อาถรรพ์พยาบาท คิดบวกความสุขในมุมเล็กๆ
อาถรรพ์พยาบาท
หลังเรียนจบ…ผมไปทำงานที่จังหวัดเชียงใหม่ 3 เดือนก่อนจะกลับเข้ากรุงเทพฯ และย้ายที่ทำงานอีก 2 บริษัทจึงได้มาสิงสถิตที่บริษัทรับสร้างบ้านขนาด 6 สาขาบริษัทหนึ่ง…ผมเข้าทำงานในตำแหน่งสถาปนิก-รับผิดชอบ 2 สาขาคือสาขาถนนรามคำแหงกับสาขาถนนศรีนครินทร์ โดยผู้ใหญ่อนุญาตให้ผมเพียงคนเดียวขึ้นไปใช้ชั้น 3 จากทั้งหมด 5 ชั้นของออฟฟิตสาขาถนนรามคำแหง เป็นที่ซุกหัวนอน ผมก็ Happy ซิครับ—แต่จะมีอะไรเกิดขึ้นบนชั้นที่ว่านั้นละ…. คิดบวก ความสุขในมุมเล็กๆ ตอน “อาถรรพ์-พยาบาท” จะนำท่านไปสัมผัสความน่าสะพรึงกลัวที่ผมเคยสัมผัส-อยู่ร่วมกับมันเกือบ 10 ปี….จนหลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่า
ถาม : หากน่ากลัวจริงๆ ทำไมผมจึงทนอยู่ที่นั้นได้?
ตอบ : ก็เพราะว่าผมคิดบวกไง ผมจึงอยู่กับมันมาแล้ว….
ถ้าไม่เชื่อ….มา! ตาม Timmy มา…ไม่ต้องจุดธูปนะเพราะผมหายใจไม่ออกและแพ้ทางมันเอามากๆ ด้วย
ก่อนอื่นต้องขอ Detail ตึกแถวหรืออาคารพาณิชย์ที่ว่าคร่าวๆ ให้ได้ทราบก่อนนะครับ…มันก็ไม่มีอะไรพิเศษมากกว่าอาคารพาณิชย์ทั่วๆ ไป…มี 5 ชั้น-หลังคาเป็นดาดฟ้า…ชั้น1 เป็นสำนักงานขาย ชั้น 2 เป็นห้องประชุมกับห้องกรรมการผู้จัดการบวกห้องน้ำ โดยแต่งผนังยิบซั่มบอร์ดปิดบันไดขึ้นชั้น 3 ที่มีเพียงประตูขนาด 80 ซม. สูง 2.00 ม. เป็นทางเชื่อม ซึ่งพอเปิดประตูก็จะเจอกับบันไดคอนกรีตแคบๆ กว้างไม่ถึง 1 เมตรทันที โดยมีช่องหน้าต่างบานเปิดเล็กๆ ติดลูกกรงเหล็กดัดสีสนิทเป็นช่องระบายอากาศและให้แสงยามพลบค่ำส่องลอดเข้ามาได้เท่านั้น…ห้องพักผมพักอยู่บนชั้น 3 ก็จริง…แต่ต้องลงมาใช้ห้องน้ำชั้น 2 เพราะเหตุนี้หน้าต่างหลังบันไดจึงถูกแง้มไว้เกือบตลอดเวลา…ประมาณนี้นะครับ
ผมจำได้ว่า…คืนแรกที่ย้ายเข้ามา…สิ่งแรกที่ทำให้ผมนอนไม่หลับก็คือกลิ่นอับๆ เหม็นๆ ผมไม่ได้คิดเป็นอย่างอื่นนอกจากกลิ่นของอากาศที่อับชื่นเพราะถูกปิดตายไม่ได้ใช้งานมานาน สิ่งที่ 2 …เห็นจะเป็นเสียงแมวที่กำลังติดสัตว์นี้แหละครับ
#เหมียวววววววว…..ง้าววววววว……แมวววววว ง้าวววววววววว…# สลับกันร้องขึ้นๆ-ลงๆ ไอ้เรามันคนคิดบวกอยู่แล้วก็ปลอบใจตัวเองว่า…ไม่เป็นไร เพลินดี อย่างน้อยก็มีพวกมันเป็นเพื่อน…ตัวผู้เป็นแมวสีดำสนิทผมตั้งชื่อให้มันว่า “ไอ้คุณดำ” เป็นแมวขนาดกลางๆ ตัวเมียเป็นแมว 3 สีตัวใหญ่ ผมตั้งชื่อให้มันว่า “นางสาว 3 สี”
แต่พอนานวัน-หลายคืนเข้า คุณเอ้ยยยยย….ไอ้ Timmy อยากหาระเบิดมาบอม! ให้รู้แล้วรู้รอด พอไล่…พวกมันก็วิ่งตามกันลงบันไดแล้วกระโจนออกไปทางหน้าต่างช่องเดียวที่มี…พอกำลังเคลิ้มๆ จะหลับก็มาร้องหาพ่อง! มันอีกละ…
#เหมี้ยวววว ง่าวววว…..เมี๋ยววววว…..ง้าววววว# “ไอ้สัตว์เอ้ย!…”
ดอกนี้ยังไม่เท่าไร—พวกมันเกือบทำให้ผมหัวใจวายทุกครั้งก็ตอนเปิดประตูชั้น 2 จะขึ้นมาชั้น 3 นี้แหละครับ พอประตูเปิดผาง…ไอ้พวกแมวเวรตะไลก็กระโจนตามกันลงมาตามขั้นบันไดแล้วพุ่งลอดเหล็กดัดมุดออกไปทางหน้าต่างทุกครั้ง…ขอย้ำ ทุกๆครั้งจริงๆ…เวลาสติอยู่ครบไม่เท่าไร-แต่ไอ้ช่วงที่เราเผลอ-ไม่ทันระวังตัวนี้ซิ!… พรวดพราดกระโจนวูบ-ลากเงาสีดำผ่านหน้าผ่านตาไปวาบ!…เป็นคุณจะทำอย่างไร…ถ้าเป็นโรคหัวใจอยู่แล้วอาจถึงขั้นช็อกตายได้ง่ายเลยนะ….
“พรุ่งนี้เถอะมึง….กูจะไปหาซื้อปืนอัดลมมาไล่ยิงซะให้เข็ด”
บ่ายวันรุ่งขึ้นผมก็พกความเจ็บใจไปตลาดเปิดท้ายขายของที่ตะวันนาข้างห้างสรรพสินค้าเดอร์มอลล์บางกะปิ (แต่ก่อนเป็นแค่ตลาดเปิดท้ายขายของเก่า) ผมเลือกซื้อปืนอัดลมขนาดเหมาะมือพร้อมกระสุนสีเขียว-ฟ้าเม็ดเล็กๆ มาหลายห่อ กะคืนนี้จะเล่นไอ้แมว 2 ผัวเมียให้รู้ดำรู้แดงกันไปข้างหนึ่ง ในหัวก็วางแผนชั่วเอาไว้คราวๆ….
(ประตูขึ้นชั้น3 กูจะเปิดทิ้งไว้ก่อน พอกลับจะค่อยย่องไปปิดหน้าต่างด้านหลังเพื่อไม่ให้มันมีทางหนี…เมื่อประตูลงชั้น 2 ถูกล็อก-หน้าต่างเพียงบานเดียวถูกปิด…คราวนี้ละมึง ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ้า ฮ้า ฮ้า) ผมหัวเราะในใจอย่างคนชั่วช้าสามานย์ที่สุดใน 3 โลก ฮ้า ฮ่า ฮ้า ฮ่า…และหัวเราะเสียงดังขึ้นไปอีกเมื่อเวลาพลบค่ำ…ทุกอย่างเป็นไปตามที่วางแผน… ฮ่า ฮ้า ฮ้า ฮ่า….ยิ่งหัวเราะดังขึ้นเมื่อได้ยินเสียงวิ่ง เสียงดิ้นขลุกขลักอยู่บนชั้น 3 ฮ้า ฮ่า ฮ่า….ในมือกำปืนไว้แน่น ขณะนิ้วชี้สอดเข้าโก่งไกพร้อมลั่น….ฝ่าเท้ากำลังก้าวขึ้นบันไดทีละก้าว ที่ละขั้น… เมื่อยืนอยู่ลูกนอนขั้นที่ 4 ไอ้คุณดำก็โผล่พรวดให้เห็นเป็นตัวแรก ตามมาด้วยนางสาว 3สีภรรยาสุดที่รักของมัน… ผมชะงักจ้องตาพวกมันสักครู่ เมื่อกระสุนนัดแรกเข้าสู่รังเพลิง พวกมันจึงพากันวิ่งกลับไปหาที่ซ่อน
“ฮ่า ฮ้า ฮ่า…อยู่ไหนที่รัก….อยู่ที่ไหน….วันนี้พวกมึงเสร็จกูแน่….ฮ่า ฮ่า ฮ่า…เมี้ยวววว เหมี่ยววววว พ่อมีอาหารมาให้ออกมาให้ยิงซะดีๆ….ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ผมระเบิดเสียงหัวเราะแบบปีศาจพร้อมกับย่างสามขุมค้นหา – สายตาก็สอดส่ายราวกับปีศาจจ้องตะปบเหยื่อ….
“อยู่หลังตู้หรือเปล่า…ไม่มีๆ…หลังโมเดลใช่ไหมเอ้ย” และขณะที่ใช้เท้าเขี่ยรังกระดาษออกให้พ้นทาง นางสาว 3 สีก็กระโจนหายขึ้นไปบนชั้น 4 กระสุนยางเม็ดแรกลั่นตามก้นมันอย่างคนสะใจ #ปัง ปัง ปัง!#
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า…เจ็บไหมที่รัก….คราวนี้ก็เหลือแค่มึงกับกูแล้วแหละไอ้คุณดำเอ๋ย….ออกมาให้พ่อยิงกระบานซะดีๆ…อยู่ไหน อยู่ไหน… เหมี่ยววว เมี๋ยวววว….มามะมากินกระสุนสักลูกมะ!” ผมไล่เขี่ยกล่องกระดาษที่ซ้อนๆ กันอยู่หลายใบ ขณะเดียวกันก็เบี่ยงตัวกันไม่ให้ไอ้คุณดำวิ่งขึ้นชั้น 4 ตามเมียสาวของมัน…
“ไม่มีทางหนีหรอกมึง….ออกมาแดกกระสุนก่อนมามะ…มามะ…เหมี่ยวๆ เมี๋ยวๆ อยู่ไหนเอ่ย” และทันใดนั้นไอ้คุณดำก็พรวดพรวดออกจากหลังตู้ กระสุนยางในมือสาดไล่ตามก้นมันไม่หยุด #ปัง! ปัง! ปัง!# ราวกับห่าฝน เมื่อแม็กแรกหมด ผมก็ยัดแม็กใหม่เข้าแทนที่…. “ฮ่า ฮ่า ฮ่า วิ่งลงบันไดคิดว่าจะมีทางออกเหรอ….” ผมสะใจสุดๆ เมื่อต้อนมันเข้ามุมอับได้สำเร็จ (เมื่อประตู-หน้าต่างถูกปิดตายมันก็เป็นแค่แมวจนตรอก) ผมคิดขณะเบี่ยงตัวจากมุมผนังเพื่อจะเผชิญหน้ากับมันที่ระดับพื้นชั้น 2 “ฮ่าา ฮ่า ฮ่า เข้าล็อก…มึงเสร็จกู มึงเสร็จกู” ผมเห็นมันนอนหมอบนิ่งๆ ขณะที่ขนสีดำสั่นระริกอยู่กับพื้นปูนสีเทา
“มึงตาย!…..”.…#ปัง! ปัง! ปัง!# กระสุนเต็มแม็กก็สาดเข้าใส่…มันรนรานดิ้นหนีความตายสุดชีวิต กระโจนขึ้นตะกุยกระจกหน้าต่างช่องเดิมที่เคยลอดเข้าออกแบบแมวไม่คิดชีวิต เมื่อกระสุนแม็กที่ 2 หมด แม็กที่สามก็ถูกบรรจุ…
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไอ้คุณดำไอ้แมวผี…วันนี้มึงได้เป็นผีแมวสมใจอยากแน่ๆ…ฮ่า ฮ่า ฮ่า…” ผมระเบิดเสียงความสะใจออกมาอีก และขณะที่กำลังจะสาดกระสุนแม็กที่ 3 ….ไอ้คุณดำก็กระโจนเข้าใส่ผม… ผมตกใจกับพฤติกรรมจองหองของมัน…สุดท้ายมันก็วิ่งผ่านขึ้นสู่ชั้น 3 อีกรอบ…..คราวนี้ไอ้คุณดำมันทำให้ผมเจ็บใจหนัก…
“หยามกันชัดๆ….จะหนีไปไหนพ้น…ไอ้แมวบ้า ไอ้แมวผี…วันนี้มึงตายแน่….กูเล่นมึงตายแน่ๆ….” และจังหวะที่วิ่งตาม… เสียงของมันที่วิ่งวนหลังผนังยิบซั่มบอร์ดก็ยังวิ่งวนราวกับไม่มีทางหนีทางอื่นและทันทีที่ผมเบี่ยงมุมผนัง…ผมก็ต้องเผชิญกับแววตาที่มีความพยาบาทอยู่เต็มพิกัดของมันเต็มๆ
“ไอ้คุณดำ…มึงกล้ากับกูเหรอ…กล้าจ้องตากูเหรอ…มึง มึง มึง..” #ปัง! ปัง! ปัง!# ห่ากระสุนในมือสาดใส่มันแบบไม่เลี้ยง นาทีเดียวกันไอ้คุณดำก็วิ่งสวนทางกลับลงบันไดสู่ชั้น 2 สู่ที่เดิม….เสียงกระจกหน้าต่างแตกดังเพล้ง!…หยุดความคลั่งของผมได้ชะงัก…ผมนิ่ง…นิ่งพร้อมๆ กับชะเง้อมองตามลงไป
กระจกหน้าต่างถูกไอ้ดำพุ่งชนแตก ส่วนหนึ่งหล่นแตกกระจายอยู่กับพื้น อีกส่วนยังเป็นแง่งแหลมๆ รูปเขี้ยวฉลามค้างติดกรอบลูกฟักไม้….ผมตั้งสติ…ดึงสติกลับขณะเวลาผีตากผ้าอ้อมกำลังครอบคลุม ผมเดินกลับลงบันไดสู่แดดพลบค่ำสีอำพันช้าๆ ช้าๆ เศษกระจกที่แตกละเอียดอยู่กับพื้นปูนสีเทาปะปนไปด้วยสีแดงของเลือดสดๆ ขนแมวสีดำกระจุกใหญ่ติดที่แง่งเขี้ยวฉลามที่ยังไม่หล่น….
“กูขาดสติเป็นปีศาจร้ายขนาดนี้ได้อย่างไรกัน” ผมคิด คิด คิด ขณะห้วงสำนึกผิดก็ออกไล่ล่าสติ…สำนึกด้านบวก-ด้านลบโจมตีกันวุ่นวายในหัว
“ไอ้คุณดำ….มึงจะตายไหมเนี้ย”….(แต่แมวมีตั้ง 9 ชีวิตมันคงไม่ตายง่ายๆ หรอก) ผมละเมอแบบปลอบใจตัวเอง….สุดท้ายผมก็แง้มหน้าต่างที่แตกและมีกระจกรูปเขี้ยวฉลามพร้อมขนแมวสีดำให้อยู่ตำแหน่งเดิม โดยไม่คิดจะดึงขนแมวสีดำทิ้ง
“ปล่อยให้เตือนสติกูอยู่แบบนี้แหละ” พูดยังไม่ทันจบเลือดหยดสุดท้ายก็หยดแหมะออกจากขน…ผมเก็บกวาดเศษแก้ว-เช็ดเลือดที่พื้นจนสะอาด ก่อนจะพยายามลืมเหตุการณ์ในวันนั้น….แต่สุดท้ายมันก็ไม่ลืม ผมออกเที่ยว ไปเมา ไปจับเด็กกับเพื่อนๆ ที่ อา.ซี.เอ. ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ติดต่อกันหลายคืนกระทั่งซ่อนเรื่องเลวร้ายที่ตัวเองก่อขึ้นได้เกือบ 100%
อยู่ๆ คืนหนึ่ง…ผมกลับที่พักราวๆ ตี 3 ผมสัญญาเลยว่าคืนนั้นผมเมานิดๆ แต่ไม่ได้ขาดสติ- ยังรับรู้-ยังเห็นทุกอย่างครบถ้วน ผมคลำทางจากชั้น 1 ขึ้นชั้น 2 ด้วยความเคยชิน และเมื่อประตูชั้น 2 จะขึ้นบันไดสู่ชั้น 3 เปิดผาง!
เงาสีดำขนาดเท่าๆ สุนัขก็กระกระโจนพรวดพราดผ่านหน้า-ผ่านตาออกไปทางหน้าต่าง…ผมเสียววูบ – วาบเย็บเฉียบตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า (มันคือพฤติกรรมของไอ้คุณดำชัดๆ) ผมคิดในใจ เมื่อสติสะตังกลับมา ไฟชั้น 2 ทุกดวงสว่าง….สีขาวของแสงนีออนไล่เงารัตติกาลจนไม่เหลือสีดำให้เห็น ผมนั่งสั่นเป็นเจ้าเข้าอยู่กับเก้าอี้นวมในห้องประชุม พระพุทธรูปบนหิ้ง ก็ยังนั่งนิ่งๆ อยู่ที่เดิม…และคืนนี้ผมก็ยังเห็นพระพุทธรูปเป็นแค่งานปติมากรรมอันเป็นศิลปะแขนงหนึ่งเช่นเดิม… ผมไม่เคยรู้จักพระพุทธรูปมากไปกว่านี้…(ท่านไล่ผีแมวให้ผมไม่ได้แน่นอน) ผมคิดขณะใช้หลังมือเช็ดเหงื่อ
เมื่อเวลาช่วยหล่อเลี้ยง – บำบัดจนสติกลับคืนสู่ร่าง ผมเป่าลมออกทางปากเป็นการปลุกปลอบ…ก่อนขุดพลังด้านบวกออกมาใช้งาน…จนกระทั้ง ตี 3 เกือบครึ่ง ผมก็ตัดสินใจเดินกลับไปที่ประตูบานนั้น ใช้สตินำทางสู่บันไดทีละขั้น.. เมื่อแสงไฟชั้น 3 สว่างขึ้นมา…ผมจึงตัดสินใจมองกลับลงไปยังหน้าต่างบานนั้น เศษกระจกรูปเขี้ยวฉลามกับขนแมวสีดำยังติดอยู่ที่เดิม….ผมคิดอย่างคนสำนักผิด อยากขอโทษไอ้คุณดำถ้ามันยังมีชีวิตอยู่ อยากสารภาพผิดถ้ามันเสียชีวิตไปแล้วด้วยตัวเอง…ผมเดินเข้าไปหยิบปืนอัดลมเจ้าปัญหาในห้องนอนแล้วเดินลงบันไดกลับลงสู่ชั้น 2 ผมใช้สติจ้องเศษกระจกรูปเขี้ยวฉลามที่มีขนไอ้คุณดำแห้งๆ ติดอยู่ ผมค่อยวางปืนลงบนขอบหน้าต่างช้าๆ ก่อนส่งคำภาวนาขออโหสิกรรมอย่างคนมีสติ…
“ไอ้คุณดำ…ถ้ามึงตายไปแล้วและหากวิญญาณของมึงในโลกมืดมีจริงๆ กูอยากขอโทษที่ได้ทำกับมึง…ปืนกระบอกนี้คือด้านลบที่กูหลงมัวเมา…กูสัญญาต่อจากนี้…กูจะใช้สติให้มากขึ้น…ถ้าความเกลียดชังที่มึงมีให้กูยังค้างคา กูก็ขอให้มึงลงโทษกูจนกว่าจะหนำใจ แต่หากมึงมีสำนึกด้านบวกที่แรงกล้า …กูจะขอนับถือมึงเป็นเสมือนอาจารย์เอาไว้เตือนสติของตัวกูเอง…” ผมภาวนาขณะที่มือกำลูกกรงเหล็กดัดสีสนิมจนรูสึกถึงเหงื่อชุ่มในฝ่ามือทั้ง 2 ข้าง ผมส่งลมหายใจอุ่นๆ ไปให้ไอ้ดำอีกสักครู่…ก่อนจะเดินกลับขึ้นสู่ชั้น 3 แต่ขณะที่แสงไฟ ดับพรึบลง เศษกระจกรูปเขี้ยวฉลามที่มีขนสีดำติดอยู่ก็หล่นกระทบด้ามปืนก่อน 2 สิ่งจะตกลงไปกระแทกพื้นเสียงดัง #เพล้ง!#
ผมเปิดสวิทซ์ไฟอีก เศษกระจก รวมทั้งปืนอัดลมแตกกระจายแยกเป็นส่วนๆไปคนละทิศ คนละทาง…ผมยิ้มพร้อมกับนึกถึงไอ้คุณดำ… ดึงไอ้คุณดำขึ้นมาเตือนสติ เหมือนกับมันคืออาจารย์คนหนึ่ง…. ผมยิ้มพร้อมกับส่งคำภาวนาไปยังความว่างเปล่าเบื้องล่าง ก่อนจะปิดไฟสู่สีดำ ปล่อยให้ทั้งหมดอยู่ที่ไอ้คุณดำจะตัดสิน
“มึงจะทำอะไรก็ลงมือได้เลย…กูพร้อมรับโทษแล้วเพื่อน”
ครับ…คิดบวก ความสุขในมุมเล็กๆ ตอน “อาถรรพ์-พยาบาท”…หากผมไม่ตั้งสติ ไม่ขุดพลังงานด้านบวกขึ้นมาใช้งาน ผมก็คงเป็นอีกคนหนึ่งที่หลงงมงายอยู่ในโลกไสยะ – โลกที่ตื่นทั้งๆ ที่หลับ – โลกที่เห็นทุกสิ่งทั้งๆ ที่หลับตาสนิท – โลกที่สัมผัสได้แบบคนละเมอ -และโลกที่ได้กลิ่นความกลัวทั้งๆ ที่ไม่มีตัวตนให้กลัว….คิดบวกทำให้ผมผ่านเรื่องราวลี้ลับอยู่กับความลี้ลับที่ตึกหลังนั้นเกือบ 10 ปี…ใครก็ตามที่กำลังเผชิญเรื่องราวลี้ลับแบบเดียวกัน…ผมเชื่อคุณสามารถผ่านมันไปได้…แค่คิดบวก…คิดแบบมีเหตุ-มีผล คิดอย่างคนมีสติ….แล้วความสุขในมุมเล็กๆ แบบของคุณก็จะเติบโตให้เห็น….ไสยะกลัวเรื่องจริง ไสยะกลัวพลังด้านบวกเชื่อผมนะ