นิยายอ่านฟรีจบเรื่อง อูคาชิ เซดะ นินจาเลือดซามูไร Part3 กระเรียนหลงฟ้า บทที่8
กระเรียนหลงฟ้า บทที่8
เล่ห์กุหลาบ
เบ็นซ์สีดำแล่นตามรถตู้เข้ามาจอดนิ่งๆ หน้าห้างสรรพสินค้า The M shopping center อีกคันที่แล่นตามมาก็แซงขึ้นมาจอดเทียบข้างๆ บอดี้การ์ด 10 คน ลงจากรถและกระจายตัวออกไปยืนระแวดระวังอยู่รอบๆ สักครู่ เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติ หนึ่งในพวกเขาก็เดินเข้ามาเปิดประตูรถให้ต้องตะวันและดาบไผ่อย่างระมัดระวัง โดยมี อลัน ชูเบิร์ก ที่นั่งประกบอยู่ด้านหน้าเปิดประตูตามลงมาพร้อมๆ กัน บอดี้การ์ดเดินประกบคนทั้งสองเข้าไปในห้างสรรพสินค้าเป็นขบวนใหญ่ ผู้คนต่างมองพวกเขาตาไม่กระพริบ แรกๆ มันก็ทำให้ดาบไผ่รู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง แต่พอนานวันเข้าความอึดอัดก็กลายเป็นความเคยชินโดยไม่รู้ตัว
#นั่นไงเธอคุณชายประภาสกร หล่อมาก!#
#ไหนๆ…คนไหน#
#ไม่รู้ คงทั้งสองคนนั้นแหละ#
#เออๆ…หล่อและเท่ชะมัดโดยเฉพาะคนผิวคล้ำที่หน้าเหมือนญี่ปุ่น…ฉันจอง# เสียงจ้อกแจ้กจอแจในขณะที่พวกเขาเดินผ่าน แต่ชายหนุ่มทั้งคู่ยังนิ่ง การก้าวต่อไปข้างหน้าดูจะเป็นเรื่องที่สมควรที่สุดหากต้องการรอดพ้นจากเงื้อมมือของพวกปลิงลมสันดานหนอน ที่กำลังจ้องจะเล่นงานพวกเขาอยู่ในขณะนี้
#คุณชาย The M เธอนั้นไงคุณชาย The M#
#คนไหน…#
#ทั้งสองคนนั้นแหละ พี่น้องกัน#
#คนขาวๆ ตี๋อินเตอร์ชะมัด# เสียงกระซิบที่แววเข้าหูทำเอาต้องตะวันถึงกับอมยิ้ม แต่บอดี้การ์ดก็ยังเดินนำไม่หยุด
……….
ในความทรงจำ…
“…เขาคือทายาทคนเดียวของ The M Group ต้องอารักขาตลอด 24 ชั่วโมง…เราจะหวังพึ่งตำรวจไม่ได้อีกแล้ว เมียและลูกสาวอั๊ว ต้องมาตายก็เพราะเชื่อใจตำรวจไทย แต่สุดท้ายเป็นไง…ทุกวันนี้ยังตามตัวคนร้ายมาลงโทษไม่ได้…อลัน ลึเป็นคนเดียวที่อั๊วไว้ใจ ฝากดูแลคุณชายด้วย…” เป็นเสียงในความทรงจำที่ต้องตะวันใช้เตือนสติตัวเอง เขาไม่รู้สึกภาคภูมิหรือใดๆ กับตำแหน่งทายาทธุรกิจหลายหมื่นล้านของ The M Group การทำทุกอย่างไปตามเกมที่วางเอาไว้แล้วดูจะเป็นเรื่องที่เหมาะสมและถูกต้อง แม้แต่เรื่องที่ถูกสั่งให้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยในเมืองไทยแทนที่จะเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำในต่างประเทศก็ตามที พักหลังพอมีดาบไผ่เข้ามาเป็นเพื่อน ทุกอย่างก็รู้สึกผ่อนคลายลง
(ขอบใจมากเพื่อน…ขอบใจนายที่ยอมเป็นเพื่อนกับเรา) ต้องตะวันหันไปสบสายตาและยิ้มแทนคำพูดจากปาก
(เราต่างหากที่ต้องขอบใจนาย หากไม่มีบอดี้การ์ดเราเองก็คงจะไม่รอดเงื้อมมือของพวกปลิงลมสันดานหนอนเช่นกัน) ดาบไผ่ยิ้มแทนความรู้สึก…แต่นานวันเข้ามันกลับกลายเป็นมิตรภาพที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้
บอดี้การ์ด 2 คนเดินนำผ่านเข้าไปในโถงกลางของห้างสรรพสินค้าโดยมีอลันและบอดี้การ์ด 4 คนเดินประกบไม่ห่างและอีก 2 คนคอยรั้งท้าย ที่เหลือก็แทรกปะปนไปกับผู้คน พวกเขาเดินผ่านน้ำตกจำลองแล้วขึ้นบันเลื่อนสู่ชั้น 2 ก่อนจะเลี้ยวซ้ายตรงไปยังลิฟต์ขนสินค้าที่ซ่อนอยู่หลังน้ำตกแห่งนั้น
“คุณชายเชิญ” อลันเอ่ยขึ้น แต่ต้องตะวันกลับไม่เต็มใจ
“ไปเถอะ มันปลอดภัยที่สุดแล้วละ” ดาบไผ่กระซิบพลางขยิบตาให้เหมือนจะบอกบางอย่างที่กำลังไม่ปกติด้านนอก อลันกดลิฟต์ขึ้นสู่ชั้น5 และมันก็ค่อยเลื่อนขึ้นจนกระทั้งประตูเปิดเสียงความเคลื่อนไหวและกลิ่นสาบจางๆ ของนินจาก็ทำเอาดาบไผ่ถึงกับผงะ
(พวกปลิงลมสันดานหนอน) เขาสำรวจซ้ายทีขวาทีแต่แล้วเสียงแห่งความตายก็ดังขึ้น…
“ทางนั้น” เขาชี้นำ แต่วัตถุปริศนาได้พุ่งแหวกอากาศใกล้เข้ามา ถึงจะไม่รู้ว่าเป้าหมายเป็นใคร แต่ดาบไผ่ก็ผลักต้องตะวันให้พ้นรัศมีสังหาร โดยตัวเขาเองก็ล้มไปอีกทาง
“มันอยู่บันไดเลื่อน” หนึ่งในบอดี้การ์ดตะโกนขึ้น เสียงกรีดร้องของผู้คนที่กำลังเดินจับจ่ายซื้อของดังลั่น หลายคนนอนราบไปกับพื้นและอีกหลายคนวิ่งหนีแตกกระเจิง บอดี้การ์ด 3 คนยืนถือปืนตั้งเป็นกำแพงรอบๆ พวกเขา อลันกดโทรศัพท์ ในมือแจ้งหน่วยรักษาความปลอดภัยให้ช่วยสกัดทางออกทุกด้าน สุดท้ายก็ไร้ร่องรอย พวกมันหายตัวได้ราวกับเป็นปิศาจจากโลกมืด…
“เสี้ยวจันทรา…อาวุธของพวกนินจา”
“เก็บมันไว้ แล้วเคลียพื้นที่ให้เรียบร้อย” อลันสั่งเสียงต่ำกับหน่วยรักษาความปลอดภัยที่พึ่งจะวิ่งกรูกันมาถึง
“ครับ คุณอลัน” หัวหน้า รปภ.ก้มศีรษะรับ อลันจ้องเขาตาขวาง ดูเหมือนจะโกรธจัดในเรื่องนี้
“อย่าให้มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก” เขาขู่เสียงลอดไรฟัน ก่อนจะพูดต่อเสียงดัง “นำทางคุณชายต่อไป” บอดี้การ์ดเก็บปืนแล้วเร่งเดินนำแทรกผ่านผู้คนที่กำลังตื่นตกใจไปอย่างรวดเร็ว อลันส่งสัญญาณนำพวกเขาเลี้ยวขวาตรงไปยังภัตตาคารจีนขนาดใหญ่ ส่วนหนึ่งเข้าไปกระจายตัวนั่งเสมือนเป็นแขกในร้าน อีก 2 คนคอยยืนระวังอยู่ด้านหน้าส่วนตัวเขาก็เดินนำคนทั้งคู่ไปยังห้องรับรองพิเศษที่อยู่ด้านในสุด
“คุณท่าน…เด็กๆ มาถึงแล้วครับ” อลัน ชูเบิร์ก แทรกกระซิบชายร่างอ้วนที่นั่งหันหลังให้
“อ้าว…มาฝากเนื้อฝากตัวกับท่านนายกและท่านรัฐมนตรีเร็วเข้า” เสียงคุณป๋าดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ต้องตะวันตรงรี่เข้าไปกระซิบบอกเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น จนสีหน้าคุณป๋าเริ่มแจ้งพิรุธ…
“คุณป๋าครับ…” ดาบไผ่กระแซะเตือน ซึ่งดูเหมือนคุณป๋าจะรับลูกได้ไวไม่น้อยไปกว่าเขา
“เอ่อ…ทุกๆ ท่านครับ” คุณป๋าพูดและหยุดหันมาพูดกับอลัน อลันรีบพยักหน้ารับก่อนจะเดินกลับไปนั่งรวมอยู่กับบอดี้การ์ด “เอ่อ…วันนี้ผมต้องขออนุญาตเป็นกรณีพิเศษสักหน่อย คือผมอยากจะแนะนำบุตรชายผม 2 คนอย่างเป็นทางการ…เผื่อวันข้างหน้าทุกๆ ท่านจะเรียกใช้ได้สะดวก” คุณป๋าพูดเสียงดังพลางฉีกยิ้มกว้างกระจายไปทั่วห้อง
“ยินดี…ยินดี ดูหน่วยก้านก็ยอดเยี่ยมทั้งคู่…มีโอกาส มีโอกาส ฮึๆ”
“ขอบคุณครับท่านนายก…” คุณป๋ากล่าวขอบคุณสั้นๆ เขาเริ่มแนะนำวนไปรอบโต๊ะ จนครบ
“นี่ครับ ต้องตะวัน ประภาสกร และ ดาบไผ่…เอ่อ…ธารารักษ์ บุตรบุญธรรมของผมอีกคน”
“ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ” ต้องตะวันพูดเสียงมั่นใจเหมือนไม่ตื่นเต้นกับสังคมแบบนี้ ส่วนดาบไผ่ก็ได้แต่ยิ้มและก้มหัวให้ในแบบของเขา
#คนผิวคล้ำ หน้าเหมือนญี่ปุ่นนั้นละ…#
#ใช่เขาแน่หรือ#
#นัยน์ดวงตาบอกว่าใช่…แต่มันเป็นสิทธ์ของพวกอิงะก่อน#
#ฮึๆ…ฮึๆ ชักน่าสนใจแล้วซิ# และเสียงกระซิบกระซาบต่ำกว่าระดับที่คนทั่วไปจะได้ยินแววมาเข้าหูดาบไผ่โดยบังเอิญ เขากรอกลูกตาสำรวจเพื่อจะมองหาต้นเสียง
“โคงะนะครับคุณชาย คนของเราไม่มีอะไร” ฮายาชิเอียงตัวกระซิบราวจับตามองเขาทุกอิริยาบถ
“เอาละ เอาละ นั่ง นั่ง คนกันเองทั้งนั้นไม่ต้องพิธีรีตองอะไรมากมาย” นายกรัฐมนตรีพูดยิ้มๆ พลางโปกมือโปรยยิ้มจนเกลื่อน…ดาบไผ่กับต้องตะวันนั่งคู่กัน…แต่ก็ยังเหลือเก้าอี้ว่างอีกตัว เหมือนมันกำลังรอใครอีกคนที่ยังมาไม่ถึง
“ท่านครับบุตรสาวคุณหญิงวิภาดา” เสียงเรียบๆ ของบอดี้การ์ดนายกรัฐมนตรีดังขึ้นที่ประตูทางเข้า
“อ๋อ!…เจ้าหญิงแห่ง พริ้นซ์เซสส์ไดมอล ครับท่าน” คุณป๋าโพล่งขึ้นแนะนำอีก และดูเหมือนจะกระตือรือร้นมากกว่าเมื่อสักครู่หลายเท่า
“ขอประทานโทษคะ ที่ดิฉันเสียมารยาท” เสียงอู้อี้เหมือนคนผิดดังตามขึ้นเบาๆ
“สวัสดีคะท่านนายก สวัสดีคะคุณป๋า…เมื่อเช้าคุณหญิงแม่คงโทรแจ้งให้ทราบแล้วนะคะ…คือท่านติดธุระด่วนที่ญี่ปุ่น เลยให้ดิฉันมาแทนนะคะ” เธอพูดเกรงๆ แต่ก็แข็งแรงไม่น้อย เธอเดินเข้ามาสวมกอดคุณป๋าที่กุลีกุจอตอนรับ ชุดราตรียาวสีโอโรสที่เธอสวมใส่พร้อมกับเครื่องประดับเพชรชุดใหญ่ ทำเอาบรรดารัฐมนตรีที่นั่งอยู่ก่อนแล้วถึงกับตกตะลึง ดาบไผ่เองก็เห็นเธอตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินเข้ามาในร้านพร้อมๆ กับบอดี้การ์ดสาวที่ดูทะมัดทะแมง 2 คน เขาอมยิ้มที่มุมปากให้กับความสวยสะพรั่งราวกับดอกกุหลาบสีเดียวกับชุด แต่ฉับพลันสายตาที่คมกริบก็จ้องเขม็งตรงมายังเขา บางอย่างที่มาพร้อมกันแทบจะแยกประสาทในหัวออกเป็นส่วนๆ… “โอ้ย!…” เขาอุทานพลางบังคับไม่ให้มีเสียงหลุดออกมา และมันก็เป็นคำสุดท้ายที่เขาได้ยิน (โอ้ย!…เกิดอะไรขึ้นกันแน่) เขาพึมพำอย่างคนไม่รู้เหนือรู้ใต้ เสียงพูดของต้องตะวันในระยะประชิดเบาแทบจับใจความไม่ได้ (เกิดอะไรขึ้น) เขาถามตัวเองพร้อมกับชำเลืองกลับไปที่เธอคนนั้นอีกที
“ทุกๆ ท่านครับผมขออนุญาตอีกครั้ง…บางท่านอาจจะคุ้นเคยและรู้จักเธอดีอยู่แล้ว แต่ผมขอแนะนำและฝากเนื้อฝากตัวทายาทคนเดียวแห่ง พริ้นซ์เซสส์ไดมอล เธอชื่อ นิลดา เกียติสกุล บุตรสาวคนสวยของ คุณหญิง วิภาดา เกียติสกุล ครับท่าน” เสียงพูดของคุณป๋าเบามากจนรับรู้เพียงแค่การอ่านริมฝีปาก หญิงสาวยกมือไหว้ไปรอบๆ จนกระทั้งแววตาที่ดูจะสะใจก็วนมาหยุดที่เขาจนผิดวิสัย
“ก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล…เมื่อเช้าคุณหญิงวิภาดาก็ได้โทรมาแจ้งให้ทราบแล้ว” นากยกกล่าวเสริมพลางยิ้มบางๆคืนให้
“นิล…เพิ่งบินกลับจากญี่ปุ่น…ขอฝากเนื้อฝากตัวกับทุกท่านด้วยนะคะหากมีอะไรที่ พรินซ์เชสส์ไดมอลพอจะช่วยเหลือได้โปรดแจ้งกับคุณหญิงแม่ได้ทุกเวลา” เธอพูดพลางโปกมือไล่บอดี้การ์ดสาวทั้ง 2 คนให้ออกไปรอด้านนอก
“ลูกสาวของคุณหญิงวิภาดา หรอกหรือนี่…สวยเหมือนแม่ไม่มีผิด” เสียงรัฐมนตรีมหาดไทยที่นั่งถัดจากนายกพูดเย้า เขาทำตากะลิ้มกะเหลี่ยอย่างไม่ระมัดระวัง…เธอเผยอมุมปากแสยะยิ้มกลับไปให้อย่างมีเชิง…และก็ไม่วายชายหางตามาตกที่ดาบไผ่อีกเป็นครั้งที่ 3
“ใช่สวยเหมือนแม่…อ้าว อ้าว นั่ง นั่ง คนกันเองทั้งนั้นไม่ต้องพิธีรีตองมาก…มาๆ เราดื่มเพื่อต้อนรับเจ้าหญิงแห่ง พรินซ์เชสส์ไดมอล กันเถอะ” นายกรัฐมนตรีนำ ดาบไผ่เห็นเธอหยิบแก้วบรั่นดีที่วางอยู่ชูสูง
“ขอบคุณคะที่ให้เกียรตินิล” เธอพูดพร้อมกับจิบมันนิดๆ
“สวัสดีคะ… พี่ต้องตะวัน พี่ดาบไผ่” เธอทักเหมือนคนเคยรู้จักมานาน ต้องตะวันรับไหว้ทั้งๆ ที่ยังไม่หลุดภวังค์ ดาบไผ่เองก็ยกมือรับไหว้ทั้งๆ ที่ประสาทหูเกือบจะหยุดทำงานไปแล้ว
“พี่ไผ่…พี่ต้องรู้หรือเปล่าคะว่านิลเอ็นติดและเป็นรุ่นน้องที่มหาวิทยาลัยปีนี้”
“เหรอครับ…ยินดีด้วยแล้วนิลเอ็นติดคณะอะไรครับ” ต้องตะวันถาม แต่สายตาที่คมกริบของเธอยังคงเฝ้าจับตกที่ดาบไผ่เป็นระยะๆ
“นิเทศฯ คะ” เธอตอบ ดาบไผ่อ่านปากบางๆ ได้อย่างนั้น ความงามดุจกุหลาบสีโอโรสที่นั่งอยู่ตรงหน้าทำให้เขาแทบจะลืมไปเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น (นิลดา…)
(อย่าไว้ใจผู้หญิงที่มีดวงตาเป็นพิษ…อย่าไว้ใจผู้หญิงที่มีดวงตาเป็นพิษ) และฉับพลันเสียงสื่อที่นุ่มนวลราวกับสำเนียงของชายชราในชุดกิมิโนสีขาวก็ดังเตือนในหัว เหมือนต้องการปลุกให้สมองที่กำลังเคลิ้มฝันตื่นจากภวังค์แห่งความตาย (เกิดอะไรขึ้น) เขาถามตัวเอง และความอยากรู้ก็สั่งให้เขาจ้องเขม็งกลับเข้าไปในดวงตาที่กำลังจ้องเขาอยู่…
“อุ่ย!…” เสียงเธออุทานเบาๆ พร้อมกับสะบัดใบหน้าหนีไปทางอื่น
“นิล…เป็นอะไรครับ” ปากของต้องตะวันที่เขาอ่านได้
(นิลดา…เป็นอะไร) ดาบไผ่เองก็ชะงัก แต่เวลาเดียวกันประสาทหูของเขาก็เริ่มได้ยินเสียงพูดคุยอีกระดับ
“ไม่มีอะไรคะ…นิลรู้สึกมึนหัวนิดหน่อย อาจจะเป็นเพราะบรั่นดี…เพราะนิลไม่คุ้นเคยกับมัน”
“โอ้!…แย่จัง” ต้องตะวันอุทาน
“คุณนิล…” ดาบไผ่พลั้งปากเรียก เธอหันมาแวบเดียวก่อนจะหลบไปอีก
(เธอเป็นใครกันแน่นิลดา) เขาตั้งคำถามขึ้นมาลอยๆ เวลานี้ความสงสัยชักนำให้เขานึกถึงหญิงสาวที่ชื่อไหมจีนขึ้นมาอีกคน
“เรื่องหาเงินเข้าพรรค…ผมขอเสนอให้เราเร่งจัดงานแสดงเพชรและเครื่องประดับระดับโลกให้เร็วขึ้น”
“ผมเห็นด้วยกับท่านรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์…เพราะเวลานี้เสถียรภาพของรัฐบาลเป็นที่ยอมรับไปทั่วโลก การที่จะดึงเพชรเม็ดสำคัญๆ มาแสดงในงาน…เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวเป็นเรื่องไม่ยาก” รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศพูดต่อ
“เพชรเม็ดแรกที่ผมอยากจะเห็นในงานนี้ คือ เพชรสีน้ำเงิน ที่มีชื่อว่า หัวใจราชินี จากอังกฤษ” รัฐมนตีอีกคนที่นั่งข้างคุณป๋าเสนอความต้องการของตัวเองแต่ก็เผยอมุมปากมาทางคุณป๋าอย่างตั้งใจ
“พริ้นซ์เซสส์ไดมอลเห็นด้วย…และขอสนับสนับสนุนแนวความคิดนี้อย่างเต็มที่คะ” นิลดาสมทบอีกคน จนเป็นเหตุให้คณะรัฐมนตรีในห้องหันมาจ้องเธอเป็นจุดเดียว “เออ…นิลเห็นว่ามันเป็นธุรกิจเกื้อหนุนนะคะ…คุณหญิงแม่จะต้องเห็นด้วยอย่างแน่นอน”
“ทั้งเก่ง สวย ฉลาด…ผมอดอิจฉาคุณหญิงวิภาดาไม่ได้จริงๆ” นายกกล่าวชื่นชม “หากงานนี้ผ่านที่ประชุมในต้นเดือนหน้าผมคงต้องรบกวนทั้ง The M และ พริ้นซ์เซสส์ไดมอล อีกมาก”
“ยินดีครับท่านนายก…” คุณป๋าตอบยิ้มหน้าบาน พร้อมกับหันไปพยักหน้าให้กับนิลดาอย่างมีความหมาย…
……….
“……ความงามคืออาวุธอย่างหนึ่งของผู้หญิง
หากลุ่มหลงเข้าแล้วก็ยากจะชนะ…………..”
ต้องตะวัน ประภาสกร
……….
จบ กระเรียนหลงฟ้า บทที่8