คุณนายซาอุฯ บทที่ 28

คุณนายซาอุฯ บทที่ 28

รองเท้าเบอร์37 คุณนายซาอุฯ บทที่ 28 (ฉบับบ้านโคกอีรวย) นิยายอ่านฟรีจบเรื่อง

คุณนายซาอุฯ บทที่ 28

เมื่อทิดมิตรได้เงินจากสำลีไปแล้ว….2 วันไม่ติดต่อกลับมา วันรุ่งขึ้นสำลีเลยจ้างสาววัยรุ่นชื่อจอยกับแตนเข้าไปสืบดูที่บ้านหนองบุก….และเมื่อคนทั้งคู่กลับมา

“ว่าจังใดจอย…ได้ข่าวบ่แตน” สำลีกดเสียงถามเร็วๆ อย่างคนร้อนใจเมื่อเห็น 2 สาวลงขาค้ำรถมอเตอร์ไซด์หน้าบ้านเดินเข้ามาหา ใต้ถุนบ้านโล่งๆ เธอลนลานลุกจากเปลญวน… “หึ!…ได้ข่าวบ่”

“พ่อใหญ่บุญส่งบอกว่าทิดมิตรไปเฮ็ดงานกรุงเทพฯ กับเพื่อนบ้านหนองเรือตั้งแต่เมื่อคืนวานแล้วละ” แตนบอกทั้งๆ ที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราว สำลีหน้าขาวซีดเผือดตาเหลือกค้างจนจอยต้องเข้าไปจับมือที่เย็นเฉียบพลางเขย่าเรียกสติ

“มีอีหยังน้าสำลี….”

“เออ อะ อะ …บ่ บ่ บ่มีหยังดอก พวก พวกสูกลับบ้านซะไป น้าปวดหัวจะขึ้นไปนอนสักงีบ”

“เงินตูข่อยเด่” แตนทวง สำลีจึงดึงแบงก์ 20 บาท 2 ใบส่งให้

“ไป ไป ได้แล้ว”

“น้าสำลีบ่มีอีหยังแน่ๆ เด้อ…เห็นหน้าซีดเป็นผีดิบ…อะ อะ อาจ ”

“อีพวกห่า…ไปให้ไกลตีนกูเลย ไปๆ จะไปใสก็ไป”

และคืนต่อมา ขณะที่ดาวเพิ่งจะโผล่พ้นกลีบเมฆ หลายบ้านหลายหลังคาเรือนกำลังนั่งล้อมวงกินข้าวแลง อยู่ๆ เสียงเคาะเสาบ้านตะโกนเรียกชื่อก็ดังขึ้น

“สำลี อีสำลี มึงอยู่บ้านบ่ เป็นหยังจังบ่จุดฟงจุดไฟ….มึงอยู่บนเฮือนบ่” เป็นเสียงป้าหมาย

เมื่อไม่มีเสียงตอบกลับ “มันอยู่บนเฮือนนั้นละ บ่แม่นมันเป็นไข้บ่ มา มา ตามกูขึ้นมาเร็วๆ” ป้านงเร่งพี่สาว และเมื่อประตูนอกชานถูกดึงออก ภาพสำลีนั่งร้องไห้ในเงามืดๆ ก็ทำเอา 2 สาววัยดึกถึงกับก้าวขาไม่ออก

“อีสำลี มึงเป็นอีหยัง” ป้าหมายทักก่อนที่ป้านงจะเดินสะเปะสะปะควานหาตะเกียงกับไม้ขีด เมื่อแสงสว่าง วิบๆ วับๆ ฉายขึ้นมา ภาพสำลีน้ำตานองหน้าอยู่ในอาการอิดโรยก็ทำให้ 2 สาวช็อกหนักขึ้นไปอีก

“อีสำลีมึงเป็นอีหยัง….มึงเป็นอีหยัง มึงได้ยินเสียงกูบ่”

“สำลี สำลี มึงได้ยินเสียงพวกกูบ่ สำลี” ดวงตาที่เลื่อนลอยทำให้พี่สาว 2 คนเริ่มใจคอไม่ดี

“อีหมาย หรือว่าผีปอบจะเข้าสิงมัน” ป้านงถามอย่างคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทำเอาป้าหมายถึงกับถอยหลังฉาก

“หรือซิแมนอีหลี….”

“ไปตามพ่อใหญ่แหวนมารดน้ำมนต์ทะแม๋” (ทะแม๋=เดี๋ยวนี้) ป้านงพูดเสียงดัง และก่อนที่พี่สาว 2 คนจะก้าวพ้นประตู เสียงสำลีจึงดังขึ้น

“ป้าหมาย อีนง..ฮื้อ ผีปอบบ่ได้เข้ากูดอก กูอยากตาย กูอยากตาย ฮื้อๆ”

“ถ้าอย่างนั้นมึงเป็นอีหยัง…” ป้าหมายถลาเข้าไปจับแขน “มึงเป็นหยัง เกิดอีหยังขึ้น”

กระนั้นสำลีก็เอาแต่นั่งชันเข่าก้มหน้าสะอื้นจนเห็นแผ่นหลังสะเทือนราวกับแผ่นดินไหว จนป้านงต้องเข้าไปนั่งโอบปลอบอีกข้างๆ

“มึงเป็นหยัง มึงมีหยังก็บอกพวกกู 2 คนได้ พวกกูเป็นพี่สาวมึงเด่ ถึงจะลูกพี่ลูกน้อง แต่พวกกูก็นับว่ามึงเป็นน้องสาวแท้ๆ…ถ้ามึงบ่บอก พวกกูก็บ่ฮู้บ่เห็นนำ และจะบ่ฮู้จะช่วยมึงแบบไหนด้วย”

“อีนงมันเว้าถูก…มีอีหยังขับข้องหมองใจก็ให้เว้าออกมาให้หมด อีหยังจะเกิดก็ต้องเกิด ถ้ามึงยังบ่กล้าสู้กับความจริง ความจริงที่อยู่ข้างในจะฆ่ามึงเอง…มึงเข้าใจพวกกูบ่สำลี สำลี”

สักพัก สำลีก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา แสงตะเกียงที่อยู่ห่างออกไปฉาบสีเหลืองบนใบหน้าที่เกือบจะไม่ใช่เธอคนเดิม “ป้าหมาย อีนง….ฮื้อๆ กู กูอยากตาย กูอยากตาย”

“ผัวมึงใกล้จะได้กลับบ้านแล้ว มึงจะอยากเฮ็ดหยัง”

“แม่นๆ อีกบ่กี่เดือนบักทิดสักก็จะกลับมาแล้ว มึงตาย มึงก็บ่ได้เห็นหน้าผัวมึงเด่”

“นั้นแหละ ยิ่งทำให้อีสำลีอยากตายหนักขึ้นไปอีก ฮื้อๆ”

“อ้าวๆ…มีอีหยังที่มึงอยากตายลองเล่ามาให้พวกกูฟังแน่…” ป้าหมายลงนั่งขัดตะหมาดพร้อมกับจ้องตาน้องสาวไม่กระพริบ

“แมนๆ…มีอีหยังเว้าออกมาให้หมด”

สำลีใช้สายตาที่เปียกชุ่มสำรวจไปทีละคน ก่อนจะหายใจทิ้งยาวๆ ราวจะตัดสินใจเป็นครั้งสุดท้าย “ป้าหมาย อีนง พวกมึง 2 คนอย่าเกียดกูเด้อ พวกมึง 2 คนอย่างทิ้งกูเด้อ กู กูบ่มีไผจริงๆ แล้วละคราวนี้ ฮื้อๆ”

“เออ…บ้านกูก็อยู่นี้ กูจะทิ้งมึงได้บ่”

“แมนๆ…อีกอย่างเฮาก็เป็นพี่น้องกัน มึงจะดีจะชั่วกูก็ทิ้งมึงบ่ได้ดอก”

“อีนง ป้าหมาย กู กู…ตั้งท้อง…”

“หา!…มึง มึง กำลังจะมีลูก”

“ไผ ไผ เป็น เป็น….”

“ฮื้อๆ….บักทิดมิตร บักทิดมิตรลูกพ่อใหญ่บุญส่งนั้นละ….มันมาหลอกเอาเงินว่าจะพากูไปเอาลูกออก แต่มันก็หนีไปกรุงเทพฯ บักมิตรมันหอบเงินกูหนีไปหมดแล้ว…รถมอเตอร์ไซด์มันก็เอาไปขายให้คนบ้านจาน….ฮื้อๆ อีกบ่กี่เดือนทิดสักก็จะกลับมา กูจะเฮ็อจังใดดี กูจะเฮ็ดจังใดดี”

“นี้ นี้ มึงอยากบอกพวกกู 2 คนเด้อ ว่าที่มึงไปยืมเงินบอกว่าจะเอาไปตัดดอกที่นาลุงสักนะ มึงให้บักทิดมิตรมันไปหมด” ป้านงถามแบบคนใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “อีสำลี แม่นความกูว่าบ่”

“ฮื้อๆ กูขอโทษ กูขอโทษ กูอยากตาย กูอยากตาย ฮื้อ”

ป้าหมายกับป้านงมองหน้ากันแบบคนตกใจและทั้ง 3 ก็นั่งเงียบเป็นก้อนหินสามเส้าโดยมีแสงตะเกียงน้ำมันก๊าช วิบๆ วับๆ เปิดเผยความรู้สึกที่อ่านไม่ออก….สักพัก

“อีห่าขั่วมึง…กูจะสูญมึงก็สูญบ่ลง กูจะฮ้องไห้ก็ฮ้องไห้บ่ออก….มันเป็นเงินเฮ็ดนาของครอบครัวกูทั้งปีเลยนะเงินก้อนนั้นนะ”

“คือกันนั้นละ…แล้วมึงจะเฮ็ดแบบไหนกับชีวิตมึงดีหึ อีสำลี” ป้าหมายแหงนหน้าเอาฝ่ามือค้ำพื้นอย่างคนหมดแรง ก่อนจะตั้งตัวตรงๆถามน้องสาวขึ้นมาอีก “ลุงสักฮู้เรื่องนี้แล้วบ่ แล้วถ้าลุงสักกลับบ้านมึงคิดทางออกไว้แล้วบ่….”

สำลีส่ายหน้าให้เห็น ป้าหมายกับป้านงได้แต่สบตากันสั้นๆ แบบคนเอือมระอา…. “เอาๆ ไหนเรื่องมันก็มาถึงขั้นนี้แล้ว จะหนีความจริงก็หนีไปพ้น จะหลีกก็หลีกบ่ทัน พุ่งชนให้มันแหลกไปข้างหนึ่งเท่านั้นแหละที่ชีวิตมึงกับลูกพอจะมีทางรอดมั่ง…”

“กูจะหนีไปกรุงเทพฯ…”

“อีบ้า!…กำลังท้องกำลังไส้ ญาติพี่น้องที่พอจะพึ่งพาอาศัยที่กรุงเทพฯ ก็บ่มี…มึงไปกรุงเทพฯ ก็เท่ากับเอาชีวิตมึงกับลูกไปทิ้งชัดๆ”

“แม่นอีหมายเว้าถูก ถ้ามึงจะตาย มึงต้องตายอยู่บ้านเฮา มึงต้องตายอยู่บ้านโคกอีรวย”

“ป้าหมายอีนง….มึงว่าทิดสักจะทิ้งกูบ่”

“ลุงสักเอาที่นาไปฝากขายให้กับอีวารีเรียบร้อยแล้ว ใจของลุงสักคิดกับมึงแบบไหนกูบ่ฮู้ดอก ตัวมึงเฮ็ดผิด มึงก็ต้องยอมรับ ยอมก้มหน้าให้ความจริงตัดสิน ให้ความจริงพิพากษา…มึงบ่มีสิทธิ์ทวงหรือทักท้วง มึงเข้าใจบ่”

“ถ้าลุงสักยอมเอามึงคืน ลุงสักก็เป็นพระแล้วละ”

“กูบ่มีหวังแล้วแมนบ่ คุณนายซาอุฯ ฆ่ากูทั้งเป็นแล้วแม่นบ่”

“คุณนายซาอุฯ บ่ได้ฆ่ามึงดอกสำลี แต่เป็นตัวมึงเองต่างหากที่เลือกจะใช้เชือกรัดคอตัวเองตั้งแต่ต้น”

……..

อีกฝ่าย…

และอีก 2 อาทิตย์ต่อมาหลังจากข้าวออกรวงกำลังเหลืองเหมาะสำหรับทำข้าวเม่าแรกของปี ทิดทองก็กลับบ้านโคกอีรวย การกลับมาของทิดทองไม่เอิกเกริกเหมือนกับหลายคน ญาติพี่น้องทยอยมาถามข่าวคราวเป็นระยะๆ พ่อใหญ่เหลือกับแม่ใหญ่สิมมาผูกข้อไม้ข้อมือให้ แต่ใบหน้าก็ไม่สู้ดีเช่นเดิม…ข่าวลือเรื่องทิดทองไม่มีเงินกลับบ้านค่อยๆ กระจายไปทีละบ้านทีละคุ้ม กระนั้นก็ทำอะไร 5 คนพ่อแม่ลูกไม่ได้ วันถัดมาทิดทองต้องนำเงินที่ได้ไปแลกที่ธนาคารกรุงเทพ สาขาอำเภอเมืองพล จังหวัดขอนแก่น ทิดทองเลยถือโอกาสพาลูกๆไปเปิดหูเปิดตาซึ่งวารีก็เห็นดีเห็นงามด้วยเพราะโอกาสที่ลูกๆจะออกนอกหมู่บ้านโคกอีรวยแทบจะไม่มี

เช้าๆ แดดแรกยังไม่ทันจะแตะขอบฟ้า 5 คน พ่อแม่ลูกก็ออกมานั่งรอขึ้นรถเข้าตลาดที่บ้านเจ๊กเตี้ย ไก่โต้งคอแดงบ้านพ่อใหญ่สิงโก่งคอขันเสียงดังยาว ก่อนไก่ตัวเมียจะขานรับสั้นถี่ๆ เรียกลูกออกจากเล้าไปคุ้นเขี่ยหาเศษเม็ดข้าว… “กุ๊ก กุ๊ก กุ๊ก กุ๊ก……เจี๊ยบ เจี๊ยบ เจี๊ยบ เจี๊ยบ”

“ทิดทองอีวารี อ้าวๆ บักภู บักผา บักก้องกะไปนำบ่ พวกสูจะไปใสแต่เช้า” เจ๊กเตี้ยเดินออกมาจากร้านถาม ก่อนพรรณที่เดินตามหลังด้วยชุดนักเรียนมัธยมปลายจะเข้าไปยกมือไหว้

ทิดทองกับวารีรับไหว้ ก่อนทิดทองจะพูดขึ้น “ว่าจะพาเด็กน้อยไปเที่ยวเมืองพลนั้นละพ่อใหญ่…อู้! พ่อใหญ่อ้วนขึ้นเนาะ คือจะสบายดีหลาย”

“เออ…ตามสะภาพนั้นละ ฮะ ฮะ ฮะ”

“แล้วหนูพรรณเด่ อยู่ มอไหนแล้ว” ทิดทองหันไปถามหญิงสาวที่กำลังยอกล้อกับก้องไกรอยู่ข้างๆ

“พรรณขึ้น ม.5 ปีนี้ละจ้าพ่อทอง”

“เขาอยากเรียนพยาบาล ฮะ ฮะ ฮะ”

“อีพ่ออย่าเว้าไปก่อนหลาย สอบบ่ติดอายชาวบ้านเขา” พรรณดุเจ๊กเตี้ยเบาๆ แต่เจ๊กเตี้ยก็ยังหัวเราะยาวต่อเนื่อง

“ติดอยู่แล้ว หนูพรรณเรียนเก่งปานนี้ แม่เอาใจช่วยเด้อ” วารีบอก

“ไป ไป ขึ้นรถเดี๋ยวแดดจะออกผักแม่ใหญ่ถีจะเหี่ยวหมด….”

รถ 2 แถวไปอำเภอเมืองพลเที่ยวแรกได้เวลาเดินทาง ทิดทองกับครอบครัวก็มาทันพอดี แดดแรกสีน้ำส้มปล่อยไล่ฉาบทุกสรรพสิ่งอยู่ด้านหลัง เด็กๆ เพลิดเพลินกับภาพต้นไม้หมุนเป็นลูกข่างต้นแล้วต้นเล่า เสียงหัวเราะดังขึ้นหลังคำถามจากลูกๆ และเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นหลังคำตอบจากผู้เป็นพ่อและแม่ ทุกใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม เสียงหัวเราะก็หลุดลอยไปกับสายลม กะรถโดยสารถึงเป้าหมายก็ได้เวลาเปิดทำงานของธนาคารพอดี วารีคอยเอ็ดลูกๆ 3 คนให้นั่งเฉยๆ ขณะที่ทิดทองเข้าไปแลกเงินที่เคาน์เตอร์ก่อนจะฝากและถอนเงินจำนวนหนึ่งติดมือมาด้วย เด็กๆ เพลิดเพลินกับสถานที่แปลกใหม่ ได้กินไอติมแบบที่ไม่เคยลิ้มลอง จนเสียงหัวเราะไม่มีท่าทีจะหยุดลงง่ายๆ ได้ของเล่นที่ตัวเองชอบคนละอย่าง 2 อย่าง เดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้ จบอาหารเช้า อาหารเที่ยงในร้านอาหารที่ไม่คุ้นชินแต่รสชาติกลับสุดยอดในรอบหลายปี

“อีพ่อสอนวิธีใช้ไม้ตะเกียบแน่” ผาพูดพร้อมกับชูไม้ตะเกียบที่จับด้วย 2 มือให้เห็น ตรงข้ามกับภูที่เรียนรู้ได้เร็วจากการสังเกตคนกินก๋วยเตี๋ยวโต๊ะข้างๆ

“จับตะเกียบเขาจับด้วยมือเดียว แบบนี้ๆ” ทิดทองสอน ซึ่งภูที่พยายามคีบลูกชินหลายทีก็เงยหน้าขึ้นมาดูด้วย

“คีบลูกชิ้นบ่ได้ อีพ่อ”

“ต้องจับตะเกียบให้แน่น คีบให้แน่นๆ แบบนี้….” ทิดทองสาทิตก่อนลูกชิ้นที่คีบขึ้นมาจะหลุดลงชามก๋วยเตี๋ยวเหมือนเดิมจนลูกๆ และวารีต่างหัวเราะขึ้นพร้อมกัน

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า….ผู้สอนยังทำบ่ได้แล้วนักเรียนจะทำได้บ่ละ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” วารีพูดขณะที่ก้องไกรที่นั่งเล่นอยู่ข้างพลอยหัวเราะตามไปด้วย “ฮะ ฮะ ฮะ ฮะ”

“เอาไหม่ๆ…เสียหน้าหมด…ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

กระทั้งแดดสีครีมเริ่มโรยต่ำ วารีอุ้มลูกชายคนเล็กตามหลังสามีที่จูงแขนลูกชาย 2 คน อยู่ๆ เธอก็หยุดหน้าร้านเสื้อผ้าแฟชั่น รองเท้าสานถักด้วยเส้นหนังสีน้ำตาลเสริมส้นเตี้ยๆ อยู่ในสายตาเธอเงียบๆ ทิดทองหยุดมองตามภรรยา ก่อนจะจูงแขนลูกชาย 2 คนเดินเข้าไปข้างใน

“เจ่ามักบ่” ทิดทองถาม

“มันงามขนาด”

“ใส่เบอร์อะไรคะ จะไปหยิบมาให้ลอง” พนักงานขายเป็นสาววันรุ่นหน้าตาดีถามขึ้น

“เบอร์ 37” วารีบอก พนักงานผงกหัวเดินหายไปหลังร้านก่อนจะหยิบรองเท้าที่เธอชอบติดมือมาด้วย วารีส่งก้องให้ทิดทองอุ้มและเธอนั่งลองใส่รองเท้าจนได้ยินเสียงพนักงานขายดังขึ้น

“พอดีเลยคะ พี่ใส่แล้วง้ามงาม”

“ราคาเท่าไรน้อ…” วารีถามขณะลูบเส้นหนังไปมา “แพงบ่”

“ไม่แพงหรอกคะ คู่นี้ 550 บาท”

วารีตาเหลือกโพลง เธอกระวีกระวาดรีบถอดแล้วยื่นคืนให้

“แพงไปหรือคะ ลดได้คะ”

ทิดทองจ้องภรรยานิ่งๆ “ลดได้จักบาท” เขาถาม ขณะเดียวกันวารีก็ลุกขึ้นดึงก้องกลับมาอุ้มเตรียมตัวจะเดินออกจากร้านแบบคนรีบร้อน

“แพงโพด บ่เอาดอก กลับๆ เดี๋ยวจะบ่ทันรถ”

“ลดได้ 520 บาทคะ….”

วารีเร่งสามีด้วยสายตาอีก พนักงานขายก็ยังพูดตามขึ้นมาติดๆ

“แพงไปหรือคะ อ้าวๆ สำหรับพี่สาว ข่อยลดให้สุดๆ ไปเลย 500 บาท เหลือคู่เดียวแล้วด้วย”

“ไป ไป ทิดทอง ข่อยบ่เอาแล้วมันแพงโพด บ่เอา บ่เอา”

“ถ้าอย่างนั้นหนูลดให้อีก 20 บาท เหลือ 480 บาทเป็นไงคะ สุดๆ และถูกมากๆ แล้วละ” กระนั้นวารีก็คว้าแขนทิดทองเดินออกจากร้านเร็วๆ เมื่อทิดทองส่งเธอกับลูกๆ ขึ้นไปนั่งบนรถประจำทางเที่ยวสุดท้ายเรียบร้อยแล้ว

“เจ่าบอกรถถ่าข่อยแนเด้อ ไปเข้าห้องน้ำจักคราวก่อน”

แดดเย็นๆ มาพร้อมกับสายลมบางๆ ผากับภูหลับอยู่คนละมุม ส่วนก้องไกรก็หลับในอ้อมแขน ทิดทองหายไป…และขณะรถ 2 แถวกำลังจะออกเดินทาง ทิดทองก็วิ่งกระหืดกระหอบกลับมา วารียิ้มแบบคนหายใจได้โล่งสุดปอด แต่ถุงกระดาษที่ติดมือมาด้วยทำให้เธอแปลกใจจนกระทั้ง

“เจ่าได้อีหยังมานำ”

“ลองเปิดเบิ่งเอาเอง มาเอาลูกมาให้ข่อย” ทิดทองส่งถุงกระดาษให้พร้อมกับรับลูกคนเล็กที่กำลังหลับมาอุ้มพร้อมกับยิ้มให้วารีอย่างเปิดเผย

“ห้วย!….เจ่าหยังไปซื้ออยู่บ่ มันแพงขนาด”

“บ่แพงดอก ทางร้านเขาลดให้เหลือ 420 บาทเอง”

“420 บาทก็ซื้อนม ซื้อขนมให้ลูกได้หลายมื้อเด่ทิดทอง” วารีหน้านิ่วคิ้วขมวดดุสามี แต่รอยยิ้มลึกๆ ก็ยังปิดไม่มิด “เบอร์ 37 บ่ละ”

“เบอร์ 37 นั้นละ….บ่เป็นหยังดอก คุณนายซาอุฯ คนอื่นๆ อยากได้สร้อยคอทองคำพู้นตั๊ว!….แค่รองเท้าธรรมดาๆ เป็นหยังบักทิดทองจะซื้อให้บ่ได้”

“ทิดทอง….”

“เออ…ฮู้แล้ว…เจ่ามัก เจ่าชอบ เจ่ามีความสุข ข่อยก็มีความสุขนำ”

แดดสุดท้ายไล่ตามหลังเช่นเดียวกับขามา วารีนั่งกอดรองเท้าสานเบอร์ 37 แน่น กระทั้งแสงหมด รถ 2 แถวก็แล่นกลับมาจอดที่เดิม แต่รถ 2 แถวของเจ๊กเตี้ยได้กลับไปแล้ว เธอกับสามีและลูกๆ จึงว่าจ้างรถมอเตอร์ไซด์ บ้านโคกอีรวยในใจของเธองดงามกว่าวัน-คืนที่ผ่านๆ มา….แสงดาวนับล้านกำลังเรียกหาแต่ 5 คนพ่อ-แม่-ลูกภายในบ้านหลังเล็กๆ ที่ผนังทำจากใบมะพร้าวแห้งตาบทับด้วยไม้ไผ่ขัดแตะกำลังหลับและฝันสวยงามก็เพิ่งจะเริ่มต้น…

………

จบ รองเท้าเบอร์37 คุณนายซาอุฯ บทที่ 28 (ฉบับบ้านโคกอีรวย)

(Visited 47 times, 1 visits today)