อูคาชิ เซดะ นินจาเลือดซามูไร Part2 สมรภูมิปักษา7
สมรภูมิปักษา7
เมื่อความตายเพรียกหา
ที่ค่ายทหารญี่ปุ่นจังหวัดกาญจนบุรี
ในขณะที่ดวงอาทิตย์ใกล้จะลับทิวไม้ เงาของทุกสรรพสิ่งในทิศตรงข้ามก็พาดยาวสีเทา-ดำราบไปกับพื้น มันดูสูงและใหญ่กว่าของจริงหลายเท่า เช่นเดียวกับสุนัขพันธุ์ทางที่กำลังยืนท้าทายขบวนรถทหารอยู่กลางถนนลูกรังสีแดง ตัวเล็กแต่เงาของมันกลับไม่ต่างเสือโคร่งตัวเขื่อง มันจ้องเขม็งเหมือนต้องการจะหยุดขบวนรถขนเสบียงของทหารญี่ปุ่น นัยน์ตาของมันมองพวกเขาเป็นศัตรูปรากฏความเกลียดชังอย่างเด่นชัด จนกระทั้งล้อรถสีดำขนาดใหญ่ได้ปลุกสัญชาตญาณเอาตัวรอดในระยะประชิด เงาดุจเจ้าป่าจึงได้กระโจนหลบเข้าข้างทาง…แต่มันก็ไม่คิดจะยอมแพ้ง่ายๆ เสียงเห่าที่ตามมา…เหมือนเสียงประกาศตัวเป็นคู่สงครามกับญี่ปุ่นอีกด้านอยู่ในขณะนี้
………
“ตราบใดที่โลกยังมีแสงตะวัน
ตราบนั้น “คาเงะ” เงาแห่งตนยังตามติดอยู่คู่กัน”
ประกาศิตจากโลกชิโนบิ
……….
สายลมโชยเฉื่อยเบาๆ หอบกลิ่นของป่าดงดิบทางทิศตะวันตกมาพร้อมๆ กับความชื้นสูงที่นินจาเลือดผสมซามูไรอย่างมินาโมโต โคทาโร่ไม่คุ้นเคย เขาสัมผัสได้ถึงการโรยตัวของอากาศต่ำจนละเลียดไปกับใบหญ้าสีเขียวที่พื้นราบ ก่อนสายลมจะเชิดสูงดุจมังกรเหินหาวเหนือยอดไม้
(มันเย็นชื้นผิวกว่าป่าในหุบเขาอิงะที่ข้าคุ้นเคย) โคทาโร่คิดพลางกระชับดาบคาตานะมูโตที่เหน็บอยู่ข้างเอวอย่างไม่ประมาท
และในที่สุดขบวนรถเสบียงก็แล่นเข้าไปจอดในเขตโรงเรียนแห่งหนึ่งในตัวจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งตอนนี้มันถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นค่ายทหารญี่ปุ่น ไม่ต่างอะไรกับที่จังหวัดเพชรบุรี แต่ที่นี้มันใหญ่โตเอามากๆ เหมือนกับเป็นอีกจังหวัดหนึ่งของญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้
“วันนี้เราโชคดีที่ไม่มีการทิ้งระเบิดของพันธมิตร” ทหารที่นั่งมาด้วยพูดขึ้น โคทาโร่หันไปจ้องนิ่งๆ พร้อมกับพยักหน้ารับรู้ก่อนจะก้าวลงไปสมทบกับคนอื่นๆ
แดดสุดท้ายลับหายไปแล้ว คงเหลือเพียงแสงสะท้อนอาบท้องฟ้าสีเลือดทางทิศตะวันตกเท่านั้น ที่พอช่วยให้ทหารญี่ปุ่นบางส่วนที่ยังคงฝึกความพร้อมอยู่กลางสนามฟุตบอลให้พอมองเห็น สงครามที่ไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่ายๆ และจะกินเวลาไปอีกนานแค่ไหนเกินจะคาดเดาได้ การฝึกที่หนักหน่วงจึงเสมือนเป็นทางรอดเดียวที่ทหารจากแดนไกลจะพอมีโอกาสได้กลับบ้าน…มันคืออีกเป้าหมายหนึ่งรองมาจากชัยชนะ ที่ทุกคนคิดว่าหอมหวาน…
“เป็นทางรอดเดียวซินะ…ที่จะมีโอกาสได้กลับบ้าน” ฮาราชิ จิโระแทรกลอยๆ สีหน้าของเขาจริงจังมากกว่าทุกๆ วัน มินาโมโต โคทาโร่พยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะเดินนำไปยังกลุ่มทหารที่ยืนรอพวกเขาอยู่อีกฟากหนึ่ง
……….
“สงคราม”……………………………………ไม่มีใครปรารถนา
แต่มันก็ประทุขึ้น………………………………..เพราะศักดิ์ศรี
ศักดิ์ศรี…………………………………………..ที่หาตัวตนไม่เจอ
คืนฟ้ามืด……………………… เช้าตรู่ที่ดวงอาทิตย์ยังไม่ตื่น
สวรรค์หยุดพักร้อน…………………ต้นเดือนธันวาคม1941
มันเป็นวันเดียวกับที่เปลวเพลิงจากขุมนรก…ลุกโชติช่วง
โดยมีเลือดสีแดงของผู้บริสุทธิ์…………..แทนน้ำมันเชื้อไฟ
ไฟกัลป์ที่แผดเผาทุกสิ่ง……………………..มันเป็นเรื่องเศร้า
แต่ได้ยินเสียงหัวเราะ หึๆ ปนออกมากับน้ำตาแห่งสงคราม
……….
ทหารเวรเดินนำพวกเขาสู่ที่พักชั่วคราวด้านหลังอาคารเรียนสีขาว 2 ชั้น ที่ขณะนี้ถูกปรับเปลี่ยนเป็นกองบัญชาการรบ สีหน้าที่เคร่งเครียดจนไม่เหลือความรู้สึกยินดีปรากฏให้เห็น บ่งบอกถึงสถานการณ์สงครามในเวลานี้ได้เป็นอย่างดี เขาเดินนำคนทั้ง 2 จนกระทั้งมาหยุดที่หน้าประตูบานหนึ่ง…เสียงฮาราชิ จิโระที่อยู่ด้านหลังก็ดังขึ้น
“เชลยจากเพชรบุรี ที่ถูกส่งตัวมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ตอนนี้พวกเขาไปอยู่ที่ไหน” โคทาโร่หันขวับ…เขาเห็นสีหน้าที่อยู่ในอารมณ์เดิมกำลังสำรวจฮาราชิ จิโระ…สักครู่เสียงพูดในสำเนียงตอนใต้แข็งๆ ก็ดังขึ้น
“พวกเขาถูกส่งต่อไปสถานีสร้างทางรถไฟในเขตป่าดิบตะวันตก…” เขาตอบ พร้อมกับยืนเป็นหินอยู่หน้าประตู
“ขอบใจเจ้ามาก” โคทาโร่เอ่อย่างรำคาญในท่าทาง
“เจอกันอีกหนึ่งชั่วโมง…เรือนครัวจะอยู่ถัดไปอีก 2 หลัง” เขาอธิบายและทำความเคารพตามแบบทหารให้คนทั้งคู่ ก่อนจะเดินกลับไปทางเดิม
“โคทาโร่…จะช่วยเขาจริงหรือ” ฮาราชิ จิโระถามหยั่งเชิงเพื่อน ทันทีที่อยู่กันตามลำพัง
“เขาบริสุทธิ์ จิโระคุง”โคทาโร่พูดเหมือนตัดสินใจไปแล้ว มันทำให้จิโระแอบยิ้มบางๆ ในขณะที่โคทาโร่หันหลังเอาเสื้อไปแขวนไว้อย่างง่ายๆ ที่ข้างฝา ก่อนจะล้มตัวนอนที่เตียงเหล็กฝั่งตรงข้าม
“หากเขารอด…ข้ายังมองไม่เห็นทางออกของความรัก…แต่ถ้าหากเขาตาย…”
“หยุด!…จิโระ…ข้าไม่ปรารถนาจะครอบครองนางด้วยวิธีนั้น” เป็นคำยืนยันที่ทำให้จิโระยิ้มได้กว้างขึ้น แต่ก็รีบหุบทันทีเมื่อสายตาของโคทาโร่หันกลับมา
“ข้าเพียงแต่….” จิโระพยายามจะแก้ต่าง แต่โคทาโร่ที่ล้มตัวลงนอนยกมือขึ้นห้ามไว้…
(โมกเป็นเพื่อนรักข้า…ขอบคุณโคทาโร่) เสียงสื่อจากความรู้สึกที่โคทาโร่ได้ยิน เขายิ้มนิดๆที่มุมปาก (โมกก็เพื่อนรักข้าเช่นกัน…)โคทาโร่ยืนยันกับความรู้สึกสุดท้ายก่อนจะผล็อยหลับไป
(โคทาโร่ ความรักจะปิดดวงตาชิโนบิให้มืดบอด คำสาปซามูไรจากหญิงที่มีดวงตาเป็นพิษจะสังหารเจ้า เจ้าไม่ได้ยินเสียงข้า เจ้าไม่ได้ยินในสิ่งที่ชิโนบิสมควรได้ยิน โคทาโร่คุง โคทาโร่!) ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับจากชายที่กำลังหลับลึก กระทั้งเสียงคำรามเบิกฟ้าดังกระหึ่มพร้อมๆกันทุกทิศทาง พื้นดินสั่นสะเทือนราวจะแยกออกจากกัน มินาโมโต โคทาโร่ดีดตัวลุกไปหยิบเสื้อทหารมาสวมอย่างลวกๆ ก่อนจะกระโจนข้ามเตียงไปปลุกจิโระที่ยังหลับอยู่
“จิโระ จิโระ”
“ข้าพร้อม…ข้าพร้อมแล้ว”
—ตูมๆ ตูม! ตูมๆ—เสียงระเบิดจากเครื่องบินรบของฝ่ายพันธมิตรดังติดกันเป็นชุด โคทาโร่ติดดาบคาตานะก่อนจะคว้าปืนคู่กายวิ่งฝ่าเสียงระเบิดที่ดังไม่ขาดสายออกไป โดยมีฮาราชิ จิโระวิ่งตามหลังมาติดๆ แสงสว่างจากโคมไฟถูกดับพรึบลงพร้อมๆกัน เสียงสัญญาณเตือนภัยดังขึ้นมาแทน การโจมตีพร้อมกันทุกทิศทาง ทำให้ทหารหลายคนวิ่งป่วนจนไม่รู้จะตั้งรับทางไหน เครื่องบินของพันธมิตรกว่า 50 ลำกำลังโฉบมาทางทิศใต้ และอีกจำนวนหนึ่งก็เบิกฟ้าใกล้เข้ามาทางทิศตะวันตก แสงจากเส้นขอบฟ้าทำให้โคทาโร่มองเห็นลูกระเบิดสีดำที่ถูกปล่อยไล่ตามกันลงมาเป็นสายราวกับห่าฝน เหมือนหวังจะทำลายทุกสิ่งแม้กระทั้งชีวิตของผู้บริสุทธิ์ที่กำลังตื่นกลัววิ่งวนเป็นฝูงมดแตกรังอยู่ในขณะนั้น
–ตูมๆ ตูม! ตูมๆ–แรงระเบิดไล่ขนานกันใกล้เข้ามาทุกด้าน มันทำลายทุกสิ่งที่อยู่ในรัศมี เสียงตระโกนเสียงร้องเรียกหาคนรักดังแข่งกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ทหารญี่ปุ่นที่ยังไม่ทันระวังตัวก็วิ่งหนีเอาตัวรอดไม่ต่างอะไรกับคนไทยที่อยู่นอกค่าย ที่ยังมีสติอยู่บ้างก็จะใช้ปืนในมือยิงรัวเป็นตับๆใส่เครื่องบินบนฟ้าที่มืดมิดอย่างไร้เป้าหมาย
ไม่นานเสียงเครื่องบิน 2 กลุ่มแรกก็ค่อยๆดังไกลออกไป แต่กลุ่มควันและเปลวเพลิงยังอยู่ครบ เสียงกรีดร้อง เสียงครวญครางของผู้บาดเจ็บเริ่มชัดเจนขึ้นมาแทนที่ ศพของทหารญี่ปุ่นและพลเรือนไทยนอนเกลื่อนเต็มถนน เลือดสีแดงในความมืดชโลมดินจนรู้สึกเปียกชุ่ม มินาโมโต โคทาโร่วิ่งเข้าไปตรวจดูทีละคนและช่วยเหล่าทหารนำร่างผู้บาดเจ็บ ไปรวมกันเอาไว้ในที่ที่คิดว่าปลอดภัย เพื่อจะให้แพทย์สนามทำงานง่ายขึ้น แสงสว่างจากไฟฉายที่มีอยู่ในมือต่างสาดส่องนำทางไปทุกทิศทุกทาง พวกเขาทำหน้าที่ของมนุษย์เพื่อช่วยเพื่อนมนุษย์ด้วยกันแข่งกับเวลาที่มีน้อยอย่างรีบเร่ง
เพียงไม่นานเสียงเครื่องบินระลอกใหม่อีกหลายสิบลำก็ส่งเสียงคำรามเบิกฟ้ามาทางทิศใต้
“ประจำแท่นเครื่องยิง” เสียงแม่ทัพดังขึ้นอย่างดุดัน โคทาโร่ทิ้งร่างพรางเอาไว้ 2 จุดก่อนจะวิ่งเข้าหาเครื่องยิงกระสุนที่อยู่ใกล้ที่สุด เขายกร่างของเพื่อนทหารที่ไร้วิญญาณออกให้พ้นรัศมีควบคุม ก่อนจะเล็งเป้าหมายด้วยดวงตาชิโนบิในแสงสีเขียวอมเหลืองที่ปรากฏชัดเจนในความมืด โดยหวังจะใช้มันระเบิดสิ่งที่บินใกล้เข้ามาให้แหลกเป็นจุล
“เข้ามาเลยเพื่อน…เข้ามา” เขาคำรามในลำคอ พร้อมกับกระพริบตาถี่ๆ ติดกันอีกหลายครั้งมันยิ่งกระจ่างชัดมากขึ้น จนเห็นรอยยิ้มเหี้ยมๆ ที่มุมปากฉายชัด
“โคทาโร่…” เสียงฮาราชิ จิโระเรียกมาจากด้านหลัง แต่เขาก็อาศัยแสงสีเขียวอมเหลืองปลดห้ามร็อกเตรียมยิงอัตโนมัติในนาทีเดียวกัน
“โคทาโร่ อยู่นี้เอง” จิโระทักตื่นๆ โคทาโร่พยักหน้าแต่ก็ไม่ยอมละสายตาไปจากฝูงบินนั้น
—ปังๆๆๆ—เสียงปืนจากที่ต่างๆและ...—ตูม!ตูมตูม!ตูม!—เสียงระเบิดจากเครื่องบินที่เทความตายลงมาให้ ฮาราชิ จิโระเบิกตากว้างพร้อมกับกระหน่ำยิงด้วยปืนในมืออย่างไม่ยั้ง โคทาโร่เองก็กระหน่ำยิงอย่างที่ใจสั่งพอๆกัน
“โคทาโร่ เราต้องทิ้งฐานแล้ว…” จิโระตะโกนสุดเสียงเมื่อระเบิดไล่ใกล้เข้ามา — ตูมๆ ตุมๆ— “โคทาโร่ โคทาโร่” เขากำชับแต่ก็ยังมีสติพอที่จะปล่อยห่ากระสุนในมือออกจากปลายกระบอกปืนใส่เป้าหมายที่ใกล้เข้ามา—ปังๆๆๆ—
การเอาตัวรอดจากลูกระเบิดเป็นสิ่งที่ง่ายดายสำหรับนินจาอย่างเขา “เจ้าไป…ไปเดี๋ยวนี้” โคทาโร่ประเมินน้ำหนักของเพื่อนแล้วออกคำสั่ง
“เจ้าไม่ไป ข้าก็ไม่ถอย…อ้าๆๆ”
“จิโระ เจ้าต้องไปเดี๋ยวนี้….ไป ไป” แต่จิโระก็ยังกระหน่ำยิงเครื่องบินทิ้งระเบิดอย่างไม่เกรงกลัว
–ตุม! ตูม! ตูม!—แรงระเบิดวิ่งเป็นทางตรงใกล้เข้าหาฐานยิงมากขึ้น มากขึ้น —ตูม! ตุม! ตุม!— ความลับกับมิตรภาพกำลังจะสังหารเขาแล้วรึนี้… “จิโระ..จิโระ…ไอ้บ้าเอ้ย!” ความตายใกล้เข้ามา ร่างพรางที่หวังจะฉุดร่างจริงให้พ้นรัศมีกลับถูกมิตรภาพบางๆมาขวางกั้น “บ้าเอ้ย จิโระ ข้าจะไม่ยอมทิ้งเพื่อนเป็นครั้งที่ 2” ภาพของโอสุเกะ นารุ กับยูกาว่า กุโบะที่ปราสาทฮันโตตามมาหลอกหลอน
–ปังๆๆ ปังๆๆ—ลูกกระสุนของทั้งคู่ก็กระหน่ำยิงสวนกลับอย่างบ้าคลั่ง… — ตุม!—แล้วทุกอย่างก็เงียบลง มินาโมโต โคทาโร่ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีกนอกจากเสียงความวังเวง แรงอัดอากาศส่งร่างของทั้ง 2 ลอยสูงขึ้นไปในความเวิ้งว้าง โคทาโร่อีก 2 ร่างเห็นประกายไฟและกลุ่มฝุ่นควันที่กระจายกันอยู่รอบๆ…
“จิโระคุง!…จิโระ”ร่างพรางวูบวาบเข้ามารวมกัน “จิโระ….นารุ กุโบะ….บ้าเอ้ยจิโระ ทำไมไม่ฟังข้า” เขาพยายาม แต่หูกลับไม่ได้ยินแม้กระทั้งเสียงตะโกนจากปากตัวเอง ความเงียบนิ่งครอบคลุมเข้าแล้ว แต่แสงเพลิงจากส่วนหางของเครื่องบิน 3 ลำ ที่ถูกจุดระเบิดด้วยมือของพวกเขากำลังถูกแรงโน้มถ่วงฉุดกระชากดำดิ่งลงสู่พื้นดินในมุม 45 องศา “จิโระ!…จิโระคุง” ห่างจากสองร่างของพวกเขาที่ยังหมุนคว้างอยู่กลางอากาศไม่เกิน 70 เมตร
—บึ้ม!บึ้ม!บึ้ม!—เสียงเครื่องบินระเบิดยังคงเงียบกริบ แต่แสงเพลิงสีแดงที่พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้ามาพร้อมๆ กับแรงอัดอากาศครั้งที่ 2 พาร่างของทั้งคู่ ลอยสูงขึ้นไปอีก “จิโระคุง…” เขาตะโกนด้วยเสียงทั้งหมดที่มี…แต่ก็ยังไม่ได้ยิน จนกระทั้งความรู้สึกบอกถึงแรงกระแทกอย่างแรงกับพื้นดิน ไม่มีความเจ็บปวดใดๆ ในเวลานั้นเหลืออยู่
“จิโระคุง…จิโระคุง” ไม่เป็นผล มีเพียงความรู้สึกทางผิวหนังที่สัมผัสถึงแรงอัดอากาศของระเบิดลูกแล้วลูกเล่าที่พอจะกระตุ่นให้รู้สึก “จิโระ…ข้าเคยทิ้งเพื่อนมาแล้วครั้งหนึ่ง สำหรับเจ้ามันบริสุทธิ์เกินที่ข้าจะทิ้งได้ จิโระ จิโระคุง” ประสาทสัมผัสของชิโนบิในตัวเหลือน้อยลงทุกขณะ ภาพทะเลเพลิงค่อยๆมัวหมอง…ภาพปราสาทฮันโตกำลังฉายขึ้นมาแทนที่ “นารุ กุโบะคุง ข้าขอโทษ” เป็นเสียงสุดท้ายที่มินาโมโต โคทาโร่พยายามจะเปล่งออกมา ในที่สุดทุกอย่างก็ดับวูบสู่สีดำ ไม่รู้จักสถานะใดๆ ไม่รู้จักความเงียบ และไม่แน่ใจว่านี้คือสวรรค์หรือนรก…
……….
โลกใบเล็กถูกแบ่งเป็นสองข้าง อักษะค้านต้านพันธมิตรผิดใจหาย
พื้นพิภพจรดฟ้าดาราพราย ถูกแบ่งซ้ายขวาสิ้นถิ่นกูมึง
ด้าวแคว้นดินถิ่นแดนใดใคร่ยอมรับ กลับไปปรับกลับดูตนให้พ้นหนี
การเรียนรู้จากสิ่งพ่ายใช่ยอมพลี ฉุดศักดิ์ศรีที่สูงล้ำให้ต่ำลง
อนาคตของลูกหลานสิการใหญ่ ปรองดองไว้โลกใบเล็กจักได้เห็น
สามัคคีที่เลอค่าจะได้เป็น ความร่มเย็นเป็นมรดกตกสู่ชน
……….
“ถ้าศักดิ์ศรี…………………………..กินแล้วอิ่มท้อง
ความขัดแย้ง……………………ก็จะไม่เกิดขึ้น”
มินาโมโต โคทาโร่
……….
## จบ สมรภูมิปักษา7 ##