อูคาชิ เซดะ นินจาเลือดซามูไร Part2 สมรภูมิปักษา9
สมรภูมิปักษา9
แผนลับ
อีกอาทิตย์หนึ่งต่อมา
มินาโมโต โคทาโร่แข็งแรงขึ้นจนแทบจะหายเป็นปกติ คงเหลือเพียงสะเก็ดแผลบางส่วนเท่านั้นที่ทำให้เขารู้สึกคันจนน่ารำคาญ
“วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง” เสียงแพทย์สนามที่เคยดูแลถามในขณะเดินสวนทางกันโดยบังเอิญ
“อื้อ!…หายดีแล้ว ขอบใจมาก เห็นทีวันนี้ข้าต้องไปเสียที” โคทาโร่พูดเป็นเชิงบอกลา
“แล้วมือขวาพร้อมจะลั่นไกรแล้วรึ”
“มันพร้อมจะสังหารไอ้พวกหัวสีทองตั้งแต่วันแรกที่ข้าตื่นแล้วละ”
“ถ้าอย่างนั้น…ข้าเองก็เห็นทีต้องบอกลาเจ้าตรงนี้เลย” แพทย์สนามพูดช้าพร้อมกับโค้งคำนับ
“ข้าเองก็เช่นกัน” โคทาโร่พูดปนยิ้มและโค้งศีรษะตอบกลับ
……….
เวลาต่อมา
และคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาการรบก็มาถึงช่วงเย็นๆของวันเดียวกัน พร้อมกับรถขนเสบียงและอาวุธชุดใหม่ที่พึ่งเดินทางมาจากเพชรบุรี ต่อจากที่นี้ก็เป็นหน้าที่ของเขาที่ต้องคุ้มกันเสบียงและอาวุธเข้าไปส่งให้ถึงยังตำบลที่กำลังก่อสร้างทางรถไฟในเขตป่าดิบลึก แผนการเดินทางถูกเตรียมพร้อม รวมทั้งแผนลับที่จะช่วยเหลือเพื่อนบริสุทธิ์ของพวกเขาด้วย ถึงแม้อีกใจหนึ่งอยากกลับไปเพชรบุรี แล้วบอกจันทร์หอมว่าโมกเสียชีวิตไปแล้วเพื่อนางจะได้ตัดใจแต่ความรู้สึกผิดยังเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้โคทาโร่ไม่ยอมฉวยโอกาสนั้น
“จันทร์หอม ข้าต้องตายเพราะเจ้าจริงๆเหรอนี้…” โคทาโร่พึมพำ เมื่อนึกนึกคำพูดของชายชราในชุดกิโมโนสีขาวที่ชื่ออูคาชิ ยาสุขึ้นมา ถึงแม้จะไม่เจาะจงว่าเป็นนาง แต่เขาก็มั่นใจว่ายาสุต้องหมายถึงนางแน่ๆ
“โคทาโร่คุง ได้เวลาเดินทางแล้วละ” เสียงฮาราชิ จิโระดังมาจากรถคันที่ 2 โคทาโร่พยักหน้าแล้วเดินไปขึ้นรถคุ้มกันอีกคัน รถขนเสบียงและอาวุธกว่า 8 คัน เริ่มเคลื่อนขบวนเวลา 03.00 น.
หน่วยนำทางได้ปล่อยรถที่เป็นเป้าหลอก ล่วงหน้าไปก่อน 3 คัน และพวกเขาก็ตามไปบนทางเบี่ยงอีกเส้นที่เป็นถนนลูกรังเล็กๆมุ่งสู่ทิศเหนือ ก่อนจะเลี้ยวซ้ายเข้าในเขตป่าลึกทางทิศตะวันตก แสงสีอัมพันเรืองรองที่ขอบฟ้าทางทิศตะวันออกแต่ป่ารกครึ้มก็ช่วยอำพลางรถทุกคันให้รอดพ้นจากข้าศึกที่ใช้เครื่องบินสอดแนมเทียวบินวนอยู่เหนือยอดไม้ได้เป็นอย่างดี บางครั้งขบวนรถต้องหยุด และแยกกันออกเป็นกลุ่มๆเพื่อซ่อนตัว พวกเขาได้แต่ภาวนาแบบหลอกๆ…
“กลุ่มที่ 1 ไปให้พ้นแนวโล่งแจ้งข้างหน้า…ไปได้” เสียงโคทาโร่สั่งจากแนวซุ้มข้างทาง
“แล้วเจ้าละโคทาโร่” เสียงฮาราชิ จิโระดังขึ้นทันทีที่กระโจนขึ้นไปนั่งบนรถ
“ข้าจะตามไปกับกลุ่มสุดท้าย…ไปซะที” เขาเร่งอีก รถขนเสบียง 4 คันแรกพุ่งไปข้างหน้าผ่านแนวโล่งแจ้งที่แสงแรกพึ่งจะอาบทิวยอดไม้ได้ไม่นาน เขาซุ้มนิ่งพร้อมกับทหารอีก 4 นายอยู่ที่เดิม จนกระทั้งรถขนเสบียงคันสุดท้ายแล่นเข้ามาถึง
“พวกเจ้าไปพร้อมกับรถ” เขาสั่งอย่างเอาจริง
“อ้าว!…แล้วเจ้าละ” ทหารตัวเล็กที่สวมหมวกผ้าปิดใบหน้าถาม
“ข้ามีวิธีไปของข้าเอง ไม่ต้องห่วง” โคทาโร่ พูดเพียงเท่านั้นร่างที่เพิ่งยืนขึ้นก็กระโจนทิ้งเงาสีดำพาดเป็นทางยาวหายวับผ่านที่โล่งแจ้งไปอย่างรวดเร็ว
“เขาเป็นนินจา…เขาเป็นนินจา” ทหารคนเดิมอุทานเสียงหลง
“ใช่ๆ ข้าก็เห็นอย่างนั้น”
“เขาจะเป็นอะไร…ไม่สำคัญแต่หัวใจที่พร้อมจะสู้เพื่อญี่ปุ่นก็ถือว่าใช้ได้แล้ว…ไปพวกเราขึ้นรถ” สิ้นเสียงพูดจากนายทหารร่างใหญ่ พวกเขาก็กระโดดขึ้นรถ ผ่านแนวโล่งแจ้งหายวับเข้าไปในดงต้นไม้ที่อยู่อีกฟากหนึ่ง เสียงเครื่องบินสอดแนมหายไปแล้ว เหลืองเพียงเสียงกระพือปีกของยุงและแมลงป่าแข่งกับเสียงเร่งเครื่องยนต์เพื่อตามไปสมทบให้ทัน
การเดินทางที่สุดแสนจะทรหดกินเวลานานกว่า 8 ชั่วโมง ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทหารคุ้มกันกว่า 100 นายหายใจอย่างโล่งอกทันทีที่เข้าถึงแนวเขตก่อสร้าง ซึ่งก่อนหน้านี้พวกเขาถูกโจมตีมาหลายครั้ง บางคราแม้แต่ชีวิตของทหารสักคนก็ไม่รอด
มินาโมโต โคทาโร่ลงจากรถขณะที่ยังมีผ้าพันแผลบางส่วนยังติดตัวอยู่ เขาเห็นทหารญี่ปุ่นยืนถือปืนเตรียมพร้อมกระจายตัวเป็นระยะๆ รวมทั้งเสียงลมหายใจอีกหลายนายที่ซุ้มยามอยู่ในเขตป่าที่ลึกเข้าไป ถึงแม้จะไม่สามารถระบุจำนวนที่แน่ชัดได้แต่มันก็มากโดยเฉพาะชายป่าทางด้านทิศตะวันตก ทิศเหนือและทิศใต้ แผนลับถูกวาดขึ้นมาในหัวคร่าวๆ เขาเริ่มสำรวจภูมิประเทศจริงเทียบกับแผนที่ยุทธศาสตร์ที่ได้ศึกษามาก่อนหน้าอย่างตั้งใจ
(ทิศตะวันออก…) เขาพึมพำ ทุกๆ นาทีสำหรับที่นี้ดูเหมือนจะเตรียมพร้อมเพื่อการปะทะหรือรับมือหากมีเครื่องบินทิ้งระเบิดซึ่งอาจจะโจมตีได้ทุกเมื่อ เพราะเป็นทางเดียวของฝ่ายสัมพันธมิตรที่จะตัดท่อน้ำเลี้ยงของทหารญี่ปุ่นที่อยู่ลึกเข้าไปในประเทศพม่า…
โคทาโร่ ถอนหายใจออกมาอย่างปลงๆ ถึงแม้อยากจะชนะ แต่ก็รู้ดีว่าผลของสงครามกำลังทำลายทุกสิ่ง ไม่เว้นแม้กระทั้งจอมปลวกที่บังเอิญทางรถไฟสายนั้นตัดผ่านไป เขาเดินเข้าไปหานายทหารแม่ทัพที่กำลังยืนจ้องขบวนรถของพวกเขาในเพิงไม้ ใบหน้าที่เคร่งตรึงตลอดเวลา ทำให้เขาอ่านไม่ออกว่าอารมณ์ที่ระอุไปด้วยสงครามสำหรับชายผู้นั้นเป็นเช่นไรกันแน่
“ข้า มินาโมโต โคทาโร่ มีคำสั่งให้คุมกองคาราวานรถขนเสบียงและอาวุธตามเลขที่ 04706 บัดนี้ถึงเป้าหมายเรียบร้อย…” เขาอ่านรายงานเสียงดัง พร้อมกับส่งแผ่นกระดาษในมือให้ นายทหารคนดังกล่าวรับไปแต่ยังคงใบหน้าที่เคร่งตรึงจ้องสำรวจทุกอณูในตัวเขา
“แล้วตัวเจ้าหายดีแล้วเหรอ มินาโมโตซัง” ถึงน้ำเสียงจะแข็งกร้าว แต่ก็เป็นคำถามที่ทำให้เขาอุ่นใจได้ไม่น้อย
“ข้าหายเป็นปกติ…ขออภัยที่ขบวนของข้าล้าช้าไปกว่า 2 อาทิตย์” โคทาโร่พูด
“มาถึงในเวลานี้ก็เหมาะสมแล้ว หากพวกเจ้ามาก่อนหน้านี้อาจจะไม่ถึง เหมือนเช่น 2 ครั้งก่อน” แม่ทัพพูดด้วยน้ำเสียงเดิมๆ และยังคงใบหน้าที่เคร่งตรึงเอาไว้ไม่เปลี่ยนแปลง
“เหมือนเจ้ามีอะไร อยากจะถามข้า มินาโมโตซัง” และอยู่ๆ นายทหารคนดังกล่าวก็ถามขึ้น… โคทาโร่สะดุดเล็กน้อยแต่ก็ยังสงวนท่าทีเอาไว้ได้
“ไม่มีอะไรมากเพียงแต่ ข้าอยากจะรู้ว่าเชลยสงครามที่ถูกส่งตัวมาจากเพชรบุรี ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหน” โคทาโร่ตัดสินใจในนาทีนั้นเช่นกัน และไม่ลืมจะหาคำแก้ต่างเอาไว้หากจำเป็น
“พวกเขาทำงานรวมอยู่กับเหล่าเชลยชาติตะวันตก…ทางคูน้ำเจ้ามีอะไรหรือเปล่า” แน่นอนเป็นสิ่งที่โคทาโร่คาดไว้ไม่ผิด
“ไม่มีอะไร เพียงแต่ข้าอยากจะเห็นน้ำหน้าไอ้พวกโจรกระจอกก็เท่านั้นเอง” โคทาโร่แสร้งกระแทกเสียงที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังออกมา พร้อมกับบีบแววตาให้เล็กลงเพื่อปิดช่องว่างมิให้นายทหารผู้นี้อ่านเขาออก
“งั้น!…ก็เชิญไปดูหน้าพวกมันก่อนกลับได้เลย” เขาเปิดทางอย่างไม่สงสัยอะไร
“ขอบคุณ ข้าขอตัว” โคทาโร่ทำความเคารพอีกครั้งก่อนจะเดินแยกไปเงียบๆ เขาติดดาบคาตานะมูโตไว้ที่เอวและถือปืนในมือขวาให้มั่งคงขึ้น
“โคทาโร่ เจ้าจะ…” ฮาราชิ จิโระที่เดินตามหลังกระซิบ แต่โคทาโร่ก็แทรกก่อน เหมือนจะระแวงกับสายเลือดของนายทหารแม่ทัพอยู่
“เดินหน้าต่อ…มันคือทางรอดเดียว” โคทาโร่กดเสียงต่ำติดอยู่ในลำคอ ฮาราชิ จิโระหน้าซีดแต่ก็ต้องเร่งฝีเท้าตามเพื่อนไป พวกเขาเดินไปตามทางเล็กๆผ่านแนวดงไผ่ลวกข้างลำธาร สักพักภาพกองหิน เสียงค้อนและสิ่วเหล็กกะเทาะหินก็ดังระงมไปทั้งป่า เชลยสงครามชาติตะวันตกกำลังเร่งทำงานกันอย่างหนักท่วมกลางแสงแดดที่กำลังร้อนระอุ โดยมีทหารญี่ปุ่นยืนคุมอยู่เป็นจุดๆ พวกเขาไม่อนุญาตให้เชลยเหล่านั้นสวมเสื้อผ้าแม้แต่คนเดียวมีเฉพาะผ้าเตี่ยวผืนเล็กๆ ปิดอวัยวะเพศกับหมวกที่พวกเขาสานขึ้นเองจากใบไม้เท่านั้นที่พอปิดบังความร้อนได้ หลายคนผอมโกรกและสกปกจนมองไม่เห็นสีผิวที่แท้จริง โคทาโร่ค่อยๆ กวาดตามองหาคนที่คาดว่าจะเป็นโมกไปทีละคน แต่ในสภาพที่เป็นอยู่ทำให้งานของเขาหนักมากขึ้น ทั้ง 2 เดินผ่านเชลยสงครามที่ทำงานกันเป็นกลุ่มๆ ไปเรื่อยๆ สายตาก็คอยสำรวจไปทีละกลุ่มแต่ก็ยังไม่มีวี่แวว
(นายอยู่ที่ไหน…โมก นายอยู่ที่ไหน) โคทาโร่ครุ่นคิดอย่างร้อนใจ เขามีเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงที่จะอยู่ที่นี้
“โคทาโร่ ข้าว่าเราลองเดินไปทางสันเขาด้านโนนเถอะ…เหมือนจะเป็นคนเอเชีย” ฮาราชิ จิโระเอ่ยพร้อมๆกับเสียงเคาะแผ่นเหล็กบอกสัญญาณให้เหล่าเชลยได้พักรับประทานอาหาร…พวกเขาวางสิ่งของในมือทันที ร่างกายที่ผอมเหลือแต่โครงกระดูกเดินโซเซอย่างคนใกล้จะหมดแรงไปยังตำแหน่งที่เป็นโรงครัวประจำหน่วย ทหารญี่ปุ่นตักข้าวต้มใส่ภาชนะที่พอจะหาได้ในพื้นที่ บางคนก็ใช้กระบอกไม้ไผ่ผ่าซีกแทนจานหรือถ้วย บางคนที่โชคดีหน่อยก็จะใช้กะลามะพร้าว พวกเขากินอาหารแข่งกับเวลาที่มีน้อยอย่างหิวกระหาย จนทำให้ภาพที่เห็นน่าเวทนายิ่งกว่าความนึกคิดจะเข้าถึง พวกเขาพยายามกินให้ได้มากที่สุดแม้ความหวังจะได้กลับบ้านเหลือน้อยลงก็ตาม นอกจากพวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับทหารคุมแล้ว โรคภัยในเขตป่าลึกของที่นี้ก็มีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นอหิวา มาลาเรีย โรคบิด และโรคขาดสารอาหาร ทุกอย่าง ทุกโรคพร้อมจะเล่นงานและหยิบยื่นความตายให้พวกเขาได้ทุกเมื่อ…
……….
หนึ่งหมอนหนุนหมายถึงหนึ่งชีวิต
ใครลิขิตขีดให้เป็นเช่นนี้หนอ
สี่หมื่นหกพันร่างต่างเฝ้ารอ
อ้อนวอนขอกลับถิ่นฐานกลางพงไพร
เสียงร้องไห้ไปพร้อมลมที่โหมพัด
จำประจักเหตุการณ์เกื้อเพื่อศึกษา
กรณีล้ำกับสิ่งพลาดที่ผ่านมา
ให้รู้ว่าสงครามเลือดเดือดเพียงได
ทางรถไฟสายที่ชื่อมรณะ
เป็นเหมือนอนุสรณ์ย้อนความหลัง
ปลุกเพื่อตื่นฟื้นเพื่อจำนำวานวัน
กลับประสานแปลงเปลี่ยนเป็นบทเรียน
……….
และไม่ทันที่เหล่าเชลยจะได้กินข้าวอิ่ม เสียงสัญญาณบอกหมดเวลาก็ดังขึ้นอีก หลายคนรีบซดข้าวต้มเข้าปากไม่ต่างอะไรกับสุนัขหิว และหลายคนจำต้องวางภาชนะของตัวเองลงกับพื้น แล้วพาร่างที่เหลือแต่ซากกลับไปทำงานต่อที่เดิม เสียงปืนยิงขู่ขึ้นฟ้าเป็นระยะๆ ทำให้บางคนกลัวจนลนลานล้มกลิ้งลงเนินดินไม่ต่างอะไรกับก้อนหินถูกโยนลงมาจากภูเขา
“ilfkjtujdhghj[polgjuicj” อยู่ๆ เสียงเชลยชาติตะวันตกคนหนึ่งก็ดังขึ้น พวกเขาไม่สามารถสื่อสารกันรู้เรื่อง มีแต่ด้ามปืนจากทหารญี่ปุ่นเท่านั้นที่กระแทกเข้าที่ท้อง จนล้มนอนขดเป็นกุ้งแห้งอยู่กับพื้น…
“โคทาโร่!…อย่า” จิโระเบียดตัวเองไปขวาง แต่โคทาโร่ก็เบี่ยงตัวหลบไม่ยอมฟัง เขาเดินตรงเข้าไปหาทหารญี่ปุ่นที่ยืนถือปืนขู่พร้อมกับตะโกนไล่พวกเขาราวกับเป็นสัตว์ไร้ราคา…ปัง!…เสียงปืนดังขึ้นก่อนที่โคทาโร่จะเดินเข้าไปถึง กระสุนเจาะเข้าที่หน้าผากของเชลยชาติตะวันตก เขาไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะร้องขอชีวิต ร่างไร้วิญญาณหงายหลังล้มกลิ้งลงแม่น้ำไปอย่างน่าเวทนา
“ทำอย่างนี้ทำไม” โคทาโร่ตะโกนใส่ทหารคนดังกล่าวจนหน้าแดง โดยมีฮาราชิ จิโระคอยยืนระแวดระวังอยู่ข้างๆ
“ไม่ใช่หน้าที่ของเจ้า…หรืออยากเห็นอีกศพ” คำพูดจากปากไม่ทันจบ
ปังๆ…เสียงปืนจากกระบอกเดิมก็ดังขึ้นอีกครั้ง ร่างของเชลยชาติตะวันตกที่กำลังจะยันตัวเองลุกขึ้น ก็ล้มคว่ำกระแทกพื้นลงไปอีก เขาสิ้นลมหายใจทันที ไม่มีกระทั้งแรงจะกระตุกเป็นครั้งสุดท้าย โคทาโร่ยืนตะลึงกับภาพที่เกิดขึ้น สักพักเขาก็รีบหันหลังเดินหนีจากตรงนั้นไป…
“โยนมันทิ้งแม่น้ำ” เสียงของทหารคนเดิมออกคำสั่ง เหมือนเขาจงใจจะประชดในที ไม่นานเสียงวัตถุที่ถูกโยนจากที่สูงก็กระแทกผิวน้ำจนเกิดเสียงดังสนั่น—ตูม!—
(ไอ้พวกสัตว์นรก) โคทาโร่ขบฟันกรามแน่น…ความเจ็บแค้นกำลังพุ่งสูงแซงปรอดวัดอุณหภูมิ…แต่นี้คือสงคราม…(มันคือสงคราม)
“ข้าไม่รู้จะโกรธมันดีไหม…” จิโระเอ่ยขึ้นอย่างเกร็งๆ
“สงครามที่ข้าเข้าใจ มันไม่ใช่แบบนี้…แม้แต่โลกมืดก็ไม่เคยสอนให้ฆ่าคนที่ไม่มีทางสู้” โคทาโร่กดเสียงต่ำใกล้ๆเพื่อน
ปัง….ปัง…..ปัง!! “ทำงานไป อย่าให้ข้าเห็นว่าใครกำลังอู้” เสียงขู่ยังดังลั่นตามพวกเขามาติดๆ —ปัง…ปัง…ปัง เสียงปืนชุดใหม่ตามขึ้นอีก เหมือนจงใจจะแสดงอำนาจที่ล้นเหลือให้นายทหารที่พึ่งมาเยือนได้เห็น
……….
จนกระทั้ง
ดวงอาทิตย์ย้ายตำแหน่งไปเรื่อยๆตามเส้นทางที่มันเคยผ่าน อุณหภูมิที่ส่งมาพร้อมๆกับแสงก็ค่อยๆลดลง พวกเขาจะต้องกลับค่ายทหารในตัวจังหวัดกาญจนบุรีพร้อมกับรถเปล่าตอนห้าทุมของคืนนี้ แต่เพื่อนที่กำลังตามหากลับยังไม่มีวี่แวว ความหวังจะช่วยเหลือกับแผนลับที่วางเอาไว้ต้องจบลง ทั้ง 2 เดินไปหยุดที่เนินดินสีแดงที่พึ่งถมใหม่ๆ โคทาโร่ล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อพร้อมกับหยิบลูกจันทร์ ที่เวลานี้มันได้แห้งจนเป็นสีดำออกมาพินิจพิจารณา…เขากำลังภาวนาขอให้เจ้าของมันช่วยตามหาอีกแรง
“เราทำดีที่สุดแล้วละโคทาโร่” จิโระปลอบ แต่โคทาโร่ก็ยังเงียบ (จันทร์หอม ช่วยข้าด้วย…ช่วยให้เจอเขาเท่านั้น)และฝ่ามือของจิโระก็ตบไหล่เขาเบาๆ…
“เราทำดีที่สุดแล้วละเพื่อน” จิโระพูดประโยคเดิมซ้ำขึ้นอีก แสงแดดยามเย็นกำลังละเลียดไปกับแนวป่า อีกไม่นานแสงสุดท้ายก็จะหมดลง และทุกอย่างจะต้องจบ…แต่ทันใดนั้นเสียงที่คุ้นหูก็ดังขึ้นอย่างแผ่วเบา
“นาย…นายโคทาโร่…โคทาโร่”
“…โมก” จิโระอุทานทันทีที่เห็นว่าเป็นเพื่อน โคทาโร่หันไปมองพลางแอบยิ้มจางๆ สภาพของโมกที่เขาเห็น มันแตกต่างจากโมกคนเดิม ราวฟ้ากับดิน เขาผอมโซทั้งๆ ที่มาอยู่ที่ยังไม่ถึง 2 เดือนเสียด้วยซ้ำ…และไม่ทันที่ทั้ง 3 จะได้คุยกัน ทหารที่ยืนคุมอยู่ใกล้ๆ ก็ถือปืนเดินตรงเข้ามาหา
“มันทำอะไรพวกเจ้าหรือ” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่ขุ่นๆห้วนๆ
“เปล่า…ข้าเห็นมันเป็นคนในพื้นที่…เลยอยากจะได้ข้อมูลหน่อย…บอกให้มันเข้าไปคุยกับข้าข้างใน” โคทาโร่สั่ง “คุมตัวมันไปคุยกับข้าด้านใน” เขาหันไปสั่งจิโระต่อทันที เมื่อสังเกตเห็นอาการลังเลเกิดขึ้นกับทหารคนดังกล่าว เสียงของจิโระจะดังตามขึ้น
“เจ้ายืนคุมอยู่ตรงนี้แหละ…ข้าจะพามันไปเอง…เร็วซิ!” จิโระกระชากเสียงสูง พลางหันไปแสร้งตวาดใส่โมกแรงๆ พร้อมกับเล็งปลายกระบอกปืนในแบบเดียวกัน “เร็ว…ถ้าไม่อยากตาย” เขาตะเบ็งเสียงขึงขัง จนโมกลนลานขึ้นมาจริงๆ
“ให้มันเข้ามา พวกเจ้าจะไปไหนก็ไป” โคทาโร่ออกคำสั่งกับทหารอีกหลายคนที่ยืนเป็นหุ่นอยู่ใกล้ๆ พวกเขาคำนับและเดินแยกห่างออกไปหลายก้าว จิโระถือปืนเดินคุมโมกเข้ามาซึ่งโมกเองก็ไม่สามารถจับอารมณ์เพื่อนทั้ง 2 ได้ โคทาโร่นำเล่ห์กลในแบบนินจามาใช้ เขาร่ายมนต์เพลงเร่าเพื่อดึงให้ทหารญี่ปุ่นที่ยังดื้อดึง หันเหความสนใจไปทางอื่น และมันก็ได้ผลเกินคาด
“จิโระ เจ้าระวังคนอื่นอยู่ข้างนอก…” โคทาโร่กดเสียงลอดไรฟัน แต่โมกก็ยังเงอะๆ งะๆ ทำอะไรไมถูก
“เข้าไปซิ…เดี๋ยวข้าจะระวังให้” จิโระกระซิบพลางขยิบตาบอก “เข้าไป!…” เขาตวาดเสียงดัง วินาทีที่รู้ว่ามันคือแผนการ โมกก็ถลาเข้าตามคำสั่งโดยไม่ลังเล โคทาโร่ไม่รอช้าเขาดึงกระดาษแผ่นเล็กๆออกมาจากแขนเสื้อ แล้วยื่นมันให้ โมกรับมาเก็บไว้ “จำเส้นทางให้ขึ้นใจ…แล้วกลืนมันซะ” โคทาโร่สั่งเสียงต่ำ โมกคลีแผ่นกระดาษและไล่กวาดสายตาอย่างเร่งรีบ สักพักเขาก็พยักหน้า “กลืนมันซะ!…” โคทาโร่สั่งอีกและโมกก็ไม่ลังเลที่จะทำตาม
“ขอบคุณนาย…”
“เจ้าจำมันได้ขึ้นใจนะ” โคทาโร่ถามย้ำ
“เส้นทางแถวนี้เมื่อก่อนข้าเคยมา” โมกตอบและพยักหน้ายืนยัน
“เจ้าต้องไปคนเดียว…คืนวันที่ 20 กรกฎาคม หลังเที่ยงคืน ตามสถานการณ์ แต่อย่าเกินหนึ่งนาฬิกาเด็ดขาด…เราจะเจอกันก่อนฟ้าสางที่จุดนัดพบ” โคทาโร่พยายามพูดเป็นภาษาไทยให้เร็วและชัดในทีเดียว โมกพยักหน้ายืนยัน พร้อมยิ้มอย่างมีความหวังให้เห็น
“ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าวันดังกล่าว พลเอกฮิเดกิ โตโจ จะมาเยือนและกระทำภารกิจบางอย่างที่กรุงเทพฯ แน่นอนเหล่าทหารทุกหน่วยย่อมไม่ปกติ เป็นทางเดียวที่เจ้าจะรอด…” โคทาโร่กดเสียงเบาลง เหมือนจะจำกัดให้ได้ยินเพียงแค่เขา 2 คน…โมกพยักหน้าตื่นๆ อีก
“จากวันนี้เจ้าต้องกินอาหารให้มากที่สุด เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับคืนนั้น…เจ้าจะบอกเรื่องนี้ให้ใครรู้ไม่ได้…หากต้องการรอด” โคทาโร่กำชับ
“ขอบคุณ โคทาโร่ ขอบคุณ” โมกพูดเสียงสั่นรัว จนเห็นน้ำตาซึมปนออกมา
“เจ้าไม่มีสิทธิ์ในความรู้สึกนั้นเวลานี้ รีบเช็ดมัน…แล้วไปได้”
“ไปได้!…” โคทาโร่แสร้งตวาดเป็นภาษาญี่ปุ่น เหมือนจงใจจะแสดงให้ทหารหลายคนที่ยืนอยู่ในระยะได้ยิน โมกลนลานหันกลับจนล้มลง “ไปไม่ได้เรื่อง!” โคทาโร่ออกอาการฉุนและแสร้งทำหน้าเคร่งตรึง โมกได้ทีลุกวิ่งกลับไปทำงานที่เดิม แต่รอยยิ้มแห่งความหวังเกิดขึ้นในใจของเขาแล้วเวลานี้
“มีอะไร…” เสียงทหารถามโคทาโร่เป็น ภาษาญี่ปุ่น ในขณะที่จิโระได้แต่มองเพื่อนอยู่ห่างๆ
“นึกว่ามันจะรู้เส้นทางที่ดีกว่านี้…ชิ!…”
“ข้าหวังว่าการส่งเสบียงครั้งต่อไป คงไม่ถูกโจมตีเหมือนกับ 2 ครั้งที่ผ่านมา ไม่เช่นนั้นพวกข้าต้องกินเชลยพวกนี้แทนข้าวได้เป็นแน่…ฮึ!…”
“ข้าก็หวังให้มันเป็นอย่างนั้น…ขอตัว” โคทาโร่ตอบในท่าทีปกติ…
“ข้าเองก็เห็นทีต้องบอกลาพวกเจ้าตรงนี้ด้วยเช่นกัน ไว้คราวหน้าข้าจะมีของมาฝาก” จิโระแทรกขึ้นบ้าง…
“โชคดี…” เขาพูดสั้นๆ และโคทาโร่ก็ฝืนยิ้มตรึงๆ ให้ ก่อนจะเดินนำจิโระหายกลับไปตามทางเดิม…
(ข้าหวังว่า เจ้าจะต้องรอด…เพื่อนข้า)
……….
“ยามยาก…………………………..พิสูจน์มิตรแท้ ฉันใด
ยามสุข…………………………ก็พิสูจน์หัวใจฉันนั้น”
โมก ธารารักษ์
……….
## จบ สมรภูมิปักษา9 ##