อูคาชิ เซดะ นินจาเลือดซามูไร Part2 สมรภูมิปักษา5
สมรภูมิปักษา5
อีกมุมหนึ่ง
“คุณชาย…คุณชายข้าร้อนใจ” เสียงเรียวตะดังขึ้นที่ร่างพรางของโคทาโร่ในห้องทำงาน เขารีบสลับร่างกลับไปและพาอีกร่างสะกดรอยตามคนทั้งสามไปห่างๆ
“มีอะไรเรียวตะ…อ้าว!จิโระคุง เจ้าไม่ได้ออกไปขนเสบียงกับคนอื่นด้วยรึ” โคทาโร่ขมวดคิ้วถาม ทันทีที่เห็นจิโระเดินตามหลังเรียวตะเข้ามาด้วย
“คืนนี้ข้าสลับหน้าที่กับโอจิ…ที่ต้องไปส่งจดหมาย”
“ข้าเกรงว่าจะเกิดเรื่อง…จิตพิรุธข้าบอกอย่างนั้น” เรียวตะแทรกขึ้นอย่างคนร้อนใจ
“ใจเย็น เดี๋ยวข้าไปดูเอง…พวกเจ้าอยู่ที่นี้รอคำสั่ง” โคทาโร่พูดเร็วพร้อมๆ กับลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเร่งฝีเท้าออกจากห้องพอพ้นสายตา เขาก็ดีดร่างพรางนั้นหายเข้าไปในความมืดทันที
“เดี๋ยวก่อน…ข้าไปด้วย” จิโระและเรียวตะพูดขึ้นพร้อมกันแต่ก็ช้าไปเสียแล้ว
“นี้คือคำสั่ง เพิ่มยามรักษาการโดยรอบ แล้วข้าจะรีบกลับมา” เสียงของโคทาโร่ดังออกมาจากที่ไหนสักแห่ง
“อ้าว!…โคทาโร่ ไปไหนแล้วละ” จิโระอุทานด้วยความแปลกใจ
“นี้คือสงคราม อย่างสงสัยอะไรให้มาก ทำหน้าที่ของเจ้าให้ดีที่สุด ก็พอ” เรียวตะสมทบอย่างขึงขังอีกคน
“ครับผม” จิโระรับและเดินแยกไปอย่างเกรงๆ
(คุณชายมินาโมโต จะตายเพราะผู้หญิงคนนั้นไม่ได้เป็นอันขาด) เรียวตะให้คำมั่นกับตัวเอง แววที่ชัดเจนยิ่งกว่าคำพูดกำลังฉายอย่างที่ตั้งใจออกมา (ข้าไม่เข้าใจตัวเอง…คุณชายข้าไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไม?) นาทีเดียวกันเสียงสื่อที่โคทาโร่เผลอหลุดก็แววเข้ามาในหัว
(หากโมกตาย…ข้าก็มีโอกาส)
“คุณชาย!”
……….
และอีกมุมหนึ่ง
โคทาโร่ไม่เสี่ยงกับเสียงฝีเท้าที่เดินย้ำน้ำฝน แต่เขาดีดตัวข้ามตันไม้ตามไปห่าง
“เร่งเข้า…เร็วๆ” นานๆ ครั้งเสียงขู่กระโชกจะดังขึ้น และดูเหมือนแผ่นหลังของจันทร์หอมจะแอ่นเพราะคมมีดที่จ่ออยู่ทุกครั้ง โคทาโร่กัดฟันแน่นพร้อมกับดีดตัวพาร่างที่ไม่ต่างอะไรกับไอน้ำข้ามพุ่มไม้เตี้ยอ้อมไปอีกด้านที่สามารถเห็นคนทั้ง 3 ชัดเจนขึ้น แต่อีกร่างของนายทหารญี่ปุ่นก็พุ่งตามเขามาติด ไม่มีเสียงดังเกินสายฝนที่กำลังกระชากปลายไผ่ โคทาโร่พุ่งตัวตามจันทร์หอมไปข้างหน้า แต่ก็ดูเหมือนจะช้ากว่าอีกร่างในเงามืด มันกระโจนเข้าใส่เขาดุจเสือกระหายตะปบเหยื่อ แต่อยู่ๆ ร่างทั้ง 2 ก็รวมกันเป็นหนึ่งเดียว “จันทร์หอม…อดทนไว้จันทร์หอม” เขาพึมพำด้วยอารมณ์เดียวกัน
“ให้เร็วกว่านี้…ชิ!…มึงก็อย่าร้องไห้มากนัก กูรำคาญ” เสียงชายคนดังกล่าวหันไปตวาดใส่เรไร จนความกลัวบังคับให้เธอเงียบ เขาใช้มีดบังคับจันทร์หอมให้เดินลัดพุ่มไม้เตี้ยๆเพื่อออกสู่ถนนลูกรังที่เวลานี้ไม่ต่างอะไรกับบ่อโคลนสีแดง รอยเท้าใหม่ๆ ไม่ต่ำกว่า 30 คนมุ่งตรงไปทิศเดียวกัน มันบอกบางอย่างว่าข้างหน้ากำลังมีสิ่งไม่ปกติ โคทาโร่ดีดตัวอ้อมแนวก่อไผ่ กะระยะให้เข้าใกล้พวกเขาให้มากที่สุด และแล้วเสียงกรีดร้องของจันทร์หอมที่เสียดแทงหัวใจก็ดังขึ้น…“พี่โมก!…”
โคทาโร่ไม่รอช้าเขาอาศัยลมพายุที่กำลังหมุนเป็นวงกลมหอบร่างเขาลอยข้ามยอดไม้ตรงเข้าไปหา ทันทีที่ภาพในแสงสีเขียวอมเหลืองปรากฏกลางสายฝน ศพของทหารญี่ปุ่นที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณก็ปรากฏให้เห็น โดยมีกลุ่มชายฉกรรจ์อีกจำนวนหนึ่งกำลังจับโมกมัดมือไขว่หลังนั่งติดกับรถบรรทุกที่มีเสบียงอยู่เต็มคัน เขาอยู่ในสภาพที่อิดโรยจากการถูกทำร้ายอย่างสะบักสะบอม
“พี่โมก!” …มีเลือดสดๆ อาบไปทั่วทั้งใบหน้า เสียงจันทร์หอมสั่นเครือและดังขึ้นไปอีก
“จันทร์หอม…เรไร…” แต่เสียงของโมกกลับเบาสนิท
“พี่อย่าทำอะไรเมียกับลูกข้าเลยนะ” โมกหันไปขอร้องกลุ่มชายฉกรรจ์ที่ยืนค้ำหัวพลางพยักหน้าอ้อนวอนไล่ไปทีละคน
“พวกกูมีทางเลือกให้มึงทางเดียว…นั้นก็คือเลิกเป็นขี้ข้าไอ้ยุ่นซะ แล้วเอาความซื่อของมึงมาช่วยพวกกู…ไม่อย่างนั้นมึงพ่อ แม่ ลูกก็จะกลายเป็นศพ…ถุย!…” มันถ่มน้ำลายใส่โมกอย่างโสโครก “ไอ้ขี้ข้า…”
“เป็นศพของคนทรยศต่อประเทศชาติ…” อีกคนแทรกตาม
“มึงอยากให้มันเป็นอย่างนั้นรึ…” และอีกคนก็เดินเข้ามากระชากผมของจันทร์หอมพร้อมกับเอามีดปลายแหลมจ่อที่ลำคอ สติของโคทาโร่แทบจะขาดผึง
“อย่าพี่…ข้ายอมแล้ว…ข้ายอมแล้ว” แต่เสียงของโมกแผดร้องเรียกสติเขาเอาไว้ “พี่โมก…” ทันทีที่ชายคนดังกล่าวปล่อย จันทร์หอมก็โผเข้าไปกอดสามีแน่น
“ก็เท่านั้น…ชิ!…ทำดีต่อประเทศชาติต้องให้ออกแรงบังคับ…ไอ้พวกขี้ข้า” เขาสบถเผยอลิมฝีปากสูง “ถุ้ย!…ฮึๆ” มันถ่มน้ำลายใส่อีกรอบ แสงจากฟ้าแลบสว่างวาบเป็นช่วงๆ สะท้อนให้เห็นรอยยิ้มที่สะใจของกลุ่มชายฉกรรจ์ที่ยืนคุมเชิงอยู่รอบๆ อย่างชัดเจน “ฮาๆๆๆๆ”
“ขนของลงจากรถให้หมด เราจะบุกเข้าไปในค่ายแล้วเผามันให้สิ้นซากในคืนนี้…ฮาๆ…ฮาๆ” เสียงหัวเราะดังขึ้นพร้อมๆ กัน “ฮาๆ….” แต่เสียงฟ้าคำรามที่ไล่มาจากทิศใต้ข้ามไปจรดทิศเหนือก็กลบเสียงสะใจแบบเหี้ยมๆ ของพวกมันไปจนหมดสิ้น
หลังจากนั้นคนอีกกลุ่มที่นั่งรออยู่รอบๆ ก็เข้ามาช่วยกันขนเสบียงลงจากรถแล้วทยอยหายไปข้างทาง อีกกลุ่มหนึ่งก็จัดการเปลี่ยนชุดกับร่างไร้วิญญาณของทหารญี่ปุ่น เสร็จสรรพพวกเขาก็ช่วยกันลากศพทหารเหล่านั้นหายเข้าไปอีก
“ไป…ได้เวลากลับค่ายแล้วพวก” ทหารญี่ปุ่นตัวปลอมเดินเข้ามาฉุดโมกให้ลุกขึ้น พร้อมกับลากเขาไปนั่งคู่กับคนขับที่ด้านหน้า จันทร์หอมได้แต่ยืนอุ้มเรไรสะอื้อเป็นพักๆ อยู่กับที่
“ถ้ามึงปากโป้ง…พ่อแม่ลูกจะกลายเป็นผีเฝ้าทุ่ง…จำข้อตกลงนี้ให้ขึ้นใจ” อีกคนขู่ก่อนจะเดินไปขึ้นรถที่กำลังแล่นลุยโคลนฝ่าสายฝนไปอย่างช้าๆ จนกระทั้งแสงสีขาวจากไฟรถหายลับมุมโค้งต้นอินทนิล กลุ่มชายอีกกลุ่มก็หายเข้าป่าละเมาะพร้อมกับเสบียง แต่จันทร์หอมก็ยังยืนอุ้มเรไรอยู่ที่เดิม นางก้าวขาไม่ออกและคิดไม่ตก นางควรจะเดินไปข้างหน้าหรือถอยหลังกันแน่ “พี่โมก” เสียงของนางรำพึงรำพัน โคทาโร่กระโจนเข้าไปหยุดในระยะแค่มือเอื้อมถึง เขาประคองร่างของจันทร์หอมอีกมือหนึ่งก็ใช้มันปิดปากของนางเอาไว้ แววตาที่เป็นมรดกมาจากนินจาก็หยุดเสียงร้องของเรไรเอาไว้ได้ทัน
“จันทร์หอม…นี้ ข้า เอง โคทาโร่…โคทาโร่ อย่า เอะ ไป” นางดิ้นขัดขื่นเล็กน้อยแต่เมื่อรู้ว่าเป็นเขา นางก็พยักหน้ารับ
“นาย…ช่วยพี่โมกด้วย…” นางพร่ำไม่หยุดที่ได้สติ โคทาโร่ปล่อยมือ พยักหน้ารับหลายครั้ง (หากโมกตาย ข้าก็มีโอกาส) แต่ก็ห้ามความคิดแวบหนึ่งของตัวเองไม่ได้ในเวลานั้น
“ตามข้ามา…” เขากระซิบก่อนจะเดินนำพวกนางตามรถขนเสบียงไปห่างๆ “เรไรจะไม่ร้องไห้อีก” โคทาโร่บอกพร้อมกับมองหน้าเด็กน้อยเพื่อสำรวจ จันทร์หอมพยักหน้าอย่างไม่เหลือทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้ จนกระทั้งรถเสบียงที่ว่างเปล่ามาถึงหน้าค่าย ทหารที่เข้าเวรอยู่ก็สาดแสงไฟสปอร์ตไลท์ใส่รถของพวกเขา ทหารกว่า 20 คนที่ยืนอยู่ต่างถือไฟฉายเดินเข้ามาสำรวจอย่างรีบเร่ง โคทาโร่เห็นหนึ่งในจำนวนทหารญี่ปุ่นปลอมพูดตอบเป็นภาษาญี่ปุ่นได้อย่างคล่องแคล่ว
(มันต้องเป็นคนญี่ปุ่นแน่ๆ) โคทาโร่ตั้งข้อสังเกต แต่เสียงของจันทร์หอมก็แทรกขึ้นทางด้านหลัง “พวกนั้น…เป็นพ่อค้าที่เคยค้าขายกับคนญี่ปุ่นก่อนสงคราม”
(เรียวตะคุง…เตรียมทหารคุมเชิงจนกว่ารถเสบียงจะเข้าถึงคลังเก็บ) โคทาโร่สื่อเสียงไปบอก
(ข้าพร้อมแล้ว)เสียงสื่อจากเรียวตะตอบกลับขมๆ…โคทาโร่แยกร่างพรางบางๆ ออกจากร่างที่ยืนอยู่ เพื่อไม่ให้จันทร์หอมเห็น เขาใช้ร่างพร่างโปร่งๆ กระโจนข้ามรถขนเสบียงเข้าไปด้านใน จนเกิดอุโมงน้ำฝนเป็นทางยาว “เจ้านิ่งๆ ไว้ก่อน…” อีกร่างหนึ่งของโคทาโร่ก็กำชับ
“ฝนตกหนัก…..ทางปิดพวกข้าไปเอาเสบียงไม่ได้” เสียงพูดเป็นภาษาญี่ปุ่นอย่างคล่องแคล่วดังขึ้นอีก
“ไม่ได้เด็ดขาด เพราะเรือส่งเสบียงจะจอดเทียบท่าได้ไม่เกิน 5 ชั่วโมง” ทหารยามแจ้งเสียงดัง
“เราต้องเข้าไปเอาน้ำมันเพิ่มเติม” ทหารญี่ปุ่นปลอมพูดต่อ ทหารยามสาดแสงไฟฉายมาที่โมก และใบหน้าที่ขึงขังก็พยักหน้าต่อกันเป็นทอดๆ
“ไปได้…แต่พวกเจ้าต้องรีบตามให้ทันคันอื่นๆ” และเสียงจากสวรรค์ก็ดังขึ้น ในที่สุดรถคันนั้นก็แล่นผ่านเข้าไปข้างในได้อย่างง่ายดาย
………..
แต่เมื่อรถจอดสนิทที่หน้าคลังเก็บ
“หยุด!” เสียงฮาราชิ จิโระก็ดังขึ้นพร้อมๆกับปลายกระบอกปืนของทหารญี่ปุ่นกว่า 50 นาย พวกเขาถูกจับแล้ว
……….
แต่อีกคนหนึ่ง
“คุณชายข้านึกไม่ถึงว่าจะตัดสินใจให้ออกมาเป็นอย่างนี้” เสียงเรียวตะเหมือนรู้ทันกระซิบในระยะใกล้
“…” โคทาโร่ในร่างบางๆ ที่ไม่มีใครมองเห็นจ้องหน้าเขา แต่ก็ไม่หลุดคำพูดใดๆออกมา
“คุณชายมินาโมโต……ต้องตายเพราะผู้หญิง มิใช่สงคราม….คุณชาย!…คุณชาย!” เรียวตะกดเสียงต่ำไล่ตามร่างพร่างนั้นไป แต่โคทาโร่กลับมีแต่ภาพจันทร์หอมเท่านั้นที่กำลังยืนรอเขาอยู่ในความมืด
“นางปลอดภัย…นางต้องอยู่ได้เมื่อไม่มีสามี” โคทาโร่พึมพำเหมือนจะปลอบใจตัวเอง แต่คำพูดของเรียวตะก็ทำให้ความเชื่อมั่นที่มีเริ่มสั่นคลอน (นางต้องอยู่ได้…นางต้องอยู่ได้)
……….
“เมื่อใด…………….ที่กล้าทรยศต่อความรู้สึกของตัวเอง
เมื่อนั้น……………………….สติที่ขาดหายจะกลับคืนมา”
ไอซึเกะ เรียวตะ
……….
มิตรภาพกับความรัก
วันรุ่งขึ้น การพิพากษาคดีโดยนายทหารญี่ปุ่นก็มีขึ้นที่ลานคอนกรีตหน้าค่าย พวกเขาถูกตัดสินให้ตกเป็นเชลยสงคราม ไม่ต่างกับฝรั่งที่ถูกจับกุมไปก่อนหน้านี้ จันทร์หอมร้องไห้ตั้งแต่เมื่อคืน จนบัดนี้นางเป็นลมไปแล้ว 3 รอบ ทุกๆความรู้สึกที่พรั่งพรูออกมาดูเหมือนโคทาโร่จะสัมผัสมันได้เป็นอย่างดี…ยิ่งนางเจ็บปวด ความรู้สึกผิดก็ยิ่งบาดลึกเข้าไปเล่นงานเขามากขึ้น…แม้แต่แววตาที่ผิดหวังของเรียวตะเอง มันก็ยิ่งตอกลิ่มให้อัดแน่นจนแทบจะระเบิดออกมา (ข้าเพียงแต่รักนาง…) เป็นความคิดด้านเดียวที่เขาใช้แก้ตัวเพื่อให้ยืนอยู่ได้…
(คุณชายเลยเลือกที่จะทรยศต่อมิตรภาพ…ที่โมกมีให้) เสียงสื่อของเรียวตะต่อว่า
(แต่ข้าก็รักนาง…และจะรักนางให้มากกว่าโมก) โคทาโร่แก้ตัว…อย่างคนตาบอด
(คุณชาย!…) เรียวตะตวาด พลางเผยอปากด้วยความผิดหวังใส่ แต่ก็ไม่เข้าใจความรู้สึกอีกด้านที่ฉายออกมาของตัวเอง
“พวกเขาเป็นคนไทย…เป็นเจ้าของประเทศ…เราต่างหากที่เข้ามาบังคับให้พวกเขาทำอย่างนี้…เพราะฉะนั้นมันไม่สมควร…” และอยู่ๆ ความรู้สึกผิดทั้งหมดก็บังคับให้โคทาโร่พูดออกมาตรงๆ จนนายทหารระดับสูงหันมาจ้องหน้าเขา เหมือนจะฆาตโทษอีกคน
“ทั้งหมดจะต้องไปสมทบกับเชลยฝรั่งที่กาญจนบุรี ในตอนบ่าย…วันนี้!” เสียงนายทหารผู้ตัดสินย้ำประโยคสุดท้ายด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาด พร้อมๆกับหันมาเขม่นโหนกแก้มใส่โคทาโร่ “ไม่มีอุทธรณ์” เขาย้ำต่อเสียงแข็ง และพาใบหน้าที่เรียบตึงเดินจากตรงนั้นไปทันที
“นาย…ช่วยพี่โมกด้วย” จันทร์หอมละล่ำละลักเหมือนจะขาดใจ นางทรุดตัวลงนั่งกับพื้นพร้อมกับดึงเรไรเข้ามากอด
(ข้าพลาดรึนี้….ข้าเห็นแก่ตัวรึนี้)โคทาโร่ย้อนตัวเอง
(…หัวใจของข้าเวลานี้ทำไมมันว่างเปล่า…จนหาความรู้สึกที่แท้จริงไม่เจอ คุณชาย) สำเนียงอูราคามิ
“พี่โมกคือทุกอย่างของฉัน โคทาโร่…พี่โมกถูกบังคับ พี่โมกไม่ผิด” เสียงพูดปนสะอื้นลอยออกมาอีก ฮาราชิ จิโระทำหน้าขึงขังเพื่อกลบความรู้สึกเศร้า…แต่ข้างในเหมือนจะร้องไห้ตามจันทร์หอมไปอีกคนแล้ว
“ข้าไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น ระหว่าง เจ้า เรียวตะ จันทร์หอม และโมกเพื่อนรักข้า แต่ทั้งหมดล้วนทำให้ข้าเสียใจ” จิโระยื่นหน้ากระซิบโคทาโร่ เหมือนไม่อยากให้อีก 3 คนได้ยิน และเขาก็หันหลังเดินอ้อมไปทางโรงเก็บอาวุธ
(ข้าต้องรับผิดชอบ…) โคทาโร่ทรุดตัวลงนั่งข้างๆจันทร์หอม เขาอยากจะกอดพวกนางใจแทบขาด แต่ก็ทำไม่ได้
“จันทร์หอม…” โคทาโร่เรียกเบาๆ แต่จันทร์หอมยังกอดบุตรสาวตัวเองแน่น กลุ่มคนไทยที่ยืนมุงดูต่างวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆนานา
“หากเจ้าคือดอกไม้กลางสนามรบที่กำลังเหี่ยวเฉา ข้านี้แหละจะใช้เลือดแทนน้ำรดให้เจ้าเอง…” โคทาโร่พูด แต่จันทร์หอมกลับเงยหน้าที่เปียกชุ่มขึ้นมาจ้องเขาด้วยอารมณ์ที่ต่างออกไป “….จันทร์หอม!” โคทาโร่อุทาน จันทร์หอมลุกพรวดพราด อารมณ์อีกด้านของนางก็ทำให้โคทาโร่ถึงกับเซถลา
“คุณชาย…” เรียวตะทรุดช้อนร่างเขาเอาไว้ จันทร์หอมอุ้มเรไรลุกขึ้น พร้อมกับถอยห่างเขาออกไป 3 ก้าว
“พี่โมกคือทั้งชีวิตของฉัน…โคทาโร่!” นางตะโกนใส่เขาสุดเสียง “เรา 3 คน มีชีวิตเดียว…” และนางก็ตะโกนใส่พร้อมกับน้ำตาที่จวนจะเป็นสายเลือด
(คุณชาย…คุณชาย…ตั้งสติ…ตั้งสติ) เสียงเรียวตะกระตุ้น
“ข้าต้องรับผิดชอบ…” โคทาโร่พูดอย่างคนสำนึกผิด แต่จันทร์หอมก็ได้อุ้มเรไรเดินห่างไปไกลแล้ว
………..
เฝ้าเจ็บเฝ้าช้ำเจ้าเอย เฝ้าเคยเฝ้ารักเฝ้าฝัน
เฝ้าคิดเฝ้ารักนิรันดร์ เฝ้าฝันถึงวันสองเรา
บัดนี้วันนี้เดี่ยวนี้ ตรงนี้ที่นี้เคยหลง
เคยเฝ้าเคยรักอนงค์ โฉมยงใยหมางห่างไกล
……….
“เรียวตะคุง ข้าต้องรับผิดชอบ..”
“หมายความว่า…”
“ข้าต้องรับผิดชอบ”โคทาโร่ย้ำประโยคเดิมซ้ำอีก
“ข้ า ต้ อ ง รั บ ผิ ด ช อ บ”
……….
“หัวใจของผู้กล้า…………………จะสะท้อนใสดุจกระจกเงา
มีเพียงความขลาดขุ่นบางเบาเท่านั้น……..ประหนึ่งศัตรู”
มินาโมโต โคทาโร่
……….
## จบ สมรภูมิปักษา5 ##