อูคาชิ เซดะ นินจาเลือดซามูไร Part2 สมรภูมิปักษา18
สมรภูมิปักษา18
จดหมายฉบับสุดท้าย
……….
20 มิถุนายน 1945
ถึงมินาโมโต ฟูจิกาว่า
ท่านพ่อ ท่านแม่ ขอบคุณสำหรับความรักที่มอบให้ข้าด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์ เกียติยศใดๆ ที่ข้าได้รับจากสงครามในครั้งนี้ ข้าขอ มอบให้ของขวัญแด่ท่านทั้งสอง
ข้าไม่อยากบอกลาด้วยจดหมายฉบับนี้ เพราะความตายสำหรับซามูไรเป็นสิ่งบางเบายิ่งกว่าขนนก
ฉะนั้นท่านพ่อ ท่านแม่ อย่าได้เสียใจหากข้าไม่มีโอกาสกลับบ้านหลังสงคราม ข้าจะสวดอ้อนวอนขอให้ท่านทั้งสองมีความสุขชั่วนิรันดร์…
คิดถึงแสงแรกเหนือขุนเขาพระอาทิตย์เสมอ
มินาโมโต โคทาโร่
นกกระเรียนสยายปีกออกศึก
โผทะยานเหนือผืนน้ำทะเลใต้
ผงาดฟ้าประกาศท้า“ ข้าซามูไร”
จากแผ่นดิน อาทิตย์อุทัย…ให้โลกลือ
……….
มินาโมโต โคทาโร่ค่อยๆ วางดินสอลงช้าๆ เขาพับแผ่นกระดาษสีน้ำตาลเป็น 4 ส่วน ไม่เคยมีวันไหนเหนื่อยล้าเท่านี้มาก่อน เขายัดมันใส่ในซองสีน้ำตาลแล้วจึงเขียนจ่าหน้าซองถึงบุคคลที่เมืองคาโกคุมะ ประเทศญี่ปุ่นอย่างบรรจง
“คงเป็นจดหมายฉบับสุดท้ายจริงๆ ซินะ” เขาพึมพำขณะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ เขากำลังจะหลับ แต่อยู่ๆ มือสัมผัสที่อุ่นนุ่มของบางคนก็คลึงนวดที่ต้นคอ
“เรียวตะ…” โคทาโร่อุทาน แต่ก็ไม่แปลกใจและไม่ห้ามในสิ่งที่เพื่อนกำลังทำให้
“หลับตาเถอะคุณชาย” เรียวตะพูดเรียบๆในสำเนียงอูราคามิ
“ทำไมเวลาข้าเหนื่อยจึงนึกถึงเจ้าเป็นคนแรก” โคทาโร่พูด ซึ่งมันก็ทำให้เรียวตะฉายยิ้มความสุขออกมา
“ขอบคุณ ที่นึกถึงข้า…” ทั้งสองเงียบแต่มือยังคลึงนวดไม่หยุด จนโคทาโร่รู้สึกผ่อนคลายจวนหลับ “เพียงเท่านี้ก็ดีมากแล้ว”
“อีกไม่กี่วัน…แล้วซินะ” โคทาโร่พูดลอยๆ ทั้งที่ยังหลับตาอยู่ในท่าเดิม
“กามิกาเซ่ไม่เคยโผทะยานในเวลากลางคืน…ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมแผนการในครั้งนี้ถึงเปลี่ยนไป…เหมือนทางกองทัพจงใจจะใช้เราไปตายให้เร็วขึ้น”
“มันเป็นความตั้งใจของข้าเอง…ข้ามองเห็นทุกอย่าง…และข้าก็เอาตัวรอดได้ในเงามืด อีกร่างหนึ่งแหลกสะลายไปกับเครื่องบินซีโร่ แต่อีกร่างยังต้องการจะทวงถามกับคนที่ข้ารักว่า…ข้ายังดีพอจะอยู่ต่อเพื่อลูกหรือไม่…” โคทาโร่พูดจบ มือของไอซึเกะ เรียวตะก็หยุดชะงัก
“ข้ามิได้ทรยศต่อทางกองทัพหรือตัวเอง…แต่นางกำลังตั้งท้องลูกของข้า เพราะฉะนั้นข้าจึงต้องถามความปรารถนาของนางให้แน่ชัด” โคทาโร่อธิบาย
“คุณชายจะต้องตายเพราะผู้หญิง มิใช่สงคราม…จำไม่ได้หรือไง” เรียวตะกดเสียงต่ำที่กำลังจะทนไม่ไหว
“อย่าดูถูกน้ำใจของนาง…นางไม่มีวันสังหารข้า” โคทาโร่สวนกลับทันควันพร้อมกับสะบัดตัวให้พ้นไปจากมือ เขาลุกเดินห่าง
เรียวตะก้มหน้าต่ำ สักครู่ “ข้าเป็นหมอ…ข้าควรจะดูแลนางและลูกของคุณชายให้ดีที่สุดซินะ” เป็นความน้อยใจที่ตั้งใจจะประชด…“คุณชาย…ตั้งแต่เหตุการณ์ที่ปราสาทฮันโตจนกระทั้งวันนี้…ข้าก็ไม่เคยลืมดวงตาสีอำพันที่จ้องข้า….แม้จะพยายามลืม”
“เจ้ารักข้า…ได้อย่างไร” โคทาโร่หันกลับมาพร้อมกับเดินเข้าหา เขาหยุดยืนในระยะประชิด “เจ้าก็ชาย ข้าก็ชาย” โคทาโร่พูดช้าๆเนิบๆ เรียวตะได้แต่มองเขานิ่งๆ
“ข้าเองก็ไม่เข้าใจตนเอง…เช่นเดียวกับที่คุณชายไม่เคยเข้าใจข้า…” เรียวตะพูดไม่ทันจบ โคทาโร่ก็ดึงเขามาจูบ น้ำตาของเรียวตะไหลพรากพร้อมๆ กับอาการสั่นตึง สักพักโคทาโร่ก็ถอนจูบและจ้องลึกเข้าในดวงตาที่กำลังเปียกชุ่ม (คุณชาย) เสียงสื่อจากเรียวตะอุทานในอาการตกใจและพึงพอใจปนอยู่ สักครู่พลังลึกลับที่เป็นมรดกมาจากนินจาก็ทำให้อีกคนค่อยๆ หลับ โคทาโร่ช้อนร่างเพื่อนเอาไว้ในอ้อมแขน
(ข้าดีใจที่ได้หลับในอ้อมกอดคุณชาย…)
“ข้าให้เจ้าได้เท่านี้จริงๆเรียวตะ” โคทาโร่พูดและเฝ้าวนเวียนมองใบหน้าของเพื่อนไปมา “ข้าไม่เข้าใจเจ้า เช่นเดียวกับที่เจ้าไม่เคยเข้าใจตัวเอง” พูดจบเขาก็อุ้มร่างที่หลับใหลเดินเข้าไปในห้องพยาบาล ก่อนจะกลับเข้ามาหยิบซองจดหมายบนโต๊ะแบบคนชั่งใจอยู่นาน…
“ข้าปรารถนาจะอยู่ต่อเพื่อลูกอย่างชายไร้ศักด์ศรี แต่สิทธิ์ขาดอยู่ที่เจ้าคนเดียว…จันทร์หอม”
……….
“อย่าคาดหวังความรู้สึก……………………….จากคนอื่น
เพราะสมหวังและผิดหวัง……………………..พอกัน”
มินาโมโต โคทาโร่
……….
ชะตากะอนาคะ
(มินาโมโต โคทาโร่…เจ้าต้องเปิดจิตเดี๋ยวนี้…โคทาโร่…ทะเลทางทิศใต้กำลังจะลุกเป็นไฟ นางจะหักหลังเจ้า…โคทาโร่…มินาโมโต โคทาโร่ จิตของเจ้ากำลังจะสั่นคลอน…อูคาชิ เซดะ…เซดะคุง) เสียงสื่อโหมกระตุ้นประสาททุกส่วนที่กำลังหลับสนิท ไม่ต่างอะไรกับเปลวไฟในเบ้าหลอมโลหะ แต่นายทหารที่ชื่อ มินาโมโต โคทาโร่ก็ยังไม่รู้สึกตัวจากอีกมิติหนึ่งของความฝัน ชะตากะอนาคะ ชะตากรรมอนาคต ที่สวรรค์ไม่ได้ลิขิต แต่เป็นเพราะคำสาปซามูไรที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด กำลังจะบอกบางสิ่ง
: เรือลำน้อยมีข้านั่งอยู่คนเดียวกลางมหาสมุทรอันเวิ้งว้าง…
: มันลอยนิ่งอยู่ในเงามืดของราตรีที่มองไม่เห็นสิ่งใด…
: นอกจากดาวสีแดงเหนือทะเลใต้
: มันเป็นเพื่อนข้ายามเหงา…
: “ดวงดาวแห่งนักรบ” ข้าพูดขึ้นจากความรู้สึก
: (ดาวแห่งนักฆ่า) เป็นเสียงกระซิบจากคนที่คุ้นเคย
: (เจ้าต้องเปิดจิตเดี๋ยวนี้) เป็นเสียงของคนๆนั้น
: ฮาๆ…และยังมีเสียงหัวเราะที่ก้องไปทั้งมหาสมุทร…
: (จิตเจ้ากำลังสั่นคลอน อูคาชิ เซดะ)
: ข้าพยายามจะดีดตัวขึ้นจากเรือเพื่อไปหาดาวสีแดง
: แต่ก็ล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า
: มิหนำซ้ำแรงดีดส่งกลับทำให้เรือค่อยๆจมสู่มหาสมุทร
: กำลังจะจมลงสู่สีดำ
: (โคทาโร่ อูคาชิ…เซดะ) เสียงเรียกเหมือนจะมีคนช่วย
: และดาวสีแดงก็กำลังหายไป…
: ขณะตัวข้าก็กำลังจมดิ่งไปพร้อมกับเรือ
: แต่พลันเกือบจะสิ้นลม
: แสงเพลิงจากขอบทะเลทิศใต้ ก็สว่างขึ้นมา
: มันทำให้ข้ามีแรงฮึดสู้ลอยตัวได้อีก…
: “แสงอาทิตย์กำลังเบิกฟ้าวันใหม่…”
: ข้าพูดเบาๆ…โดยไม่เอะใจเลยว่า…นั้นไม่ใช่ทิศบูรพา
: ดวงไฟสีแดงค่อยๆโผล่ ลอยสูง
: ขยายใหญ่ช้าๆ…ช้าๆ…จนเห็นเป็นวงกลมสีแดงเต็มดวง
: “อาทิตย์ยามเช้า”ข้าอุทานอย่างกระเรียนหลงฟ้า
: และภาพตราสัญลักษณ์ประจำตระกูลมินาโมโต
: ก็ผุดขึ้นมาในหัว…(อูคาชิ เซดะ)เสียงสื่อที่ข้าไม่ตั้งใจจะได้ยิน
: แรงฮึดสู้ครั้งสุดท้ายกลับเพิ่มมากขึ้น
: ในที่สุดข้าก็ดีดตัวลอยพ้นจากเกลียวคลื่นได้สำเร็จ
: และค่อยๆ…กางแขนทั้งสองข้างเพื่อรับแสงนั้น
: มันช่วยพยุงตัวได้อย่างที่คาดหวังดั่งลมหนุนใต้ปีก
: ข้านึกถึงนกกระเรียนมงกุฎแดงในกลางวงกลมสีแดงขึ้นมา
: ร่างของเขาเวลานี้ก็ไม่ต่างอะไรกับกระเรียนตัวนั้น
: ประหนึ่งตราสัญลักษณ์ประจำตระกูลมีตัวข้าแทนที่
: แต่แล้วแรงโน้มถ่วงก็ฉุดร่างที่หนักอึ้งจมลงไปอีก
: ข้ากางแขนทั้งสองข้าง ให้มากกว่าเดิม
: สัญชาตญาณบอกให้ทำเช่นนั้น
: นัยน์ตาเต็มเปรี่ยมไปด้วยความหวังเริ่มหรี่ลง
: เมื่อดวงอาทิตย์ที่เข้าใจ กำลังขยายขึ้น ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
: อุณหภูมิก็เพิ่มขึ้น…จนแสบผิว
: ความร้อนกำลังทำให้ทะเลเดือด
: และข้าก็เริ่มรู้แล้วว่า นั้นมิใช่ดวงอาทิตย์
: แต่เป็นลูกเพลิงสีแดงที่ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา
: จิตพะวงได้ปลุกสัญชาตญาณกลัวให้ตื่น
: “อะไรกัน”ข้าพะวงถาม
: รอยยิ้มแห่งความหวัง…เปลี่ยนไป
: กรามทั้งสองข้างขบกันแน่น
: ดวงตาทั้ง 2 ข้างก็แข็งกร้าว เพื่อเผชิญกับความตายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
: มันกำลังจะเปลี่ยนร่างข้าให้เป็นผงถ่าน
: มินาโมโต โคทาโร่ นกกระเรียนบนตราสัญลักษณ์
: ตราสัญลักษณ์ประจำตระกูลซามูไรเก่าแก่
: เมื่อความตายใกล้เข้ามา
: ร่างของข้ากลับลอยสูงขึ้นอีก
: ความรู้สึกบอก มันช่างบางเบาเสียยิ่งขนนก
: เขาไม่ยอมหันหลังให้มัน
: จนกระทั้งลูกไฟจากนรก…ค่อยๆกลืนกิน
“ไม่ๆๆๆๆๆๆๆ………………อูคาชิ เซดะ)
มินาโมโต โคทาโร่ ตะโกนสุดเสียงทั้งๆที่ยังหลับตา กระแสจิตที่ดังก้องในคำสุดท้ายยังค้างอยู่ในหัว เขาได้ยินปลายเสียงห่างๆว่า…อูคาชิ เซดะ) เหงื่อกาฬแตกพล่านเปียกชุ่มราวกับนอนแช่อยู่ในบ่อน้ำพุ เขาหลับตาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเรียกสติให้กลับมารวมกัน เขาทำอย่างเดียวกันนี้ซ้ำๆ อีก 3 รอบ แต่ในหัวซีกซ้ายกลับรู้สึกเหมือนมีใครเอากลองมาตีรัวๆ ปวดรำคาญจนต้องกุมไว้ทั้ง 2 มือ
“จันทร์หอม…ข้า” โคทาโร่เรียกทั้งๆที่ยังไม่ได้สติดี แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับ และนั้นเองที่ทำให้เขาตื่นได้เร็วขึ้น (นางไปไหน เวลาเช่นนี้) เขาถามตัวเอง โคทาโร่ลุกจากที่นอนเดินออกประตูไปอย่างแผ่วเบาเหมือนกลัวว่าเรไรที่อยู่ห้องข้างจะตื่น
(อูคาชิ เซดะ…อูคาชิ เซดะ…) เป็นเสียงสื่อจากคนคุ้นเคยที่ดังแทรก โคทาโร่หยุดนิ่งและปล่อยจิตให้ว่างเพื่อเปิดรับ
(อูคาชิ เซดะ…เจ้าจงฟังข้า อูคาชิ เซดะ)
(ท่านพ่อ…) เขาตอบกลับในทันที แต่เสียงของอีกหลายคนที่ศาลาท่าน้ำก็ดึงดูดเขาได้ไม่แพ้กัน โคทาโร่ถอดร่างตัวเองทิ้งไว้ที่เชิงบันได แต่ก็ทำได้ไม่สมบูรณ์นัก…มรดกจากนินจาที่ขาดการฝึกฝนกำลังทำให้เขาเป็นบ้า (ท่านพ่อ…)
(เจ้ากำลังโดน…คำสาปซามูไรเล่นงาน…โคทาโร่ วงกลมสีแดงที่ล้อมรอบนกกระเรียนไม่ใช่ดวงอาทิตย์อย่างเข้าใจ…แต่มันเป็นลูกไฟจากคำสาป…โคทาโร่มีทางเดียวที่เจ้าจะพ้นพันธะจากมันได้โดยสมบูรณ์…เจ้าต้องกลับมาเป็นอูคาชิ และลืมดาบคาตานะมูโต เล่มนั้นซะเลือดมินาโมโตที่มีเพียงครึ่งเดียวจะถูกเลือดอูคาชิละลายจนกระทั้งจางหาย..เซดะฟังข้าอยู่หรือไม่…อูคาชิ อูคาชิ เซดะ)แต่อีกร่างหนึ่งของโคทาโร่ก็ยังเดินเข้าไปหยุดอยู่ไม่ไกลจากศาลาในเวลานั้น
“เขาฆ่า…พี่โมก…ถึงฉันจะแต่งงานและท้องกับเขา…แต่มันก็เป็นเพียงหน้าที่…มันเป็นภารกิจหนึ่งเท่านั้น ฉันเกลียดเขา…เกลียดเขายิ่งกว่าหนอน…” เป็นน้ำเสียงของจันทร์หอมอย่างชัดเจนโคทาโร่ชาไปทั้งตัว ราวกับความเกลียดชังที่ปนออกมากับสำเนียงยิ่งกว่าหนอนกำลังไหลซึมเข้าสู่ตัวเขาเต็มๆ
(ไม่…ข้าไม่ได้ฆ่าโมก นางกำลังเข้าใจผิด) โคทาโร่อุทาน
(ถึงจะรักนางเพียงใด แต่ในที่สุดก็เป็นนางที่จะสังหารเจ้า…โคทาโร่…เซดะ…) เสียงสื่อยังคงไม่ยอมลดละ
“เอ็งต้องรู้ให้ได้…ว่าพวกญี่ปุ่นมีแผนการอะไรในงานเลี้ยงคืนวันที่ 28 มิถุนายน ที่จะถึง…เราต้องรู้ก่อน มิฉะนั้นขบวนการใต้ดินและเสรีไทยส่วนหนึ่งจะถูกสังหารเช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในประเทศอินโดจีน…บทเรียนเก่าสอนเราได้ดีเชียวนะจันทร์หอม” เสียงมนตรีเบาลงไปอีกเหมือนจะระแวง โคทาโร่เดินผ่านต้นชบาเพื่อหวังจะให้ใกล้เข้าไปอีก เขากระพริบตาถี่ๆเพื่อปรับมาใช้แสงสีเขียวอมเหลือง…แต่มันก็ไม่ชัดเจนเท่าที่เคยเป็น แต่ก็พอเห็นจันทร์หอมพยักหน้าให้กับชายฉกรรจ์ที่ยืนพูดอยู่ติดกับบันไดลงแม่น้ำเพชรบุรีได้ไม่ยาก
(จันทร์หอม…)
(อูคาชิ…เซดะ…อูคาชิ เซดะ)เสียงสื่อยังเรียกไม่ขาดระยะ…จนโคทาโร่เริ่มรู้สึกรำคาญ
(…ท่านพ่อ)
(เจ้าต้องกลับคืนสู่โลกชิโนบิ…ปล่อยดาบคาตานะมูโตเล่มนั้นซะ หากต้องการรอดพ้นจากคำสาปซามูไร)
(คำสาป คำสาป คำสาป…มันคืออะไร ท่านได้แต่พูดคำๆ นี้เพื่อหวังจะขู่ข้า) โคทาโร่สื่อกลับด้วยอารมณ์อีกด้าน
(ทำตามที่ข้าบอก…แล้วเจ้าจะรอด…มันเป็นเรื่องจริง ข้าไม่ได้ขู่)
(ตอนข้าอยู่ในหุบเขาอิงะ ท่านก็ผลักไสให้ข้ามาเป็นมินาโมโตเช่นเดียวกับเวลานี้ ที่ท่านก็บอกให้ข้ากลับคืนสู่โลกมืด…เห็นข้าเป็นสิ่งของ…คิดจะโยนทิ้งก็โยน…ข้าเกลียดโลกมืดยิ่งกว่าปลิงลม…ข้าเกลียดปลิงลมยังกับหนอนหมื่นตัวในซากเน่า) โคทาโร่ตอกกลับ อย่างสุดอารมณ์
(คุณชาย…)
(อย่าเรียกข้าอย่างนั้น…ข้าคือมินาโมโตความตายของข้าบางเบาเสียยิ่งกว่าขนนก…ข้าจะไม่หันหลังหากข้าจะตายเพราะสงคราม หรือแม้แต่จะถูกนางสังหารก็ตามที)
(อูคาชิ เซดะ)
(อย่าเรียกข้าอย่างคนหนึ่งในหุบเขา…ข้าเกียดอูคาชิ ข้าเกียด เซดะ ข้าเกียดชิโนบิ และข้าจะไม่มีวันหวนกลับไปหุบเขาอิงะอีก)
(คุณ…ชาย อู…คา…ชิ…)
(ข้าชื่อมินาโมโต…โคทาโร่…) เขาสวนกลับในลมหายใจเดียว ดวงตาที่แดงกล่ำกำลังฟ้องให้ภาพวันสุดท้ายในหุบเขาอิงะผุดขึ้นมาหลอกหลอน…เสียงอูคาชิ ยาสุ ตะคอกใส่เพื่อตัดขาดความเป็นพ่อลูกยังก้องอยู่ในความทรงจำ แสงสีเขียวอมเหลืองที่เต็มไปพลังจากมนต์สะกดของชิโนบิไหลออกมาจากดวงตาสู่ดวงตาครั้งสุดท้าย มันเป็นภาพความเจ็บปวดที่เจ็บลึก…เกินจะเยียวยาแล้วเวลานี้
(ข้าเสียใจ…เจ้าก็คงจะเกลียดโลกมืด พอๆ กับแม่ของเจ้า)
(ใช่…ข้าขอตายเยี่ยงซามูไร…เพราะตอนนี้ข้ากำลังจะมีลูกกับนาง…) โคทาโร่พูดเสียงสั่นเครือ (ลูกข้าคนนี้จะต้องเป็นคนไทย คนไทยธรรมดาๆ มิใช่ทั้งชิโนบิและซามูไร)
“เอ็งจะต้องเข็มแข็ง…พวกเราทุกคนไม่มีวันทิ้งเอ็ง…สบายใจได้” เป็นเสียงผู้หญิงที่ดังมาจากหนึ่งในจำนวนกลุ่มคนที่อยู่ในศาลา
(หากเขาเกิดมาพร้อมพรสวรรค์วิเศษเยี่ยงชิโนบิจริงๆ มันก็ไกลพอที่เขาจะปลอดภัย) โคทาโร่ใช้เสียงสื่อตอบ (ถ้าข้ายังมีดีพอที่จะอยู่ต่อเพื่อลูก เพื่อปกป้องเขาจากปิศาจ…ถึงจะไร้ศักดิ์ศรีข้าก็จะอยู่…แต่หากจะต้องตายข้าก็จะให้นางเป็นผู้ตัดสิน)
(เจ้าคิดว่าเราควรจะต้องบอกลากันและกันแล้วใช่ไหม ก่อนจะไม่ได้บอกลาอีกเป็นครั้งที่ 2 )
(…มันควรจะเช่นนั้น…) โคทาโร่สื่อไม่ทันคิด
(…..) แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมาจากอีกคน
“หากเกิดอะไรขึ้น เราต้องยอมรับมันให้ได้…เอ็งไม่ได้อยู่คนเดียวหรอกนะ” เป็นเสียงของผู้ชายแต่ดูเหมือนน้ำเสียงจะอบอุ่นมาขึ้น โคทาโร่ไม่สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดเข้ากันได้แล้ว
(…ข้าบอกลาเจ้าไม่ได้…) เสียงของอูคาชิ ยาสุสั่นเทา ก่อนเขาจะตัดเสียงสื่อหายไปเฉยๆ
“พวกพี่กลับไปก่อนเถอะ…มีอะไรเดี๋ยวฉันส่งข่าว” เสียงจันทร์หอมดังขึ้น เขาเห็นสายตาของนางกวาดมองไปรอบๆ เหมือนจะระแวงบางอย่าง ซึ่งอาจจะเป็นเขาในเวลานี้
“เออ…มีอะไรเร่งด่วนให้ไปหาข้าที่บ้าน” เสียงขามพูดก่อนจะเดินลงบันไปที่ทอดตัวลงสู่ผิวน้ำไปเป็นคนแรก
“ตูม!!” เขาล้มหัวขม่ำจนน้ำแตกกระจาย จันทร์หอมเอามือปิดปากเหมือนจะขำไม่ออก
“ทีหลังมัดเชือกให้ต่ำๆ หน่อย…ข้าจะได้ไม่สะดุด” ขามค่อนแคะเบาๆ ก่อนจะลอยคอนำคนทั้งหมดหายไปที่โค้งน้ำทางทิศเหนือ
“จันทร์หอมทำงานให้กับขบวนการใต้ดินหรือนี้”
(…เจ้าจะตายเพราะผู้หญิงที่มี แววตาคมยิ่งกว่าดาบคาตานะ…ไม่ใช่สงคราม) และเสียงที่อยู่ในความทรงจำก็ผุดเตือนขึ้นในหัวอีก
“จันทร์หอม…” โคทาโร่หลุดอุทานเป็นเสียงลม
“ฉันขอโทษคุณไม่ได้…โคทาโร่…ฉันขอโทษคุณไม่ได้” และจันทร์หอมก็พูดในอารมณ์เดียวกันแล้วก็ร้องไห้ออกมา
(นั้นน้ำตา…นางรักข้า…ข้าสัมผัสได้…นางรักข้า) โคทาโร่บอกตัวเอง (ยามนี้นางไม่จำเป็นต้องเสแสร้ง)
“ฉันขอโทษคุณไม่ได้โคทาโร่….ฮื้อๆ”
……….
“หน้าที่ต่อประเทศชาติ………………………
………..ย่อมสำคัญกว่าความรู้สึกส่วนตัว”
จันทร์หอม ธารารักษ์
……….