สมรภูมิปักษา14 อูคาชิ เซดะ
สมรภูมิปักษา14
จดหมายฉบับที่ 1
10 ตุลาคม 1944
มินาโมโต ฟูจิกาว่า
ท่านพ่อ…นี้เป็นจดหมายฉบับแรกกลางสมรภูมิรบที่ข้าพอมีโอกาส ก่อนอื่นข้าต้องขอโทษสำหรับเรื่องสำคัญที่จะบอกหลังจากที่ได้ผ่านพ้นมาแล้ว
คือเวลานี้ข้าแต่งงานกับหญิงไทยคนหนึ่ง นางชื่อว่า จันทร์หอม ธารารักษ์ ท่านพ่อข้าพบนางครั้งแรกข้าก็ไม่เคยลืม รอยยิ้มที่แสนวิเศษที่นางใช้หัวใจยิ้มแทนริมฝีปากให้ข้า แต่เพราะความรักของเราเกิดขึ้นระหว่างสงคราม ข้าเองก็จนปัญญาจะพานางไปพบท่าน ยิ่งสถานการณ์เวลานี้ด้วยแล้ว แม้จะส่งจดหมายสักฉบับยังเป็นเรื่องยาก งานแต่งของเราจึงเป็นหน้าที่ของกองทัพ ซึ่งข้าต้องขอบคุณพวกเขาในเรื่องนี้
ท่านพ่อ ข้าจะเขียนจดหมายถึงท่านอีกครั้งเร็วๆ นี้ หวังว่าทุกคนทางบ้านจะร่วมยินดีไปกับข้าด้วย
คิดถึงคาโกคุมะเสมอ
มินาโมโต โคทาโร่
………
แสงสีส้มจากตะเกียงเจ้าพายุเล็ดลอดออกมาจากฝาไม้เก่าๆ ของบ้าน 2 ชั้นที่ปลูกสร้างติดกับแม่น้ำเพชรบุรี มินาโมโต โคทาโร่นั่งเขียนจดหมายถึงมินาโมโตผู้เป็นพ่อ เขาจ่าหน้าซองชื่อเมืองคาโกคุมะ ประเทศญี่ปุ่น ต่อท้ายเสร็จพร้อมกับฉายรอยยิ้มแห่งความสุขผสมไปกับทุกๆ ตัวอักษรบนกระดาษสีน้ำตาลขุ่นฉบับนั้น “ท่านพ่อ…” เขาวางดินสอในมือและเริ่มอ่านทวนอีกรอบ ก่อนจะพับมันเป็น 4 ส่วนและยัดเข้าไปในซองสีเดียวกันที่วางอยู่ด้านขวาตรงหน้า
“หวังว่าท่านพ่อคงจะเข้าใจ”เขาพึมพำ (จันทร์หอม)พลางชายตาไปยังภรรยาที่กำลังหลับอยู่ในมุ้ง แสงตะเกียงดับวูบลง เขาเดินเข้าไปเปิดชายมุ้งมุดเข้าไปนั่งข้างๆร่างภรรยา
“ข้ารักเจ้า ไม่มีเหตุผลอื่น…”เขาพยายามกดเสียงต่ำเบาๆ พร้อมกับสำรวจไปทุกๆสัดส่วนด้วยสายตาอิ่มเอมไปด้วยความรัก “ข้าจะพาเจ้ากลับคาโกคุมะ เมื่อสงครามสิ้นสุด…เจ้าต้องไปกับข้านะจันทร์หอม”โคทาโร่พูดอย่างคนมีความหวัง จันทร์หอมลืมตาขึ้นไม่ใช่เพราะเสียงปลุกหรือไม่ใช่เพราะแสงจากตะเกียงเมื่อครู่ แต่เป็นเพราะนางยังไม่หลับตั้งแต่แรก นางมองความมืดและพยายามคิดตามคำพูดของสามี…แต่ก็ไม่เห็นทางเป็นไปได้กับคำพูดเหล่านั้น
“จันทร์หอม…” โคทาโร่นอนลงข้างกระซิบเรียกจนคล้ายเสียงคนเพ้อรัก มือที่พึ่งจับดินสอกำลังลูบไล้ไปตามร่างภรรยาอย่างทะนุถนอม “ข้ารู้ว่าเจ้ายังไม่หลับ…ข้าจะจูบเจ้า ให้ครบหนึ่งพันครั้งก่อนฟ้าสาง…” พลางเริ่มต้นพรมจูบอย่างที่หัวใจเรียกร้อง จันทร์หอมได้แต่มองเขาด้วยสายตาที่มองไม่เห็นอนาคต…แต่หัวใจของนางก็เบาหวิวรับไปพร้อมกับทุกๆ พรมจูบจากเขา สักครู่ร่างที่นอนนิ่งก็เริ่มสั่นเกร็งและเกร็งไปทุกส่วน
“แต่ฉันเกลียดคุณ…ฉันเกลียดคุณยิ่งกว่าหนอน…โค ทา โร่”
……….
“ถึงแม้จะมืดมิดเพียงใด……………แต่เพลงรัก
ก็ยังบรรเลงได้………………………..ไม่ผิดคีต”
มินาโมโต โคทาโร่
……….
เช้าวันต่อมา
“แม่อ่านให้หนูฟังหน่อย” เสียงเรไรรบเร้าอยู่ที่ชานระเบียง จันทร์หอมกำลังง่วนอยู่กับงานในครัว ขณะเดียวกันโคทาโร่ที่เพิ่งแต่งตัวในชุดทหารญี่ปุ่นเต็มยศเสร็จก็เดินออกมาเจอเข้าพอดี
“มา เดี๋ยว พ่อ นาย จะอ่าน ให้ ฟัง” เขาพูดด้วยท่าทีอิ่มสุข
“พ่อนายอ่านหนังสือไทยได้ด้วยหรือคะ” เด็กหญิงตัวน้อยเงยใบหน้าอิ่มๆ ถาม โคทาโร่จึงนั่งลงข้างๆ “พ่อนายว่าไง”
“ได้…ไหน ขอ ดูซิ” โคทาโร่พูดพลางขยี้หัวเรไร เขารับแผ่นโปสเตอร์ขนาดพอเหมาะที่เรไรยื่นให้…แต่แล้วใบหน้าของเขาก็เริ่มถอดสีตั้งแต่บรรทัดแรก ข้อความเสียดสีใต้ตราครุฑ โดยปรากฏหัวเรื่องเป็นตัวหนังสือสีดำขนาดย่อมๆ เขียนว่า “วิธีปราบยุง” และมีตัวหนังสือขนาดใหญ่เขียนตามแนวทแยงจากมุมซ้ายล่างขึ้นไปมุมขวาบน เขียนว่า “ยุงร้ายยิ่งกว่าเสือ” เขารู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัวราวกับกุ้งโดนช็อกด้วยน้ำแข็ง…แต่ก็ยังสามารถไล่สายตาลงไปเรื่อยๆ ได้จนจบบรรทัดสุดท้าย
คำเตือน
เกือบสามปีแล้วที่ยุงร้ายพันธ์ใหม่ชนิด๑ ซึ่ง
ทั้งน่าเกียดและน่ากลัวเรียกว่า “ยุงขาสั้น” ได้
มาระบาดอยู่ในประเทศไทย ผู้ที่ยังไม่สำนึกว่าสัตว์นี้
เป็นภัยร้ายแรงเพียงใด ควรอ่านหนังสือนี้ แล้วพยายามจำ
ลักษณะยุงเหล่าต่างๆ โดยละเอียด พบที่ไหนก็ขอให้จำได้ ตลอดจน
ศึกษาวิธีป้องกัน และทำลายมันให้สิ้นเชื้อ ขอให้เร่งร่วมมือกันทำ
การปราบโดยเร็ว มิฉะนั้นมันจะสูบเลือดไทยกินจนหมดประเทศ
กรมสาธารณะสุข
กรุงเทพฯ
“พ่อนาย อ่านดังๆ หนูอยากรู้” เสียงเรไรรบเร้า จันทร์หอมเดินถือถาดอาหารเช้าออกมามาจากครัว นางสะดุ้งเมื่อเห็นแผ่นโปสเตอร์ที่มยุรีพึ่งเอามาให้ดูเมื่อคืนอยู่ในมือของคนที่ถูกเสียดสีเต็มๆ นางวางถาดกับข้าวลงกับพื้นแล้วเดินตรงดิ่งเข้าไปกระชากมันออกจากมือโคทาโร่ด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก
“………..” โคทาโร่มองตามจันทร์หอมนิ่งๆ…
“อย่าไปสนใจมันเลยนะ” จันทร์หอมพูดเรียบๆ…
“พวกข้าน่ารังเกียจเช่นนั้น จริงๆ หรือ” โคทาโร่โพล่งถาม แต่จันทร์หอมกลับเบี่ยงตัวเดินกลับไปยกถาดอาหารเช้ามาวางใกล้ๆ
“อย่าไปสนใจเลย…ทานข้าวกันเถอะ นายจะได้ไปทำสงครามต่อ”
“แม่อ่านให้หนูฟังหน่อย” เรไรยังรบเร้าขึ้นมาอีก
“เขาเขียนบอกวิธีกำจัดยุงลายในโอ่งบ้านเราไง” โคทาโร่แก้ต่างให้พลางหันไปกระซิบกับภรรยา…“เธอไร้เดียงสาเกินกว่าจะต้องมารับรู้”
“แล้วสงครามละเว้นเธอด้วยรึ!…” จันทร์หอมกดเสียงต่ำลึก
“จันทร์หอม!…”
“สงครามครั้งนี้มันทำให้ฉันสูญเสียจนแทบจะสิ้นใจ…โคทาโร่” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดพรั่งพรูออกมา นางจ้องเขาจนมือที่ยันอยู่กับพื้นเกร็ง “สบายใจได้…เพราะฉันเองก็ไม่อยากให้สงครามติดตัวเรไรไปเช่นกัน” จันทร์หอมแดกดันพลางเลื่อนขันน้ำดื่มที่วางอยู่ข้างตัวขยับให้ ก่อนจะชายตาไปมองเรไรที่ยังนั่งเล่นตุ๊กตากระดาษอยู่ที่เดิม
“จันทร์หอม…หากข้าขอโทษมันก็เหมือนกับข้าผิด…แต่นี้มันคือสงคราม…สงครามโลก…” โคทาโร่พยายามอธิบาย “ขอเพียงเชื่อข้า…ข้าจะทำหน้าที่นั้นแทน…โมก ให้ดีที่สุด” โคทาโร่พูดเรียบๆ แต่มันกับบาดลึกเข้าไปในใจของอีกคนอย่างคาดไม่ถึง
“โคทาโร่!” จันทร์หอมเกร็งเสียงเจ็บปวดจ้องตาเขาไม่กระพริบ
“ข้ารักเจ้า…ข้าสัญญา…” พูดจบม่านตาของจันทร์หอมก็ค่อยๆ รี่ลง มรดกจากบรรพบุรุษนินจาได้เล่นงานนางเข้าแล้ว โคทาโร่ขยับเข้าไปประคองอย่างตื่นตระหนก
“จันทร์หอม จันทร์หอม…” เขาเขย่าเรียก แต่ก็ไม่มีท่าทีว่านางจะตื่น “ข้าขอโทษ…ที่ข้าไม่ทันระวัง”
“ฉันเกลียดสงคราม…โคทาโร่…ฉันเกลียดคุณยิ่งกว่าหนอน…” เสียงละเมอก็ปนออกมากับลมหายใจ
“แม่…แม่”
“แม่ไม่เป็นอะไรหรอกลูก…แม่ง่วงนอนนะเลยหลับไป” โคทาโร่แก้ต่าง…ซึ่งมันก็ได้ผล “เราพลาดอีกแล้วหรือนี้” เขาพึมพำ ก่อนจะอุ้มจันทร์หอมเข้าไปในห้องนอน…
……….
“สงคราม………………………………ไม่เคยปรานีใคร
แม้กระทั้ง…………………….แมลงเม่ากลางเขม่าปืน”
จันทร์หอม ธารารักษ์
……….
รหัสลับคืนเพ็ญ
นับแต่เริ่มตั้งจนกระทั้งลาออกของคณะรัฐบาลของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม เดือนกรกฎาคม 1944 การ “ปฏิวัติวัฒนธรรม” เพื่อสร้างผลงานของรัฐบาล ที่ส่งผลกระทบต่อสังคมไทยอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ของชาติก็มีให้เห็น
“ประกาศเรื่องการแต่งกายของคนไทยตามระเบียบที่วางเอาไว้เพื่อความเชิดหน้าชูตาของชาติ ได้กำหนดให้ ผู้ชายใส่หมวก สวมถุงเท้าและรองเท้าหุ้มส้น สวมเสื้อนอกและกางเกงขายาว ส่วนผู้หญิงให้มีหมวกกระโปรงเสื้อคลุมไหล่ สวมรองเท้ารัดส้นหรือหุ้มส้น ส่วนถุงเท้านั้นจะใส่หรือไม่ใส่ก็ได้ ส่วนเรื่องของสีเครื่องแต่งกายนั้น หากเป็นงานกลางแจ้งควรใส่สีเทา สีคราม สีกากี หรือสีเปลือกไม้ ถ้าเป็นงานในร่มหรือเกี่ยวกับเครื่องจักร ควรใช้สีน้ำเงินแก่”
และยิ่งเลวร้ายมากไปกว่านั้นนั่นก็คือ รัฐบาลยังออกคำสั่งเด็ดขาดให้ประชาชนเลิกประเพณีกินหมาก ซึ่งพวกเขามองว่าเป็นประเพณีที่เสื่อมเสียเกียติอย่างร้ายแรงต่อประเทศชาติ พวกเขามองว่าผู้ที่กินหมากไม่ต่างอะไรกับคนป่าคนเถื่อน ที่นิยมกินเนื้อสัตว์ดิบๆ จนเห็นเลือดแดงกลบไปทั้งปาก ยิ่งเวลาต้องเคี้ยวเอื้องด้วยแล้วไม่ต่างอะไรกับวัว ควาย ทำให้ปากเหม็น ฟันเขยินเสียระเบียบ ในเรื่องเดียวกันรัฐบาลยังมีหนังสือด่วนมากถึงคณะกรรมการของจังหวัดทุกจังหวัดให้กวดขันเรื่องคนกินหมาก ห้ามขายพลูในตลาด ห้ามปลูกพลู ให้ตัดต้นหมากทิ้ง เพื่อความศิวิไลซ์ของชาติไทยอีกวาระหนึ่ง
การออกกฎหมายแปลกประหลาดแล้วอ้างว่าเป็นการปฏิวัติวัฒนธรรมนั้น ทำให้คนไทยหลายคนขำไม่ออก แต่หารู้ไม่ว่าสงครามจิตวิทยาได้เริ่มต้นอีกด้านหนึ่งเข้าแล้ว…การมุ่งแสวงหาความศิวิไลซ์ตามอย่างชาติฝ่ายสัมพันธมิตร ได้บอกเป็นนัยๆ ว่ารัฐบาลไทยในขณะนั้นกำลังคิดอย่างไรกับญี่ปุ่น คงไม่เป็นเพราะกลัวคนไทยจะเอาชุดกิโมโนมาสวมใส่แทนผ้าซิ้นผ้าแถบ…แล้วทาแป้งญี่ปุ่นที่ใบหน้าให้ขาววอกแทนกระแจะจันทร์เพียงอย่างเดียวเป็นแน่
……….
“ปลาจะลอยคอ ในคืนที่เดือนเต็มดวง”
……….
จันทร์หอมนั่งเขียนข้อความสั้นๆ ลงในกระดาษแผ่นเล็กๆ นางอ่านข้อความนั้นซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบจนแน่ใจในความหมายที่รู้กันเฉพาะกลุ่ม
“ไม่เป็นอย่างอื่นแน่ๆ” นางพึมพำในขณะที่กำลังม้วนกระดาษยัดลงในขวดแก้วสีขาวขุ่น นางปิดผนึกด้วยพลาสติกหลายชั้นก่อนจะถือเดินลงจากบ้านตรงไปยังศาลาริมแม่น้ำ
“โคทาโร่ คุณมาที่นี้ก็เพราะประเทศชาติของคุณ ฉันอยู่ที่นี้…ฉันก็ต้องทำเพื่อประเทศชาติของฉันเช่นกัน…เพราะฉะนั้นฉันจะไม่ขอโทษคุณในเรื่องนี้” จันทร์หอมพึมพำขณะผูกขวดแก้วกับเส้นด้ายเล็กก่อนจะปล่อยมันลอยปะปนไปกับกอผักตบชวาอย่างไม่ลังเล
……….
“แม้ล้านทัพ…………………………..ที่กรำศึกมาทั้ง 10 ทิศ
ก็อาจสิ้นฤทธิ์ต่อเล่ห์คน………………………..1 กลศึก”
จันทร์หอม ธารารักษ์
……….
## จบ สมรภูมิปักษา14 ##