อกหักมาลักเหล้าแบล็ค

อกหักมาลักเหล้าแบล็ค

อกหักมาลักเหล้าแบล็ค คิดบวกความสุขในมุมเล็กๆ

อกหักมาลักเหล้าแบล็ค

“หา!….ต๊าย!…ตาย ตาย กูตาย”

ยัง!…ยังไม่เริ่มเล่าเลยจะตายซะแล้ว…

“อ้าว! รึ!…อยากจบแม่ง!ตั้งแต่เริ่มต้น….อกหักเหี้ยไรวะ ขโมยโทรศัพท์กูไปง้อแฟนตั้ง 2655 บาท…..นี้ๆบิลที่ 2 คงตัดสวาทขาดรักอีก 1640 บาท…..เฮ้ยๆ…อ้าว!!…ทำไมแบล็คเลเบิ้ล…เบา….อ้าว!หมด….ขวดนี้ก็หมด ขวดนี้ด้วย ขวดนี้อีก….อ้าวๆ…..ตาย ต๊าย! กูตาย….เหล้าหมดเหลือแต่ไวน์ล้วนๆ…..”

ครับ….วันนี้ผมจะมาแฉไอ้เชี้ย!น้องชายตัวแสบ…ให้มันรู้แล้วรู้แรดไปเลย

มา!….ตาม Timmy ให้ด่วนๆ….มันต้องเละกันไปข้างละ….ฮื้อ!…โกรธๆ…หุนหวยเด้!….ส่างแถวนี้บ่มีบ่น้อ… กูสิฆ่าซอยซิ้นปิ้งกินให้มันฮ้ากแตกฮ้ากแตนตายไปโลด….หุนหวยโหว่ย!

….แปลหน่อยเดี๋ยวไฮโซจะไม่เข้าใจ…เอ่อ!…ก็ประมาณว่า…..หงุดหงิดจังเลยจ้า!….ช้างแถวนี้มีสักตัวไหมจ๊ะ! ฉันจะแร่เนื้อปิ้งกินให้อ๊วกแตกไปเลย….หงุดหงิดมากๆจ้ะ!….ประมาณนี้นะครับ

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นมานานพอสมควรแล้วละ ผมจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่า…เป็นคืนวันอาทิตย์  เพื่อนผมซึ่งเป็นฝรั่งชาวสหรัฐอเมริกาจะเดินทางกลับ มันมากับเพื่อนมัน 2 คน ผมกับเพื่อนคนไทยก็เลยอาสาไปส่ง…ซึ่งสมัยนั้นสนามบินสุวรรณภูมิเพิ่งกำลังถมทรายใหม่ๆ…ผมต้องไปส่งมันขึ้นเครื่องที่สนามบินดอนเมือง ไฟท์บินตี 4 นิดๆ นะครับแต่เราวางแผนว่าจะไปนั่งเล่นคุยกันต่ออีกสักนิดที่สนามบิน ผมก็เลยไปรับเร็วหน่อยคือ 3 ทุ่ม ตอนนั้นผมอาศัยอยู่กับน้องชายคนเล็กที่คอนโดฯ แถวบางกะปิ ก่อนออกไปผมก็สั่งเสียน้องชายสุดเลิฟไว้ซะเรียบร้อยว่า

“คืนนี้อาจจะไม่ได้กลับนะ ต้องไปส่งเพื่อนขึ้นเครื่องตี 4 อาจจะแวะหลับที่บ้านไอ้หน่องที่ดอนเมือง” ไอ้น้องชายตัวดีก็ใช้นิ้วดีดกีต้า… ติ่ง!…ติง!…ติ๋ง!….เป็นเชิงรับรู้…เราก็เอะใจทำไมวันนี้เพลงมันเศร้าจังเลยวะ…ขอบอกก่อนครับว่าปกติเวลาผมอยู่กับน้องชายคนนี้ เราคุยกันน้อยมาก ส่วนใหญ่จะใช้เสียงเพลงสื่อสารแทน….ถึงเพลงที่ตอบกลับมาจะเศร้าแต่เราก็ OK ปล่อยมันทิ้งไว้ที่นี้แหละเพื่อนรออยู่

จากนั้นผมก็วนรถไปรับไอ้หน่องแถวปากซอยลาดพร้าว 130 ก่อนจะขับเลยไปเข้าซอยลาดพร้าว 122 ทะลุออกซอยมหาดไทยถนนรามคำแหงเพื่อไปรับเพื่อนฝรั่งหลัง ม.รามฯ

เรามาถึงสนามบินดอนเมืองเกือบๆ 5 ทุ่ม ก่อนเช็คอิน…เราก็หาร้านดื่มกันตามประสา …คุยกันไปจิบเบียร์ขวดกันไปกระทั้งใกล้ถึงเวลาเช็คอิน เพื่อนฝรั่งที่เดินไปเช็คตารางเวลาก็เดินกลับมาแจ้งประมาณว่า ไฟท์บินดีเลย์เกือบๆ ชั่วโมง เพื่อนฝรั่งก็เลยให้เรากลับกันก่อน แพลนตอนแรกกะว่าจะไปนอนบ้านไอ้หน่องแถวๆ ดอนเมือง…แต่มันดั้น!ลืมหยิบกุญแจมาด้วย…เลยวนรถไปส่งมันที่เดิม….ผมเห็นว่าใกล้บ้านละไม่อยากรบกวนพ่อแม่เลยขอตัวกลับคอนโดดีกว่า

พอ…พอ..ผม กลับมาถึงห้อง….อนิจจา….กูอยากตาย….

….เปิดประตูก่อนซิไอ้บ้า!…..ครับๆ….พอประตูหน้าห้องเปิด อนิจจา….กูอยากตายขึ้นมาทันทีทันใด….

“อะไรกันเนี้ย!”….เศษแก้ว เศษขวดเบียร์…เหล้า น้ำแข็ง จาน ช้อน อาหาร อ๊วก….ส่งกลิ่นเหม็นฟุ้งกระจายไปทั้งห้อง แล้วน้องกูละ แม่งนอนแก้ผ้าเป็นลูกหมาเกลือกกลิ้งน้ำเปียกๆ อยู่กับพื้น

“สลบ หรือว่าหลับวะ” ตอนนั้นผมตกใจแทบยืนไม่อยู่ สติสะตังกำลังเรียบเรียง-วิ่งวุ่นอยู่ในหัว

“บ้าเอ้ย!”ผมใช้นิ้วอังที่จมูก (กลัวมันตาย) เมื่อสัมผัสถึงลมหายใจแผ่วๆ…ผมก็ใจชื่น สติกำลังมาแล้วละ ในหัวเกิดคำถามขึ้นมากมาย

#จะทำอย่างไรดี#

#ทิ้งไว้แบบนี้แหละ มันเป็นคนทำก็ต้องให้มันจัดการเก็บกวาดเอง#

#แต่สภาพแบบนี้…พรุ่งนี้จะตื่นไปทำงานไหวหรือเปล่าก็ไม่รู้#

#ว่าแต่มันเป็นไรของมันวะ….แต่ดูจากสภาพกูว่ามันอกหักชัว#

#เดี๋ยวพรุ่งนี้กูจะเล่นบ้างละ….แต่ถ้ามันอกหักจิตใจของมันกำลังอยู่ในช่วงอ่อนแอสุดๆ…ถ้าด่าแถมเผลอหลุดปากไล่….ถ้ามันหนีไปในสภาพนี้…เกิดมันคิดสั้น…ใช่! คนอกหัก กูก็เคยอกหัก ความคิดชั่ววูบอาจจะฆ่ามันได้…ถ้าน้องชายกูคิดสั้นขึ้นมา….กูจะทำอย่างไรวะ# ผมนั่งลงข้างร่างเปลือย ผมมองมันนิ่งๆ พยายามจ้องกะจะให้ถึงความคิดที่กำลังหลับของมัน

#ไม่ได้ กูจะด่าน้องในสภาพที่มันอ่อนแอแบบนี้ไม่ได้….ต้องให้กำลังใจมัน… ให้มันตื่นขึ้นมาในสภาพคนๆ ใหม่ ในสภาพที่มีเราเป็นที่พึ่ง….และมันก็คงต้องการเรามากๆ ในเวลานี้….กูผิดเองที่คืนนี้ไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนมัน…พี่ขอโทษ#

“พี่ขอโทษที่ไม่อยู่ในยามที่นายต้องการ….ขอโทษจริงๆ” ผมหลุดเสียงดังออกมา

เมื่อตอบบทสรุปดังนั้น…ผมจึงหาผ้าชุบน้ำเย็นมาล้าง มาเช็ดอ๊วกที่เปอะเปื้อนตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าให้น้องชาย เสร็จแล้วก็หาเสื้อผ้ามาสวมใส่…. สุดท้ายก็ค่อยๆ อุ้มร่างที่กำลังหลับขึ้นวางบนเตียงนอน…

#แล้วสิ่งของที่เหลือละ?#

เออ!….ไม่เป็นไรนะน้องนะเดี๋ยวพี่จะเก็บกวาดให้เอง…เมื่อคิดได้ดังนั้น ถังขยะ ไม้กวาด ไม้ถูพื้นก็มาอยู่ในมืออัตโนมัติ ผมเก็บกวาดเช็ดถูอย่างคนมีสติ เศษอาหาร เศษอ๊วกบอกความรู้สึกบอกรสชาติของความรักขมๆ ขื่นๆ อย่างชัดเจน น้ำที่เปียก เจิ่งนองอยู่บนพื้นคงจะมีน้ำตาจากความรักเจือ-ปะปนอยู่ไม่น้อย

คิดบวกในเมื่อผมไม่ได้อยู่ในเวลาที่น้องต้องการ ไม่ได้อยู่เช็ดน้ำตาให้ในยามที่มันยังอยู่บนแก้ม พี่คนนี้ก็ขอเช็ดน้ำตาของน้องบนพื้นแทนแล้วกัน…ในหัวก็คิด ขณะที่มือก็ไม่ยอมหยุดกระทั้งทุกสิ่งอย่างกลับเข้าที่

……เกือบสว่างแล้วละ….ผมเดินกลับไปนั่งลงข้างๆ มันแล้วใช้หลังมือแตะเบาๆ ที่หน้าผาก ประมาณกลัวว่าจะมีไข้…ซึ่งมันก็เป็นอย่างที่คาดการไม่มีผิด ผมรีบอาบน้ำแต่งตัวแล้วลงไปหาซื้อแผ่นลดไข้ใน 7-11 มาแปะหน้าผากให้มัน ขณะที่กำลังนั่งจ้อง ในหัวผมก็คิดข้ามไปยามที่มันตื่น

“ประโยคแรกจะพูดอะไรกับมันดีน้อ….ถ้าประโยคแรกไม่สวยอย่าหวังว่าประโยคต่อๆ ไปจะใสสด” ผมนิ่งคิด คิด และคิด

“มันจะเขินเราไหม….มันจะอายเราหรือเปล่า…ถ้าทักว่าสวัสดี เป็นไงบ้าง ปวดหัวอยู่หรือเปล่า ไข้ลดหรือยัง….ยิ่งเมื่อมันตื่นขึ้นมาเจอสภาพห้องปกติ….มันจะโต้ตอบเราอย่างไร….แต่ไม่หรอกน่าอย่างไรกูก็เป็นพี่มัน  เคยเลี้ยง-เคยดูแลมันมาตั้งแต่เด็ก แค่เช็ดถูทำความสะอาดให้….มันคงไม่เขินถึงกับหนีเตลิดเปิดเปิงหรอกน่า…”ผมใช้หลังมือแตะหน้าผากมันอีก แสงนีออนเวลาเกือบๆ 5 นาฬิกายังสีขาวสีกระดาษ… ผมเหนื่อยมาก พรุ่งนี้ต้องเข้าประชุมที่สำนักงานใหญ่ (สายๆ ก็ได้) ผมคิดก่อนจะเดินไปปิดสวิทซ์ไฟแล้วปีนบันไดสู่ชั้น 2 ….แต่ผมก็ยังไม่หลับ ทำอย่างไรก็ไม่หลับ

“เอาวะ! ทักทายให้แมนๆ หน่อยแล้วกัน…เอาให้มันหลุดยิ้มหรือหัวเราะออกมาเป็นอันดับแรกละกัน…ฮื้ออออออ…เป็นไงเมื่อคืนหนักเลยรึ!…..ไม่ๆ….มันไม่ขำแน่นอน….เสียดายเมื่อคืนไม่ได้อยู่เละด้วย….ไปทำงานไหวไหมเนี้ย!…อกหัก อย่าลักเหล้าแบล็คนะ….เออเข้าท่า เอาประโยคนี้แหละ”

เมื่อตอบบทสรุปเรียบร้อยผมก็หลับ….ตื่นอีกทีก็เห็นมันเดินออกมาจากห้องน้ำแล้ว

“อ้าว!…ไปทำงานไหวเหรอ” ผมถามก่อน ….มันพยักหน้า ผมเลยยิ้มเขินๆ ให้…เมื่อเห็นอารมย์ของมัน โอกาสของผมก็มาถึง “เสียดายเนอะ เมื่อคืนไม่ได้ก๊งด้วย….อกหักทั้งทีก็ไม่บอก เสียดายจังเลย” มันยิ้มเกือบจะหัวเราะครับ…. “อกหักไปแอบลักเหล้าแบล็คเลเบิ้ลในตู้โชว์มากินไหมเนี้ย….ขโมยได้แต่ห้ามฉี่ใส่ก็แล้วกัน” คราวนี้มันชะงัก…ผมก็คิด เอ้!….กูพูดแทงใจดำมันรึเปล่าวะ…แต่มันก็หน้าเสียไปแล้ว

“ผมไปทำงานนะ” มันบอกสั้นๆ ก่อนจะเร่งสาวเท้าออกจากห้อง….ก่อนจะได้ยินเสียงมันหัวเราะลั่นโถงทางเดิน

“หึ!…ชักจะไม่ปกติแล้ววะ” ผมเลยกระโดดลงจากเตียงตรงไปยังบาร์เครื่องดื่ม….พอยกขวดเหล้าแบล็คที่ยังอยู่ในกล่องสีดำขึ้นเช็ค….โอ้มายก๊อต!… มันเบาโหวงราวกับเป็นแค่กล่องเปล่าๆ…..หึ!….ขวดนี้ก็หมด กล่องนี้ก็เบา กล่องนี้อีก…อ้าวๆ….ขวดนี้ก็ไม่เหลือ….แม่งเอ้ย!…..” ผมหัวเสียอยู่พักหนึ่งก่อนจะหลุดเสียงหัวเราะตามมันไปติดๆ ฮ่า ฮ่า ฮ่า “เชี้ยเอ้ย!”

คิดบวก…. “มันไม่ฉี่หรือเติมชาเข้าไปเหมือนกับไอ้ริดกินแบล็คในโฆษณาก็บุญแล้ว….ฮ่า ฮ่า ฮ่า บ้าเอ้ย”

ครับ “คิดบวก ความสุขในมุมเล็กๆ” ตอน : อกหัก มารักเหล้าแบล็ค เอ้ย!….มาลักเหล้าแบล็ค ก็เป็นเช่นนี้ หากคืนนั้นผมขาดสติอาละวาด-ดุด่าน้องชายที่กำลังอ่อนแอ ผลของเช้าวันนี้จะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง น้องอาจจะทนไม่ได้ หนีหายไปที่ไหนสักแห่ง….ผลลัพธ์จะมาตกที่ตัวผมเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้หรือถ้าหนักไปกว่านั้น ผมก็จะโทษตัวเอง จมอยู่กับความผิดพลาด จมอยู่กับจุดๆ นี้ไปทั้งชีวิต

คิดบวก โลกเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน…คุณเชื่อไหมตั้งแต่คืนนั้นเป็นต้นมา น้องชายผมไม่เคยกินเหล้าจนขาดสติให้เห็นเลยสักครั้ง…เขาเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เชื่อฟังผมมากขึ้น รับฟังผมมากขึ้นและที่สำคัญเขาคุยกับผมแทนเสียงกีตาร์ เสียงเม้าออแกนมากขึ้นด้วย….

แต่นี้ก็ใกล้สิ้นเดือนละ…จดหมายทวงหนี้กองอยู่ตรงหน้า “โอ้ย! ทำไมมันเยอะขนาดนี้นะ”…..ค่าใช้โทรศัพท์มือถือ ไหนๆ แกะดูดิ! เดือนนี้เท่าไร….

“หา!….ต้าย ตาย ตาย กูตาย 3567 บาท….แม่งผิดรึเปล่าวะ ปกติไม่ถึงพัน…ไหนขอดูรายการโทรออกดิ ถ้าผิดงานนี้กูเล่นถึงบริษัทแน่ๆ…ฮื้ออออ…มึง….มึง….โอ้ยไอ้บ้าเอ้ย….น้องกู น้องสุดเลิฟทำพี่แล้วไหมละ….แม่งโทรอิท่าไหนของมันวะรวดเดียว 2655 บาท….ปี๊ด!…งานนี้กูปี๊ดขึ้นหัวเลย…..”

ครับก็เป็นซะแบบ…ผมก็แค่คนธรรมดาๆ มีโกรธ –มีโมโห… แต่ผมจะตั้งสติไล่เรียบเรียงให้เข้าที่ก่อนจะเร่งสลายความเครียดให้เร็วที่สุด…..วันนั้นผมโมโหอยู่ไม่ถึงชั่วโมงพออาบน้ำ-แต่งตัว-กินข้าวเสร็จสมองผมก็ไม่เหลือช่องว่างให้เรื่องเก่าเพราะวันนี้ วันพรุ่งนี้ยังมีเรื่องใหม่รออีกเยอะ….

คิดบวกๆ….คนที่อยู่ในอารมณ์อกหัก….คงไม่มีสติพอจะมาคิดถึงค่าใช้จ่าย… ผมมีว่ากล่าวตักเตือนเล็กน้อย…ซึ่ง เดือนต่อมาน้องชายก็เอาเงินมาคืน ผมเลยให้เขายัดเงินใส่ออมสินเก็บไว้เป็นของขวัญให้แม่ตอนสิ้นปีแทน…โคตรเท่เลยผมนะ….บิลที่ 2 ไม่อยากพูด เจ็บคอ!…สวัสดีครับ

(Visited 126 times, 1 visits today)