่ได้โปรดเรียกผมแค่ชื่อเถอะ”
“มันขัดแย้งกับความรู้ที่ข้าไม่เคยได้รับมาทั้งชีวิต…ข้ามีความสุขที่ได้เรียก…ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮา” เขาตอบเลี่ยงๆ พร้อมกับระเบิดเสียงของความสุขออกมาแบบเด็กๆ…
(ผมเองก็รู้สึกผูกพันกับคุณ อย่างน่าประหลาด คุณเป็นลูกชายของผมจริงหรือนี่)
(จิตพิรุธไม่เคยโกหกใจของชิโนบิที่เกิดมาพร้อมพรสวรรค์พิเศษอย่างท่านพ่อ…จงเชื่อในมรดกทางจิตวิญญาณเถอะ แล้วท่านจะอ่านความมืดหรือแม้แต่เสียงเพลงที่บรรเลงในความเงียบงันได้)
……….
“……………….จงเชื่อมั่นกับบุคคลในกระจกเงา
แต่อย่าใช้คำว่า เรากับบางคนที่ยังไม่เชื่อมั่น”
ดาบไผ่ ธารารักษ์
……….
ชั่วโมงซามูไร
ชุดซับในสีขาวถูกแขวนทับด้วยชุดกิโมโนสีโอ๊ค ดาบไผ่นั่งมองมันตาไม่กระพริบตั้งแต่เขาเดินออกจากห้องน้ำ ไม่นานนักเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เขาลุกจากเตียงเดินไปเปิดอย่างไม่รีบร้อนอะไร
“ส วัส ดี ครับ คุณชาย ข้าชื่อ ซากาโตะ โอบิ” เสียงรายงานตัวด้วยภาษาไทยที่ยังไม่คล่องจากชายญี่ปุ่นที่มีอายุมากกว่าเขาไม่น่าจะเกิน 3 ปี กิริยาคำนับเหมือนถอดแบบมาจากภาพยนตร์ไม่ผิดเพี้ยน “ชั่วโมงซามูไร คุณชายต้องสวมชุดที่เตรียมไว้ให้ ข้าเกรงว่าจะมีปัญหาเลยขึ้นมาดู” เขาพูดต่อหน้าตึง คิ้วทั้ง 2 ข้างขมวดเข้าหากันเหมือนคนปวดส้วมอยู่ตลอดเวลา จนทำให้ดาบไผ่เกือบหลุดขำทุกครั้งที่ต้องจ้องใบหน้าเขาตรงๆ
“หึๆ…ผมก็คิดว่า มันน่าจะมีปัญหาอย่างที่คุณ…”
“เรียกข้า ว่า โอบิ”
“อย่างที่คุณ โอบิ คาดไว้…เชิญข้างในครับ” ดาบไผ่พูด ซากาโตะ โอบิ จึงเข้ามาช่วยสวมชุดกิโมโนเจ้าปัญหาให้จนเสร็จ
“โอ้…ดูคุณชายสวมชุดกิโมโนตัวนี้แล้ว…ทำให้ข้าอดคิดถึงรูปของคุณชายมินาโมโต โคทาโร่ ไม่ได้ช่างเหมือนกันจริงๆ” โอบิฟ้องอาการตื่นเต้นด้วยแววตาที่ฉายออกมาพอๆ กับน้ำเสียง เขาเดินจ้องดาบไผ่หลายรอบๆ ก่อนจะพูดต่อ “ถ้าผิวขาวได้อย่างคุณชาย…ข้าหมายถึงท่านโคทาโร่…ใครๆ ก็ต้องหลุดปากว่าท่านเป็นผีแน่ๆ ฮึๆ…” เสียงหัวเราะในลำคอทั้งๆ ที่ใบหน้าของเขายังเรียบตึงคล้ายจะปวดส้วมอยู่แบบเดิม ทำให้ดาบไผ่กลั่นหัวเราะไม่อยู่อีก
“หึๆ…ผมควรจะขอบใจคุณดีไหมโอบิ…ที่เห็นผมเป็นผี” ดาบไผ่กลบเกลื่อนและปล่อยเสียงหัวเราะให้อยู่ในอารมณ์เดียวกับเขา โอบิจ้องหน้าสักพัก เขาก็ขมวดคิ้วเข้าหากันเหมือนจะไม่เข้าใจ แต่แล้วก็เบิกตากว้างเหมือนจะนึกได้ “ข้าขอโทษคุณชาย…ข้าไม่ได้หมายความว่าท่านเป็นผี…”
“ไม่เป็นไร ผมพูดเล่น…แต่มันก็รู้สึกเขินๆ อยู่ดี” ดาบไผ่ออกตัว
“ครั้งแรกนะคุณชาย…สักพักก็ชิน…และในที่สุดคุณชายก็จะรักมัน” เขาพูดอย่างมั่นใจ สักพักทั้งสองก็เดินลงไปด้านล่างด้วยกัน โดยมีสายตาหลายคู่ที่รวมตัวอยู่ในห้องนั่งเล่นจ้องเขาไม่กระพริบ โดยเฉพาะแม่บ้านและลุงยามคนที่นั่งหลับเป็นหินล้มคนนั้น
“คุณชายมินาโมโต…” แม่บ้านหลุดปากละเมอ ลุงยามหันขวับกลับไปจ้องนางเชิงตำหนิ และก็สวนกลับเสียเอง
“ข้าว่า เหมือนกับคุณชายน้อยตอนเป็นหนุ่ม มากกว่า…แต่…”
“แต่…แต่อะไร” เสียงแม่บ้านซักกลับ “พูดดีๆ นะ…”
“ก็คุณชายน้อยผิวขาวยังกับไข่ปลอก…แต่คุณชายดาบไผ่นะผิวสีแทนน้ำผึ้งจนหารอยด่างไม่ได้”
“เออ!…จริงของเจ้าโนอาน…แต่ข้ากลับชอบคุณชายดาบไผ่มากกว่า…ฮิๆ” เสียงกระซิบกระซาบของทั้งคู่ ทำให้ดาบไผ่ยิ่งเขินมากขึ้นไปอีก แต่เขาก็ทำเป็นไม่ได้ยินและเร่งฝีเท้าตามโอบิออกไปให้เร็วกว่าเดิม
……….
ที่สนามหญ้าหน้าบ้าน
“ยามากะ โซโก เป็นบุคคลหนึ่งที่สำคัญยิ่งสำหรับซามูไร ระหว่างปี ค.ศ.1622-1685 เขาได้นำเอาความคิดแบบชินโตและขงจื้อมาประสานเข้าด้วยกัน ซึ่งนั่นเป็นการนำไปสู่การสร้างลัทธิบูชิโด (Bushido) อันเป็นลัทธิที่ยอมรับและยกย่องวิถีแห่งคนกล้า ซึ่งคนญี่ปุ่นเรียกว่า ซามูไร (Samurai) เพราะฉะนั้นคำว่า บูชิโด จึงมีความหมายว่า หนทางของอัศวินนักสู้หรือ มรรควิธีที่จะนำไปสู่ความเป็นซามูไรนั้นเอง” เซดะยืนพูดเสียงดังต่อหน้าชายหนุ่มในชุดกิโมโนสีโอ๊คมากกว่า 20 คน โอบิกระซิบบอกว่าพวกเขาทั้งหมดพึ่งมาถึงเมืองไทยไม่นาน เซดะเงียบแต่สายตากำลังกราดมองไปทีละคนก่อนจะหยุดลงที่ดาบไผ่ เซดะใช้ความนิ่งเดินเข้าไปหา มันทำให้ดาบไผ่รู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก เซดะยิ้มที่มุมปากนิดๆ ก่อนจะกระชับชายกิโมโนที่ยังไม่เข้าที่ให้
“พอดีเลยนะ…ท่านพ่อ” เขากดเสียงต่ำใกล้ๆ และเดินกลับไปยืนที่เดิม
“การตายของซามูไรเป็นเรื่องบางเบาราวขนนกและงดงามเสียยิ่งกว่ากลีบซากุระยามร่วงโรย…มรรควิธีปฏิบัติเพื่อจะนำไปสู่ความเป็นซามูไร มี 5 ข้อ ที่พวกเจ้าจะต้องจดจำให้ขึ้นใจ คือ…
- ซามูไรทุกคนจะต้องเป็นผู้สังกัดอยู่กับเจ้านายและต้องซื่อสัตย์ จงรักภักดีต่อเจ้านายอย่างมั่นคง
- ซามูไรจะต้องเป็นผู้กล้าหาญ ไม่เกรงกลัวต่อความตาย และสามารถเผชิญหน้ากับความตายได้ทุกเมื่อ
- ซามูไรจะต้องเป็นผู้มีเกียติมีศักดิ์ศรี ยอมตายเพื่อรักษาเกียติ ดีกว่าอยู่อย่างไร้เกียติ
- ซามูไรจะต้องเป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตน
- ซามูไรจะต้องเป็นผู้เที่ยงธรรมและช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก มีเมตตาจิต รักความยุติธรรม ไม่นิ่งดูดายหากเห็นคนตกทุกข์ได้ยาก
จงซึมซับเข้าสู่กมลสันดาน เพื่อเลือดทุกหยดของพวกเจ้าจะเป็นซามูไรโดยสมบูรณ์” เซดะพูดต่อเสียงหนักแน่น เซดะปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่สักพักเขาก็เดินต่อไปยังแท่นชั้นเก็บดาบ 2 เล่ม ซึ่งเป็นดาบยาวประมาณ 70 เซนติเมตรเล่มหนึ่ง และดาบสั้นยาวประมาณ 30 เซนติเมตรอีกเล่มหนึ่ง
“ตามธรรมเนียมโบราณ…ซามูไร…ต้องพกดาบสองเล่มนี้คู่กันเสมอ นี้คือดาบคาตานะ(Katana)” เซดะกดเสียงทุ้มต่ำแต่ก็ดังพอที่ทั้งหมดจะได้ยิน เขายกดาบเล่มยาวชูขึ้นเหนือหัวให้ทุกคนเห็น “ดาบเล่มนี้มีไว้สำหรับต่อสู้…และอีกเล่มคือดาบ วากิซาชิ (Wakizashi)” เขาชูดาบสั้นขึ้นด้วยมืออีกข้าง
“หน้าที่หลักของมันไม่ได้เอาไว้สำหรับต่อสู้หรือป้องกันตัวเพียงอย่างเดียว แต่มันมีไว้สำหรับคว้านท้องตัวเองในพิธี ฮาราคีรี (Hara-kiri)…วากิซาชิจะช่วยให้ซามูไรได้พบกับความตายอย่างมีเกียติ” เขาตะเบ็งเสียงสูงในประโยคสุดท้าย สักพักสัญญาณมือก็ทำให้ผู้ช่วย 2 คนที่ยืนอยู่คนละฝั่ง นำแผ่นกระดาษสีน้ำตาลขุ่นเข้ามาแจกทีละคน
“ถึงจะหมดยุคซามูไรไปนานแล้ว แต่สิ่งดีที่บรรพบุรุษได้สร้างสรรค์เอาไว้ให้ เราลูกหลานก็สมควรนำเอาแนวความคิดเหล่านั้นมาปรับแปลงให้เข้ากับปัจจุบัน…และสิ่งที่ข้าแจกให้ทุกคนในวันนี้ เป็นบทเรียนในคราวหน้า แผ่นแรกจะเป็นจุดตายในการต่อสู้ พวกเจ้าไปอ่านแล้วคราวหน้าเราเจอกัน ส่วนแผ่นที่ 2 จะเป็นท่วงท่าในการเข้าโจมตี เราจะเริ่มฝึกกันตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป” เซดะพูดจบเขาสั่งให้ทุกคนไปหยิบดาบไม้ที่วางอยู่มุมห้องแล้วให้พวกเขาจับคู่หันหน้าเข้าหากัน
“เอาแผ่นกระดาษของพวกเจ้าเก็บไว้ทบทวนนอกเวลา…เรามาเริ่มฝึกท่าแรกกันเลย…เอา” และการฝึกก็ดำเนินต่อไปอย่างสนุกสนานจนถึงเวลาเลิก ดาบไผ่จึงหยิบแผ่นกระดาษที่เซดะแจกให้ขึ้นมาอ่าน เขาสนใจจุดตายหลายๆ จุดในการเข้าโจมตี และพยายามทำความเข้าใจกับมันด้วยความกระหายอยาก
จุดตาย 9 จุดในการเข้าโจมตีและจุดระวังในการตั้งรับ
- กลางกระหม่อม
- ท่าฟันเฉียงซ้าย
- ท่าฟันเฉียงขวา
- ท่าฟันระดับสะโพกซ้าย
- ท่าฟันระดับสะโพกขวา
- ท่าฟันเฉียงบนซ้าย
- ท่าฟันเฉียงบนขวา
- ท่าฟันทวนพายุ (ฟันจากล่างขึ้นบน)
- ท่าทะลวง (ใช้ในระยะประชิด)
……….
“……คำอุทานส่อสันดานตนได้ฉันใด
เสียงหัวเราะก็ส่อนิสัยคนได้ฉันนั้น”
ดาบไผ่ ธารารักษ์
……….
จบ กระเรียนหลงฟ้า บทที่15