นินจาเลือดซามูไร บทที่ 15

นินจาเลือดซามูไร บทที่ 15

นินจาเลือดซามูไร บทที่ 15 อูคาชิ เซดะ PART1

นินจาเลือดซามูไร บทที่ 15

ก่อนฟ้าสางคืนนั้นอูคาชิ ยาสุ ได้เรียกนินจาที่ยังจงรักภักดีเข้ามาหาโดยมียามุดะ มิกิ  เค็นจิ โอสุเกะ ฮิเดะและอาจารย์โอคิตะ ไออินั่งอยู่ในห้องประชุมลับหลังม่านไม้ไผ่ด้วย  เขาแจ้งประสงค์ของตัวเองเพื่อแลกกับทรัพย์สินที่มี กลุ่มนินจาได้แต่นิ่งสงบ…เหมือนยอมจำนนท์ต่อปัญหาที่ต่างคนก็รับรู้มาก่อนแล้ว มีเพียงไชอินาริ โจอานคนเดียวที่ไม่เห็นด้วยนินจาเลือดซามูไร บทที่ 15

“คุณชายน้อยก็เหมือนลูกข้าคนหนึ่ง…ข้าจะไม่ยอมให้เขาไปเติบโตที่อื่นโดยเด็ดขาด” โจอานตะเบ็งเสียงสั่นเครือออกมา…

“โจอานคุง…คาโกคุมะไม่ใช่ที่อื่น มินาโมโตเป็น…”

“เจ้าไม่ต้องพูดต่อแล้วยามุดะ…มันเกินที่ข้าจะรับไหว…ยอมก็คือยอม”ยาสุแทรกทันควัน เขานิ่งและค่อยๆหันหน้าไปหาโจอานที่ยังก้มหน้าอยู่ไม่ไกลจากมิกิ เท่าไรนัก “โจอานคุง…ในความเสี่ยงย่อมมีการผิดพลาดรออยู่”

“เขาคือความหวังเดียวของอูคาชิ…ข้าเชื่อว่ามินาโมโตจะให้ความปลอดภัยกับเขา จนกว่าจะพร้อม…เพื่อรับมือกับพวกมัน” ยามุดะแทรกขึ้นต่อ…และยาสุก็สวนอีก

                ยามุดะ!

“ท่านพ่อ…ข้าขอโทษ…ข้าขอโทษ…”นางละล่ำละลัก จนลนลานถอยหลังห่างออกไป 2 ก้าวก่อนจะทรุดนั่งก้มศีรษะลงจรดพื้นและพูดซ้ำๆไม่ต่างอะไรกับคนบ้า “ข้าขอโทษ…ข้าขอโทษ”

“…พอได้แล้ว…” เค็นจิกระซิบ ยามุดะถึงกล้าเงยใบหน้าที่อาบน้ำตาขึ้นมามองหน้ายาสุ นางเห็นเขาพยักหน้าให้เรียบๆ ทั้งที่ยังหายใจติดๆขัดๆ ก่อนยาสุหันไปพูดกับโจอานต่อ “โจอานคุง…”

“บุตรของคุณชาย ก็เสมือนบุตรคนหนึ่งของข้า ยาสุ…เค็นจิ ท่านอาจารย์…เราคุมครองเขาได้” โจอานพยายามชักนำ แต่ทุกคนก็หลบสายตาเขาไปหมด

“ถึงอย่างไรเขาก็ต้องไป…เพราะที่นี้ไม่ปลอดภัยเสียแล้ว…” เค็นจิเอ่ยเสียงต่ำอย่างคนระมัดระวัง

“ถ้าเป็นเช่นนั้น…ข้าจะขอตามไปอยู่กับคุณชายน้อย” โจอานเสนอตัวอย่างไม่ลังเล

“เป็นไปไม่ได้ เพราะที่นี้ก็ต้องการเจ้าเช่นกัน…แต่ถ้าเป็น ไชอินาริ โนอานนะไม่แน่”โอสุเกะ ฮิเดะสมทบ

“โนอาน…โนอาน โนอานรึ ใช่” โจอานพร่ำเหมือนคนละเมอ สักครู่ความเป็นกังวลที่อาบไปทั่วใบหน้าก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม

“ข้ามีแผนจะให้เขาตามคุณชายน้อยไปเรียนที่บ้าน…เอ่อ คาโกคุมะ อีกสามปีข้างหน้า เจ้าจงไปเตรียมพร้อมสำหรับการสอบของบุตรชายให้ดี”เค็นจิพูดเสียงเรียบๆ โจอานก้มหน้าต่ำทันทีที่ปะกับสายตาอันเหนื่อยล้าของยาสุเข้า

“อนาคตของอูคาชิ…อยู่ในกำมือของทุกๆคน…บัดนี้พึงรับรู้เอาไว้ว่าศัตรูของอิงะ มิใช่มีเพียงพวกชิโนบิหลังหุบเขาโคงะเท่านั้น หากแต่ยังมี ไอ้พวกนอกรีต โดยเฉพาะอิเงะสึงิ เคนซึ ตามล่าและฆ่ามันซะก่อนที่เนื้อนางเงือกจะเลี้ยงตัวจนโตเต็มวัย เพราะถ้าถึงเวลานั้น จะไม่มีใครสังหารเขาได้อีก…นอกจาก…”ยาสุหยุดพูดพักหนึ่ง เขาค่อยๆยันตัวเองลุกเดินไปหยุดที่หน้าตราสัญลักษณ์รูปสายฟ้าสีดำผ่ากลางจันทร์เสี้ยวเหนือผนัง “จะไม่มีใครสังหารเขาได้อีก 300 ปี นอกจากหญิงสาวพรหมจาริณีที่มีเลือดเป็นกรดเท่านั้น…ซึ่งข้าเองก็ไม่มั่นใจว่าเมื่อไรหญิงคนที่ว่าจะถือกำเนิดขึ้น…”เขาหยุดหายใจลึกๆจนลำตัวยืดสูง สายตาก็เพ่งออกไปนอกหน้าต่างทางทิศตะวันออก “ฟ้าเริ่มสางแล้วละ…แยกย้ายกันไปได้…ข้าจะส่งตัวคุณชายน้อยในคืนเดียวกับที่คุณชายอูคาชิมา…รอสัญญาณออกเดินทางจากข้า” ยาสุกล่าวเสียงต่ำ ทุกคนก้มศีรษะลงจรดพื้นด้วยความจำยอม เมื่อเงยหน้าก็ไม่ปรากฏร่างของยาสุยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว

……….

จุดเริ่มต้น…และจุดจบ คือ เวลาของ 1 ประสบการณ์

จงเอาเยี่ยงมาปรับใช้……แต่อย่าเอาอย่างไปลอกเลียน

เพราะนั้นคือวิถีแห่งคนโง่เขลา……………..โดยแท้

อูคาชิ ยาสุ

………..

คืนพรากปีที่ 15

และในคืนเดือนมืดกลางฤดูหนาวซึ่งเป็นคืนเดียวกับเมื่อ 15 ปีก่อน  เงาสีดำที่อำพรางตัวตนในความมืดของนินจาสองคนที่กำลังอุ้มคุณชายน้อย เซดะ ที่อายุพึ่งจะเลย 5 ขวบมาไม่กี่วัน โผจากเงาสู่เงาฝ่าความมืดและพายุหิมะที่กำลังตกหนักไต่ไปตามยอดไม้อย่างเร่งรีบ โดยมีขบวนม้าเร็วที่คอยหลอกล้อศัตรูทั้ง 3 ด้านตามมาห่างๆ

#คุณชายน้อยเป็นอย่างไรบ้าง#

#ยังหลับและไม่เป็นไร ตัวข้ายังอุ่นพอ#เสียงกระซิบแผ่วเบาดังขึ้นในความมืด

#ตามข้ามา…#สิ้นเสียง ปลายต้นสนมซึก็สั่นพึ่บๆ ประหนึ่งนกกลางคืนถลาออกจากรัง จนเกล็ดหิมะที่เกาะขาวโพลนไปทั้งต้นร่วงพรูทับกับเป็นชั้นๆลงไปกองอยู่กับพื้น

#ระวังหน่อย มากิ…#

#ข้าขอโทษ…#

#พวกที่ตามมา…ไม่อาจช่วยเราได้ทุกครั้งหรอกนะ…ตามข้าให้ทัน#เสียงตวาดประหนึ่งสายลมกระชากเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว พวกเขาหายไป พร้อมกับเสียงฝีเท้าของกลีบม้าหลายสิบตัวที่ควบตามมาทางด้านหลัง…และในที่สุดทิศทางที่ทั้งหมดมุ่งไปก็คือเมืองคาโกคุมะทางทิศตะวันตกนั้นเอง

มันช่างเหมือนกับภาพความสูญเสียเดิมๆที่เคยเกิดขึ้นกับยามุดะมาแล้วครั้งหนึ่ง และคืนนี้ความรู้สึกเมื่อ 15 ปีก่อนก็หวนกลับมาเล่นงานนางอีกจนได้

“เซดะ…เซดะ…อูคาชิ เซดะนางตะโกนข้ามช่องเขาคุโระอิสีนิลสู่ป่าฮานะที่ปกคลุมไปด้วยหิมะจนขาวโพลน

“เซดะ…เซดะคุง”มันดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าจนขบวนม้าสีนิลหายออกไป ส่วนอูคาชิ ยาสุ เขาหายไปตั้งแต่ยังไม่ค่ำ มีเพียงมิกิคนเดียวที่นั่งกอดยามุดะเอาไว้แน่น

“นายหญิง…นายหญิง เสียงของท่านจะทำให้พวกนอกรีตรู้ความเคลื่อนไหว” มิกิเขย่าเรียกสติ

“โจอานคุงและพวกเจ้าตามไปคุ้มกันและส่งคุณชายน้อยให้ถึงมือฟูจิกาว่า…หลบหลีกการปะทะกับพวกนอกรีตและอย่าริต่อกรกับอิเงะสึงิ เคนซึ ชีวิตของคุณชายน้อยสำคัญกว่า”เสียงเค็นจิกำชับในวงจำกัด

“โปรดวางใจ…ไชอินาริรอดพ้นจากคนเผ่าถ่านก็เพราะคุณชายทั้ง 2 คุณชายน้อยจะต้องปลอดภัย แม้จะแลกด้วยชีวิตของข้าก็ตาม”โจอานให้คำมั่น เขาส่งสัญญาณบอกนินจาอีกหกเจ็ดคนที่พร้อมอยู่แล้ว

“แบ่งเป็น 2 กลุ่มไล่โอบล้อมตามไปคนละด้าน…”เสียงเค็นจิสั่ง สักครู่เขาก็ยื่นใบหน้าเข้าไปกระซิบบอกบางอย่างที่เป็นความลับสุดยอดกับโจอานอีก “ฝากเก็บดอกอุเมะที่ขึ้นข้างๆ ปราสาทมินาโมโตมาให้ข้าสักกำ…ข้ารู้ว่ายามุดะชอบมัน” โจอานอมยิ้ม ก่อนจะนำเหล่านินจาชุดสุดท้ายดีดตัวผ่านช่องเขาคุโระอิสีนิล เป็นขบวนสุดท้าย

……….

รุ่งสางของวันต่อมา

ขอบฟ้าทางทิศตะวันออกค่อยๆสว่างขึ้น สัญญาณจากจิตพิรุธก็บอกยามุดะว่าทุกอย่างได้ผ่านไปด้วยดี คุณชายน้อยเซดะถึงมือฟูจิกาว่าและเขาก็ปลอดภัยท่ามกลางซามูไรของมินาโมโตในเวลานี้ นางเพ่งสายตาหยุดที่ขอบฟ้าสีแดง และถอนหายใจออกมาอย่างคนโล่งอก แต่ใบหน้าโดยรวมก็ยังหม่นหมองอยู่ดี

“คุณชายน้อยปลอดภัยแล้วละ…มิกิและพวกเจ้าแยกย้ายกันไปหลับได้” ยามุดะเอ่ยพร้อมๆกับรอยยิ้มฝืนๆ

“แต่นายหญิง…ข้า” มิกิพยายามค้าน เหมือนไม่ไว้วางใจมากนัก

“ข้าอยากอยู่คนเดียว…นี้คือคำสั่ง…ออกไปให้หมด” ยามุดะกระแทกเสียงแหลมสูง จนคนใช้สี่ห้าคนที่นั่งอยู่รอบๆ ต่างถอยกรูแทบไม่ทัน

“มิกิ!…” ยามุดะขู่อีกพร้อมๆ กับกดดันนางด้วยสายตา

“ได้…ได้…นายหญิง” มิกิกลัวจนตัวสั่น นางลนลานถอยหลังลุกเดินซอยเท้าสั้นๆ เป็นตุ๊กตาตามคนอื่นๆออกไป

แสงสีอำพันจากโคมไฟดับพรึบลงพร้อมกับแสงแรกที่กำลังตระกายขอบฟ้าทางทิศตะวันออก เหล่านินจากำลังจะเข้านอน แต่ผู้คนในหุบเขาอิงะกำลังจะตื่น ยามุดะหยิบมีดสั้นมาจ่อข้างลำคอของตัวเองอยู่นาน นางสูดลมหายใจเข้าออกจนหน้าอกกระเพื่อมหลายครั้ง คาบน้ำตาของเมื่อคืนยังแห้งเกรอะกรังทั้งสองแก้ม

“ข้าไม่เคยลืมความรู้สึกเมื่อ 15 ปีก่อน…มันเจ็บปวดเกินข้าจะพบปะมันได้อีก” สิ้นเสียงพึมพำ นางก็เสือกปลายมีดปักเข้าไปตรงๆอย่างไม่ลังเล  ฟันกรามทั้ง 2 ขบขยี้จนสั่น นางเกร็งเงยใบหน้าขึ้นสูง พลางเร่งข้อมืองัดปลายมีดเพื่อตัดเส้นเลือดแดงใหญ่ที่ขึ้นไปเลี้ยงสมองให้ขาด…ไม่มีเสียงกรีดร้องขอมีชีวิต ไม่มีเสียงดิ้นทุรนทุราย นางล้มลงและพยายามยึดตัวเองกับพื้นไม้ ดวงตาแดงฉานกระพริบถี่ๆ ติดต่อกันเหมือนจะปรับแสงเพื่อให้มองเห็นเลือดสีแดงที่กำลังพุ่งกระฉูดออกมาจากลำคออย่างชัดๆ พลันปลายนิ้วที่สั่นเทาจวนจะหมดแรงก็ละเลงไปกับเลือดสดๆ ตรงหน้า นางกัดฟันสู้กับลมหายใจเฮือกสุดท้ายเขียนข้อความที่อัดอั้นตลอดชีวิตลงกับพื้น…อย่างบรรจง ยังไม่ทันจะเขียนชื่อตัวเองลงไว้บรรทัดสุดท้ายครบทุกตัวอักษร มัจจุราชก็กระชากวิญญาณของนาง สติจมวูบสู่สีดำสิ้นแล้ว

……….

ข้าเกิดมาเป็นชิโนบิ………… เพราะเลือดอูคาชิและหุบเขาที่ชื่ออิงะ

แต่ในหัวใจของข้ากลับเต็มไปด้วยซามูไรแห่งขุนเขาพระอาทิตย์…

ฉะนั้น……ข้าจึงเลือกตายเฉกเช่นหนึ่งภรรยาของครอบครัวซามูไร

…………………………………………………………………..อภัยให้ข้าด้วย

มิ นา โม โต  ย า ม…..

……….

 และทันทีที่แสงแรกอาบยอดสน

“ยามุดะ…ยามุดะยามุดะ!” เสียงตะโกน เมื่อเห็นภาพของสตรีผู้เปรียบเสมือนน้องสาวคนสุดท้ายนอนจมกองเลือดอยู่กับพื้น

“ยามุดะ…” เค็นจิสะอึกติดอยู่ในลำคอ…ความรู้สึกทั้งหมดช็อกไปชั่วขณะ…แต่กลิ่นบางๆ ของดอกอุเมะที่ถืออยู่ในมือก็กระตุ้นเรียกสติของเขาให้กลับมา “ดอกอุเมะที่เจ้าชอบ…ยามุดะ…ข้าเก็บดอกอุเมะที่ข้างปราสาทมินาโมโตมาฝากเจ้า ตื่นซิ ลุกขึ้นมาคุยกับข้า…อ๊าก!…ฮื้อๆ…ยามุดะ ยามุดะ!”เสียงของเขาปลุกผู้คนในหุบเขาอิงะ มือที่สั่นเกร็งค่อยๆ ช้อนร่างไร้วิญญาณของอูคาชิ ยามุดะขึ้นมากอดแนบอก

“ยามุดะ…ตื่นมารับดอกอุเมะจากพี่ชายของเจ้าคนนี้ก่อน…ยามุดะ” เขาได้แต่พร่ำเรียกนางอย่างคนเสียสติ โดยมี อูคาชิ ยาสุยืนเกร็งนิ่งเหมือนโดนมนต์สะกดอยู่ไม่ไกล

“นางเลือกเกิดไม่ได้…แต่น่ายินดีที่นางเลือกตายตามวิถีที่นางปรารถนา…หลับให้สบายเถอะลูกรัก”

……….

งานศพของอูคาชิ ยามุดะถูกจัดขึ้นในนาม มินาโมโต ยามุดะตามวิถีของซามูไร มีแค่เหล่าคนใช้และนินจาเพียงไม่กี่คนที่ไปร่วมงาน ศพนางถูกฝังในวัด ไรอันจิ และมีป้ายชื่อที่สลักมาจากหินแกรนิตสีดำว่า “มินาโมโต ยามุดะ” ผลึกติดแน่นอยู่ข้างๆ ดูเหมือนวิถีห่มศพพันใบไม้ปล่อยไหลไปกับสายน้ำตามแบบจารีตเดิมของนินจา นางจะไม่ปรารถนาให้เกิดขึ้นกับสิ่งสุดท้าย

……….

สายฟ้าฟาด      ผ่าวงเลี้ยว      จันทรา

ดังเพลา     ว่าจากแล้ว     แก้วตาหนอ

เคยดีดพลิ้ว เพลงเพลินไพร ใกล้พะนอ

เจ้าเฝ้ารอ         ล้อเสียงข้า      ว่าลาเลว

ใบไม้เปลี่ยน    เหลืองแสด   แดงทั้งป่า

แต่ดวงตา    แลใบหน้า   คร่าคลายเหงา

เสียงหัวเราะ    ต่อกระซิก     ในวัยเยาว์

บัดนี้เงา         เจ้าห่างหาย       ใยไม่ลา

………..

                เค็นจิวางช่อดอกอุเมะข้างกองดินที่ปกคลุมไปด้วยหิมะหลังจากเสียงเพลงแห่งหุบเขาที่ตัวเองแต่งขึ้นจบลง สำเนียงดังลาเลวทำให้หลายคนหลังวัดไรอันจิถึงกับหลั่งน้ำตา…จนภาพที่เคยเกิดขึ้นในอดีตผุดขึ้นมาในหัว

……….

…ภาพในอดีต…

#ฮะๆ…ฮิๆ…เสียงร้องเพลงของอาเล็ก…เหมือนกับเสียงลาเลวไม่มีผิด#

#ถ้าเสียงอาดั่งลาเลว…เอ้! แล้วน้ำเสียงเจ้าละ…#

#เอ่อ!…เสียงระฆังแห่งหุบเขาตะวันตก ฮะๆ…#

……….

 เค็นจิเผลอยิ้มบางๆ เขาปาดน้ำตาหยดสุดท้ายทิ้ง “หลับให้สบายนะ…ไอ้ตัวเล็กของอา”

“ยามุดะ ลูกรักหากชาติหน้าเจ้าสามารถเลือกเกิดได้ ขอให้เป็นอย่างที่หัวใจของเจ้าปรารถนาเถอะ”น้ำเสียงแหบแห้งติดอยู่ในลำคอของยาสุ ปนออกมาพร้อมๆกับความรู้สึก นินจา 2 คน ช่วยกันขุดดินเพื่อปลูกต้นสนมซึที่เตรียมเอาไว้ ขอบฟ้าทางตะวันออกเริ่มจะสว่างขึ้น แต่ยาสุก็ยังยืนนิ่งท้าทายแสงนั้นอย่างไม่ไหวเกรง มันไล่เงามืดจนเห็นสีดินที่พึ่งขุดขึ้นมาชัดมากขึ้นเรื่อยๆ โอสุเกะ ฮิเดะจึงเดินย่ำหิมะเข้ามากระซิบ “เราต้องกลับแล้ว…หากฟ้าเปิดจนแสงอุ่น เราจะพรางกายลำบาก”

“ทุกคนกลับไปก่อน…ข้ามีบางอย่างต้องสะสาง”

“ข้าจะอยู่เป็นเพื่อน” โอสุเกะโพล่งขึ้นอย่างไม่ลังเล แต่ยาสุก็ไม่วายหันไปดุเขาด้วยสายตา  “ขอบใจฮิเดะคุง…มันเป็นสิ่งที่ข้าต้องสะสาง…คนเดียว!” ยาสุย้ำสองคำสุดท้ายหนักแน่น และบังคับสายตาให้แข็งกร้าวไล่เขาอีก จนโอสุเกะ ฮิเดะไม่อาจปฏิเสธมันได้  “พวกเจ้ากลับกันเถอะ…ข้าให้สัญญาว่าจะไม่ตายถ้าข้าไม่อยากตาย”ยาสุพูดเสียงดัง จนทุกคนจำต้องโค้งศีรษะต่ำลงก่อนจะพากันดีดตัวลอยข้ามยอดสนที่กำลังต้องแสงแรกและเค็นจิก็นำทางทั้งหมดโผวูบออกไปทางหลังวัดที่ลาดต่ำสู่พื้นราบที่มีบ้านเรือนหลายหลังกระจายตัวอยู่จนสุดเทือกเขาอีกด้าน

บัดนี้ ณ.หลังวัดไรอันจิ คงเหลือเพียงนินจาแก่ๆผ่านโลกมา 75 ปีเท่านั้น ที่ยืนนิ่งอยู่กับที่ เขาปล่อยให้แสงแรกค่อยๆลามเลียจนเกิดเงาทาบไปกับพื้น เป็นครั้งแรกที่ความเป็นนินจาของเขาอยู่ใต้อำนาจของดวงอาทิตย์ ซึ่งเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของซามูไรอย่างไม่เกรงกลัว…

“ข้าไม่เคยกลัวที่จะเผชิญหน้ากับเจ้า…มินาโมโต” เสียงพึมพำเหมือนจะรู้ว่ากำลังรอใครอยู่…ไม่นานนักเสียงกลีบเท้าของม้ากว่า 10 ตัวก็ดังใกล้เข้ามา แต่อูคาชิ ยาสุ ก็ยังยืนหันหลังนิ่งไม่สะทกสะท้าน

“ข้าคิดอยู่แล้วว่าสัญญาชิโนบิจะไม่มีวันตาย” เสียงทุ้มกังวานดังที่ด้านหลัง อูคาชิ ยาสุค่อยๆหันไปยิ้มให้และพยักหน้าทักทายซามูไรกว่า 10 คนในแบบของนินจา (ซาซากุมิ) เขาเอ่ยชื่อชายที่เห็นออกมา ด้วยน้ำเสียงที่ผิดคลาด

“ทุกอย่างมันจบลงแล้วนะยาสุ…ถึงเวลาที่ท่านต้องรับผิดชอบ…กับเรื่องราวทั้งหมด” ฮันโต ซาซากุมิตอกย้ำในสัญญาเดิมที่เคยให้ไว้

“สัญญาชิโนบิไม่มีวันตาย” อูคาชิ ยาสุโต้กลับทันควัน เขาเขม่นหนังตาพลางกราดมองไปยังกลุ่มซามูไร ที่ยังยืนนิ่งในระยะที่ห่างออกไปอย่างพินิจพิจารณา

“ถ้าจะมองหา มินาโมโตซัง…ขอบอกว่า ข้าเสียใจ ที่เขายังไม่พร้อมจะเจอท่าน…เขาจะมาเคารพศพคุณนายมินาโมโตภายหลัง”ฮันโต ซาซากุมิพูดและเชิดหน้าที่หยิ่งยโสใส่ นาทีเดียวกันซามูไรที่ยืนอยู่ด้านหลังก็เดินถือดอกไม้สีขาวเข้ามาพร้อมกับหลวงพ่อแห่งวัดไรอันจิ

“ไม่ได้เจอกันซะนานเลยนะฮันโตซัง”หลวงพ่อกล่าวทักทายและออกเดินนำเข้าไปยังหลุมฝังศพ ฮันโต ซาซากุมิรับดอกไม้จากมือซามูไรก่อนจะหันมายักคิ้วให้ยาสุแบบคนได้ใจ “ข้าจะไปบอกข่าวดีกับคุณนายมินาโมโต…ว่านางอาจจะได้หลานชายเร็วๆ นี้”

“ซาซากุมิ!….” ยาสุพ่นเสียงออกทางจมูก มือทั้ง 2 กำเกร็งและขยับเข้าไปเผชิญหน้าในระยะประชิด “ถ้าธุระมีแค่นี้ ข้าขอตัว” เขากดเสียงต่ำเหมือนต้องการจะจำกัดให้ได้ยินเพียง 2 คน

“หากสัญญาชิโนบิล่ม…รู้ใช่ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนินจาของท่าน” ซาซากุมิขู่ “ชิ!…”และพ่นหางเสียงลอดไรฟันเข้าไปในหูยาสุอย่างตั้งใจ “ข้าจะปั่นหัว…ให้อิงะ…กลับไปฆ่าอิงะซะให้แหลกทั้งหุบเขา…หึๆ…ฮาๆ” ดวงตาของซาซากุมิเบิกกว้างพร้อมๆ กับระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น

“เหตุผลระหว่างข้ากับเจ้า…ขอให้เป็นความลับที่ตายไปพร้อมกับข้า” ยาสุหน้าซีดเขาพยายามกดเสียงต่ำลงไปอีก

“สัญญาของซามูไรคือชีวิต…ข้าเตรียมต้นสนไว้ให้ท่านแล้วนะยาสุ…หวังว่ามันจะถูกนำมาปลูกใกล้ๆ กับหลุมฝังศพแม่ยายของข้า…เร็วๆนี้…ฮะๆ…ฮาๆ” เสียงหัวเราะดังขึ้นไปอีก จนหลวงพ่อหันมาจ้องเชิงตำหนิ

“ข้าขอตัว…” ยาสุเอ่ยสั้นๆ เขารีบสาวเท้าแยกไป

“รีบส่งข่าวในเร็ววัน…มิฉะนั้นนินจาของท่านจะกลายเป็นพวกนอกรีตเพราะฝีมือข้าเอง” ซาซากุมิตะโกนไล่ตามหลัง มันยิ่งทำให้ยาสุอยากจะเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น และทันทีที่พ้นสายตา เขาก็ดีดตัวลอยขึ้นเหนือยอดไม้ก่อนจะโผวูบหายไปทันที

(จะไม่มีพวกนอกรีต…เกมนี้ต้องจบลงที่ข้าคนเดียว)

 ………..

หากความโกรธแค้น……….คือการสร้างปมปัญหาให้คนๆหนึ่งโง่ลง

การให้อภัย………………ก็น่าจะเป็นทางออกให้คนๆนั้นฉลาดขึ้น

อูคาชิ ยาสุ

………..