อูคาชิ เซดะ นินจาเลือดซามูไร Part2 สมรภูมิปักษา24 อ่านเพิ่มเติม สมรภูมิปักษา24
หมวดหมู่: สมรภูมิปักษา
สมรภูมิปักษา23
สมรภูมิปักษา22
สมรภูมิปักษา21
สมรภูมิปักษา20
สมรภูมิปักษา19
อูคาชิ เซดะ นินจาเลือดซามูไร Part2 สมรภูมิปักษา19
สมรภูมิปักษา19
ใต้เงาร่มจันทร์
เช้าวันต่อมา
แดดบางๆ แทรกเป็นลำแสงผ่านกลุ่มเมฆสีขุ่นเทาที่กระจัดกระจายเกลื่อนฟ้าลงมาจนถึงพื้นดินได้หลายจุด เดือนมิถุนายนสัปดาห์ที่ 2 ยังไม่ปรากฏมรสุมเผยตัวแสดงพลังอำนาจ เบ่งบารมีที่เหลือล้นให้เห็น ต้นจันทร์ข้างบ้านก็กำลังแทงช่อดอกเล็กๆ อยู่เต็มต้น มันส่งกลิ่นเชิญชวนล่อหมู่ผึ้ง แมลง ให้เข้ามาดอมดม จนเกิดเสียงครางหึ่งๆ จนคล้ายเสียงเฮลิคอปเตอร์หลายร้อยลำกำลังทำหน้าที่อยู่แถวนั้น มินาโมโต โคทาโร่ยืนมองทุกสรรพสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตามครรลองแห่งธรรมชาตินิ่งๆ เขาอยู่ในชุดนายทหารญี่ปุ่นเต็มยศ…และปล่อยจิตเยี่ยงชิโนบิที่พึ่งถูกกระตุ้นกลับคืนมาลองอ่านสัญชาตญาณบริสุทธิ์จนลืมช่วงเวลาสงครามที่ยังคงดำเนินอยู่ไปชั่วขณะ
……….
“แม้จะตัวเล็ก….แต่ก็ยังสร้างสิ่งยิ่งใหญ่ได้เกินฝัน
รวมพลังเป็นหนึ่ง…….จากเพื่อนพร้องมิตรสหาย”
มินาโมโต โคทาโร่
……….
เขาก้าวเข้าไปยืนใต้ร่มเงาของต้นจันทน์อย่างช้าๆ แต่สายตายังจับจ้องอยู่ที่เดิมราวกับไม่อยากพราดฉากสำคัญที่กำลังดำเนินอยู่ นาทีนั้นซองจดหมายสีขาวที่ตีตราสัญลักษณ์พิเศษบอกถึงความลับสูงสุดของกองทัพญี่ปุ่นก็หล่นจากกระเป๋าสีดำที่ถืออยู่…ไม่นานจันทร์หอมที่ก็เดินผ่านมา เหมือนนางจะลงไปข้างล่าง
“จันทร์หอม คืนนี้ข้าอาจจะไม่ได้กลับ…หากพบสิ่งใดผิดปกติ ต้องรีบส่งข่าวให้ทุกคนรู้ทันที…ก่อนจะสายเกินไป” โคทาโร่พูดเป็นนัย
“มีอะไรหรือ…” จันทร์หอมถามกลับด้วยท่าทีสงสัย
“ใต้ร่มเงาต้นจันทน์หอม…ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะมานั่งพักผ่อนที่นี้…มันทำให้หายใจได้โล่งปอดจนถึงลูกของเรา”
“โอะฮะโยโกะไซมะซึ…ส วัส ดี ตอนเช้า นายหญิง” เสียงทหารญี่ปุ่นดังที่เชิงบันได
“จิโระ…สวัสดีตอนเช้าคะ…” จันทร์หอมทักตามความคุ้นเคยพลางหันไปก้มหัวให้ทหารญี่ปุ่นอีก 5 นาย ที่ยืนรอโคทาโร่อยู่ที่ลานโล่งหน้าบ้าน
“ข้ากำลังจะไป” โคทาโร่พูด เขาพยักหน้าให้จิโระอีก… “เมื่อคืนมีอะไรเกิดขึ้นไหม” เขาถามต่อเป็นภาษาญี่ปุ่น
“สะพานหมายเลข 7 เราซ่อมเสร็จทันรถขนเสบียงผ่านมาได้…เรียบร้อยดี” จิโระตอบ
“อื้อ!…” โคทาโร่พยักหน้าก่อนจะหันมาพูดกับจันทร์หอมอีกที “ตอนเย็นข้าจะให้เรียวตะ มาตรวจครรภ์เจ้าอีกสักครั้ง” เขาก้มหัวชายตาไปยังใต้ต้นจันทร์หอมเหมือนจงใจจะบอกอะไรบางอย่าง “เราไปกันได้แล้วจิโระคุง” เขาพูดและผ่านจิโระตรงไปยังกลุ่มทหารญี่ปุ่น…จันทร์หอมมองตามหลังอย่างไม่เข้าใจ
“ข้าไปก่อน ตอนเย็นถึงจะมาพร้อมกับหมอเรียวตะอีกครั้ง” จิโระพูด และก้มหน้าให้จันทร์หอมนิดๆ ก่อนจะเดินตามโคทาโร่ไปอีกคน
“โคทาโร่!” จันทร์หอมเรียก โคทาโร่หันมายิ้มบางๆ ให้ แต่นางไม่รู้เป็นอะไรถึงอยากจะเรียกชื่อเขาซ้ำขึ้นมาอีก “โคทาโร่…” น้ำเสียงของนางเบาจนติดอยู่ในคอ โคทาโร่พยักหน้าให้และเดินนำทหารห่างไป จันทร์หอมยืนมองจนทั้งหมดลับมุมโค้ง หัวใจนางเริ่มหวิวๆหน่วงลึกจนผิดปกติ “โคทาโร่ ฉันเป็นคนไทย โคทาโร่” นางพึมพำอย่างคนแบกรับบางสิ่งเอาไว้จนเต็มทั้ง 2 บ่า แต่ก็เดินไปนั่งลงม้านั่งเก่าๆใต้ร่มต้นจันทร์ตามที่โคทาโร่แนะนำ “โคทาโร่…” ทุกอย่างเวลานี้ดูเหมือนจะมีแต่ชายคนที่นางเกลียดเข้ามาแฝงอยู่ในทุกๆอณู “ไม่นะ…เขาเป็นคนฆ่าพี่โมก…เขาเป็นคนฆ่าสามีเรา” จันทร์หอมพึมพำแต่มือกลับลูบท้องนึกนึกเขา ความรู้สึก 2 อย่างกำลังจะทำให้นางแยกไม่ออกว่า อันไหนคือความรู้สึกที่แท้จริงอันไหนคือภารกิจที่นางต้องสานต่อให้จบ “มันเกิดอะไรขึ้น” นางถามตัวเองแต่พลันสายตาที่มองต่ำก็เจอเข้ากับ…
“จดหมาย…” จันทร์หอมอุทานในลมหายใจเดียว นางหยิบมันขึ้นมา ตราประทับสีแดงเป็นอักษรญี่ปุ่นที่แนวเปิด ทำให้นางนึกถึงคำพูดของโคทาโร่ที่เพิ่งจะสั่งเมื่อครู่ขึ้นมา
#จันทร์หอม คืนนี้ข้าอาจจะไม่ได้กลับ…หากพบสิ่งใดผิดปกติไปจากเมื่อวาน ต้องรีบส่งข่าวให้ทุกคนรู้ทันที…ก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป#
“โคทาโร่ คุณกำลังบอกอะไรฉันกันแน่” นางชั่งใจกับภาษาที่อ่านไม่ออก แต่คำพูดของเขาก็ส่อเจตนาชัดเจนว่ามันหมายถึงอะไร “ต้องรีบส่งข่าวให้ทุกคนรู้ ก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป”นางย้ำตามคำบอกที่ได้ยิน “โคทาโร่…” และก็ลังเลในเวลาเดียวกัน
“ไม่…คุณเป็นญี่ปุ่น คุณฆ่าสามีฉัน คุณฆ่าพี่โมก” จันทร์หอมตอกย้ำ…และเสียงเป่าลมออกจากปากแรงๆเหมือนนางจะตัดสินใจบางอย่าง…
“เรไร อยู่ไหน…เรไร ไปกับแม่เดี๋ยวนี้”
……….
เวลาต่อมา
แสงแดดตอนสายๆ ไล่ตามหลังจันทร์หอมกับเรไรไปอย่างไม่ลดละ นางเร่งฝีเท้าไปตามทางเดินเล็กๆเลียบไปกับแม่น้ำเพชรบุรี นางเดินตรงไปยังสะพานไม้เก่าๆที่ใช้ข้ามไปยังชุมชนอีกฟาก ดอกกระดุมเงินกระดุมทองกลีบเล็กๆสีเหลืองดารดาษตลอด 2 ข้างทาง เด็กน้อยหยุดและเด็ดมันไปเป็นระยะๆ เธอก้มไปเด็ดดอกนั้นหอมดอกนี้ ก่อนจะวิ่งตามแม่ที่เดินล่วงหน้าไปก่อนให้ทัน และอดก้มลงเด็ดอีกดอกไม่ได้เมื่อเห็นว่าใหญ่กว่า สวยกว่าจนเต็มกำมือ
“เรไร เร่งตามแม่ให้ทัน” จันทร์หอมท้วง จนเด็กน้อยต้องออกแรงวิ่งตามมาอีก จันทร์หอมจับแขนลูกสาวไว้แน่นก่อนจะพาเดินข้ามสะพานไม้สูง เด็กน้อยยิ้มหน้าบานพลางชูดอกไม้ที่ถืออยู่ในมือให้แม่ดู
“หนูจะเอาไปฝากยาย” เธอพูดเสียงใสก่อนจะวิ่งกำดอกไม้สีเหลืองลงสะพานล่วงหน้าไป
………
จนกระทั้ง…
“จันทร์หอม…นี้มันเป็นจดหมายลับสุดยอดของกองทัพญี่ปุ่นเลยนะ” ขามกดเสียงต่ำในขณะใช้มือแกะซองจดหมายออกมาดู
“มันเป็นภาษาญี่ปุ่น” เขาบังคับไม่ให้ความตื่นเต้นหลุดจนเกินขอบเขต…แต่เหงื่อกาฬก็ผุดฟ้องแล้วเวลานั้น
“ฉันหวั่นใจว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้นในคืนงานเลี้ยง…” จันทร์หอมพูดอย่างคาดเดา แต่มือทั้งสองข้างก็ยังบีบกันแน่นจนชุ่มเหงื่อ
“พี่จะเอาไปให้คุณมนตรีแปล หากมีอะไรจะรีบส่งข่าว” ขามพูดเร็วและพับจดหมายยัดคืนใส่ในซองเหมือนเดิม “เอ็งต้องเข้มแข็งนะ…เวลานี้ทุกอย่างกำลังเป็นไปด้วยดี” ขามกดเสียงพูดต่อ จันทร์หอมพยักหน้าอย่างเกร็ง…แต่ในแววตากลับไม่มั่นคงเสียแล้ว
“ระวังตัวนะพี่”
“อื้อ!…เอ็งก็เช่นกัน”
……….
“อย่าเสียสละ…………….เพียงอยากเห็นเงาตัวเองในเหลี่ยมเพชร
เพราะจะยิ่งน่าสมเพช…เมื่อเหลี่ยมเพชรสะท้อนแสงต่างมุม”
จันทร์หอม ธารารักษ์
……….
สมรภูมิปักษา18
สมรภูมิปักษา17
สมรภูมิปักษา16
สมรภูมิปักษา15
สมรภูมิปักษา14
สมรภูมิปักษา13
สมรภูมิปักษา12
สมรภูมิปักษา11
สมรภูมิปักษา10
สมรภูมิปักษา9
สมรภูมิปักษา8
สมรภูมิปักษา7
อูคาชิ เซดะ นินจาเลือดซามูไร Part2 สมรภูมิปักษา7 อ่านเพิ่มเติม สมรภูมิปักษา7
สมรภูมิปักษา6
อูคาชิ เซดะ นินจาเลือดซามูไร Part2 สมรภูมิปักษา6
สมรภูมิปักษา6
เงาปิศาจ
“จันทร์หอม…จันทร์หอม” เสียงเรียกเบาๆ ของชายหญิงดังสลับกันไปมาที่เชิงบันได ในขณะที่จันทร์หอมกำลังจะดับไฟเข้านอน
“ใคร ใครนะ” นางแข็งใจตะโกนถามทั้งๆ ที่ยังหวาดระแวง แต่ก็บังคับน้ำเสียงให้เข้มแข็งสมกับเป็นหัวหน้าครอบครัวในยามที่สามีถูกจับไปเป็นเชลยสงคราม…
“ข้าเอง ขามกับมยุรี เรามีเรื่องสำคัญจะบอก” เสียงตอบกลับมาทำให้ลมหายใจของนางโล่งเบาขึ้น นางละแขนออกจากหัวของลูกสาวที่ใช้หนุนต่างหมอนจนหลับและกระชับผ้าห่มให้บุตรสาวก่อนจะคว้าตะเตียงน้ำมันเดินออกมาจากห้อง
“มีอะไรพี่…มาค่ำๆ มืดๆ” จันทร์หอมถามด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งติดคอ แต่ก็พยายามจะเข้มแข็งให้มากที่สุดเช่นเคย ทั้ง 3 นั่งลงกับพื้นระเบียง มยุรีสาวม่ายวัยเดียวกับนางรีบกระเถิบเข้าไปใกล้ๆจนเกือบชิดเหมือนจะบอกอะไรบางอย่างที่เป็นความลับ แต่ขามก็แทรกขึ้นก่อน
“พวกข้ามีเรื่องสำคัญบอก” เขาเว้นจังหวะและขยับเข้าใกล้ๆทั้ง 2 อีก จันทร์หอมรู้สึกเย็นวาบขึ้นทันที แต่นางก็พยายามจิกมือกับแผ่นพื้นเอาไว้แน่น
“นายทหารที่ชื่อ มินา…มินา โ มโต เอ่อ โค…โร ที่พวกเจ้าสนิทสนมกันอยู่นั้นแหละ” ขามพูดช้าๆ ยิ่งทำให้จันทร์หอมรู้สึกโหวงเหวงหน่วงลึกเข้าไปอีก นางสูดอากาศเข้าจนเต็มปอดค้างไว้ ก่อนจะผ่อนมันออกมาช้าๆ “นาย มินาโมโต โคทาโร่…มีอะไรหรือ พี่ขาม”
“ให้ฉันเล่าดีกว่า…เอ็งต้องทำใจดีไว้นะคือเรารู้มาว่าที่นายโคทาโร่ไม่พยายามจะช่วยโมกนั้นก็เพราะว่า…เอ่อ เพราะว่าเขาแอบชอบเอ็งอยู่…”
“หา!…อะไรนะพี่…ไม่…เป็นไปไม่ได้” จันทร์หอมอุทานปฏิเสธ
“เขาไม่ช่วยผัวเอ็งตั้งแต่แรก ก็เพราะเขาหวังในตัวเอ็ง…” ขามเสริมต่อในความหมายเดียวกัน เวลานี้ความรู้สึกหวิวๆ หวาดๆ…กำลังจะทำให้นางควบคุมตัวเองไม่ได้
“พรุ่งนี้นายโคทาโร่ อะไรนั้น จะไปตามผัวเอ็งที่กาญจนบุรี ข้าเกรงว่า…เขาจะไม่ปล่อยให้ไอ้โมกกลับมา” มยุรีพูดอย่างเกรงๆในที แต่ก็ใช้อีกมือโอบกระชับจันทร์หอมเอาไว้
“ไม่…โคทาโร่ ไม่ใช่คนอย่างนั้น เขาจะไปช่วยพี่โมก” จันทร์รีบแก้ต่างตามที่ตนเองรู้สึก
“เราก็ภาวนาขอให้มันเป็นอย่างนั้น…เอ็งต้องใจเย็นๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก คืนนี้มยุรีจะมานอนเป็นเพื่อน” ขามบอกพลางใช้มือดับแสงตะเกียง “ข้ารู้สึกเหมือนมีคนกำลังจ้องเราอยู่” ขามพูดต่อในท่าทีหวาดๆ ตาก็มองซ้ายทีขวาที จนจันทร์หอมและมยุรีที่นั่งอยู่ติดกันพลอยเป็นไปด้าย
“จริงหรือพี่ขาม” มยุรีถามเสียงสั่น
“อย่าถามอะไรตอนนี้” ขามกระซิบ “พวกเอ็งเข้านอนได้แล้ว ข้าก็จะรีบกลับเช่นกัน” แต่จันทร์หอมก็ยังนิ่ง…นางเริ่มกลัวแต่เรื่องราวของโคทาโร่ก็แวบเข้ามาในหัวจนไม่อาจหยุดคิดได้ง่ายๆ
“เจ้าไม่จำเป็นต้องเชื่อพวกข้าตอนนี้ มยุรีรีบพาจันทร์หอมเข้าห้องได้แล้ว ข้าจะได้ไปเสียที” ขามกำชับอย่างไม่ไว้ใจกับความมืด
“เออ…ระวังตัวด้วยนะพี่” มยุรีบอกส่งและหันไปสะกิดจันทร์หอมอีกคน “จันทร์หอม…”
“ขอบคุณนะพี่” จันทร์หอมพูดและขามก็เร่งเดินลงบันไดไปเงียบๆ เขาหายไปตามทางเดินเล็กๆเลียบแม่น้ำเพชรบุรี…สักครู่เสียงวิ่งด้วยความเร็วสูงก็ฟ้องทั้ง 2 ให้ต้องรีบเข้าไปภายในห้องนอนด้วยความตื่นกลัวพอกัน…
……….
อีกมุมหนึ่ง
#หึๆ หูเบา…ใช้ได้ทีเดียว หึๆ ฮาๆ…# น้ำเสียงและภาษาที่ไม่คุ้นหูดังออกมาจากความมืด มันแผ่วเบาเสียจนคล้ายเป็นส่วนหนึ่งของเสียงลำไผ่เบียดกอ “ฮึๆ…” แต่เสียงหัวเราะครั้งหลังสุดมันชัดเจนโดดออกมาจากทุกๆ สรรพเสียง…เหมือนจะดังขึ้นที่ปลายต้นไม้สูงที่กำลังสั่นไหวทางทิศตะวันตก “ฮาๆ…” และค่อยๆ ดังไกลออกไปเรื่อยๆ…ฮาๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
……….
เช้ามืดวันต่อมา
ที่ค่ายทหารญี่ปุ่นจังหวัดเพชรบุรี มินาโมโต โคทาโร่ พาความสับสนออกจากร่างที่ยังนั่งจมอยู่กับกองเอกสารตรงหน้า เขาไม่ลืมที่พรางร่างที่เพิ่งแยกออกมาเดินออกไปหยุดนิ่งที่ริมระเบียงชั้น 2 อย่างคนกำลังคิดไม่ตก จนแววตากังวลตกอยู่ที่พื้น สักครู่ร่างพรางพร้อมกับดาบคาตานะ มูโตก็ลอยสูง เขาโผข้ามหลังคาโรงครัว กดปลายเท้าส่งต่อที่สันหลังคาอาคารเรือนเพาะชำและอีกครั้งที่ยอดต้นมะปราง ไล่ไปตามยอดไม้จนลับหายออกไปนอกค่าย
(ข้าคิดถึงบ้าน คิดถึงคาโกคุมะ คิดถึงซากุระ คิดถึงเพลงดาบซามูไรที่เทียวบรรเลงรอบแล้วรอบเล่าใต้เงาต้นสนมซึ คิดถึงเจ้ากิเบะ ม้าสีน้ำตาลทองตัวใหญ่ ที่ข้าเห็นน้ำตาของมันครั้งแรกในวันสุดท้ายที่ข้าจากมา ท่านพ่อข้าคิดถึงท่าน) มินาโมโต โคทาโร่ยืนพร่ำพรรณนาผ่านเสียงสื่อ ในขณะที่ใจกำลังสับสนหน่วงลึกเจ็บช้ำๆอยู่กับผู้หญิงที่ชื่อจันทร์หอม ฝ่าเท้าติดนิ่งท้าสายลมอยู่เหนือยอดตาลโตนดสูง เขาปล่อยให้คืนร่างกลับดังเดิมเพื่อเฝ้ารับแสงอรุณทางทิศตะวันออก มันอาจจะเป็นวันสุดท้ายที่จะได้อยู่ท่วมกลางดงตาลแห่งนี้ มรดกจากบรรพบุรุษนินจาช่วยพยุงร่างที่หนักอึ้งของเขาบนใบตาลที่แผ่รูปพัดได้อย่างสบาย…
ไม่นานนักแสงแรกที่โหยหาก็ไต่ระดับขึ้นมาจากเงามืด มันสว่างขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาชิโนบิที่ใช้นำทางออกมาจากค่ายทหารก็กระพริบถี่ๆติดกันหลายครั้งเพื่อปรับลดแสงสีเขียวอมเหลืองเข้าสู่เฉดปกติ เขาทิ้งจังหวะรอจนแสงสีแดงส้มลามกรีบเมฆ มันค่อยๆเปลี่ยน เป็นสีอำพันสาดลำแสงดุจท่ออากาศจากสวรรค์มากระทบกับตัวเขา เสียงนกกาที่จับคอนหลับอยู่ตามกิ่งไม้ใกล้ๆ เริ่มส่งเสียงจ้อกแจ้กจอแจ ประหนึ่งพวกมันกำลังส่งสัญญาณปลุกกันและกัน สักพักปีกทั้ง 2 ข้างที่ปกคลุมไปด้วยขนบางๆ ก็เริ่มขยับ พวกมันโปกสะบัดไปมาหลายครั้งเหมือนสะลัดน้ำค้างในคืนหนาวให้หมด ก่อนตัวใหญ่ที่เป็นหัวหน้าฝูงจะออกบินนำล้อแสงแรกและตัวอื่นๆก็ล่อนถลาตามออกไปติดๆ บางตัวเหินไต่ระดับสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ก่อนจะทิ้งดิ่งพุ่งสู่แรงโน้มถ่วง มันสะบัดปีกพรึบเดียวทิศทางสู่ความตายก็เปลี่ยนเหินขึ้นสู่ลมบน…และสิ่งนั้นเองที่เพิ่มความเจ็บปวดให้กับซามูไรหนุ่มจากคาโกคุมะให้เจ็บปวดช้ำยิ่งขึ้น
“ความสุขของพวกเจ้าช่างหาได้ง่ายซะเหลือเกิน” โคทาโร่พึมพำ เขาดึงดาบคาตานะที่เหน็บอยู่ข้างลำตัวขึ้นมาพิจารณาตราสัญลักษณ์ประจำตระกูลที่ด้ามจับประสานเข้ากับดวงอาทิตย์ที่กำลังลอยพ้นยอดไม้ ยิ่งสูงเท่าไรมันก็ยิ่งทำให้ตราสัญลักษณ์สะท้อนความทรงจำกับตราสัญลักษณ์อีกดวงที่ลอยเด่นอยู่เหนือผนังด้านหน้าประตูทางเข้าห้องลับที่ปราสาทมินาโมโตได้ชัดเจนมากขึ้น เขาสูดลมหายใจเข้าสู่ปอดจนฝ่าเท้าที่แตะใบตาลลอยสูงขึ้นและมันก็ค่อยๆ ลดระดับลงสู่จุดเดิมเมื่อลมหายใจถูกปล่อยทิ้งออกไป
(คืนสุดท้ายที่บ้านมินาโมโต ข้าเห็นแสงจากดวงโคมสะท้อนปีกทั้งสองข้างของนกกระเรียนขยับขึ้นลงอยู่กลางดวงอาทิตย์สีแดง จนคล้ายมันจะกลับมีชีวิต) เขาขบคิดเทียบกับภาพฝูงนกกับดวงอาทิตย์ในเวลานี้ “คงจะเป็นเพราะเจ้าซินะ ที่ได้นำทางข้าสู่มหาสงครามเอเชียบูรพาที่นี้ และนำทางให้ข้ามาพบกับความรัก…หึๆ ความรักกลางสนามรบเฉกเช่นเดียวกับท่านพ่อ…” เขาพึมพำหลุดเป็นเสียงเบาๆ…
(ข้าไม่มีอะไรมาจากคาโกคุมะ นอกจากมูโต เจ้าเป็นสิ่งเดียวที่ใช้แทนความคิดถึง เป็นที่พึ่งทางใจยามเมื่อข้าสับสน และเป็นสิ่งเดียวที่ข้าใช้แทนเข็มทิศชีวิตชี้นำอนาคตที่ข้าไม่เห็นทางออก) เขาเทียวลูบไล้ที่ด้ามจับหนังปลากระเบนไปมา ก่อนจะเก็บมันเข้าที่เดิมทันทีที่ดวงอาทิตย์ลอยสูงขึ้น
(กระเรียนจากบ้านมินาโมโตแห่งเมืองคาโกคุมะ ทางทิศเหนือของ กรุงเกียวโต ประเทศญี่ปุ่นกำลังสยายปีกทั้งสองข้างโบยบินล้อกับแสงแรกเหนือดงตาลเมืองเพชรบุรีทางทิศใต้ของกรุงเทพฯประเทศไทย ข้าช่างเป็นความเหมือนที่แตกต่าง…ดุจมองเหรียญประจำตระกูลผ่านกระจกเงาโดยแท้) โคทาโร่คิดไปเรื่อย แต่สิ่งที่อยู่ในใจมาตลอด 2 คืนก็สำแดงฤทธิ์
“…จันทร์หอมเจ้ารู้ไหมว่าทุกเสียงเต้นของหัวใจ มีแต่ชื่อของเจ้า…มันเทียวเรียกชื่อเจ้ามากกว่า 90 ครั้งต่อนาที” โคทาโร่ตะโกนจนสุดกลั้น เหมือนอยากจะให้อีกคนในบ้านที่เขาเห็นเพียงหลังคาสีสนิมที่ขอบทุ่งหลังแนวกอไผ่ที่ไกลสุดสายตาได้ยิน “ข้าเจอนางช้าไป…ท่านพ่อข้าเจอนางช้าไปจริงๆ”
………..
อาบอรุณรุ่งลามข้ามแผ่นฟ้า
ช่อมาลาชบาบางกางรับแสง
หมู่ภมรมวลผีเสื้อเมื่อแมลง
ขยับปีกจ้องแสงท้าถลาลม
ชวนเจ้าเอยหวังเชยชิดเสน่หา
ปองมาลาหากลิ่นแก้วตามเกสร
หวานน้ำผึ่งหวังกลีบลิ้มรสลอง
พลางเพียงจองมองมาลีที่หมายเชย
.………
“พิษรักใยทำให้ข้าทรมานเช่นนี้ จันทร์หอม…”
……….
“ความรัก……………….สังหารขุนศึก
มิใช่…………………..สงคราม 10 ทิศ”
มินาโมโต โคทาโร่
……….
ความหวังสุดท้าย
“พ่อนาย…พ่อนาย…ไม่ไปได้ไหม” เสียงเด็กหญิงวัย 6 ขวบยืนถือลูกจันทร์สีเหลืองทอง วิงวอนนายทหารญี่ปุ่นที่ลานโล่งหน้าค่ายทหารด้วยดวงตาที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา เธอพยายามจะยิ้มในขณะที่ริมฝีปากแนบสนิทเป็นเส้นตรง มินาโมโต โคทาโร่ทรุดนั่งข้างๆ พร้อมกับดึงเธอเข้ามากอดแทนคำปลอบโยนที่ยังนึกไม่ออก เขาอุ้มเธอและส่งยิ้มในแบบของเขา เธอเบะหน้าเหมือนจะระบายสิ่งที่อัดอั้นออกมา เพียงเท่านั้นมือของจันทร์หอมก็กระชากตัวเธอกลับคืน
“แม่ไม่อนุญาตให้ร้องไห้อีกแล้ว เรไร…พ่อจะต้องกลับมา” จันทร์หอมดุเสียงแข็ง แต่โคทาโร่ก็ดูออกว่านางกำลังพยายามจะเข้มแข็งให้ลูกสาวเห็น หรืออาจจะกระทบกระเทียบใครบางคน ซึ่งอาจจะเป็นเขาในเวลานี้
(อะนะทะโอะ โอฌิเทะอิมะซึ…ข้าอยากจะเอ่ยคำๆ นี้กับเจ้า) โคทาโร่คิดอย่างนั้นและจงใจส่งมันผ่านสายตาให้ไปถึงจันทร์หอม นางจ้องเขานิ่งๆ แต่คนที่สะดุ้งหน้าเสียจนดูหมองลงไปกลับเป็นหมอไอซึเกะ เรียวตะ ที่ยืนอยู่คู่กับฮาราชิ จิโระอยู่ด้านหลัง
“ข้า…ข้าจะดูแลนางให้เอง คุณชาย…ไม่ต้องเป็น เป็นห่วง” ไอซึเกะ เรียวตะ รีบรับปากและหันหน้าหนีไปทางอื่น โคทาโร่พยักหน้าขอบคุณ… “เที่ยวนี้ ข้าให้ฮาราชิ จิโระไปเป็นเพื่อน” ไอซึเกะ เรียวตะพูดต่อ และก็หลบสายตาของโคทาโร่ไปอีกเช่นเคย
“ข้าขอไปเองแหละ…” จิโระหักหน้าเรียวตะพลางมองเพื่อนทั้ง 2 สลับกันไปมา อย่างไม่เข้าใจในท่าที
(คุณชายจะทำให้ข้าหลับ…) เรียวตะพยายามเบี่ยงเบนความรู้สึกที่แท้จริงเพื่อมิให้โคทาโร่รู้ทัน
(ข้าจะไม่ทำอย่างนั้น เพียงแต่ข้ากำลังสงสัยในความผิดหวังที่ฉายออกมาของเจ้า)
(คุณชายแปลความหมายของมันผิดแล้วละ) เรียวตะโต้กลับ พร้อมกับฝืนยิ้มในแบบของเขาให้เพื่อน
(ฝากดูแลนาง…ที่เสมือนหัวใจของข้าด้วย) โคทาโร่สั่งด้วยเสียงสื่อ เขาหันหลังเดินไปขึ้นรถขนเสบียงที่จอดพร้อมอยู่แล้ว โดยไม่รู้เลยว่าคำพูดนั้นได้เล่นงานเรียวตะเข้าให้แล้วจริงๆ…
(ข้าเป็นชายและวันนี้ข้าก็เป็นทหารขององค์จักรพรรดิ ข้าไม่มีสิทธิ์ในความรู้สึกนี้…ข้าไม่มีสิทธิ์ในความรู้สึกเยี่ยงนี้) เรียวตะเบือนหน้าหลบมุมเพื่อสกัดกั้นความรู้สึกของตัวเองให้อยู่…
“นาย…โค ทา โร่ ช่วยพี่โมกด้วย” จันทร์หอมหยิบลูกจันทร์สีเหลืองทองในมือของเรไร แล้วเดินรี่เข้าไปส่งให้ “พี่โมก คือทุกอย่างของฉัน…” นางพูดต่อและเว้นวรรคถ่ายเทความรู้สึกจากดวงตาสู่ดวงตาอีกคู่ “ได้โปรดอย่าฆ่าพี่โมก…อย่าฆ่าลมหายใจของฉัน…โคทาโร่” เป็นเสียงสุดท้ายที่ติดเอาความเจ็บปวดมาด้วย…โคทาโร่ปิดตาสู่สีดำอยู่นาน…มันบาดลึกเข้าไปข้างในจนเกินจะทนไหวแล้วเวลานี้
………..
ฝุ่นดินคลุ้งฟุ้งดั่งม่านพรางกั้นหลัง
เห็นเงารางร่างของนางค่อยจางหาย
เสียงของเจ้าเฝ้าหลอนหลอกบอกมิคลาย
ใจสลายมลายลับไปกับเงา
โอ้เชยแท้แม่ดอกแรกตะแบกป่า
ช่อมาลามาเด่นบานยามใบร่วง
พร่างชูช่อชมพู-ขาวพราวเป็นพวง
เปลี่ยนอมม่วงสรวลเป็นเศร้ายามเจ้าโรย
……….
“ความรัก สังหารขุนศึก โคทาโร่ มิใช่ สงคราม 10 ทิศ…ทำใจให้ลืมนางซะ” ฮาราชิ จิโระพูดจริงจังกว่าทุกวัน…และเป็นครั้งแรกที่ดวงตาของเขาฉายแววความฉลาดเฉียบแหลมออกมาให้เพื่อนเห็น โคทาโร่นิ่ง ความรู้สึกหน่วงลึกยังติดแน่นอยู่ข้างใน จนยากที่จะทำใจได้…
(ได้โปรดอย่างฆ่าพี่โมก) เป็นเสียงวิงวอนของจันทร์หอมที่แวบเข้าถึง “ไม่!…ข้าจะไม่ฉวยโอกาสนั้น…เขาเป็นเพื่อนข้าเป็นเพื่อนที่แสนซื่อ…เขามิได้ทำอะไรผิด…”
……….
“มิตรแท้…………………….มิใช่ทอง
ที่ต้อง……………………….พิสูจน์ไฟ”
โมก ธารารักษ์
……….
## จบ สมรภูมิปักษา6 ##
สมรภูมิปักษา5
อูคาชิ เซดะ นินจาเลือดซามูไร Part2 สมรภูมิปักษา5
สมรภูมิปักษา5
อีกมุมหนึ่ง
“คุณชาย…คุณชายข้าร้อนใจ” เสียงเรียวตะดังขึ้นที่ร่างพรางของโคทาโร่ในห้องทำงาน เขารีบสลับร่างกลับไปและพาอีกร่างสะกดรอยตามคนทั้งสามไปห่างๆ
“มีอะไรเรียวตะ…อ้าว!จิโระคุง เจ้าไม่ได้ออกไปขนเสบียงกับคนอื่นด้วยรึ” โคทาโร่ขมวดคิ้วถาม ทันทีที่เห็นจิโระเดินตามหลังเรียวตะเข้ามาด้วย
“คืนนี้ข้าสลับหน้าที่กับโอจิ…ที่ต้องไปส่งจดหมาย”
“ข้าเกรงว่าจะเกิดเรื่อง…จิตพิรุธข้าบอกอย่างนั้น” เรียวตะแทรกขึ้นอย่างคนร้อนใจ
“ใจเย็น เดี๋ยวข้าไปดูเอง…พวกเจ้าอยู่ที่นี้รอคำสั่ง” โคทาโร่พูดเร็วพร้อมๆ กับลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเร่งฝีเท้าออกจากห้องพอพ้นสายตา เขาก็ดีดร่างพรางนั้นหายเข้าไปในความมืดทันที
“เดี๋ยวก่อน…ข้าไปด้วย” จิโระและเรียวตะพูดขึ้นพร้อมกันแต่ก็ช้าไปเสียแล้ว
“นี้คือคำสั่ง เพิ่มยามรักษาการโดยรอบ แล้วข้าจะรีบกลับมา” เสียงของโคทาโร่ดังออกมาจากที่ไหนสักแห่ง
“อ้าว!…โคทาโร่ ไปไหนแล้วละ” จิโระอุทานด้วยความแปลกใจ
“นี้คือสงคราม อย่างสงสัยอะไรให้มาก ทำหน้าที่ของเจ้าให้ดีที่สุด ก็พอ” เรียวตะสมทบอย่างขึงขังอีกคน
“ครับผม” จิโระรับและเดินแยกไปอย่างเกรงๆ
(คุณชายมินาโมโต จะตายเพราะผู้หญิงคนนั้นไม่ได้เป็นอันขาด) เรียวตะให้คำมั่นกับตัวเอง แววที่ชัดเจนยิ่งกว่าคำพูดกำลังฉายอย่างที่ตั้งใจออกมา (ข้าไม่เข้าใจตัวเอง…คุณชายข้าไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไม?) นาทีเดียวกันเสียงสื่อที่โคทาโร่เผลอหลุดก็แววเข้ามาในหัว
(หากโมกตาย…ข้าก็มีโอกาส)
“คุณชาย!”
……….
และอีกมุมหนึ่ง
โคทาโร่ไม่เสี่ยงกับเสียงฝีเท้าที่เดินย้ำน้ำฝน แต่เขาดีดตัวข้ามตันไม้ตามไปห่าง
“เร่งเข้า…เร็วๆ” นานๆ ครั้งเสียงขู่กระโชกจะดังขึ้น และดูเหมือนแผ่นหลังของจันทร์หอมจะแอ่นเพราะคมมีดที่จ่ออยู่ทุกครั้ง โคทาโร่กัดฟันแน่นพร้อมกับดีดตัวพาร่างที่ไม่ต่างอะไรกับไอน้ำข้ามพุ่มไม้เตี้ยอ้อมไปอีกด้านที่สามารถเห็นคนทั้ง 3 ชัดเจนขึ้น แต่อีกร่างของนายทหารญี่ปุ่นก็พุ่งตามเขามาติด ไม่มีเสียงดังเกินสายฝนที่กำลังกระชากปลายไผ่ โคทาโร่พุ่งตัวตามจันทร์หอมไปข้างหน้า แต่ก็ดูเหมือนจะช้ากว่าอีกร่างในเงามืด มันกระโจนเข้าใส่เขาดุจเสือกระหายตะปบเหยื่อ แต่อยู่ๆ ร่างทั้ง 2 ก็รวมกันเป็นหนึ่งเดียว “จันทร์หอม…อดทนไว้จันทร์หอม” เขาพึมพำด้วยอารมณ์เดียวกัน
“ให้เร็วกว่านี้…ชิ!…มึงก็อย่าร้องไห้มากนัก กูรำคาญ” เสียงชายคนดังกล่าวหันไปตวาดใส่เรไร จนความกลัวบังคับให้เธอเงียบ เขาใช้มีดบังคับจันทร์หอมให้เดินลัดพุ่มไม้เตี้ยๆเพื่อออกสู่ถนนลูกรังที่เวลานี้ไม่ต่างอะไรกับบ่อโคลนสีแดง รอยเท้าใหม่ๆ ไม่ต่ำกว่า 30 คนมุ่งตรงไปทิศเดียวกัน มันบอกบางอย่างว่าข้างหน้ากำลังมีสิ่งไม่ปกติ โคทาโร่ดีดตัวอ้อมแนวก่อไผ่ กะระยะให้เข้าใกล้พวกเขาให้มากที่สุด และแล้วเสียงกรีดร้องของจันทร์หอมที่เสียดแทงหัวใจก็ดังขึ้น…“พี่โมก!…”
โคทาโร่ไม่รอช้าเขาอาศัยลมพายุที่กำลังหมุนเป็นวงกลมหอบร่างเขาลอยข้ามยอดไม้ตรงเข้าไปหา ทันทีที่ภาพในแสงสีเขียวอมเหลืองปรากฏกลางสายฝน ศพของทหารญี่ปุ่นที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณก็ปรากฏให้เห็น โดยมีกลุ่มชายฉกรรจ์อีกจำนวนหนึ่งกำลังจับโมกมัดมือไขว่หลังนั่งติดกับรถบรรทุกที่มีเสบียงอยู่เต็มคัน เขาอยู่ในสภาพที่อิดโรยจากการถูกทำร้ายอย่างสะบักสะบอม
“พี่โมก!” …มีเลือดสดๆ อาบไปทั่วทั้งใบหน้า เสียงจันทร์หอมสั่นเครือและดังขึ้นไปอีก
“จันทร์หอม…เรไร…” แต่เสียงของโมกกลับเบาสนิท
“พี่อย่าทำอะไรเมียกับลูกข้าเลยนะ” โมกหันไปขอร้องกลุ่มชายฉกรรจ์ที่ยืนค้ำหัวพลางพยักหน้าอ้อนวอนไล่ไปทีละคน
“พวกกูมีทางเลือกให้มึงทางเดียว…นั้นก็คือเลิกเป็นขี้ข้าไอ้ยุ่นซะ แล้วเอาความซื่อของมึงมาช่วยพวกกู…ไม่อย่างนั้นมึงพ่อ แม่ ลูกก็จะกลายเป็นศพ…ถุย!…” มันถ่มน้ำลายใส่โมกอย่างโสโครก “ไอ้ขี้ข้า…”
“เป็นศพของคนทรยศต่อประเทศชาติ…” อีกคนแทรกตาม
“มึงอยากให้มันเป็นอย่างนั้นรึ…” และอีกคนก็เดินเข้ามากระชากผมของจันทร์หอมพร้อมกับเอามีดปลายแหลมจ่อที่ลำคอ สติของโคทาโร่แทบจะขาดผึง
“อย่าพี่…ข้ายอมแล้ว…ข้ายอมแล้ว” แต่เสียงของโมกแผดร้องเรียกสติเขาเอาไว้ “พี่โมก…” ทันทีที่ชายคนดังกล่าวปล่อย จันทร์หอมก็โผเข้าไปกอดสามีแน่น
“ก็เท่านั้น…ชิ!…ทำดีต่อประเทศชาติต้องให้ออกแรงบังคับ…ไอ้พวกขี้ข้า” เขาสบถเผยอลิมฝีปากสูง “ถุ้ย!…ฮึๆ” มันถ่มน้ำลายใส่อีกรอบ แสงจากฟ้าแลบสว่างวาบเป็นช่วงๆ สะท้อนให้เห็นรอยยิ้มที่สะใจของกลุ่มชายฉกรรจ์ที่ยืนคุมเชิงอยู่รอบๆ อย่างชัดเจน “ฮาๆๆๆๆ”
“ขนของลงจากรถให้หมด เราจะบุกเข้าไปในค่ายแล้วเผามันให้สิ้นซากในคืนนี้…ฮาๆ…ฮาๆ” เสียงหัวเราะดังขึ้นพร้อมๆ กัน “ฮาๆ….” แต่เสียงฟ้าคำรามที่ไล่มาจากทิศใต้ข้ามไปจรดทิศเหนือก็กลบเสียงสะใจแบบเหี้ยมๆ ของพวกมันไปจนหมดสิ้น
หลังจากนั้นคนอีกกลุ่มที่นั่งรออยู่รอบๆ ก็เข้ามาช่วยกันขนเสบียงลงจากรถแล้วทยอยหายไปข้างทาง อีกกลุ่มหนึ่งก็จัดการเปลี่ยนชุดกับร่างไร้วิญญาณของทหารญี่ปุ่น เสร็จสรรพพวกเขาก็ช่วยกันลากศพทหารเหล่านั้นหายเข้าไปอีก
“ไป…ได้เวลากลับค่ายแล้วพวก” ทหารญี่ปุ่นตัวปลอมเดินเข้ามาฉุดโมกให้ลุกขึ้น พร้อมกับลากเขาไปนั่งคู่กับคนขับที่ด้านหน้า จันทร์หอมได้แต่ยืนอุ้มเรไรสะอื้อเป็นพักๆ อยู่กับที่
“ถ้ามึงปากโป้ง…พ่อแม่ลูกจะกลายเป็นผีเฝ้าทุ่ง…จำข้อตกลงนี้ให้ขึ้นใจ” อีกคนขู่ก่อนจะเดินไปขึ้นรถที่กำลังแล่นลุยโคลนฝ่าสายฝนไปอย่างช้าๆ จนกระทั้งแสงสีขาวจากไฟรถหายลับมุมโค้งต้นอินทนิล กลุ่มชายอีกกลุ่มก็หายเข้าป่าละเมาะพร้อมกับเสบียง แต่จันทร์หอมก็ยังยืนอุ้มเรไรอยู่ที่เดิม นางก้าวขาไม่ออกและคิดไม่ตก นางควรจะเดินไปข้างหน้าหรือถอยหลังกันแน่ “พี่โมก” เสียงของนางรำพึงรำพัน โคทาโร่กระโจนเข้าไปหยุดในระยะแค่มือเอื้อมถึง เขาประคองร่างของจันทร์หอมอีกมือหนึ่งก็ใช้มันปิดปากของนางเอาไว้ แววตาที่เป็นมรดกมาจากนินจาก็หยุดเสียงร้องของเรไรเอาไว้ได้ทัน
“จันทร์หอม…นี้ ข้า เอง โคทาโร่…โคทาโร่ อย่า เอะ ไป” นางดิ้นขัดขื่นเล็กน้อยแต่เมื่อรู้ว่าเป็นเขา นางก็พยักหน้ารับ
“นาย…ช่วยพี่โมกด้วย…” นางพร่ำไม่หยุดที่ได้สติ โคทาโร่ปล่อยมือ พยักหน้ารับหลายครั้ง (หากโมกตาย ข้าก็มีโอกาส) แต่ก็ห้ามความคิดแวบหนึ่งของตัวเองไม่ได้ในเวลานั้น
“ตามข้ามา…” เขากระซิบก่อนจะเดินนำพวกนางตามรถขนเสบียงไปห่างๆ “เรไรจะไม่ร้องไห้อีก” โคทาโร่บอกพร้อมกับมองหน้าเด็กน้อยเพื่อสำรวจ จันทร์หอมพยักหน้าอย่างไม่เหลือทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้ จนกระทั้งรถเสบียงที่ว่างเปล่ามาถึงหน้าค่าย ทหารที่เข้าเวรอยู่ก็สาดแสงไฟสปอร์ตไลท์ใส่รถของพวกเขา ทหารกว่า 20 คนที่ยืนอยู่ต่างถือไฟฉายเดินเข้ามาสำรวจอย่างรีบเร่ง โคทาโร่เห็นหนึ่งในจำนวนทหารญี่ปุ่นปลอมพูดตอบเป็นภาษาญี่ปุ่นได้อย่างคล่องแคล่ว
(มันต้องเป็นคนญี่ปุ่นแน่ๆ) โคทาโร่ตั้งข้อสังเกต แต่เสียงของจันทร์หอมก็แทรกขึ้นทางด้านหลัง “พวกนั้น…เป็นพ่อค้าที่เคยค้าขายกับคนญี่ปุ่นก่อนสงคราม”
(เรียวตะคุง…เตรียมทหารคุมเชิงจนกว่ารถเสบียงจะเข้าถึงคลังเก็บ) โคทาโร่สื่อเสียงไปบอก
(ข้าพร้อมแล้ว)เสียงสื่อจากเรียวตะตอบกลับขมๆ…โคทาโร่แยกร่างพรางบางๆ ออกจากร่างที่ยืนอยู่ เพื่อไม่ให้จันทร์หอมเห็น เขาใช้ร่างพร่างโปร่งๆ กระโจนข้ามรถขนเสบียงเข้าไปด้านใน จนเกิดอุโมงน้ำฝนเป็นทางยาว “เจ้านิ่งๆ ไว้ก่อน…” อีกร่างหนึ่งของโคทาโร่ก็กำชับ
“ฝนตกหนัก…..ทางปิดพวกข้าไปเอาเสบียงไม่ได้” เสียงพูดเป็นภาษาญี่ปุ่นอย่างคล่องแคล่วดังขึ้นอีก
“ไม่ได้เด็ดขาด เพราะเรือส่งเสบียงจะจอดเทียบท่าได้ไม่เกิน 5 ชั่วโมง” ทหารยามแจ้งเสียงดัง
“เราต้องเข้าไปเอาน้ำมันเพิ่มเติม” ทหารญี่ปุ่นปลอมพูดต่อ ทหารยามสาดแสงไฟฉายมาที่โมก และใบหน้าที่ขึงขังก็พยักหน้าต่อกันเป็นทอดๆ
“ไปได้…แต่พวกเจ้าต้องรีบตามให้ทันคันอื่นๆ” และเสียงจากสวรรค์ก็ดังขึ้น ในที่สุดรถคันนั้นก็แล่นผ่านเข้าไปข้างในได้อย่างง่ายดาย
………..
แต่เมื่อรถจอดสนิทที่หน้าคลังเก็บ
“หยุด!” เสียงฮาราชิ จิโระก็ดังขึ้นพร้อมๆกับปลายกระบอกปืนของทหารญี่ปุ่นกว่า 50 นาย พวกเขาถูกจับแล้ว
……….
แต่อีกคนหนึ่ง
“คุณชายข้านึกไม่ถึงว่าจะตัดสินใจให้ออกมาเป็นอย่างนี้” เสียงเรียวตะเหมือนรู้ทันกระซิบในระยะใกล้
“…” โคทาโร่ในร่างบางๆ ที่ไม่มีใครมองเห็นจ้องหน้าเขา แต่ก็ไม่หลุดคำพูดใดๆออกมา
“คุณชายมินาโมโต……ต้องตายเพราะผู้หญิง มิใช่สงคราม….คุณชาย!…คุณชาย!” เรียวตะกดเสียงต่ำไล่ตามร่างพร่างนั้นไป แต่โคทาโร่กลับมีแต่ภาพจันทร์หอมเท่านั้นที่กำลังยืนรอเขาอยู่ในความมืด
“นางปลอดภัย…นางต้องอยู่ได้เมื่อไม่มีสามี” โคทาโร่พึมพำเหมือนจะปลอบใจตัวเอง แต่คำพูดของเรียวตะก็ทำให้ความเชื่อมั่นที่มีเริ่มสั่นคลอน (นางต้องอยู่ได้…นางต้องอยู่ได้)
……….
“เมื่อใด…………….ที่กล้าทรยศต่อความรู้สึกของตัวเอง
เมื่อนั้น……………………….สติที่ขาดหายจะกลับคืนมา”
ไอซึเกะ เรียวตะ
……….
มิตรภาพกับความรัก
วันรุ่งขึ้น การพิพากษาคดีโดยนายทหารญี่ปุ่นก็มีขึ้นที่ลานคอนกรีตหน้าค่าย พวกเขาถูกตัดสินให้ตกเป็นเชลยสงคราม ไม่ต่างกับฝรั่งที่ถูกจับกุมไปก่อนหน้านี้ จันทร์หอมร้องไห้ตั้งแต่เมื่อคืน จนบัดนี้นางเป็นลมไปแล้ว 3 รอบ ทุกๆความรู้สึกที่พรั่งพรูออกมาดูเหมือนโคทาโร่จะสัมผัสมันได้เป็นอย่างดี…ยิ่งนางเจ็บปวด ความรู้สึกผิดก็ยิ่งบาดลึกเข้าไปเล่นงานเขามากขึ้น…แม้แต่แววตาที่ผิดหวังของเรียวตะเอง มันก็ยิ่งตอกลิ่มให้อัดแน่นจนแทบจะระเบิดออกมา (ข้าเพียงแต่รักนาง…) เป็นความคิดด้านเดียวที่เขาใช้แก้ตัวเพื่อให้ยืนอยู่ได้…
(คุณชายเลยเลือกที่จะทรยศต่อมิตรภาพ…ที่โมกมีให้) เสียงสื่อของเรียวตะต่อว่า
(แต่ข้าก็รักนาง…และจะรักนางให้มากกว่าโมก) โคทาโร่แก้ตัว…อย่างคนตาบอด
(คุณชาย!…) เรียวตะตวาด พลางเผยอปากด้วยความผิดหวังใส่ แต่ก็ไม่เข้าใจความรู้สึกอีกด้านที่ฉายออกมาของตัวเอง
“พวกเขาเป็นคนไทย…เป็นเจ้าของประเทศ…เราต่างหากที่เข้ามาบังคับให้พวกเขาทำอย่างนี้…เพราะฉะนั้นมันไม่สมควร…” และอยู่ๆ ความรู้สึกผิดทั้งหมดก็บังคับให้โคทาโร่พูดออกมาตรงๆ จนนายทหารระดับสูงหันมาจ้องหน้าเขา เหมือนจะฆาตโทษอีกคน
“ทั้งหมดจะต้องไปสมทบกับเชลยฝรั่งที่กาญจนบุรี ในตอนบ่าย…วันนี้!” เสียงนายทหารผู้ตัดสินย้ำประโยคสุดท้ายด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาด พร้อมๆกับหันมาเขม่นโหนกแก้มใส่โคทาโร่ “ไม่มีอุทธรณ์” เขาย้ำต่อเสียงแข็ง และพาใบหน้าที่เรียบตึงเดินจากตรงนั้นไปทันที
“นาย…ช่วยพี่โมกด้วย” จันทร์หอมละล่ำละลักเหมือนจะขาดใจ นางทรุดตัวลงนั่งกับพื้นพร้อมกับดึงเรไรเข้ามากอด
(ข้าพลาดรึนี้….ข้าเห็นแก่ตัวรึนี้)โคทาโร่ย้อนตัวเอง
(…หัวใจของข้าเวลานี้ทำไมมันว่างเปล่า…จนหาความรู้สึกที่แท้จริงไม่เจอ คุณชาย) สำเนียงอูราคามิ
“พี่โมกคือทุกอย่างของฉัน โคทาโร่…พี่โมกถูกบังคับ พี่โมกไม่ผิด” เสียงพูดปนสะอื้นลอยออกมาอีก ฮาราชิ จิโระทำหน้าขึงขังเพื่อกลบความรู้สึกเศร้า…แต่ข้างในเหมือนจะร้องไห้ตามจันทร์หอมไปอีกคนแล้ว
“ข้าไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น ระหว่าง เจ้า เรียวตะ จันทร์หอม และโมกเพื่อนรักข้า แต่ทั้งหมดล้วนทำให้ข้าเสียใจ” จิโระยื่นหน้ากระซิบโคทาโร่ เหมือนไม่อยากให้อีก 3 คนได้ยิน และเขาก็หันหลังเดินอ้อมไปทางโรงเก็บอาวุธ
(ข้าต้องรับผิดชอบ…) โคทาโร่ทรุดตัวลงนั่งข้างๆจันทร์หอม เขาอยากจะกอดพวกนางใจแทบขาด แต่ก็ทำไม่ได้
“จันทร์หอม…” โคทาโร่เรียกเบาๆ แต่จันทร์หอมยังกอดบุตรสาวตัวเองแน่น กลุ่มคนไทยที่ยืนมุงดูต่างวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆนานา
“หากเจ้าคือดอกไม้กลางสนามรบที่กำลังเหี่ยวเฉา ข้านี้แหละจะใช้เลือดแทนน้ำรดให้เจ้าเอง…” โคทาโร่พูด แต่จันทร์หอมกลับเงยหน้าที่เปียกชุ่มขึ้นมาจ้องเขาด้วยอารมณ์ที่ต่างออกไป “….จันทร์หอม!” โคทาโร่อุทาน จันทร์หอมลุกพรวดพราด อารมณ์อีกด้านของนางก็ทำให้โคทาโร่ถึงกับเซถลา
“คุณชาย…” เรียวตะทรุดช้อนร่างเขาเอาไว้ จันทร์หอมอุ้มเรไรลุกขึ้น พร้อมกับถอยห่างเขาออกไป 3 ก้าว
“พี่โมกคือทั้งชีวิตของฉัน…โคทาโร่!” นางตะโกนใส่เขาสุดเสียง “เรา 3 คน มีชีวิตเดียว…” และนางก็ตะโกนใส่พร้อมกับน้ำตาที่จวนจะเป็นสายเลือด
(คุณชาย…คุณชาย…ตั้งสติ…ตั้งสติ) เสียงเรียวตะกระตุ้น
“ข้าต้องรับผิดชอบ…” โคทาโร่พูดอย่างคนสำนึกผิด แต่จันทร์หอมก็ได้อุ้มเรไรเดินห่างไปไกลแล้ว
………..
เฝ้าเจ็บเฝ้าช้ำเจ้าเอย เฝ้าเคยเฝ้ารักเฝ้าฝัน
เฝ้าคิดเฝ้ารักนิรันดร์ เฝ้าฝันถึงวันสองเรา
บัดนี้วันนี้เดี่ยวนี้ ตรงนี้ที่นี้เคยหลง
เคยเฝ้าเคยรักอนงค์ โฉมยงใยหมางห่างไกล
……….
“เรียวตะคุง ข้าต้องรับผิดชอบ..”
“หมายความว่า…”
“ข้าต้องรับผิดชอบ”โคทาโร่ย้ำประโยคเดิมซ้ำอีก
“ข้ า ต้ อ ง รั บ ผิ ด ช อ บ”
……….
“หัวใจของผู้กล้า…………………จะสะท้อนใสดุจกระจกเงา
มีเพียงความขลาดขุ่นบางเบาเท่านั้น……..ประหนึ่งศัตรู”
มินาโมโต โคทาโร่
……….
## จบ สมรภูมิปักษา5 ##