ลูกอีสาน คิดบวกความสุขในมุมเล็กๆ
ลูกอีสาน
ปลายปี 2547 ในห้องประชุมชั้น 23 สำนักงานใหญ่ ถนนรัชดาภิเษก
“Timmy ลูกค้า: คุณไพโรจน์งวดสุดท้าย…นัดจ่ายวันไหนนะ”
“อาทิตย์หน้าวันศุกร์ครับ….”
“คราวนี้คงเลื่อนไม่ได้แล้วน่า!…”
“ผมก็หวังว่าอย่างนั้น”
แล้วอยู่ๆ ประตูกระจกหน้าห้องก็ถูกผลักเข้ามาแบบไม่มีปีไม่มีขลุ่ย…“เฮ้ย!!!!!!!…… SA…TP….พวกคุณช่วยผมดูข่าวที่ลงหนังสือพิมพ์กรอบบ่ายวันนี้หน่อยดิ….คุณไพโรจน์โดนฟ้องให้เป็นบุคคลล้มละลาย…ใช่คุณไพโรจน์ลูกค้าเราหรือเปล่าวะ”
ผมลุกถลาไปรวมกับกรรมการผู้จัดการ 3 คนที่ยืนเป็นหุ่นอยู่หน้าห้องประชุมทันที…ผมไล่อ่านชื่อสกุลบุคคลล้มละลายแล้วก็นึกถึงหน้าลูกค้ารายสำคัญแบบกำลังวิเคราะห์….ใช่แน่ๆ….หลังๆ ถึงว่าทำไมดูแปลกๆ…แต่จะเป็นไปได้รึ!….เขาออกจะไฮโซฯ หรูหรา บ้านช่องก็หลายหลัง โรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมบางปูก็ใหญ่โต บ้านกำลังจะสร้างเป็นเรือนหอให้ลูกสาวที่กำลังจะแต่งงานกับ สส.พรรคใหญ่ นามสกุลดังที่จะจัดขึ้น….การ์ดเชิญ กำหนดวันที่โรงแรมพล่าซ่าแอทธินี่ก็อยู่ในมือผมเรียบร้อย…เป็นไปไม่ได้…ยังโทรคุยกับฮัทซึที่แอลเออยู่เลย….วันจ่ายเงินงวดสุดท้ายก็ Confirm เรียบร้อย…เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด
“เออ…. ผมว่าใช่จริงๆ นั้นแหละ…”
“โอ้!….ตาย!…แบบนี้งวดสุดท้ายจะเก็บได้รึเปล่าเนี่ย…Timmy Timmy ลองโทร Confirm ลูกค้าอีกรอบซิ”
“ครับ…ได้ครับ” ผมเดินเร็วไปยังโทรศัพท์ที่วางอยู่หน้าห้อง…ก็เหมือนทุกคนจะก้าวมาหยุดด้านหลังของผม… “กริ้งๆๆๆ…….กริ้งๆๆๆ…..” รออยู่นานแต่คุณไพโรจน์ก็ไม่ยอมรับสาย ผมหันมาเผชิญกับสายตาทุกคู่ที่คล้ายจะทราบคำตอบอยู่แล้ว…..
พอเลิกประชุมเกือบ 18.00 น. ขณะที่กำลังจะเดินไปยังรถยนต์ที่จอดไว้บนชั้น 4 เสียงโทรศัพท์เรียกเข้า….ผมไม่ได้นึกถึงใครนอกจากไอ้คุณ หรือไม่ก็เพื่อนคนใดคนหนึ่ง….แต่เมื่อยกขึ้นมาดู… “คุณไพโรจน์….” ผมอุทานอย่างคนแปลกใจและตื่นเต้นไปพร้อมกัน…ด้วยความที่เคยออกแบบโรงงาน-บ้านพักอาศัยอีก 4 หลังผมกับคุณไฟโรจน์จึงถือได้ว่าคุยกันถูกคอระดับหนึ่ง…อย่างน้อง ฮัทซึ ลูกชายคนเดียวของเขาที่กำลังเรียนที่แอลเอ ประเทศสหรัฐอเมริกาก็ได้คำแนะนำจากไอ้คุณเป็นหลัก (ไอ้คุณจบไฮสคูลจากซานฟรานซิสโก) ผมเจอฮัทซึตั้งแต่เรียนยังไม่จบ ม.3 กระทั้งเดินทางไปเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย ก็ประมาณเจอหน้ายกมือไหว้….แต่ธรรมชาตินกป่าปีกสีน้ำตาลเปลือกไม้หรือนกกระจอกจากแดนอีสานก็มิอาจตีค่าความสนิทสนมมากไปกว่าลูกของลูกค้าหรือเจ้านายคนหนึ่งเท่านั้น….จนในที่สุดผมก็รับโทรศัพท์แบบเกร็งๆ
“สวัสดีครับพี่”
“คุณ Timmy…ช่วงนี้ผมกำลังวุ่นสุดๆ….คือแบบนี้ครับ วันพุธก็คือวันพรุ่งนี้ ฮัทจะกลับมา…ผม…ผมเออ…ผมฝากฮัทไว้กับคุณสัก 2 วันได้ไหม”
ผมอึ้ง พูดอะไรไม่ออก ไปต่อไม่เป็น…ไม่รู้จะเริ่มพูดคำไหน….
“……..”
“ถ้าไม่สะดวก…..”
“สะดวกครับพี่สะดวกครับ”
“คุณคงรู้เรื่องของผมแล้วซินะ…..”
“หนังสือพิมพ์กรอบบ่ายของวันนี้เองครับ”
“ผมยังไม่อยากให้ญาติรู้ว่าฮัทกลับเมืองไทย…”
“ส่งไฟท์บินมาเลยครับพี่….ผมจะจัดการให้”
“ขอบคุณมาก…เมื่อกลับเข้ากรุงเทพผมจะแวะไปรับทันที”
“ครับพี่…ไม่ต้องเป็นห่วง…และขอบคุณที่ไว้ใจผม”
“ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณคุณและคุณคุณ”
“ครับ….ผ่านมันไปให้ได้นะพี่…ผมเอาใจช่วย”
“ขอบคุณมากๆ ขอบคุณอีกครั้ง Timmy”
ลูกอีสาน…ทำไมต้องลูกอีสาน….เนื้อเรื่อง- เนื้อหาที่เกริ่นมาไม่น่าจะไปกันได้เลยสักนิด….
มา!….ตาม Timmy ให้ทัน…จะสาธยายขยายความให้ได้รู้ถึง มุมเล็กๆ มุมหนึ่งที่เป็นจุดแข็งของลูกอีสานเมื่อเทียบกับลูกชายไฮโซฯ ในเมืองกรุง…ความสุขในมุมเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ใกล้ๆ คุณ คุณ คุณและคุณ…คุณจะได้เห็น ได้เจอมันสักที
หลายๆ คนเชื่อว่าหนี้สิน นำมาซึ่งทรัพย์สิน ถ้าไม่มีหนี้ทรัพย์ก็ไม่เกิด ถึงกระนั้น บุคคลใดที่กำลังคิดจะก่อหนี้ต้องใช้สติมองโลก อ่านเกมอนาคตให้แตก ก่อนคำว่า “หนี้ล้นพ้นตัว” จะ Say Hi…Good Morning ยัน Good nightmare ฝันร้ายจะมาเยือน
ครับ…ผมอยากจะเสริมความรู้ที่เกี่ยวกับบุคคลล้มละลายให้ได้อ่านกันซะก่อน…วัคซีนครับวัคซีน…กินยาก-ฉีดยากแต่ก็ควรกินควรฉีด เจ็บหน่อย น่ากลัวนิดๆ แต่ได้ภูมิคุ้มกันระยะยาว…ทนๆ อ่านนะTimmy รับรองผลว่าดีต่อสมองแน่นอน
บุคคลล้มละลายคืออะไร? มีผลอย่างไรบ้าง?
การเป็นบุคคลล้มละลาย มาจากสาเหตุอะไร?
การเป็นบุคคลล้มละลายนั้นมีสาเหตุจากการที่เรามีหนี้สินมาก และไม่สามารถชำระคืนกับเจ้าหนี้ได้ จึงถูกเจ้าหนี้ฟ้องล้มละลาย โดยการจะถูกฟ้องล้มละลายนั้นมีสาเหตุมาจาก
- เป็นบุคคลธรรมดา – ที่มีหนี้สินเกิน 1 ล้านบาท
- เป็นนิติบุคคล – ที่มีหนี้เกิน 2 ล้านบาท
- เป็นผู้ที่เข้าข่ายว่า “มีหนี้สินล้นพ้นตัว” หรือ “ไม่มีความสามารถที่จะชำระหนี้ได้”
การโดนฟ้องล้มละลายนั้นมีโอกาสเกิดกับทุกคน…หากว่ามียอดหนี้สูงเกินกว่าที่ พรบ.ล้มละลาย ได้กำหนดไว้ และพระราชบัญญัติล้มละลายก็ไม่ได้จำกัดว่า ผู้ที่ล้มละลายจะต้องเป็นบุคคลประเภทใด ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลประเภทใดก็สามารถล้มละลายได้เช่นกัน
การเป็นบุคคลล้มละลาย มีผลอย่างไรบ้าง?
การเป็นบุคคลล้มละลายจะมีผลทำให้เราไม่สามารถทำนิติกรรม นิติกรรมสัญญา ใดๆ ทั้งสิ้นได้ รวมถึงธุรกรรมการเงินต่างๆ เช่น เปิดบัญชีธนาคาร เป็นต้น และยังส่งผลทำให้เราไม่สามารถดำรงตำแหน่งในบริษัทหรือห้างร้านต่างๆ ได้อีกด้วย ซึ่งในส่วนของการดำรงตำแหน่งนี้ หากมีความจำเป็นก็จะต้องได้รับอนุญาตจากศาลเสียก่อน จึงจะสามารถดำรงตำแหน่งได้
การเป็นบุคคลล้มละลายมีผลต่อการเดินทางไปต่างประเทศหรือไม่?
การเป็นบุคคลล้มละลายมีผลต่อการเดินทางไปต่างประเทศ เพราะจะทำให้เราไม่สามารถเดินทางไปต่างประเทศได้ หากมีความจำเป็นต้องเดินทางไปจริงๆ ก็ต้องขออนุญาตจากพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สินก่อน โดยเราจะต้องแจ้งต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่าจะไปที่ไหน เป็นระยะเวลาเท่าไหร่ จะมีรายได้เท่าไหร่ และนำส่งรายได้ประมาณ 30% เพื่อชำระหนี้ ทั้งนี้การจะอนุญาตให้ออกนอกประเทศหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เป็นหลัก
ซึ่งหากเราได้รับอนุญาตให้ออกนอกประเทศ… เราที่เป็นบุคคลล้มละลายจะต้องทำบัญชีรายรับรายจ่าย ส่งต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่า ทุกๆ 6 เดือน พร้อมทั้งส่งรายได้ตามที่เจ้าพนักงานจะอายัดเข้ากองทรัพย์สินด้วย และบุคคลล้มละลายจะต้องแจ้งชื่อผู้ที่เจ้าพนักงานฯ จะสามารถติดต่อได้ในระหว่างที่บุคคลล้มละลายไปทำงานที่ต่างประเทศ ทั้งนี้บุคคลล้มละลายจะต้องปฏิบัติตามที่ได้ตกลงกับเจ้าพนักงานฯ ไว้อย่างเคร่งครัด
ระยะเวลาเท่าใดจึงจะพ้นสภาพการเป็นบุคคลล้มละลาย?
- การถูกสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลายนั้น จะมีระยะเวลา 3 ปี เมื่อครบกำหนดก็จะถูกปลดจากการเป็นบุคคลล้มละลาย ยกเว้นกรณีที่ไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหนี้ ก็อาจจะมีการขยายเวลาเป็น 5 หรือ 10 ปีก็ได้
- เมื่อครบกำหนดระยะเวลา 3 ปี ก็ให้บุคคลล้มละลายติดต่อกับเจ้าหน้าที่พิทักษ์ทรัพย์สินเพื่อขอปลดจากการเป็นบุคคลล้มละลาย
- หลังจากปลดจากการเป็นบุคคลล้มลายแล้ว ก็จะสามารถทำงานและทำธุรกรรมต่างๆ ได้ตามปกติ
หลังถูกปลดจากการเป็นบุคคลล้มละลาย หนี้จะหมดไปด้วยหรือไม่?
สำหรับบุคคลล้มละลายที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการเข้าให้การและเข้าพบเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นั้น เมื่อครบกำหนดเวลาก็จะถูกปลดจากการล้มละลายทันที ซึ่งคำสั่งปลดจากการล้มละลายนี้ จะส่งผลให้บุคลล้มละลายนั้นหลุดพ้นจากหนี้สินทั้งปวงด้วย ยกเว้นแต่หนี้สินที่เกี่ยวข้องกับภาษีอากรหรือหนี้สินที่เกิดขึ้นจากการทุจริต ฉ้อโกงของบุคคลล้มละลาย ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย มาตรา 81/1
(ขอบคุณข้อมูลจาก : MoneyGuru.co.th ,krisdika.go.th , Sanook , wiki กฎหมายล้มละลาย , Kapook , กรมบังคับคดี , กระทรวงยุติธรรม)
ฮัทซึ….เป็นคนไทยเชื้อสายจีนนะครับ เขามักจะเรียกผมว่าเฮียตามพี่สาวของเขา…ที่ผมจะใช้สรรพนามแทนตัวเองว่าเฮียตั้งแต่บรรทัดถัดไปนั้น…อยากจะบอกว่าไม่ได้กระแดะนะ ผมเป็นบักเสี่ยวอีสานของแท้…กระแดะบวกๆ ก็เฉพาะชื่อ Timmy เท่านั้นเอง…ชัดเจนนะครับ…
ภาพที่ผมเห็นครอบครัว ฮัทซึ เป็นครอบครัวคนจีนสมัยใหม่ที่ถือได้ว่าร่ำรวยเอามากๆ มีโรงงาน 3 แห่ง บ้านที่ผมออกแบบและก่อสร้างให้ ก็ 4 หลังเข้าไปแล้ว พ่อของฮัทซึหรือพี่ไพโรจน์เป็นนักธุรกิจและมีเพื่อนเป็นอาจารย์ฝรั่งเข้ามาสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยในประเทศไทยหลายคน เขาจึงสร้างบ้านให้ฝรั่งเช่าเป็นธุรกิจเสริมประมาณนี้นะครับ
ฮัทซึ เป็นลูกชายคนเดียว-หน้าตาดีแบบตี๋อินเตอร์เกาหลี+ญี่ปุ่น บางครั้งไอ้คุณมีหึงด้วยนะ โดยเฉพาะคืนนี้และคืนวันพรุ่งนี้…ก็ว่ากันไป ด้วยเหตุนี้ฮัทซึจึงเป็นเด็กค่อนข้างเอาแต่ใจตัวเอง อยากได้อะไรก็ต้องได้ อยากกินอะไรก็ต้องได้กินเป็นธรรมชาติของคุณหนูประมาณนั้น
…หลังจากคุยกันถึงรู้ว่า ฮัทซึรับรู้ปัญหานี้มาระยะหนึ่งแล้ว และพี่ไพโรจน์ก็กำลังวางแผนดึงตัวกลับมาเรียนต่อในประเทศเพื่อลดรายจ่าย การที่พี่ไพโรจน์ไว้ใจฝากลูกชายก็แสดงว่าเขาคงเห็นอะไรบางอย่างในตัวผม แล้วทีนี้มันก็เป็นปัญหาของผมละว่าจะแก้แบบไหน…จะปฏิบัติอย่างไรกับอดีตลูกชายไฮโซฯ คนนี้…เขาจะกินอะไร…นอนบนฟูก บนเตียงธรรมๆ ไหวไหม…น้ำดื่ม-น้ำอาบต้องใส่ใจแค่ไหน อู้!…เอาวะ Whereๆ of Whereๆ ไหนๆ ก็ไหนๆ เขามาขออยู่กับเรา…ก็ต้องให้เขาปรับตัวซิ!….ไม่ใช่ผม…อยู่ได้ก็อยู่…อยู่ไม่ได้ อยู่ไม่ไหวฮัทซึคงโทรหาพ่อเขาเองแหละ….
อาหารจานแรกตอน 1 ทุ่ม
ผมไปรับฮัทซึตั้งแต่บ่าย 4 โมง กว่าจะเจอกันก็ 5 โมงนิดๆ….ฮัทซึโตขึ้นมากๆ หลังจากไม่ได้เจอกัน 2-3 ปี เขาใส่แว่นดำปิดบังดวงตาช้ำๆ เดินลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่มาคนเดียว …ฮัทซึยกมือไหวอย่างคนมีสำมาคารวะเช่นเดิม ผมพยายามอ่านเขา อ่านความรู้สึกลึกๆ ก่อนจะคาดเดาไปเองว่า ฮัทซึต้องร้องไห้มาอย่างหนักระหว่างนั่งมาบนเครื่องแน่ๆ ความรู้สึกเวลานี้ของฮัทซึจึงบอบบางไม่ต่างอะไรกับกระดาษร่างที่เปียกน้ำรอแรงฉุดกระชากเท่านั้น
“สบายดีนะฮัท” ผมทักคำที่คิดว่าเหมาะสมที่สุด แต่ก็เป็นคำที่แทงใจดำมากที่สุด
“ครับเฮีย” มันตอบกลับสั้นๆ ผมขอลากกระเป๋าให้…ด้วยรู้สึกว่ากำลังของฮัทซึเวลานั้นเหลือน้อยลงทุกที “ไม่เป็นไรครับ…” มันตอบ…ซึ่งผมก็ว่านอนสอนง่าย ผมขับรถพามันมายังคอนโดเล็กๆ แถวบางกะปิ โดยผมไม่ปริปากถึงบ้านหรูหราในหมู่บ้านใหญ่ของมันเลยสักนิด มันก็เงียบลอยๆ จนคล้ายกับคนเมากระทั้งพามันมาถึงห้อง-คอนโดผมมี 2 ห้องครับ ห้องหนึ่งเป็นห้องทำงาน อีกห้องเป็นห้องนอนที่เป็นเตียง 2 ชั้น ธรรมดาๆ….
“ห้องเฮียก็แบบนี้แหละ นอนได้นะ….ฮัทนอนข้างบนละกัน เฮียขี้เกียจปีน”
“ครับ….”
“หิวไหม….” ผมถามขณะฮัทซึนั่งหันหลังกำลังเปิดกระเป๋าเดินทาง….สุดท้ายแผ่นหลังมันก็สะท้านให้เห็น ผมพยายามรับรู้กับสิ่งที่มันกำลังเผชิญ พยายามเข้าใจเด็กหนุ่มไกลบ้านได้กลับบ้านแบบคนไม่เหลือบ้านให้กลับ….ผมลูบแผ่นหลังเป็นการปลอบ…สักพัก…
“ฮัทอยากอยู่คนเดียว”
ผมยังไม่วางใจ…เลยนั่งเป็นเพื่อนสักพัก…ถ้าฮัทซึจะฆ่าตัวตายมันคงไม่ถ่อกลับมาถึงประเทศไทยเป็นแน่….ผมคิด…ก่อนจะลุกเดินไปยังประตู
“อยู่คนเดียวได้แน่นะ….เฮียจะลงไปซื้อข้าวมาให้”
“ฮัทมีขนมปังจากบนเครื่องแล้ว….” มันชูให้เห็นแล้วก็ร้องไห้ออกมาอย่างหนักจนผมต้องเดินเข้าไปกอดให้นิ่ง….ไม่มีคำพูดใดๆจะปลุกปลอบนอกจากอ้อมแขนแน่นๆ ด้วยพลังด้วนบวก…
“ไม่เป็นไรเฮียหิว…กินข้าวผัดก็แล้วกัน” ผมบอก ฮัทซึมองผมแบบไม่ปิดปังและพยักหน้ารับแบบเด็กๆ
สรุป….อาหารเย็นของพวกเราก็คือข้าวผัด 2 ห่อ กับน้ำเปล่า 2 ขวด จริงๆ แล้วผมจะซื้ออะไรที่มากกว่านั้น หรือพาออกไปทานข้าวนอกบ้านแบบไฮโซฯ โก้เก๋ยังได้… แต่ในเมื่อฮัทซึจะต้องเผชิญกับศึกหนัก…ผมก็ต้องค่อยๆ ให้รับรู้รสชาติขมๆ ขื่นๆ ของคนจน ของคนอีสานทีละน้อย….ฮัทซึนั่งเขี่ยข้าวผัดไปมาหลายรอบก่อนจะใช้ลิ้นแตะชิมรสบางๆ….สุดท้ายความหิวก็บังคับให้กินจนหมด
ดึกๆ หิว….ผมก็บอกมีบะหมี่สำเร็จรูปในครัว ฮัทซึก็เดินวนไปวนมาหลายรอบแบบคนคิดหนักสุดท้ายก็สารภาพว่า…ไม่เคยทำ
ผมจึงต้องเริ่มสอนตั้งแต่ต้มน้ำร้อน แกะบะหมี่ใส่ถ้วย-รอ-รินน้ำร้อนใส่-ปิดฝา-ปรุงรส ….อยู่ๆ ผมก็เอะใจขึ้นมา…ตอนอยู่แอลเอ ฮัทซึอยู่อย่างไรวะ บะหมี่น่าเป็นอาหารมาตรฐาน…ยังทำไม่เป็นอีก….ฮัทซึบอกภายหลังว่า…ส่วนใหญ่จะกินแต่แฮมเบอร์เกอร์-สเต็กซ์-และอาหารฝรั่งที่ญาติจัดไว้ให้….ผมถึงบางอ้อ…พร้อมๆ กับเป่าลมออกมาทางปาก (งานหนักแล้วกู) ผมคิดขณะมองหน้าฮัทซึที่ตั้งหน้าตั้งตาซดบะหมี่ 2 ซองอย่างตะกละตะกลาม….ผมนั่งอ่านฮัทซึด้วยความรู้สึกมากมาย กำลังเวทนาในโชคชะตาก็ไม่ถูกซะทีเดียว …แล้วอยู่ดีๆ ก็นึกถึงพี่ไพโรจน์ขึ้นมาอีก… ทำไมเขาจึงตั้งใจให้ฮัทซึมาใช้ชีวิตอยู่กับผมด้วยนะ….เขาเห็นอะไรในความเป็นลูกอีสานอย่างนั้นหรือ
“นี้เป็นครั้งแรกของฮัทที่กินบะหมี่เปล่าๆ”
ผมเผลอมองเพดาน ก่อนปล่อยลมหายใจทิ้งทางปากยาวๆ… “เฮียเป็นลูกอีสาน….ฮัท…สมัยเป็นเด็ก….ชีวิตของเฮียลำบาก….จนเห็นความลำบากเป็นความปกติ -มีกบกินกบ -มีหอยกินหอย -มีปลาร้ากินปลาร้า….เพราะมันคืออาหารที่ดีที่สุดของลูกอีสาน วันที่ไม่มีกินเป็นคืนที่หิวกระทั้งให้ห้วงหลับใหลเข้ามากลืนกิน….ไปเลี้ยงวัวเลี้ยงควายมีข้าวเหนี่ยวปั้นเดียว อย่างอื่นไปหาเอาข้างหน้า…ฮัทพ่อแม่เฮียไม่มีทรัพย์สิน ไม่มีหนี้สิน พวกเราห่างจากการเป็นบุคคลล้มละลายหลายขุม….ไม่เคยมีบ้านหลังใหญ่นอกจากพื้นไม้เก่าๆ ที่สร้างบนเล้าควาย….แต่เราก็ฝันหวานทั้งๆ ที่กลิ่นขี้ควายขี้วัวลอยคละคลุ้ง…ที่ฮัทบอก…เป็นครั้งแรกที่ได้กินบะหมี่เปล่าๆ นะ….ไอ้บะหมี่เปล่าๆ ที่ว่า มันคืออาหารที่ดีที่สุดสำหรับเฮีย…เตียงที่ฮัทจะหลับในคืนนี้อาจจะเป็นเตียงที่ห่วยแตกที่สุดในชีวิตของฮัท…แต่มันคือเตียงวิเศษที่สุดสำหรับเฮีย…ความจนติดลบ…ความหิวเกินขีดมาตรฐานช่วยให้ลูกอีสานอย่างเฮียอยู่ได้ในทุกๆ สถานการณ์…เฮียมีความสุขกับการกินบะหมี่เปล่าๆ….อร่อยกับปลากระป๋องจิ้มข้าวเหนียว…เพราะเหตุนี้กระมังที่พ่อฮัทจึงตั้งใจให้ฮัทมาเรียนรู้”
ฮัทนิ่งคิด….นั่งมองผนังอย่างคนใจลอยแบบกำลังคิดตาม….สักพัก…“แรกที่เจ้โทรบอกและสั่งให้กลับกรุงเทพฯ ฮัททำอะไรไม่ถูก นึกอะไรไม่ออก….ต้องไปนอนที่โรงงานเหรอ….จะนอนเข้าไปได้อย่างไร…ฮัทสารภาพนะเฮีย….ฮัทไปซื้อเชือกมาแล้วด้วย”
“หมายความว่า….”
“ฮัทตั้งใจจะตาย…แต่พอนึกถึงคำพูดที่เฮียเคยเล่าให้ฟังเมื่อหลายปีก่อน….ฮัทจึงขอป๋ะ รบกวนให้ป๋ะคุยกับเฮีย…ฮัทอยากมาอยู่กับเฮีย ตั้งใจจะมารับรู้ความเป็นลูกอีสานจากเฮียโดยเฉพาะ”
“อ้าว!….นี้แสดงว่า”
“ฮัทไม่เคยกินข้าวผัดแค่อย่างเดียว ฮัทไม่เคยกินบะหมี่เปล่าๆ….ฮัทไม่เคยเห็นควายตัวเป็นๆ…เฮียฮัทโตแล้ว…ชีวิตของฮัท….ชีวิตของครอบครัวฮัทต้องเริ่มต้นใหม่….ฮัทจึงอยากจะรู้ทุกเรื่องที่เฮียเคยเป็น….”
ผมอึ้งกับคำพูดของ ฮัทซึ… เขาป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก เป็นผู้ใหญ่ที่มีความคิด เป็นผู้ใหญ่ที่มีสติ จนผมอดจ้องหน้าเด็กหนุ่มที่กำลังนั่งจมอยู่กับพื้นกระเบื้องราคาถูกๆ ไม่ได้…
“ฮัท อยากรู้อะไรจากเฮีย”
“ทุกอย่าง” เขาตอบตรงๆ…. “ฮัทพูดกับป๋ะแล้วสำหรับเงินงวดสุดท้ายที่ป๋ะติดบริษัทเฮีย…ฮัทจะเอาเงินที่เป็นของฮัทจ่ายแทน”
“เฮ้ย…..”
“ครับ….ถ้าฮัทอยากขอเป็นลูกอีสานด้วยคน เฮียจะรับไหม”
“OK…ลงทุนซะขนาดนี้พรุ่งนี้เฮียจะลางานพาฮัทไปเรียนรู้ความยากลำบากของลูกอีสานสักอาทิตย์ ดูซิว่าจะทนได้สักกี่น้ำ” ผมบอกแบบคนคิดกว้างๆ พร้อมกับอ่านเกมของกรรมการผู้จัดการบริษัท หากเก็บเงินงวดสุดท้ายโดยใช้ข้ออ้างนี้การลางานสักอาทิตย์ก็ไม่น่าจะมีปัญหา
เช้าวันต่อมา….ฮัทโอนเงินงวดสุดท้ายเข้าบริษัท…ผมลางานเพื่อเป็นอาจารย์พิเศษพาลูกศิษย์นักเรียนนอกอดีตคนเคยเป็นคุณหนู-ลูกไฮโซฯ ไปใช้ชีวิต ไปเรียนรู้ชีวิตของการเป็นลูกอีสานขนานแท้…ผมพาฮัทเข้าป่า…ไปรู้จักการใช้ชีวิตในป่า-นอนในป่า กินอาหารป่า -กินพืช -กินผัก -กินปลาร้า….จนหลังๆ ฮัทซึมันกินปลาร้าได้แซบกว่าลูกอีสานอย่างผมซะอีก….พี่ไพโจน์กับครอบครัวย้ายออกจากบ้านหลังใหญ่ไปอยู่ตึกแถวข้างๆ โรงงาน ฮัทซึย้ายกลับมาเรียนต่อที่เอแบคฯ เจ้…พี่สาวก็แต่งงานกับ สส.และย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านหลังสุดท้ายที่ผมออกแบบให้….
คิดบวก…ความสุขในมุมเล็กๆ ของความเป็นลูกอีสานกลายเป็นจุดแข็งที่ยิ่งใหญ่….อีก 4 ปีต่อมา ฮัทซึก็กลับไปทำงานกับญาติที่อเมริกา….และเขาก็กลายมาเป็นกำลังหลักของครอบครัว….ผม Timmy Buto ก็ได้แต่หวังว่าบทความสั้นๆ นี้จะแปลงเป็นพลังเสริมต่อให้ความอดทนยาวขึ้นไปอีกหน่อย…สู้ต่อไป….ค้นหาความสุขที่มักจะซุกซ่อนในมุมที่คุณไม่เคยสนใจให้เจอ…แล้วทุกอย่างจะเป็นของคุณ โชคดีครับ