คุณนายซาอุฯ บทที่ 7

คุณนายซาอุฯ บทที่ 7

วันออกเดินทางจริงๆ คุณนายซาอุฯ บทที่ 7 (ฉบับบ้านโคกอีรวย) นิยายอ่านฟรีจบเรื่อง

คุณนายซาอุฯ บทที่ 7

“อีไร อีไร เฮ็ดหยังอยู่ (ทำอะไรอยู่)” ศรีตะโกนเรียกจากใต้ถุนบ้าน ไม่นานสาวสวยรูปร่างยาวสูงก็โผล่หน้าออกมาให้เห็น

“แม่นหยัง (มีอะไร) มาหาตะเซ่า (แต่เช้า)”

“โอ้ย! กะจังวา (โอ้ย! คือแบบนี้) มึงมีบักพริกแห้งหลายบ่ กูขอซื้อนำแน สิเอาไปคั่วป่น (ทำพริกผง) ให้อ้ายทิดไซ” ศรีบอกจุดประสงค์ขณะยืนนิ่งอยู่กับพื้นดิน จนไรราเดินออกมานั่งหย่อนขาที่ชานระเบียงคุยด้วย

“กูกะบ่มีคือกันได้นำอีวารีตั๊ว (ตั๊วเป็นคำปิดท้ายประโยคประมาณ นั้นละ จ้า ครับ) มันไปเอามาจากบ้านโนนทุ่งปู่เขาพู้น” แล้วเธอก็ก้มหน้าลงมาถามเพื่อนอีก “บ้านมึงมีปลาแดกบ่ (ปลาร้า) กูขอซื้อนำแน”

“โอหลายอยู่ไปเอาโลด…เดี๋ยวกูแวะไปถามอีวารี เผื่อได้บักพริกแห้งจักโล 2 โล (จักโล 2 โล = 1 กิโลกรัมหรือ 2 กิโลกรัม)”

“เออๆ คันซั่น (ถ้าอย่างนั้น) กูคั่วพริกแล้วจะเดินไปหามึงที่บ้านเด้อ”

“เออ กูไปหาอีวารีก่อน”

“เออ…บ่แม่น (ไม่รู้) บักพริกกูไหม้แล้วบ่ ห่ากินหัวอีศรีเอ้ย ตาย ตาย ตาย เหม็นกรุ๊ป! โอะ โอะ” และเสียงไอโขกมาจากข้างในก็ทำให้ศรีปิดปากหัวเราะ ก่อนจะสาวเท้าตรงไปบ้านเพื่อนอีกคน

“ฮ่า ฮ่า ฮา อีผีบ้า…ตั้งไฟคั่วพริกกะบ่เบิ่ง (ไม่ดูแล)”

แสงแรกวันใหม่เพิ่งจะโผล่พ้นจากขอบฟ้า ทิดทองเอาลูกชายคนเล็กขึ้นบ่า ส่วนวารีถือตระกล้าของฝากจากกรุงเทพฯ เดินจูงมือลูกชายคนโตเดินข้ามทุ่งหนองกะเดาไปยังบ้านโนนทุ่ง บ้านพ่อแม่ของทิดทองเพื่อไปบอกข่าวเกี่ยวกับวันออกเดินทางที่ได้กำหนดมาเรียบร้อยแล้ว ทุ่งโล่งที่เหลือเพียงตอซางสีน้ำตาลกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา และหมู่บ้านโนนทุ่งก็เห็นอยู่ลิบๆ ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ทั้งคู่เร่งฝีเท้าไวๆ แข่งกับแสงที่กำลังแรงขึ้นเรื่อยๆ

“ลัดหนองกะเดาผ่านนาผู้ใหญ่แสงไปโลดจะได้บ่อ้อมไกล” วารีกำชับสามีจากด้านหลังก่อนเธอจะถามลูกชายคนโตที่เดินตามคันนาอยู่ตรงกลางขึ้นมาอีก “บักหล่าเมื่อยบ่ (เหนื่อยไหม)”

“บ่เมื่อยดอก ข่อยสิแลน (วิ่ง)ให้อีแม่กับอีพ่อเห็นกะได้” เด็กชายวัย 6 ขวบจะเข้าเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ในกลางเดือนพฤษภาคมปีนี้พูดเสียงดัง ก่อนเสียงน้องชายวัน 4 ขวบที่อยู่บนบ่าทิดทองจะตามขึ้นติดๆ

“อีพ่อข่อยอยากแล่นแข่งกับอ้ายผา…วางลงแน่”

“หือบ่ต้องเดี๋ยวสิตกคันแทเด่ (คันแท=คันนา)” ทิดทองบอก กระนั้นเด็กชายตัวน้อยก็ยังไม่ยอมแพ้

“อีพ่อนะ อีพ่อนะ”

“เออ เดี๋ยวค่อยไปแล่นแข่งกันในนาพู้น” ทิดทองชี้มือไปยังแปลงนาที่เหลือเพียงซางข้าวสีน้ำตาล จนลูกชายคนเล็กยอมนิ่ง และเมื่อถูกปล่อยลง เด็กชาย 2 คนก็วิ่งล่วงหน้าไปพร้อมกับเสียงหัวเราะ จนทำให้ทิดทองกับวารีอดขำไม่ได้

“แล่นซ่าๆ…เดี๋ยวตอข้าวแทงตาดอก”

“ลูกเฮากำลังใหญ่เนาะวา…กว่าอ้ายจะได้กลับบ้านพวกเขากะคงจะใหญ่เป็นหนุ่มแล้ว”

“อดเอาอ้ายทิดทอง….ข่อยสิส่งรูปไปให้เบิ่ง (ดู) ดอก”

พอทั้งหมดเดินเข้าสู่ถนนดินทรายสีชมพูแดงของบ้านโนนทุ่ง แดดสายๆ ที่มาพร้อมกับอุณหภูมิก็ถูกเงาต้นฉำฉา (จามจุรี) บังพอดี

“อ้าวทิดทองอีวารีจะไปหาพ่อใหญ่จันทร์รึ” ลุงลายนุงผ้าขาวม้าตัวเดียวสะพายข้องเดินสวนทางถามเสียงดังในขณะที่เด็กๆ วิ่งไปยืนหอบแฮกๆ รอใต้ต้นจามจุรีหน้าศาลาเรียบร้อยแล้ว

“แมนแล้วลุง เจ่าจะไปใส” ทิดทองถาม

“โอ้ย! ว่าจะไปคล้องอีปอม (อีปอม=กิ่งก่า) แถวนี้ละ…แล้วมึงจะได้บินมื้อใด”

“ว่าอาทิตย์หน้านี้ละลุง” วารีตอบแทนสามี

“เออ…ให้โชคให้หมาน (ให้โชคดีให้ร่ำรวย) เด้อ”

“ขอบใจหลายลุงลาย ถ่าแบบนั้นข่อยขอไหว้ลาตรงนี้ละ…คือจะบ่ว่ากัน เวลามันน้อย” ทิดทองบอกพลางยกมือไหว้พร้อมๆ กับภรรยา

“ไป ไป พ่อใหญ่จันทน์อยู่บ้านนั้นละ หัวแต่เว่ากันมา (เพิ่งจะคุยกัน)”

“ไปลุง หมานๆ คือกันเด้ออีปอมนะ”

เมื่อทั้งหมดมาถึงเรือนไทยอีสานยกพื้นสูง ชานระเบียงกว้างๆ ที่มีเรือนครัวลดระดับยื่นออกไปทางทิศตะวันออกเรียบร้อยแล้ว เด็กกำลังเล่นกับลูกสุนัขอยู่ใต้ถุนบ้าน ทิดทองกับภรรยารวมทั้งน้องสาวทิดทองที่ยังไม่ออกเรือนอีก 2 คนก็นั่งรวมกันอยู่หน้าชายสูงอายุตัวเล็กที่ภรรยาเพิ่งจะเสียชีวิตเมื่อ 4 ปีที่แล้ว

“พี่นาง (พี่สะใภ้) ข่อยเฮ็ดปลาแดกบอง (ปลาร้าทรงเครื่อง) ให้อ้ายทิดทองนำ 3 ถุง”

“เมื่อวานได้ปลาแดกกับอีศรีเมียทิดไซที่จะไปนำกันเลยเฮ็ดไว้คือกัน” วารีบอกแต่ก็รับปลาร้าทรงเครื่องมาเก็บใส่ตระกล้าไว้

“เอาไปหลายๆ โลด กินได้เป็นปี”

“กะว่าจังสั่นละ” วารีพูด ก่อนพ่อใหญ่จันทร์จะเอ่ยถามลูกชายขึ้นบ้าง

“ได้กำหนดมื้อบินแล้วบ่บักทิด (มื้อบิน=วันเดินทาง)”

“อาทิตย์หน้า วันที่ 24 นี้ละ” ทิดทองบอก

“โอ….ราตรีเอ้ย” พ่อใหญ่จันทร์เรียกลูกสาวคนเล็กที่นั่งเย็บผ้าอยู่ข้างใน

“อีหยังพ่อ (อะไรคะคุณพ่อ)”

“เอาด้ายกับขันน้ำมนต์มาให้พ่อแน่…จะผูกแขนให้บักทิดทองมัน”

“พ่อ เมียผมกะสิได้ลูกอีกคนแล้วเด่” ทิดทองบอกพร้อมกับหันไปมองวารีที่นั่งก้มหน้าอยู่ข้างๆ ก่อนเธอจะเอ่ยตามขึ้น

“เกือบ 3 เดือนแล้วละพ่อ”

“โอ้…ดีใจหลายพี่นาง ถ้าอ้ายทิดทองไปแล้วจะเข้าไปนอนเป็นเพื่อน” น้องสาวทิดทองคนโตวัยเลย 20 นิดขยับเข้ามาจับมือวารีออกอาการดีใจมากกว่าคนอื่น

“ก็จะบอกคือกันนั้นละรัตน์เอ้ย…ฝากพี่นาง (พี่สะใภ้) มึงด้วยเด้อ…ไปอยู่ไปนอนอยู่บ้านโคกอีรวยนั้นละ กูจะได้หมดห่วง”

“เออ…เจ่าบ่ต้องเป็นห่วงดอก ข่อยจะไปนอนเฝ้าจนกว่าหลานจะคลอดพู้นละ”

“มื้อนี้มีแต่ข่าวดีแท้ๆ อีวาขยับเข้ามาใกล้บักทิดทอง อีราตรี อีรัตน์ ขยับเข้ามารวมกัน มายื่นแขนมาทั้ง 2 คน พ่อจะผูกข้อไม้ข้อมือให้”

“พี่นางขยับเข้าไปใกล้ๆ อีรัตน์อ้อมมานั่งทางนี้ เออ…แบบนี้ดี ดี” น้องสาวที่ชื่อราตรีของทิดทองกำกับอีกที เมื่อทั้งหมดเข้าที่ พ่อใหญ่จันทร์จึงเริ่มจุดธูปจุดเทียนไหว้พระ พาคนทั้งหมดทำพิธีก่อนจะให้ศีลให้พรและผูกข้อไม้ข้อมือให้ทิดทองและวารีตามลำดับ

“สาธุ สาธุ สาธุ” ทั้งหมดกล่าวขึ้นก่อนจะตบท้ายด้วยน้ำมนต์ที่แกได้มาจากวัด

“ก้มหัวลงทุกๆ คน เออ โชคดีมีชัย ไปทางไกลขอให้เดินทางสะดวกราบรื่น อย่าได้มีภัยอันตรายมาขัดขวาง ทำงานก็ขอให้ได้เงินได้คำกลับบ้านกลับเฮือน ร่ำรวย หมานๆ เป็นที่เพิ่งของน้องๆ ทุกคนเด้อบักทิดทองเอ้ย”

เช้า วันออกเดินทางจริงๆ นายหน้าก็เอารถมารอรับที่ตลาด หนุ่มๆ ที่จะเดินทางมารวมตัวกันที่ศาลปู่ตาอีกเช่นเคย เมื่อทั้งหมดจุดธูปจุดเทียนบอกกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เวลาสั่งเสียจึงได้เริ่มต้น

“อ้าว อีไรมึงจะไปส่งบักทิดดอนถึง กรุงเทพฯ พู้นติ” แม่ใหญ่สิมถามเมื่อเห็นไรราแต่งตัวราวจะไปเที่ยวงานวัด

“กะวาจั่งซั่น (ก็ว่าอย่างนั้น) ละแม่ใหญ่” เธอตอบเสียงเศร้าๆ

“แล้วอีวาเด่ สิไปส่งบักทิดทองที่กรุงเทพฯ บ่” แม่ใหญ่สายพินถามขึ้นบ้าง ก่อนทิดทองที่ยืนโอบภรรยาจะตอบแทน

“บ่ให้ไปดอกแม่ใหญ่ วากำลังจะมีลูกอีกคน”

“อ้าวติ! (อ้าวเหรอ) เป็นข่าวดีตั๊วเนี้ย (เป็นข่าวดีนะเนี้ย) ” แม่ใหญ่สายพินดึงแขนแม่ใหญ่สิมแม่ของวารีเข้าไปกอดแสดงความยินดี

“ฮะ ฮะ ฮ่า หมานคนแล้วกะขอให้หมานเงินหมานคำเด้อบักทิดทองเอ้ย (หมานคน=โชคดีที่มีลูก, หมานเงินหมานคำ=มีเงินมีทองมากๆ)”

“อีไรมึงสิไปส่งบักทิดดอนฮอด (ถึง) กรุงเทพฯ เลยบ่” ศรีถามแบบจริงๆ จังๆ อีกคน

“กะมึง 2 คนบ่ได้ไปเด่ กูกับเอื้อยบัวไหลก็จะไปแทน”

“ไรฝากเบิ่งอ้ายทองนำเด้อ” วารีพูดก่อนศรีจะตามขึ้นอีกคน

“บักทิดไซนำพู้นละ”

“เออๆ…เดี๋ยวสิเบิ่งให้ดอก”

และเมื่อตะวันเลยยอดมะขามหน้าศาลปู่ตา

ทั้งหมดจึงได้เวลาเดินทาง ทางเกวียนเล็กๆ ที่ปกคลุมไปด้วยต้นไผ่ ต้นชาติ ต้นกรุง กว่า 7 กิโลเมตร เหมือนจะเป็น 7 กิโลเมตรที่หนุ่มๆ จะต้องจดจำทุกรายละเอียดให้ขึ้นใจ โดยเฉพาะต้นขนวนใหญ่ที่รกครึ้มหน้าศาลปู่ตาทางเข้าบ้านโคกอีรวย ก็เป็นสิ่งสุดท้ายที่พวกเขาจะไม่มีวันลืม ดอกพะยอมบานจนล่วงไปพักหนึ่งแล้ว แต่กลิ่นที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวก็ยังฝังอยู่ในใจพวกเขาตลอดไป

บ้านโคกอีรวยเงียบเหงาลงทันตา แต่ความหวังความฝันเพิ่งจะเริ่มต้น เงาลางๆ ของคุณนายซาอุฯ กำลังเป็นจริงขึ้นมา สุดท้ายบ้านโคกอีรวยก็จะรวยสมชื่อ กระทั้ง 5 วันผ่านไปไรรากับบัวไหลก็กลับถึงหมู่บ้านและเสียงสาวๆ ที่กำลังจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งคุณนายซาอุฯ ก็ดังขึ้น

“เฮือบิน (เครื่องบิน) ลำหญ่ายใหญ่….”

“พวกสูไปส่งถึงดอนเมืองพู้นติ”

“ฮอด (ถึง) ประตูเฮือบินพู้นแล้ว”

“โอ่….ได้ขึ้นบินหมดทุกคนแล้วแม้นบ่”

“ขึ้นหมดทุกคนปลอดภัยดี บ่ต้องห่วง อุ้ยเดือนหน้าบักทิดดอนบอกว่าจะส่งเงินมาให้ ข่อยสิเอาไปซื้อทองในตลาดใส่ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

“กูคือกัน อยากได้ทองเส้นใหญ่ๆ แขวนคอเที่ยวงานบุญพระเจ้าใหญ่บ้านหัวแฮดคือจะงามหลาย ฮิ ฮิ ฮิ”

“ใจเฮาตรงกันหลายเนอะเอื้อยบัวไหล ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

“อย่าเว่าเสียงดังหลายอายชาวบ้านเขา ให้เงินให้คำมาอยู่ในมือก่อนแน่” ศรีกระซิบเตือน แต่….

“อ้าว อีศรี มีปากก็ต้องเว่าต้องคุยละว๋า….กะผัวกูไปเฮ็ดงานซาอุฯ กูก็จะได้เป็นคุณนายซาอุฯ แน่นอนแม่นบ่ (ใช่ไหม) ฮา ฮา ฮา”

“ไป ไป วา กลับบ้านให้อีไรรามันบ้าไปคนเดียวเถอะ”

“กลับบ้านก่อนเด้อไร ได้ข่าวผัวอย่าลืมบอกนำแน”

“เออ….ซุมเฮา (พวกเรา) จะได้เป็นคุณนายซาอุฯ ทุกคนละน้อ….ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

ตะวันใกล้จะตกดินแล้ว ไรราก็ยังฝันไม่จบสิ้น สุดท้ายเมื่อทุกคนลงจากชานระเบียงไปเรียบร้อยแล้ว

“กูยอมให้ผู้ไดกะได้ (ยอมให้ใครๆ ก็ได้) แต่บ่แมนมึงอีศรี จังไดจังได (อย่างไรเสีย) กูก็ต้องชนะมึง กูจะต้องรวยกว่ามึง….ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

………

จบ วันออกเดินทางจริงๆ คุณนายซาอุฯ บทที่ 7 (ฉบับบ้านโคกอีรวย)

(Visited 101 times, 1 visits today)