ฉันกับนางฟ้าตัวกลม ตอนที่34

ฉันกับนางฟ้าตัวกลม ตอนที่34

ฉันกับนางฟ้าตัวกลม ตอนที่34 นิยายอ่านฟรีจบเรื่อง บ้านเล็กกลางป่าสน2

ฉันกับนางฟ้าตัวกลม ตอนที่34

หลังจากนางฟ้าตัวกลมกลับไปแล้ว ความวังเวงก็ถาโถมเข้าใส่ แต่มันกลับเป็นความวังเวงที่ทำให้ผมหายใจหายคอได้โล่งถึงจุดที่ลึกสุด ผมเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตตามรหัสที่เขียนด้วยลายมือหวัดๆ แปะไว้ข้างกล่องสีดำหลังทีวีจอใหญ่  แรกๆ กะว่าจะไม่ติดต่อกับโลกภายนอก แต่ความจริงผมยังไม่ถึงขั้นเป็นฤๅษีและยังใหม่สำหรับที่นี้ การเรียนรู้เพื่อที่จะอยู่ให้รอดจึงเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นมากกว่า ผมเช็คเส้นทางจากบ้านเล็กกลางป่าสนไปยังถนน 40Ave. อันเป็นฟาร์มพ่อไอ้เบ๊บคร่าวๆ และจดตัวเลขลงในกระดาษโน๊ตเผื่อหลงทาง “12.78 กม.”

ผมใช้Google Map ช่วยคำนวณ ก่อนจะจัดแพ็คกระเป๋า อาหารกลางวันคือกล้วยหอม 2 ใบ ครัวซอง 2 ชิ้นและน้ำเปล่าขวดเล็กๆ ผมยัดทั้งหมดใส่กระเป๋าแบบไม่ประณีต ขณะที่กำลังปิดล็อคประตูในหัวก็เริ่มขยับ “12 เกือบ 13 กิโลเมตรเดินไปก็น่าจะไหว แต่ต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 2-3 ชั่วโมง”ผมคำนวณก่อนจะตัดสินใจเดินอ้อมไปยังบ้านป้าจั๊กกี้ซึ่งอยู่ห่างประมาณ 20 เมตรเพื่อยืมจักยานเก่าๆ ของแกมาใช้ (ได้ขอแกไว้ตั้งแต่แรกแล้วไม่น่าจะมีปัญหาอะไร) ผมคิดเพื่อปลดล็อคตัวเอง

……สนสูงใบหนาโบกพลิ้ว…..

……นกป่าปีกสีเปลือกไม้กระพือปีก……

……โปกสะบัดปลายหาง……

……ประเมินแรงสู่หนทางข้างหน้า……

……ถึงจะรู้-ไม่รู้ แต่ยังมั่นคง……

……มั่นใจว่า ณ ปลายฟ้ายังมีคอน……

ผมเริ่มออกเดินทางสู่ฟาร์มพ่อไอ้เบ๊บตอน 10.30 น. ถนน 24 Ave.เงียบสุดสายตาที่มองเห็น นานๆ ถึงจะมีรถยนต์วิ่งผ่านไปมาสักคัน ป่าสนและต้นเมเปิ้ล 2 ข้างทางยังโบกกิ่งใบต้อนรับการกลับมาของนกป่า แดดใกล้เที่ยงแรงกว่าตอนเช้าประมาณ 2 เท่า กระนั้นแขกที่มาจากประเทศเมืองร้อนก็ยังต้องสวมเสื้อแจ๊คเกตสีดำมีผ้าพันคอลายสก๊อตสีครีมแบบเดียวกับพระเอกเกาหลีไม่ผิดเพี้ยน ฝรั่งหรือคนแคนาอาจจะมองว่าผมบ้าไปแล้ว….แต่ใครสนละ ก็ผมหนาวจนเกือบสั่นขณะที่จักยานค่อยๆ แทรกมวลอากาศไปทีละส่วนเยี่ยงนี้

When I find myself in times of trouble
Mother Mary comes to me
Speaking words of wisdom, let it be.
And in my hour of darkness
She is standing right in front of me
Speaking words of wisdom, let it be.
Let it be, let it be.
Whisper words of wisdom, let it be….

“ชั่งแม่งมัน ชั่งแม่งมาน ชั่งแม่งมัน โอ้ๆๆๆ ชั่งแม่งมัน…ผมเผลอฮัมเพล “Let it be” ของเดอะบีเทิลส์ขณะปั้นจักยานข้ามทุ่งบลูเบอร์รี่สลับทุ่งหญ้าสีเขียวโล่งๆ บ้านทุกหลังปิดประตูราวกับไร้ผู้อาศัยเช่นเดียวกับที่แคมป์เบลล์ริเวอร์ ผิดกันตรงที่บ้านแต่ละหลังที่นี้จะซ่อนตัวอยู่ใต้เงาต้นสนเขียวครึ้มแทนที่จะเป็นสวนดอกไม้โล่งๆ อย่างไรก็ตามเสน่ห์ที่แตกต่างก็มากพอจะซึมซับทุกอารมณ์ไปเก็บไว้ ณ จุดๆ เดียวได้ไม่ยาก

                จักยาน BMX เก่าๆ ขนาดพอเหมาะเลี้ยวขวาเข้าสู่ถนน 216st. หัวใจของผมพองโตสุดๆ เมื่อผ่านสี่แยกโล่งๆของถนน 224St. ประมาณไม่ถึง 2 กิโลเมตร ผมก็เลี้ยวซ้ายเข้าถนน 232St. ตามที่บันทึกเอาไว้ในหัว แดดสีเนยอ่อนๆระบายทุ้งหญ้าโล่งสุดแนวป่าเมเปิ้ลสีม่วง สายลมเย็นๆณ.เวลาก็ยังเหน็บหนาว ผมหยุดพักสายตาในจุดที่แดดอาบให้ร่างกายอุ่น ในหัวก็เทียวจดจำภาพทุกเฉดสีเบื้องหน้าให้ครบจน 1 ชั่วโมงผ่านไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว

ผมดึงมวลอากาศก้อนใหญ่เข้าสู่ปอด อัดมันไว้นิ่งๆก่อนจะพ่นมันทิ้งยาวๆ…“นี้แหละคือสิ่งที่ผมตั้งใจมาตั้งแต่แรก” ผมพึมพำพร้อมกับเกิดความชิงชังอย่างรุนแรงหากมาที่นี้โดยบริษัททัวร์ลูกเป็ด แบบที่ไอ้คุณแนะนำ คงไม่สบายเนื้อสบายตัวนัก เมื่อมีคนมาไล่ลากกระเป๋าขึ้นรถ ลงรถ เข้าโรงแรมนั้น ออกโรงแรมนี้ บอกตรงๆ ถึงไอ้คุณจะควักกระเป๋าจ่ายให้ ผมก็คงคิดหนักอยู่ไม่น้อย

ผมปั้นจักยานบนถนน 232st. มุ่งหน้าไปสู่ถนน 40Ave.  อย่างเชื่องช้าลมหนาวกับแดดใกล้เที่ยงทำอะไรอดีตลูกชาวนาอย่างผมไม่ได้ ชายผ้าพันคอปลิวไสวถูกรวบให้แน่นขึ้นเพราะผมรำคาญ (ไม่น่าเอามาเลย) ผมคิดขณะปั้นจากยานข้ามสี่แยกไฟเหลืองกระพริบของถนน 40Ave. และจากตรงนั้นไม่ถึง 50 เมตร เสาไฟฟ้าและเสาไม้ของป้ายหักๆอันเป็นเอกลักษณ์ทางภูมิศาสตร์ที่ผมใช้จำก็ปรากฏให้เห็น

“ผมมาถึงฟาร์มพ่อไอ้เบ๊บแล้วครับ” ผมปั้นจักยานเข้าไปตามถนนดินช้าๆ เมื่อเลยบ้านตู้คอนเทนเนอร์ของสาวแก่ขี้ยาก็จะเป็นต้นเมเปิ้ลใหญ่สูงหน้าบ้านชั้นเดียวหลังคารูปตัว A สีน้ำตาลทึมๆ ผมเข่นจักยานไปพิงแบบง่ายๆ ข้างบ้านหลังนั้น รถยนต์ของคนงานเก็บลูเบอร์รี่ยังจอดต่อท้ายกันเป็นแถวยาวเช่นเคย

“ยังหนาตาเหมือนเดิม” ผมคิด ไอ้เบ๊บกับพ่อและน้องสาวคงกำลังไล่ชั่งกระแตะบลูเบอร์รี่อยู่ที่ไหนสักแห่งในฟาร์ม ผมเดินตามถนนดินฝ่าเปลวแดดเปรี้ยงๆ แบบเดียวกับฮีโร่ในหนัง ตาก็คอยสอดส่ายเข้าไปในแถวต้นบลูเบอร์รี่แถวแล้วแถวเล่าเพื่อจะมองหาแม่กับป้าจั๊กกี้ ไม่นานภาพหญิงแก่วัย 65 กับ 62 ปีก็ปรากฏให้เห็น พวกเธอยังไม่รู้ถึงการมาของผม ผมยืนมองพวกเธอ อ่านพวกเธออย่างคนมีคำถามมากมาย

“ทำไมน้อ หญิงแก่ของประเทศโลกที่ 3 จึงต้องขวนขวายทำงานหนักเช่นนี้…OK ทุกคนที่ยังมีแรงก็ต้องทำงานเป็นเรื่องปกติ แต่ควรจะทำงานตามความเหมาะสมกับวัยไม่ใช่หรือ รัฐบาลที่พวกนางจ่ายภาษีให้ได้กิน ให้ได้ใช้มาตลอดชีวิตมัวเมากับสิ่งใดอยู่ วันนี้คือพวกนาง วันข้างหน้าผมคงไม่อยู่ในสถานะเดียวกันแน่ๆหากรัฐบาลยังยังเห็นคนเป็นเพียงขี้ข้า งานเก็บบลูเบอร์รี่ไม่ใช่งานเบาๆ…แต่ค่อนข้างหนักสำหรับผม แล้วหญิงแก่ 2 คนละ จะเห็นต่างจากนี้กระนั้นหรือ”

ผมยืนมองคนทั้งคู่ด้วยความสลดเศร้า สายตาก็อ่านสองมือของพวกนางที่ไม่ยอมหยุดพัก อ่านทิศของใบหน้าที่มุ่งมั่นอยู่กับบลูเบอร์รี่พวงถัดไป อ่านอากัปกิริยา อ่านความเหนื่อยล้าที่พวกนางปกปิดไม่มิด จนผมเกือบจะเผลอมีน้ำตาเอ่อล้นออกนอกแอ่งหิน หากไม่มีเสียงทักดังขึ้นจากด้านหลัง

                “อ้าวทิมมี่มาตั้งแต่เมื่อไรเนี้ย” ผมพยายามปิดบังโดยการรวบชายผ้าพันคอซับใบหน้ารวมๆ

                ผมหันไปยิ้มให้เธอ “สักพักแล้วละพี่พร กินข้าวเที่ยงยัง”

                “ก็จะมาชวนแม่เธอกับยายจั๊กกี้กินข้าวพอดี ดีเลย มา มา กินข้าวเที่ยงด้วยกัน”

                “อ้าว!….มาถึงแล้วรึ” แม่ทักขึ้นบ้างขณะที่มือยังสาวลูกบลูเบอร์รี่ไม่หยุด ผมเด็ดบลูเบอร์รี่ลูกใหญ่ๆที่ปลายยอด 3 4 ลูกแล้วโยนเข้าปาก มันหวานอร่อยจนเผลอหลับตานึกถึงผลไม้ทิพย์และยังช่วยสลายอารมณ์มัวๆเมื่อครู่ “แล้วมาถูกได้ไง”

                “ปั้นจักยานมา”

                “เฮ้ย! มันเก่งโว้ย!” จั๊กกี้แซวจากจุดที่มองไม่เห็น ซึ่งก็ได้ยินเสียงพ่อไอ้เบ๊บดังขึ้นจากจุดเดียวกันเช่นเคย

                “Slowly Slowly Jackky”

                “โอ้ยฉานละเบื่อผัวแก่จริงๆ ไป ไปกินข้าว กินข้าว กินข้าวๆ อารมณ์เสียละ”

                “ฮาๆ….ก็เป็นซะแบบนี้ไงฉันถึงชอบ สนุกดี” แม่แซวขณะกำลังเทบลูเบอร์รี่ในถังพลาสติกลงกระแตะสีเทาขุ่นๆ “ไป ไป กินข้าว ฤกษ์ไม่ดีละ”

                ผมนั่งมองสาวแก่ทั้ง 3 คนกินข้าวอย่างบอกอารมณ์ไม่ถูก ทั้งสงสาร ทั้งภูมิใจ ผมยกกล้วยหอม 2 ลูกให้พวกนาง “ครัวซองกับน้ำเปล่าก็เอาอยู่แล้ว” ผมบอก

                “อิ่มรึไงแค่นั้นนะ” พี่พรหันมาถามเร็วๆ “เอานี้แบ่งข้าวกับพี่ไปหน่อย”

                “ไม่ละ ขอบคุณครับพี่……”

                “อย่าไปแบ่งให้เลยไอ้เนี้ย มันรอไอติมไอ้เบ๊บตอนบ่ายๆ ไม่งั้นมันไม่มาหรอก” แม่แว้งกัดแบบไม่จริงจังนัก แล้วนางหัวเราะเสียงแหลมๆ “ไอ้เบ๊บกับพ่อไอ้มันวนเข้ามาถามหาหลายวันแล้ว….เดี๋ยวฉันจะบอกว่าทิมมี่ไม่ได้กินข้าวเที่ยง ดูซิมันพ่อลูกจะว่าอย่างไร”

                “เผลอๆ เราอาจจะได้กาแฟ ขนมปังคนละชุด ฮาๆๆๆๆ” สุดท้ายเป็นเสียงป้าจั๊กกี่เช่นเคย

                ผมนั่งยิ้มอิ่มๆมองสาวๆที่กำลังตักข้าวเข้าปาก ทีละคำ ทีละคำ พวกนางทั้งหิวทั้งเหนื่อยกิริยาบอกผมแบบนั้น สำรวจแววตาพวกนาง อ่านหัวใจพวกนาง จนไม่ได้ยินเสียงสนทนาใด ผมพยักหน้ายิ้มอย่างเกลื่อนกลาด ผมชอบพวกนาง ชอบในความเป็นนักสู้ ชอบในลักษณะที่ไม่ยอมจำนน ชอบการใช้ชีวิต ชอบมุมมอง และชอบในสไตล์ที่พวกนางเป็น

                นี้แหละครับคืออีกด้านของคนไทยที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาใช้ชีวิตในเมืองนอก มันไม่เคยสวยงามเหมือนกับที่คุณจิตนาการ เป็นคุณนาย เป็นคุณชายร่ำรวยยามอยู่ในประเทศแม่ แต่ที่นี้พวกเขา-พวกเธอต้องดิ้นรน ต่อสู้ชีวิตทุกรูปแบบเพียงเพื่อให้รอด แล้วสิ่งที่พวกเขาแสดงออกในประเทศแม่ละ เพื่ออะไร? ง่ายๆก็เพื่อกลบเกลื่อนไม่ให้ญาติพี่น้อง พ่อแม่และครอบครัวต้องมาคอยเป็นห่วง กินทุกข์เป็นอาหารเช้า ดื่มความลำบากเป็นอาหารกลางวัน กล่ำกลืนความลำเค็ญก่อนหลับตา

……ยามเมื่อแสงแรกเพรียกหา……

……แค่จะลืมตาก็ขมขื่น……

……ขออีกสัก 10 นาที……

……เพียงเพื่อจะรำลึกภาพ……

……แผ่นดินแม่ที่แดงฉาน……

และนี้คือความจริงอีกด้านที่ผมตั้งใจจะนำเสนอ….ขอได้รับคำขอบคุณอย่างสูง ผม Timmy Buto รายงาน พบกันในโพสต์ต่อไป สวัสดีครับ บาย บาย

(Visited 11 times, 1 visits today)