กระเรียนหลงฟ้า บทที่2 อูคาชิ เซดะ นินจาเลือดซามูไร Part3 นิยายอ่านฟรีจบเรื่อง
กระเรียนหลงฟ้า บทที่2
คาตานะ ดาบซามูไร
หลายคนเชื่อว่า ชีวิตแต่ละชีวิต คนแต่ละคน มีอดีต-มีปัจจุบัน-มีอนาคตโดยที่ฟ้าเป็นผู้กำหนด มีพระพรหมเป็นผู้ลิขิตตั้งแต่ครั้งแรกที่ดวงวิญญาณตั้งต้น ความผูกพันติดอยู่กับสิ่งใด สิ่งเก่ากรรมเก่าที่ยังไม่ถูกสะสางก็จะเป็นสื่อชักนำดวงวิญญาณนั้นๆ กลับมาเกิดใหม่เพื่อชดใช้จนกว่าจะหมด ไม่มีใครหลุดรอดจากกฎแห่งกรรมนี้ไปได้ แม้กระทั้งปิศาจที่อยู่ได้ทั้ง 3 โลกก็ตามที
………
ชีวิตข้าว่าสวรรค์นั้นขีดเขียน
มิอาจเปลี่ยนแปลงแปลเป็นอื่นได้
จำต้องเดินเผชิญกรรมฟ้านำไป
ถึงแสนไกลใจจักฝ่าอาญากรรม
……….
ดาบไผ่ ธารารักษ์ เด็กหนุ่มที่เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์พิเศษที่ตนเองไม่เคยรู้จักแต่คุ้นชินจนเข้าใจไปเองว่า มันคือส่วนหนึ่งของปฏิกิริยาชีวิตที่มีอยู่ในตัวตนของทุกๆ คน ความนิ่งดุจน้ำลึกที่ยากจะหยั่งถึงมีส่วนซ่อนเร้นมิให้พรสวรรค์พิเศษนี้แปลกแยกหรือโดดเด่นออกมาจากเด็กหนุ่มทั่วๆ ไป มีเพียง สัญชาตญาณอยาก ที่ฟ้าลิขิตไว้แล้วเท่านั้น ที่ชักนำชีวิตของเขาเดินทางสู่อนาคตที่ยากจะคาดเดา เพื่อจะสะสางกรรมเก่าให้จบสิ้น
……….
ในห้องเรียนหลายปีต่อมา
“ไอ้พวกปลิงลมสันดานหนอน…” ดาบไผ่กดเสียงกร่นด่าลอดไรฟันทันทีที่เห็นร่างในเงาสีดำโผวูบวาบจากต้นก้ามปูไปยังอาคารเรียนที่อยู่อีกฟาก ก่อนผนังสีขาวจะกลืนมันหายไป
“บ่นอะไรคนเดียววะ…” พิทักษ์เพื่อนร่วมห้องกระซิบ
“มึงเห็นไอ้พวกปลิงลมนั้นหรือเปล่า” ดาบไผ่ถามกลับพลางชายตาไปยังตำแหน่งสุดท้ายให้เพื่อนสังเกต ในขณะที่เพื่อนอีกหลายคนกำลังนั่งจับกลุ่มทำรายงานกระจายกันอยู่ทั่วห้อง
“ปลิงลมอะไรของมึง…ไม่เห็นมีและไม่เข้าใจด้วย” พิทักษ์มองตามและเกาหัวใส่เหมือนจะรำคาญ
“เออๆ…เปล่า ก็พูดไปเรื่อยแหละ” ดาบไผ่ตัดบท
“ตกลงมึงจะเข้าไปเรียนที่กรุงเทพฯ จริงเหรอ” พิทักษ์เปลี่ยนเรื่องคุย
“กูอยากจะหนีไอ้พวกปลิงลมนี้เต็มที” ดาบไผ่กดเสียงที่เกลียดชังตอบกลับไป จนพิทักษ์จ้องตาเขาเหมือนอยากจะรู้เรื่องนี้ขึ้นมาจริงๆ
“ปลิงลม อีกแล้ว…ถ้าอย่างนั้นเล่ามาให้หมดมัน…มัน…เรื่อง…” เมื่อดวงตา 2 คู่ประสานกันตรงๆ คำพูดสุดท้ายไม่ทันจบประโยคพิทักษ์ก็ฟุบหลับทั้งๆ ที่ยังอ้าปากค้างอยู่กับโต๊ะของตัวเอง
“พิทักษ์…พิทักษ์ อะไรของมันวะ คุยกันอยู่ดีๆ…หลับไปซะแล้ว”
“อย่าไปสนใจมันเลย…ไอ้ห่านี้หาเรื่องอู้ได้ทั้งปี” เสียงเพื่อนอีกคนตะโกนข้ามโต๊ะบอก…
“แต่มัน….”
“เออ ชั่งหัวมันมึงมาช่วยกูที…หลังเลิกเรียนค่อยปลุกมัน…เหมือนเมื่อวาน เมื่อวานและเมื่อวาน…โอเค”
“เออๆ…ก็ได้…มันไปอดหลับอดนอนมาจากที่ไหนวะ” ดาบไผ่บ่นขณะเดินข้ามโต๊ะสองสามตัวไปหาเพื่อน…และร่างที่โผจากเงาสู่เงาด้านนอก ก็ลอยวูบย้ายไปตำแหน่งไปอีกฝั่ง เหมือนพวกมันจะไม่ยอมให้เขาคาดสายตาไปได้
(ชิ!…ไอ้พวกปลิงลมสันดานหนอน!…)
………..
เวลาต่อมา
ทันทีที่จบมัธยมศึกษาปีที่ 6 ในจังหวัดเพชรบุรี “สัญชาตญาณอยาก” ก็ดลใจให้ดาบไผ่ สอบเรียนต่อมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ และมันก็เป็นไปตามนั้น เมื่อผลเอ็นทรานซ์บอกว่าเขาสอบติดคณะที่เลือกเอาไว้อันดับหนึ่ง ความหวังที่จะหนีพวกปลิงลมสันดานหนอน เริ่มเป็นจริงขึ้นมา เขาอมยิ้มแต่ภาพของดาบซามูไรในห่อผ้าไหมสีขาวบนหิ้งพระก็ทำให้รอยยิ้มนั้นหายไปทันที เขารู้สึกเย็นวาบตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าเมื่อรู้ว่าต้องไปอยู่ในที่ๆ ไม่มีมัน…ยิ่งใกล้วันเดินทางในหัวใจก็ยิ่งหน่วงลึกหนาวจวนจะเป็นไข้…
(ไม่เข้าใจ…ไม่เข้าใจ ) ดาบไผ่คิดขณะยืนจ้องมันไม่กระพริบ
“ไผ่…” เสียงพ่อดังด้านหลัง ดาบไผ่หันไปมองสั้นๆ ก่อนจะกลับไปจ้องที่จุดเดิม “อีกไม่นาน….มันจะเป็นของลูก” พ่อพูดอย่างคนรู้ทัน
“แล้วเมื่อไรละครับพ่อ…”
“เมื่อพร้อม…” พ่อตัดบท แต่ด้วยสายตาที่ดูจริงจังของบุตรชายก็ทำให้ผู้เป็นพ่อต้องหยุดอยู่กับที่
“…ผมขอจับมันอีกสักครั้งนะครับพ่อ…” ประโยคเรียบๆ แต่เต็มไปด้วยความกระหายอยาก ทำให้ผู้เป็นพ่อถึงกับอึ้ง…สักครู่พ่อก็พยักหน้ายอมแพ้และเดินเข้าไปปลดห่อผ้านั้นลงมา ดาบไผ่ยิ้มเดินตามสู่ห้องนั่งเล่น พ่อวางมันลงโต๊ะกลาง แล้วค่อยๆ คลีห่อผ้าออกช้าๆ ในที่สุดดาบซามูไรเล่มยาวในปลอกสีดำก็วางอยู่ตรงหน้า
“มันคือสมบัติชิ้นเดียวที่ปู่โมกทิ้งไว้…พ่อไม่รู้สึกอยากจะเป็นเจ้าของเหมือนกับลูก” พูดพลางลูบมันไปมา “เพราะมันจะอุ่นๆ จนร้อนมือทุกครั้งที่พ่อแตะหรือสัมผัสกับมัน”
“แต่ผมกลับรู้สึกเย็นสบายไปทั้งตัว…จนคล้ายขาดมันไม่ได้” ดาบไผ่กำรอบด้ามจับที่เป็นหนังปลากระเบนสีดำแน่น เขาลูบมันอีกมือด้วยความกระหายอยาก เวลานี้หัวใจของเขาเต้นแรงและแรงขึ้นจนกลัวว่ามันจะหลุดออกมาข้างนอก
#แกร๋ๆ…แกร๋ๆ…แกร๋ๆ…# ขณะเดียวกันด้านนอก เสียงนกที่ไม่เคยได้ยินก็ร้องดังขึ้น เหมือนมันกำลังบินวนอยู่เหนือหลังคา ดาบไผ่เพ่งดูที่ตราสัญลักษณ์รูปนกกระเรียนกำลังบินในวงกลมคล้ายดวงอาทิตย์ เสียงร้องของนกเหล่านั้นก็ยิ่งเพิ่มระดับดังขึ้นไปอีก
#แกร๋ๆ…แกร๋ๆ…แกร๋ๆ…# เขากำที่ด้ามจับแน่นเท่าใดเสียงร้องของนกก็ดังมากขึ้นเท่านั้น และในนาทีที่เขาตั้งใจจะชักคมดาบออกมา เสียงเตือนในสำเนียงภาษาญี่ปุ่นคล้ายกับชายชราในชุดกิโมโนสีขาวก็ดังขึ้นในหัว
(หากไม่คิดจะสังหารใคร อย่าซักมันออกมาเด็ดขาด…)
#แกร๋ๆ…แกร๋ๆ…แกร๋ๆ…# เสียงร้องของนกก็เพิ่มเป็นหลายสิบตัวในเวลาอันรวดเร็ว
“เสียงของ….” ดาบไผ่จ้องหน้าพ่อพร้อมๆ กับดันดาบกลับเข้าที่
“มีอะไรหรือลูก” พ่อขมวดคิ้วสงสัย
“พ่อได้ยินเสียงนกร้องหรือเปล่าครับ”
“ไม่นิ!…นกอะไรพ่อไม่เห็นได้ยินเลย”
“แล้วได้ยินเสียงคนพูดไหมครับ” เขาถามต่อใบหน้าของพ่อก็ยิ่งสงสัยมากขึ้นไปอีก
“ไม่นิ…มีอะไรรึเปล่า”
“เปล่าๆ หรอก…คงหูแว่วไปเอง” ดาบไผ่กลบเกลื่อน…เมื่อเห็นว่าไม่มีประโยชน์
(มันจะเป็นของเจ้าเมื่อพร้อม อูคาชิ เซดะ…) แต่ขณะเดียวกันสำเนียงและแววตาของพ่อก็เปลี่ยนเป็นชายชราในชุดกิโมโนสีขาวอย่างแจ่มชัด…
“พ่อ!…” ดาบไผ่สะดุ้งตัวลอย
“…มันจะเป็นของลูกเมื่อพร้อม…เป็นอะไรไปแปลกนะเรานี้”
“เอ่อ!…เปล่า…ไม่ ไม่มีอะไร” ดาบไผ่กดเสียงเมื่อสติเข้าที่ “วู้!…” และเป่าลมออกจากปากแรงๆ ก่อนจะวางดาบซามูไรเล่มนั้นลงที่เดิม
“ไม่รู้ว่าปู่โมกและย่าจันทร์หอมของลูก ได้ดาบเล่มนี้มาจากไหน…” พ่อพูดอย่างคนตั้งคำถาม “ทุกๆ ครั้งที่พ่อจับ…มันจะอุ่นร้อนจนแทบจะเผามือไหม้เกรียม…ถ้าลูกจับมันแล้วรู้สึกเย็น นั้นแสดงว่ามันเลือกลูกเป็นเจ้าของ” น้ำเสียงทีเล่นทีจริงของพ่อกลับทำให้ดาบไผ่รู้สึกว่าเป็นจริงตามนั้น
“จริงเหรอครับพ่อ”
“อื้อ!” พ่อพยักหน้าแต่ไม่จริงจังนัก พร้อมกับห่อมันเก็บไว้อย่างเดิม
“ปูโมก…” เขาพูดขึ้นลอยๆ พลางเอนหลังเงยหน้ามองฝ้าเพดานอย่างคนกำลังครุ่นคิด
“ย่าบอกว่าปู่โมกท่านเสียชีวิตก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จะจบ พ่อ…พ่อ…ก็” ทันทีที่พ่อตอบ ดาบไผ่ก็หันไปจ้องลึกเข้าไปดวงตาคู่สนทนาเพียงต้องการจะรู้เรื่องราวที่พ่อกำลังจะพูดอย่างจริงจัง
“พ่อ…พ่อ ก็ รู้…” พ่อพยายามเล่า ดาบไผ่ก็ยิ่งจ้องเข้าไปในดวงตาคู่นั้นอีก จนเห็นความอ่อนล้าฉายออกมาแทนที่ ในที่สุดเสียงพูดก็ค่อยๆ หายไป
“พ่อ…พ่อ อ้าวหลับซะแล้ว…พ่อนะพ่อ” ดาบไผ่บ่นอย่างคนหัวเสีย ดาบซามูไรที่อยู่ในห่อผ้าไหมสีขาวยังวางอยู่ต่อหน้า สายตาผิดหวังจ้องมันไม่กระพริบ สักครู่เขาก็เผยรอยยิ้มออกมา “ใช่…ป้าเรไร…ต้องรู้เรื่องนี้” เงาสีดำโผวูบผ่านหน้าต่างหายไปอีกด้าน จนความเกลียดชังผุดขึ้นมาทำหน้าที่ของมันอีก (กูเกลียดมึงไอ้พวกปลิงลมสันดานหนอน)
“กูเกลียดมึง…” ดาบไผ่กล่นด่าในลำคอ สักครู่เขาก็นำดาบไปเก็บไว้ที่เดิม ก่อนจะเดินหายออกไปทางหลังบ้าน
……….
ที่บ้านป้าเรไร
ไม่รู้อะไรมาดลใจให้อยากรู้เรื่องนี้ขึ้นมา ดาบไผ่เดินลัดสนามหญ้าตรงไปยังประตูเล็กๆ ที่เปิดเชื่อมระหว่างบ้านสองหลัง แดดบ่ายทำให้ดอกชบาสีแดงตลอดแนวริมรั้วเหี่ยวแฟบจนไม่เหลือความงามเหมือนตอนเช้าๆ เขาเดินผ่านประตูและกระโดดข้ามพุ่มไม้เตี้ยๆ ตรงไปยังศาลาท่าน้ำที่พึ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ แม่น้ำเพชรบุรียังไหลเอื่อยๆตามเดิม เขาหวังว่าหญิงชราวัย 71 ปี จะยังคงนั่งทำงานอยู่ที่นั้นเหมือนเช่นทุกวัน และมันก็เป็นจริงดังที่คาดเอาไว้
“ป้าเรไร…ทำอะไรครับ” ดาบไผ่ทักทาย เขากระโจนข้ามลานตากที่เป็นพื้นปูนจนเกือบถึงตัว หญิงชราได้แต่มองลอดแว่นด้วยสายตาที่เรียบเฉย ก่อนจะหันกลับไปคัดเม็ดถั่วแดงในกระจาดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ก็เห็นอยู่…แล้วนี่จะหนีป้าไปเมื่อไรละ” น้ำเสียงน้อยใจแดกดัน พร้อมๆ กับยกกระจาดในมือยืนให้
“อะไร…ป้า” ดาบไผ่ถาม แต่ก็รับมาถือไว้
“เอาไปให้พ่อเราด้วย…เห็นมาขอไว้ตั้งแต่เมื่อวาน” แกพูดสั้นๆ ในแบบของคนแก่…แต่สายตากลับค้อนควักยังกับสาววัยรุ่น ไม่นานดาบไผ่ก็ดึงอารมณ์เก่ากลับเป็นปกติ…เสียงสนทนาเสียงหัวเราะของคน 2 วัยดังสลับกันไปมา แต่แล้วคำถามหนึ่งก็หยุดทุกอย่างให้เงียบงันอีก
“ป้า…ย่าจันทร์หอมกับปู่โมกได้ดาบซามูไรมาได้อย่างไรเหรอ” ดาบไผ่ถามตรงๆ ป้าเรไรเม้นริมฝีปากจนเป็นเส้นตรงจ้องหน้าเขา
“ป้า…” ดาบไผ่คาดคั้นอย่างไม่ยอมแพ้
“คิ้วและดวงตาเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน…” ป้าเรไรพูดลอยๆ เสียงลมหายใจดันเข้าออกยาวๆติดกันหลายครั้ง “ฮึ้อ!…”
“ป้าเรไรนะ…”
“ยิ่งจมูกกับปากรูปกระจับ…ก็ยิ่งเหมือน…เหมือน…พ่อนาย ผิดแต่ผิวคล่ำไปหน่อย” นางพูดในน้ำเสียงหน่วงลึก
“ป้า…ปู่ได้ดาบซามูไรมาจากใครแล้วทำไม…”
“สงครามโลกครั้งที่ 2 พรากหัวใจของแม่ลูกคู่หนึ่งไปทั้ง 2 ดวง… เป็นคำถามที่ย่าจันทร์หอมของเจ้าเกลียดและป้าเรไรคนนี้ก็พลอยเจ็บปวดจนแทบกระอักออกมาเป็นลิ้มเลือดให้ได้” เสียงพูดออกมาจากความทรงจำ นางลุกเดินจากศาลาไป 5 ก้าว ก่อนจะหันกลับมากำชับในเรื่องเดิมอีกครั้ง “อย่าลืมเอาถั่วแดงไปให้พ่อเอ็งด้วยละ”
“ป้า!ครับ…เดี๋ยวก่อน” ดาบไผ่ตะโกนตามหลัง แต่ป้าเรไรก็ไม่ยอมหยุด แดดบ่ายคงทำให้นางร้อนระอุ แต่คำถามที่เด็กหนุ่มอยากรู้กลับทำให้ร้อนใจมากกว่าหลายเท่า “อะไรกัน…พ่อนาย…พ่อนายเป็นใคร”
……….
“……อย่าพยายามลืมเรื่องทุกข์ใจในอดีต
เพราะจะยิ่งไม่เป็นสุขในปัจจุบัน……”
เรไร ธารารักษ์
……….
จบ กระเรียนหลงฟ้า บทที่2