อูคาชิ เซดะ นินจาเลือดซามูไร Part2 สมรภูมิปักษา1
สมรภูมิปักษา1
ไกลถิ่นปักษา
ต้นเดือนกัยยายน 1940
เรือสินค้าของญี่ปุ่นที่มีชื่อว่า “อาซาฮียามา มารู” กำลังเคลื่อนตัวช้าๆ ไปตามลำน้ำเจ้าพระยา ก่อนจะจอดนิ่งที่ท่าเรือกรุงเทพฯ ไม่นานนักกลุ่มชายฉกรรจ์จำนวนมากก็ค่อยๆ ทยอยกันลงมา ทุกคนต่างถือเอกสารเดินทางมาแสดงกับเจ้าหน้าที่ของฝ่ายไทย หลายคนเป็นพนักงานของบริษัทมิตซูบิชิ อีกหลายคนเป็นนายแพทย์เป็นนักธุรกิจ โดยมีหัวหน้าคณะที่เป็นผู้นำเข้ามาในครั้งนี้มีชื่อว่า นายฮิโรมิชิ ยาฮารา…และในระยะเวลาเดียวกัน นักท่องเที่ยว โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นก็ทะลักตามเข้าไทยมากขึ้นจนผิดสังเกต…ทุกคนมุ่งตรงไปยังสถานที่ท่องเที่ยวป่าเขาทั่วประเทศ โดยเฉพาะประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฏร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี และกาญจนบุรี…สัญญาณอันตรายที่ไม่มีใครฉุกเฉลียวกำลังเริ่มขึ้นแล้ว
ต้นเดือนธันวาคม 1941
จันทร์กระจ่างพราวพร่างกลางนภา
ดารดาษดาราฉายไร้เมฆหมอง
ล้านแสงดาวพราวฟ้าท้าชวนมอง
ข้าคอยจ้องปองแสงพร่างกลางทะเล
นวลแสงสีเงินยวงกระจ่างฟ้า
นวลนภาพราวพร่างกลางเวหา
นวลจันทร์ฉายคล้ายเห็นเจ้าเฝ้าบอกลา
นวลแก้วตาว่าอนงค์คงเฝ้ารอ
กลางทะเลแรงลมล้อคลอเสียงคลื่น
เหมือนวันคืนคล้ายเสียงนางเสียงครางขาน
เหมือนเสียงเจ้าเฝ้าตัดพ้อเมื่อคืนวาน
ก่อนฟ้าสางวันพี่จากพรากเจ้ามา
เสียงเพลงจากทหารบนเรือรบที่กำลังมุ่งหน้าตรงไปยังเอเชียอาคเนย์ดังกระหึ่มขึ้น การเดินทางสู่สมรภูมิรบที่ใช้ชื่อว่า “สงครามมหาเอเชียบูรพา” ได้เริ่มต้นขึ้นหลังจากคณะนายทหารที่นำโดย พันโทฮิโรมิชิ ยาฮารา ซึ่งมีตำแหน่งเป็นรองผู้ช่วยทูตทหารบกเข้าไปฝังตัวในประเทศไทยแล้วเป็นปี
มินาโมโต โคทาโร่และเพื่อนทหารจากแดนซามูไรร่วมกันร้องเพลงรักส่งท้ายให้กับหัวใจหลายดวงก่อนเสียงเพลงปลุกใจจะเข้ามาแทนที่ พวกเขามีแผนจะขึ้นบกที่ประเทศไทยในเช้าวันที่ 8 ธันวาคม 1941 สถานที่และตำแหน่งถูกระบุอย่างชัดเจนมาจากหน่วยข่าวกรองพิเศษในพื้นที่….ดูเหมือนทุกคนจะมั่นใจในแผนเจรจาขอผ่านทางกับรัฐบาลไทยในวันที่ 7 ธันวาคม 1941 เวลา 18.00 นาฬิกาและกำหนดให้ไทยต้องตอบรับข้อเสนอก่อนเที่ยงคืนในวันเดียวกันเป็นอย่างมาก
เรือรบสีทึมมีธงทิวขนาดพอเหมาะสีขาวแดงรูปพระอาทิตย์ติดหัวเรือหลายร้อยลำที่มุ่งตรงไปทิศทางเดียวกัน เสียงเพลงปลุกใจจากเครื่องกระจายเสียงยังดังขึ้นอย่างต่อเนื่องๆ เหมือนต้องการกระตุ้นเลือดทหารให้ฮึกเหิมพร้อมจะกรำศึกหนักที่กำลังจะเกิดขึ้น…บางคนร้องคลอตามเพื่อให้กำลังใจตัวเอง…บางคนเดินไปยืนจังก้าที่หัวเรือเหมือนจะประกาศตัวกับข้าศึกที่รออยู่ในสนามรบว่า “ข้าคือนักรบซามูไร ผู้เห็นความตายเป็นเรื่องเบาบางยิ่งกว่าขนนกอย่างนั้น”
แสงแดดเริ่มลดอุณหภูมิลง ดวงอาทิตย์ก็ค่อยๆลดระดับจนจมหายไปกับเส้นขอบมหาสมุทร เงามืดที่ทำให้หลายคนหวาดหวั่นก็พลันเริ่มต้นมันเริ่มต้นพร้อมๆเสียงเพลงชาติ ทหารบนเรือทุกนายลุกยืนตรง บางคนที่สวมหมวกก็ตะเบะท่าเคารพแล้วร้องตามเพื่อหวังจะหลอมรวมหัวใจให้เป็นหนึ่งเดียว…ไม่เหลือภาพความกลัวสารพัดรูปแบบของสงครามที่เคยเกิดขึ้นในอดีตตามมาหลอกหลอน…มีเพียงความหิวกระหายในชัยชนะเท่านั้น…ที่เด่นชัดขึ้นมาจากแววตาของทหารทุกนายในเวลานั้น
หลังเพลงชาติจบ มินาโมโต โคทาโร่ ก็เดินไปยื่นนิ่งที่หัวเรือ แววตาที่มุ่งมั่นฉายออกมาพร้อมๆกับดวงดาวสีแดงกำลังสว่างขึ้นที่ขอบฟ้าทางทิศใต้ “ดวงดาวแห่งนักรบ”เขาพึมพำ…อันมีความหมายอย่างเดียวกันคือ…ศักดิ์ศรีของซามูไรกับหน้าที่สำคัญจะต้องสำแดงฤทธิ์เดชให้เป็นประจักแก่สายตาของพวกล่าอานานิคมจากประเทศตะวันตก…ที่ปรารถนาเพียงทรัพยากรธรรมชาติอันมีค่าของประเทศที่อ่อนแอกว่าให้ได้รู้
(โจรป่าชัดๆ) เขาปล่อยความรู้สึกเกลียดชังออกมาอีก และทันทีที่ท้องฟ้ามืดสนิทเขากระพริบตาถี่ๆหลายครั้งเพื่อปรับแสงสว่างในความมืดให้เห็นเป็นสีเขียวอมเหลืองขึ้นมาแทน…มันคือมรดกที่ได้รับมาจากบรรพบุรุษนินจาในหุบเขาอิงะ…ซึ่งทันทีที่แสงสะท้อนปะทะเข้ากับดวงตาอีกคู่หนึ่งที่คล้ายกันบนเรือรบที่ขนาบอยู่ข้างๆ
“หา!…นั้นคุณชาย” เสียงอุทานก็ดังขึ้นในระยะไกล แต่เหมือนเขาจะไม่ทันสนใจเท่ากับภารกิจที่รออยู่
“เราจะสู้…สู้ สู้…” เขาตะเบ็งเสียงดังลั่น ทหารทุกคนนิ่งเงียบต่างหันขวับจ้องไปที่เขา “เราจะสู้…สู้สู้”เขาตะเบ็งเสียงดังขึ้นไปอีกจนทหารทุกคนพร้อมใจตะโกนประโยคนี้ขึ้นพร้อมกันหลายครั้ง
“เราจะสู้…สู้ สู้”
“เราจะสู้…สู้ สู้”
“เราจะสู้…สู้ สู้”
หัวใจของทหารทุกๆ ดวงพร้อมแล้ว สักครู่เสียงฝูงบินก็คำรามเบิกฟ้ามาจากด้านหลัง ทหารที่กำลังฮึกเหิมต่างกระชับปืนเล็งไปยังเป้าหมายตามสัญชาตญาณ มินาโมโต โคทาโร่เดินไปสมทบกับนายทหารระดับสูง 5 นายที่ท้ายเรือดูเหมือนพวกเขาจะไม่หวั่นไหวเท่าไรนัก…และมันก็เป็นไปอย่างที่คาดเมื่อเสียงประกาศจากส่วนกลางดังขึ้น
#ประกาศฝูงเครื่องบินซีโร่ที่ 30909A จำนวน 223 ลำกำลังจะผ่านไป…ขอให้ทหารทุกนายอยู่ในความสงบ#และก็ดังขึ้นต่อเนื่องก่อนฝูงบินสีดำจะปรากฏขึ้นที่แนวเส้นขอบฟ้า โคทาโร่กระพริบตาอีกหลายครั้งเพื่อปรับมองภาพในระยะไกล แล้วภาพที่ไม่ต่างอะไรกับฝูงผึ่งอพยพก็ปรากฏชัด พวกมันไล่กวาดละลอกคลื่นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนกระทั้งบินว่อนอยู่เหนือหัวปิดฟ้าที่ฉาบด้วยเปลวแดดสุดท้ายจนดำมืด
(มันคือความฝันที่ข้าจะต้องไปให้ถึง)โคทาโร่คิดตามพร้อมกับฝากความฝันจางๆไล่ตามฝูงบินนั้นไปอย่างหิวกระหาย “สักวันนักเรียนปี 1 อย่างข้าจะได้เป็นตัวจริง”เขาพึมพำออกมาอีก สายตายังคงไล่ตามพวกมันจนกระทั้งเงาของเครื่องบินซีโร่ลำสุดท้ายลับหายไปกับเส้นขอบฟ้าอีกด้าน
“ฝันอย่างไร………………………………….ก็จงมองให้เห็น
มุ่งมั่นทุกๆวัน…………………..ไม่นานฝันจะเป็นจริง”
มินาโมโต โคทาโร่
ฮาราชิ จิโระกับกระสุนนัดแรก
เวลา 18.00 น. วันที่ 7 ธันวาคม 1941 กำหนดการเจรจาเพื่อขอผ่านทางไปยังพม่ากับรัฐบาลไทยยังคงนิ่ง…เวลา 22.30 นาฬิกา นายเทอิจิ ทสุโบกามิ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย พร้อมด้วยผู้ช่วยทูตทหารบก ผู้ช่วยทูตทหารเรือ ที่ปรึกษา เลขานุการ และล่าม ขอเข้าพบจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ธรรมเนียมนายกรัฐมนตรี ซึ่งขณะนั้นอยู่ที่วังสวนกุหลาบ แต่นายกรัฐมนตรีไทยยังติดราชการที่จังหวัดพระตะบอง…ทุกอย่างจึงสับสนอลหม่านขึ้นมา
“โคทาโร่ ข้ากลัว” เสียงสั่นเบาๆดังขึ้นหลังจากอาหารเย็นผ่านไปได้ไม่นาน
“เจ้าไม่มีสิทธ์มีความรู้สึกนั้น ในเวลานี้” มินาโมโต โคทาโร่กดเสียงต่ำเหมือนเกรงว่าทหารคนอื่นๆจะได้ยิน
“หากข้าเป็นอะไรไป แม่กับน้องสาว…”
“เจ้าไม่มีสิทธ์คิดถึง….”
“แต่…แต่โคทาโร่ข้ากลัวจริงๆ” นายทหารชื่อ ฮาราชิ จิโระกระซิบ จนโคทาโร่มองซ้ายที ขวาทีก่อนจะหันไปจ้องหน้าเพื่อนอย่างเอาจริง
“มองตาข้า จิโระคุง…มองลึกๆเข้ามานัยน์ตาข้า” โคทาโร่ตะเบ็งเสียงกำชับเชิงข่มขู่ แววตาสั่นระริกของเพื่อนยังอยู่ระหว่างเข่าทั้ง 2 ข้าง มือที่จับปืนกำลังจะไม่มั่นคง แต่สักพักเขาก็ยอมทำตาม ในเมื่อไม่เหลือทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้
“คิดถึงท้องฟ้า คิดถึงต้นฤดูใบไม้ผลิ จิโระคุง…คิดถึงกลีบซากุระในเช้ารุ่ง…อย่างนั้น…อย่างนั้นดีมาก” โคทาโร่แนะพลางจ้องสะกดนิ่งเข้าไปในดวงตาคู่นั้น ครู่เดียวมือของฮาราชิ จิโระก็กระชับด้ามปืนได้แน่นขึ้น เขาหายใจออกมายาวๆ หลายครั้ง จนโคทาโร่สัมผัสความตื่นกลัวจากแววตาค่อยๆหายไป “อย่างนั้น…แล้วเจ้าจะได้กินข้าวพร้อมๆกับเราบนแผ่นดินไทย” เขาพูดพลางฉายยิ้มให้เพื่อน
“ข้าจะไม่มีความรู้สึกนั้น ในเวลาเยี่ยงนี้อีกโดยเด็ดขาด” ฮาราชิ จิโระกดเสียงประหนึ่งคำสัญญากลับไปให้
เช้าตรู่วันที่ 8 ธันวาคม 1941 กองทัพญี่ปุ่นใช้เรือรบน้อยใหญ่จำนวน 32 ลำปิดอ่าวไทยไว้หมดทุกด้าน แต่ผลการเจรจากับรัฐบาลไทยยังไม่สำเร็จ ทุนลอยของชาวประมงจอมปลอม ถูกทหารญี่ปุ่นบนเรือรบดึงขึ้นมาค้นหาอะไรบางอย่างก่อนพวกเขาจะเจอจดหมายซุกซ่อนอยู่ห่อพลาสติกเล็กๆ ข้อความในจดหมายเป็นรหัสลับสั้นๆ ที่ไม่มีใครเข้าใจนอกจากหน่วยสื่อสารพิเศษที่วางตัวเอาไว้แล้ว
“ใช่…ทิศทาง ตำแหน่งถูกต้อง ข้างหน้าคือ ชุมพร ประเทศไทย ทุกอย่างบนฝั่งเตรียมการพร้อมแล้ว” เสียงหน่วยสื่อสารพิเศษแจ้งกับแม่ทัพบนเรือถึงแม้พวกเขาจะพยายามกดเสียงให้ต่ำแค่ไหน แต่ประสาทหูของโคทาโร่ก็ยังทำงานได้ดี
“เตรียมตัวให้พร้อม อีกไม่นานแล้วละ” โคทาโร่กระซิบ
“อีก ไกล เท่า ไร” ฮาราชิ จิโระถามอย่างเกร็งๆ โคทาโร่ใช้ประสาทหูที่เป็นมรดกนินจาดักฟังเสียงคลื่นกระทบฝั่งที่ยังอยู่ในความมืด
“ประมาณ 5 หรือ 6 ไมล์”
“โคทาโร่…ข้าเอ่อ ข้า”
“เจ้าไม่มีสิทธ์ในความรู้สึกนั้น ในเวลานี้”
“ข้าเอ่อ ข้าปวดฉี่”
“โธ่เอ้ย!…นึกว่าอะไร ทนอีกนิดเดียวลงทะเลเมื่อไร เจ้าค่อยจัดการกับมันให้เสร็จ” โคทาโร่ตอกกลับอย่างหัวเสีย แต่ก็ไม่ลืมที่จะพยักหน้าให้เพื่อนร่วมชะตาเดียวกัน
#ทหารทุกนายจำเอาไว้ ประเทศไทยเป็นมิตรกับเรา เราเพียงแค่ขอผ่านไปยังตำบลที่เป็นสนามรบเท่านั้น ห้ามทุกคนลงมือใดๆกับมิตรโดยเด็ดขาด#เสียงแม่ทัพกำชับเป็นระยะๆ ใบหน้าที่เคร่งเครียดของเขาทำให้โคทาโร่พอเดาว่าผลการเจรจายังส่งมาไม่ถึง
#ขึ้นบกที่นี้อย่างมิตร…มิใช่ศัตรู#เสียงแม่ทัพย้ำขึ้นอีก เรือลอยลำเข้าใกล้ฝังมากขึ้น มากขึ้น แต่สิ่งที่เขารอคอยก็ยังนิ่ง หากยังเป็นเช่นนี้…ดีที่สุดนั้นก็คือปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามสัญชาตญาณที่มีอยู่ในตัวของทหารทุกนาย
“ตอนนี้ข้าไม่กลัวแล้วละโคทาโร่ แต่ข้าอยากกระโจนลงน้ำแทน” เสียงฮาราชิ จิโระดังขึ้นอีก
“หึ…หึ…หากไม่ใช่เวลานี้ ตีนข้านี้แหละจะถีบเจ้าลงทะเลเอง” โคทาโร่กดเสียงต่ำที่ใบหู จนทำให้พวกเขาหัวเราะในลำคอพร้อมๆกัน “เจ้าทำให้ข้ารู้สึกว่าสงครามไม่น่ากลัว จิโระคุง”
“เจ้าเองก็ทำให้ข้าขำจนฉี่ราดแล้วละ โคทาโร่” ฮาราชิ จิโระพูดเหมือนจะโล่งเบา แต่โคทาโร่ถึงกับปิดจมูกแทบไม่ทัน
“จิโระ…เจ้า…เจ้า”
“อุบัติเหตุ…มันเป็นอุบัติเหตุ” จิโระตอบแหย๋ๆ แต่ทันใดนั้น
ปัง!…เสียงปืนดังขึ้นจากบนฝั่ง 1 นัด ก่อนพวกเขาจะได้ยินเสียงวัตถุลอยแหวกอากาศคล้ายๆกับเสียงคนเป่านกหวีดดังใกล้เข้ามา
ตูม!…มันระเบิดที่ผิวน้ำในระยะห่างออกไปพอสมควร ยิ่งทำให้ใบหน้าของแม่ทัพที่ประจำอยู่ที่หัวเรือจมเครียดหนักลงไปอีก
“อย่าพึ่งยิง…รอสัญญาณ เราต้องรอสัญญาณ” น้ำเสียงหนักแน่นทำให้นายทหารต่างนิ่งในท่าเตรียมพร้อมอยู่อย่างเดิม เรือแล่นเข้าใกล้ฝั่งมากขึ้น…มากขึ้น โคทาโร่ใช้มืออีกข้าง กำดาบคาตานะมูโตที่ฟูจิกาว่ามอบให้ก่อนจะมาที่นี้พร้อมกับภาวนาจะร่วมใช้ลมหายใจเดียวกับมัน (สงครามเริ่มแล้ว มูโต) เขาบอกผ่านเสียงสื่อพลางใช้มืออีกข้างลูบไล้เหมือนจะกระตุ้น
…ปังๆ….ตูม! จากนั้นเสียงปืน เสียงระเบิดจากบนฝั่งก็ดังตามขึ้นอีกหลายนัด เขาหันไปพยักหน้าให้เพื่อนที่นั่งรวมกันอยู่หลายครั้ง
“จิโระ…เจ้าพร้อมนะ”
“ข้าไม่มีสิทธิ์กลัว ในเวลาเยี่ยงนี้” จิโระตะโกนแข่งเสียงปืนเสียงระเบิดดังๆ “แม่กับน้องสาวข้าที่เกียวโต ต้องภูมิใจ…”
“มันต้องอย่างนี้เพื่อนรัก…เราขึ้นฝังพร้อมๆกันเถอะ” แสงไฟสัญญาณสีแดงพุ่งขึ้นเหนือยอดไม้ 3 ลูกได้ดึงดูดสายตาของฮาราชิ จิโระไปจากโคทาโร่จนหมดสิ้น “นั้น…”
“ขึ้นบก…ยกพลขึ้นบก” เวลาเดียวกันแม่ทัพบนเรือก็ตะเบ็งเสียงแข็งกร้าวขึ้นมาดังๆ เรือทุกลำเร่งเครื่องมุ่งสู่ฝั่งเต็มพิกัด พวกเขาไม่อาจหลีกเลี่ยงการปะทะกับทหารไทยได้อีกต่อไป แสงสีแดงเล็กๆจากห่ากระสุนปืนยังคงวิ่งผ่านตัวพวกเขาไปราวกับห่าฝน เสียงระเบิดดังกัมปนาทไปรอบทิศ สงครามได้เปิดฉากเกิดขึ้นแล้วที่นี้
“จิโระ จิโระ เจ้าต้องรีบตามข้ามา” โคทาโร่ตะโกนเร่งเพื่อนให้รีบพุ่งลงน้ำทันทีที่เรือเกยตื้น พวกเขาวิ่งสวนวิถีกระสุนปืนเข้าไปหลบตามแนวพุ่มไม้ที่ใกล้ที่สุด แต่ฮาราจิ จิโระกลับไปไม่ถึง เขาหงายหลังพร้อมๆ กับแสงแรกของวันใหม่กระทบเลือดสีแดงฉานพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ทั้งๆ ที่กระสุนนัดแรกของตัวเองยังค้างอยู่ในลำกล้อง “อ๊าก!…”
ปังๆ…ปังๆ….ตูมๆ…
“อย่ายิง…พวกเขามิใช่ศัตรู…พวกเขาไม่ใช่ศัตรูของเรา” โคทาโร่แผดเสียงดังขึ้น แต่ก็ไร้ผล
“โคทาโร่ข้าโดนยิง…” เสียงจิโระที่นอนนิ่งอยู่กับพื้นทรายดังปนมากับทุกเสียง หลายคนไม่ได้ยิน แต่สำเนียงเกียวโตที่แทรกมาถึงหูทำให้โคทาโร่ไม่ลังเล เขาถอดกายทิพย์ทิ้งไว้กับพุ่มไม้ก่อนจะพาอีกร่างกระโจนพรวดออกไปลากเพื่อนให้พ้นแนวกระสุน เลือดจากหน้าอกด้านขวากำลังซึมออกมาอาบเสื้อหารสีเขียวขุ่น แต่เขาก็ยังพูดในสิ่งที่ไม่ใช่ให้ได้ยิน… “โคทาโร่… เมื่อครู่….ข้า…ข้าเห็นเจ้ามี 2 ร่าง”
“ไม่ใช่เวลาที่จะอธิบาย…เจ้าโดนยิงตรงไหน”
“ไม่—รู้…” เขาเริ่มพูดไม่ชัดเจน โคทารโร่ใช้เวลาเพียงเสี้ยวนาทีหันไปสำรวจ ก่อนจะพูดเหมือนจะให้กำลังใจ
“ไกลหัวใจ”
“ข้าอาจจะตาย…ทั้งๆ ที่กระสุนนัดแรกของข้ายังไม่ทันจะออกจากลำกล้อง…โคทาโร่” เขาพูดไม่หยุด และโคทาโร่ก็ลากเขาไม่หยุดเช่นกัน แสงแรกของวันใหม่เริ่มสว่างมากขึ้นทำให้โคทาโร่ต้องกระพริบตาปรับแสงอีกหลายครั้งจน เขาเห็นกลุ่มทหารไทยที่ซุ่มอยู่ในระยะไม่ไกลจากแนวร่องน้ำเก่าๆ ที่พวกเขาซุ่มอยู่อย่างถนัดชัดเจน
(เหมือนพวกเขายังเป็นเยาวชนอยู่เลย) โคทาโร่คิดพลางส่ายสายตาเพ่งลึกเข้าไปสำรวจใต้ใบหน้าที่ฉาบทาด้วยผงสีดำ ดวงตาที่คอยหลับลงทุกๆครั้งที่ลูกกระสุนออกจากลำกล้องยิ่งทำให้เขามั่นใจมากขึ้น (เด็ก…ทั้งนั้น…เกิดอะไรขึ้นที่นี้)
เสียงปืนเสียงระเบิดที่ต่างฝ่ายต่างสาดเข้าใส่กันอยู่พักใหญ่….ละแล้วเสียงรถทหารติดเครื่องกระจายเสียงก็วิ่งเข้ามาแจ้งให้ทั้ง 2 ฝ่ายยุติการยิงเป็นภาษาไทยและญี่ปุ่นสลับกับไปมา
#ประกาศหยุดยิง…ประกาศหยุดยิง เวลานี้รัฐบาลไทยอนุญาตให้ญี่ปุ่นผ่านดินแดนได้แล้ว ขอให้ทุกฝ่ายหยุดยิงบัดเดี๋ยวนี้…ยุติการยิงบัดเดี๋ยวนี้# พวกเขาขับรถวนไปวนมาหลายรอบ จนกระทั้งเสียงปืนค่อยๆ สงบ โคทาโร่ถึงกับถอนหายใจรวบร่างพร่างเข้าหากันอย่างคนโล่งอก
…ปัง!…
“จิโระ…เจ้าทำอะไรลงไป” โคทาโร่หันไปดุเพื่อน…จิโระหน้าซีดเผือด…
“มัน…มัน…เป็นกระสุนนัดแรก มันเอ่อ มันลั่นเอง”เขารีบแก้ต่างจนปากที่เริ่มขาวซีดสั่นระริก
“เจ้า!…”
“ข้าขอโทษ” จิโระลดปลายกระบอกปืนลงพร้อมๆกับค่อยๆใช้มันยันตัวเองลุกขึ้น แต่เขาก็ล้มลงไปอีก
“ไหวไหม” โคทาโร่ถาม…
“ข้าปวดไหล…และเลือดที่ขาก็ยังไหลไม่หยุด โคทาโร่ ข้าจะตายไหม”
“อย่างใจเสาะ…มาข้าช่วย” โคทาโร่เข้าพยุง
แสงแดดเริ่มแรงขึ้น อากาศก็เริ่มอบอ้าวตามลำดับ หลังจากที่เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายเข้าเคลียพื้นที่เสร็จเรียบร้อย โคทาโร่ก็ได้เห็นใบหน้าของเหล่ายุวชนทหารของประเทศไทยชัดเจน พวกเขาเดินตบเท้าเป็นแถวยาวผ่านหน้ากองทหารญี่ปุ่นที่ยื่นเข้าแถวรอคำสั่งอยู่อีกฟากหนึ่ง เสียงปรบมือถึงความกล้าหาญของชาวบ้านที่ออกมายืนดูรวมถึงแม่ทัพนายกองของญี่ปุ่นดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ
(พวกเขาทำทุกอย่างเพื่อป้องกันประเทศ เช่นเดียวกับเราที่ต้องทำตามหน้าที่ด้วยเหตุผลที่คิดว่าถูกต้องเช่นกัน) โคทาโร่ยิ้มให้เหล่าทหารตัวน้อยพลางหันไปมองหน้าจิโระที่กำลังยืนไม่ติดอยู่ข้างๆ
“เจ้าแพ้เด็กแล้วละจิโระ…”
“ข้า ข้า เองก็อายุมากกว่าพวกเขาไม่กี่ปีเอง” เขายังมีแรงเถียงข้างๆ คูๆ ซึ่งก็ทำให้โคทาโร่อดหัวเราะออกมาไม่ได้
“เป็นงบ้าง” เสียงแพทย์สนามสำเนียงตอนใต้ดังขึ้นที่ด้านหลัง
“เขาถูกยิงที่หัวไหล่ กับต้นขา” โคทาโร่ช่วยรายงาน เมื่อสังเกตเห็นริมฝีปากเพื่อนเริ่มซีดแห้ง
“ไม่เป็นไร ยังไกลหัวใจ…ข้าจะแยกเขาไปขึ้นรถพยาบาล”
“ข้าชื่อจิโระ…ข้ายังไม่อยากตายเพราะกระสุนนัดแรก”
“อื้อ!….ข้าเรียวตะ…แค่นี้จิบๆ…เราไปกันเถอะ”แพทย์สนามพูด โคทาโร่ได้แต่ส่ายหน้า แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น…
“เจ้าต้องช่วยข้านะเรียวตะ…ข้ายังไม่อยากตายเพราะกระสุนนัดแรกของสงคราม…ข้าอยากกลับบ้านอย่างวีรบุรุษ”…
“จิบๆ…นะเพื่อน”
แม่ทัพที่ขึ้นบกพร้อมๆ กับทหารญี่ปุ่นที่จังหวัดชุมพรต่างนำกองกำลังที่ตนเองรับผิดชอบขึ้นรถไปประจำตามฐานที่วางแผนเอาไว้ โดยมินาโมโต โคทาโร่,ฮาราชิ จิโระและเพื่อนทหารชุดที่มาด้วยกันถูกกำหนดให้เข้าประจำการที่จังหวัดเพชรบุรี กองทัพญี่ปุ่นได้เข้าไปใช้โรงเรียนแห่งหนึ่งเป็นฐานรับส่งเสบียงและสนามบินลับๆ ทหารอีกหลายกองพันก็แยกย้ายกันเข้าประจำการในหลายจังหวัดของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นปัตตานี สงขลา นครศรีธรรมราช สุราษฏร์ธานี ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ สมุทรปราการ พิบูลสงคราม พระตะบอง และปราจีนบุรีเป็นต้น
ส่วนในกรุงเทพมหานคร มีทหารญี่ปุ่นเดินทัพเข้าสู่ที่นั้นไม่ต่ำกว่า 50,000 นาย ในตอนบ่ายวันที่ 8 ธันวาคม 1941 เพียงไม่ถึง 24 ชั่วโมงพวกเขาก็สามารถยึดกรุงเทพฯ ได้สำเร็จ และใช้โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัยเป็นที่ตั้งสถานีวิทยุของกองทัพ และใช้โรงเรียนอุเทนถวาย โรงเรียนดรุโณทยานแปรสภาพเป็นสถานีโทรทัศน์กลางของญี่ปุ่นเช่นกัน
เหตุการณ์ในวันนั้นมันเกิดขึ้นเร็วมากจนคนไทยตั้งตัวไม่ติด หลายคนตกตะลึงงัน เมื่อทราบว่ารัฐบาลยอมให้ญี่ปุ่นใช้ไทยเป็นทางเดินทัพผ่านไปยังสนามรบ บางคนร่ำไห้ยืนนิ่งอยู่กลางถนน ได้แต่แหงนหน้าดูฝูงเครื่องบินซีโร่ของญี่ปุ่นบินวนเวียนอยู่เหนือหัว ส่วนชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาติตะวันตกถูกจับกุมอยู่ในค่ายกักกันไม่ต่ำกว่า 300 คน นอกจากนี้ยังมีผู้ที่ถูกกักบริเวณอยู่นอกค่ายอีกจำนวนมาก
“สงครามจะทำลายล้างทุกสิ่ง……………………………
……………..แม้กระทั้งชัยชนะที่คิดว่าหอมหวาน”
มินาโมโต โคทาโร่
## จบ สมรภูมิปักษา1 ##