สมรภูมิปักษา2

สมรภูมิปักษา2

อูคาชิ เซดะ นินจาเลือดซามูไร Part2 สมรภูมิปักษา2

สมรภูมิปักษา2

รอยยิ้มซามูไร

แสงอาทิตย์ตอนเช้าๆ ยังหม่นหมองและคละคลุ้งไปด้วยฝุ่นควันกระจายปิดท้องฟ้า มันเกิดขึ้นพร้อมๆ กับสงคราม สงครามที่มีคนกลุ่มหนึ่งแอบซ่อนผลประโยชน์มหาศาลเอาไว้เบื้องหลัง พวกเขากำลังหัวเราะให้กับเสียงปืนทุกๆ นัด ยิ้มไปพร้อมๆ กับเสียงระเบิดทุกๆ ลูก แต่ฝุ่นควันก็ยังบดบังคนกลุ่มนี้เอาไว้ได้เหมือนมันและพวกเขาจงใจจะคัดค้านกับคำพูดที่ว่า สงครามจะทำลายล้างทุกสิ่ง…แม้กระทั้งชัยชนะที่คิดว่าหอมหวานว่าไม่เป็นจริงตามนั้นสมรภูมิปักษา2

อีกไม่กี่เดือนต่อมาทหารญี่ปุ่นก็ได้รวบรวมชาวต่างชาติที่ตกเป็นเชลยสงครามจากดินแดนที่ถูกยึดครองได้ ไม่ว่าจะเป็น จีน เวียดนาม ฮอลันดา มาลายู อินโดนีเชีย พม่า บอเนียวและที่อื่นๆ ประมาณแสนกว่าคน มารวมเข้ากับแผนสร้างทางรถไฟเพื่อจะใช้ลำเลียงอาวุธและเสบียงอาหารวันละ 3,000 ตัน สำหรับกองทัพญี่ปุ่นในพม่า…ในที่สุดแผนการนี้ก็เป็นจริงขึ้นมา

“มินาโมโตซัง เจ้าต้องรับรู้…เชิญในห้องประชุม” เสียงนายทหารยศสูงกว่าหอบแผนที่ ที่พึ่งจะได้มาจากกองทัพเดินอย่างเร่งรีบจะเข้าให้ทันประชุม…เขาพยักหน้าเร่งโคทาโร่อีก

“ครับท่าน”

……….

ภายในห้องประชุม

“แผนงานส่วนที่หน่วยของเราจะต้องรับรู้…นี้คือแผนที่ ที่จะสร้างทางรถไฟเข้าไปในประเทศพม่า” นายทหารผู้มีใบหน้าเป็นอาวุธยืนใช้หวายยาวประมาณ 1 ฟุตชี้ไล่วนไปมาบนแผ่นที่ ที่วางอยู่บนโต๊ะกลาง โดยมีบรรดานายทหารกว่า 20 นายรวมทั้งมินาโมโต โคทาโร่ยืนรับฟังอยู่รอบๆ

“เริ่มจากตรงนี้…สถานีหนองปลาดุก อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ลัดเลาะตามแนวแม่น้ำแควน้อยไปทางทิศตะวันตก ผ่านอำเภอทองผาภูมิ อำเภอสังขละบุรี ด่านเจดีย์ 3 องค์ ตรงนี้…” เขาใช้หวายชี้จุดพิกัดและเน้นเป็นพิเศษ ก่อนจะลากต่อไป “จนถึงปลายทางที่เมือง เป็นภาษาที่ยากชะมัด…” เขาบ่นงึมงำคนเดียว “เมืองทันบีอุซายัตในประเทศพม่า เรื่อยไปจนถึงเมืองท่าฝั่งทะเลอันดามันตอนใต้เมืองเมาะตะมะ ซึ่งอยู่ระดับเดียวกับอำเภออุ้มผาง ประเทศไทย”

“รวมระยะทางทั้งหมดเท่าไร” ทหารคนหนึ่งถามแทรกขึ้น โคทาโร่เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง แต่ก็เลือกที่จะนิ่งฟังต่อไป

“ระยะทางทั้งหมด 415 กิโลเมตรโดยอยู่ในฝั่งไทย 303.95 กิโลเมตร และอยู่ในพม่าอีก 111.05 กิโลเมตร…ที่หน่วยงานของเราควรจะรู้ก็มีเพียงเท่านี้ คาดว่าอีกประมาณ 6 เดือนอาวุธและเสบียงที่เรารับผิดชอบจะส่งไปแค่สถานีแรก ในจังหวัดราชบุรี” เขาอธิบายเสียงแข็งและใช้ใบหน้าที่เป็นอาวุธไล่เป็นเชิงขู่ไปรอบๆ

“แรงงานทั้งหมด เราจะจ้างคนในพื้นที่ทั้งหมดเลยรึ”

“ช่วงสถานีแรก…ส่วนที่อยู่ในป่าเขตรอยต่อใช้เชลยฝรั่ง”

“แต่ว่า…เออ จะไม่ละเมิดสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่ว่าด้วยการกระทำทารุณต่อเชลยสงครามรึ” เสียงถามหลุดออกมาจากปากที่ไม่มั่นใจ…จนเป็นเหตุให้นายทหารคนดังกล่าวหันขวับมาจ้องเขาทันที

“โอบิชิคุง…ได้ข่าวจากเยอรมันไหม…ฮิตเลอร์ฆ่าเชลยที่เป็นคนยิวไปแล้วเท่าไร…และเราก็ไม่มีวันแพ้สงคราม” เขากัดเสียงลอดไรฟันใส่หน้าพันตรีโอบิชิ จนเจื่อนซีด “หรือเจ้าว่าไงโคทาโร่คุง…เออ!ข้าลืมไปเลยอยากจะแนะนำตั้งนานแล้ว นี้คือทายามคนสุดท้ายของตระกูลซามูไรเก่าแก่แห่งเมืองคาโกคุมะ…บุตรชายของเพื่อนข้าเอง”

“นักเรียนปี 1 โรงเรียนการบิน…และเป็นนักบินสำรองของหน่วยเรา” อีกคนช่วยเสริม

“นั้นละรู้จักกันเอาไว้…อนาคตไกลนะเด็กคนนี้” เขาพูดต่อ

“ครับท่าน!…” โคทาโร่แสดงตัว แต่ก็รู้สึกหดหู่ไม่น้อยกับเรื่องของกองทัพกระทำทารุณต่อเชลยศึกในครั้งนี้  (ข้ารู้สึกหดหู่จนเลือดในกายข้นเหนียวเป็นยาง) และโคทาโร่ก็ปล่อยความรู้สึกนั้นออกมา

(ข้าเองก็รู้สึกไม่ต่างกับเจ้า) พลันเสียงสื่อตรงจากกระแสจิตเดียวกันก็ดังขึ้นในหัว ดวงตาของเขาลุกวาวพร้อมกับกราดมองไปรอบๆ (…เจ้าเป็นใครกัน)

                (อย่าหันมาคุณชาย ข้าชื่อไอซึเกะ เรียวตะมาจากอูราคามิ นางาซากิ) เสียงสื่อรายงานตัวเป็นสำเนียงอูราคามิทางตอนใต้อย่างชัดเจน โคทาโร่ชั่งใจสักครู่ก่อนจะถามกลับไปอย่างระมัดระวัง (เจ้าเป็นชิโนบิ)

(แม่ข้าเป็นหญิงจากหุบเขาโคงะ ข้าเลยได้มรดกนี้จากท่านรวมทั้งน้องชายคนเล็กของข้าด้วย)

(เจ้าไม่ถูกพวกชิโนบิตามทวงหรอกรึ)

(แม่ข้ารู้ทางเลยส่งข้าเข้าไปอยู่ในปราสาทฮันโต…จนข้าได้มาเป็นแพทย์สนามที่นี้แหละ…ข้าลืมรายงาน ตอนนี้จิโระคุงน่าจะหายดีแล้วนะ)

(อ๋อ!…สำเนียงทางตอนใต้เป็นเจ้านี้เอง ข้าจำได้แล้ว…ดีใจที่ได้ทำงานร่วมทีมเดียวกับเจ้า เรียวตะ)

(เช่นกันคุณชาย เอ่อ มินาโมโต)

(ไม่ต้องขนาดนั้น…เรียวตะคุง) เขาเอ่ยขึ้นอย่างเขินๆ

(มิได้หรอก…ข้านับถือมินาโมโตที่สามารถสืบทอดความเป็นซามูไรให้คงอยู่ได้…) เสียงของเขาเงียบไปพร้อมกับพันเอกผู้ที่มีใบหน้าเป็นอาวุธกล่าวสรุปจบลง

……….

หลังๆ ทางกองทัพญี่ปุ่นได้บีบบังคับให้ไทยทำการค้าได้เฉพาะญี่ปุ่นประเทศเดียว พวกเขาปิดการค้าทางทะเลของไทยไว้ทุกด้าน ประชาชนทั่วไปก็ยิ่งลำบากมากขึ้น  ความสะดวกสบายที่เคยมีเหมือนเช่นในอดีตหมดลง ตั้งแต่ผู้รับผิดชอบในศึกสงครามครั้งนี้ได้วางแผนลับต่อฉนวนสงครามเอาไว้ก่อนพวกเขาจะมาถึงหลายปี เสียงกรนด่าจากคนไทยมีให้ได้ยินไปทั่ว ถึงแม้ว่าบางคำพูดของพวกเขาโคทาโร่จะยังไม่เข้าใจก็ตามที

และวันหนึ่งขณะที่โคทาโร่กำลังเดินตรวจไปรอบๆ ค่ายทหารที่เคยเป็นโรงเรียน เสียงเรียกเป็นภาษาไทยก็ทำให้เขาหยุดชะงัก

“นาย นาย มีงานให้ทำไหม ข้าทำได้ทุกอย่างเลยนะ จะยกของแบกของ…ก็ทำได้ทั้งนั้น” เป็นเสียงของชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับเขา เขานุงกางเกงชาวเลสีดำไม่สวมเสื้ออย่างเช่นชายไทยทั่วที่เห็นจนชินตา

“นายนี้เมียกับลูกสาวข้า อย่าปล่อยให้เราอดตายเลยนะนาย เราออกทะเลไม่ได้ตั้งแต่เกิดสงคราม ช่วยข้าคนเดียวก็เหมือนกับได้ช่วยเมียและลูกสาวข้าด้วย” เขาอ้อนวอนต่อพร้อมกับพยักอยู่หงึกๆ และทันทีที่โคทาโร่เห็นรอยยิ้มของหญิงผิวขาวผมยาวสลวยยาวที่กำลังยืนยิ้มให้เขาอยู่ข้างของชายผู้นั้น มันก็ทำให้หัวใจเขาเต้นแรงจนยากจะควบคุม (เหมือนนางใช้หัวใจยิ้มแทนริมฝีปากที่บอบบางให้ข้า) โคทาโร่นิ่งเพ้อเหมือนโดนมนต์สะกด พลังแฝงที่เป็นมรดกมาจากนินจาไม่สามารถทำอะไรนางได้ โดยเฉพาะดวงตาที่เขากำลังแพ้ทาง (รอยยิ้มของนางทำให้เลือดในกายข้าสูบฉีด…) เขายังยืนจ้องใบหน้ารูปไข่ของนางไม่กระพริบ…จนกระทั้ง

“คุณชาย…ข้าว่าพวกเขามิได้เป็นสายสืบอย่างที่เรากำลังระแวง” เสียงเรียวตะโพล่งขึ้นใกล้ๆ…

“จิตพิรุธข้าก็บอกอย่างนั้น” โคทาโร่ตอบเป็นภาษาญี่ปุ่นกลับไป เขาคืนสติกลับมองไปที่ชายไทย ก่อนจะเห็นฮาราชิ  จิโระกับทหารอีก 4 คนถือปืนวิ่งตรงเข้ามาพร้อมๆ กับเล็งไปที่ทั้ง 3 คน พวกเขาได้แต่ยืนตัวสั่นอยู่กับที่อย่างไม่รู้จะทำอย่างไร กระทั้งชายไทยคนดังกล่าวระเบิดอารมณ์ออกมา

“กูมาขอทำงาน…จะรับหรือไม่รับก็บอกมา…กูเป็นเจ้าของประเทศ…หากต้องตายเพื่อให้ได้อาชีพกลับคืนอย่างเดิม กูก็จะทำ…” เขาเหลือกลูกตาใส่ แต่ปลายกระบอกปืนก็ยังเล็งขู่พวกเขา จนเด็กหญิงตัวน้อยถึงกับเกร็งแขนที่จับมือผู้เป็นแม่สั่นระริก “กลับบ้านเรไร!…” เขากระชากเสียงสูงหันหลังเดินนำออกไปอย่างไม่สบอารมณ์ โคทาโร่โบกมือให้จิโระและทหารลดปืนลง

“เดี๋ยว  ก่อน…เจ้า ชื่อ  อะไร…” โคทาโร่ตะโกนตามหลังเป็นภาษาไทยที่ไม่ค่อยดีนัก แต่ก็พอที่จะให้คนทั้งสามหันกลับมายิ้มได้อีก (นางใช้หัวใจยิ้ม แทนริมฝีปาก…ให้ข้า)

(คุณชาย คุณชายมินาโมโต…ท่านอย่ามองที่ดวงตาของนางมิฉะนั้นท่านแพ้ทางนาง) เสียงสื่อจากเรียวตะเตือน

……….

เหมือนกลีบซากุระร่วงกลางใจ

รอยยิ้มชื่นซามูไรพิชิตข้า

สารแปลงศรสื่อว่ารักจากดวงตา

ยอดชีวาว่าเป็นนางที่กลางใจ

 ……….

 “ข้าชื่อโมก…นี้จันทร์หอม และเรไร ลูกสาวข้าเอง” เขารีบตอบสวนกลับมาอย่างมีความหวัง

“ข้าว่าพวกเขาต้องเป็นสายสืบอย่างแน่นอน โคทาโร่ อย่าไว้ใจ” จิโระกำชับเสียงแข็งพร้อมกับยกปลายกระบอกปืนเล็งไปที่พวกเขาอีกครั้ง

“จิโระคุง…เจ้าก็เคยเห็นข้าแยกเป็น 2 ร่างมาแล้วนี้ จะไม่เชื่อการตัดสินใจของข้าเลยรึไง” โคทาโร่ดุและหันไปจ้องหน้าเพื่อนตรงๆ

“พวกเขาเป็นเพียงชาวบ้าน ดีซะอีก เจ้าจะได้มีคนช่วยงานไม่ดีหรอกรึ” เรียวตะสมทบ จนจิโระต้องหันมองหน้าชายที่ชื่อโมกก่อนจะถอนหายในออกมายาวๆ

“วัน พรุ่ง นี้  มา ทำงาน ที่นี้ แต่ วันนี้ เมีย และ ลูก  เจ้าคงจะหิว” โคทาโร่พูด ภาษาไทย ด้วยสำเนียงแปร่งๆ “ไปเอาห่อข้าวมา 3 ห่อ” โคทาโร่หันไปสั่งเป็นภาษาญี่ปุ่นกับทหารที่ยืนหน้าตึงอยู่ข้างๆ จิโระ

“ครับ” เขาตบเท้าพร้อมกับตะเบะท่ารับ ก่อนจะวิ่งหายไปในโรงครัว เพียงครู่เดียวก็วิ่งกลับมาพร้อมกับห่อข้าว โมกพยายามกลั้นไม่ให้หัวเราะกับท่าทีเก้ๆกังๆ  ในขณะรับห่อข้าวจากมือของโคทาโร่

“ข้า หวัง ว่า เจ้า จะสอน ข้าให้ พูด ภาษา ไทย ได้ดี กว่านี้” โคทาโร่พูด พร้อมกับยิ้ม

“อื้อ!…ข้ารับปาก” โมกตอบรับและพยักหน้าให้

“และ สอน ข้า ยิ้ม ให้ เหมือนพวกเจ้า ด้วย นะ” โคทาโร่พูดพลางหันยิ้มแห้งๆ ให้หญิงสาวจนเรียวตะอดชายตามองไม่ได้

“เออ…ว่าแต่นายชื่ออะไร วันหลังจะได้เรียกถูก” โมกถามอย่างระมัดระวัง…

“ข้า  ชื่อ…โคทาโร่…” เขาตอบ

“โก ตา โล” โมกพยายามทวนตามเสียงที่ได้ยิน ซึ่งมันก็ลำบากสำหรับเขาไม่น้อย

“โค ทา โร่ ไม่ใช่ โก ตา โล”

“โค ทา โร่…โคทาโร่” โมกทวนชื่อนั้นอีกหลายครั้ง ทั้งสองยิ้มให้กัน แต่ดวงตาอีกคู่ของโคทาโร่ก็อดไม่ได้ที่จะจ้องไปยังใบหน้ารูปไข่ที่กำลังใช้หัวใจยิ้มให้เขาในยามนี้… (จันทร์  หอม…)

(คุณชาย!…)

……….

เมื่อใด………………………..ที่นางใช้หัวใจยิ้ม

ข้าก็อิ่มเอมจนยอมศิโรราบ………….เมื่อนั้น

มินาโมโต โคทาโร่

……….

## จบ สมรภูมิปักษา2 ##

(Visited 12 times, 1 visits today)