นินจาเลือดซามูไร บทที่ 23

แสงสุดท้าย บนแผ่นดินแม่ นิยายอ่านฟรีจบเรื่อง อูคาชิ เซดะ นินจาเลือดซามูไร บทที่ 23 อ่านเพิ่มเติม นินจาเลือดซามูไร บทที่ 23

นินจาเลือดซามูไร บทที่ 22

พวกนอกรีต “ดูเหมือนพวกนอกรีตจะไม่ใช่คนที่เราคุ้นเคยเลยสักคน…” นิยาย เรื่อง อูคาชิ เซดะ นินจาเลือดซามูไร บทที่ 22 นิยายอ่านฟรีจบเรื่อง อ่านเพิ่มเติม นินจาเลือดซามูไร บทที่ 22

นินจาเลือดซามูไร บทที่ 21

นิยาย เรื่อง อูคาชิ เซดะ นินจาเลือดซามูไร บทที่ 21 นิยายอ่านฟรีจบเรื่อง
อ่านเพิ่มเติม นินจาเลือดซามูไร บทที่ 21

นินจาเลือดซามูไร บทที่ 20

แผนร้าย ของโอสุเกะ อิชิ นิยาย เรื่อง อูคาชิ เซดะ นินจาเลือดซามูไร บทที่ 20 นิยายอ่านฟรีจบเรื่อง อ่านเพิ่มเติม นินจาเลือดซามูไร บทที่ 20

นินจาเลือดซามูไร บทที่ 19

แผนล่ม นิยาย เรื่อง อูคาชิ เซดะ นินจาเลือดซามูไร บทที่ 19 นิยายอ่านฟรีจบเรื่อง
อ่านเพิ่มเติม นินจาเลือดซามูไร บทที่ 19

นินจาเลือดซามูไร บทที่ 18

จดหมายทวงสิทธิ์ นิยาย เรื่อง อูคาชิ เซดะ นินจาเลือดซามูไร บทที่ 18 นิยายอ่านฟรีจบเรื่อง
อ่านเพิ่มเติม นินจาเลือดซามูไร บทที่ 18

นินจาเลือกซามูไร บทที่ 17

เชอรี่กลีบสุดท้าย แห่งป่าฮานะ  นิยาย เรื่อง อูคาชิ เซดะ นินจาเลือดซามูไร บทที่ 17 นิยายอ่านฟรีจบเรื่อง อ่านเพิ่มเติม นินจาเลือกซามูไร บทที่ 17

นินจาเลือดซามูไร บทที่ 16

นิยาย เรื่อง อูคาชิ เซดะ นินจาเลือดซามูไร บทที่ 16 นิยายอ่านฟรีจบเรื่อง อ่านเพิ่มเติม นินจาเลือดซามูไร บทที่ 16

นินจาเลือดซามูไร บทที่ 15

นินจาเลือดซามูไร บทที่ 15 อูคาชิ เซดะ PART1

นินจาเลือดซามูไร บทที่ 15

ก่อนฟ้าสางคืนนั้นอูคาชิ ยาสุ ได้เรียกนินจาที่ยังจงรักภักดีเข้ามาหาโดยมียามุดะ มิกิ  เค็นจิ โอสุเกะ ฮิเดะและอาจารย์โอคิตะ ไออินั่งอยู่ในห้องประชุมลับหลังม่านไม้ไผ่ด้วย  เขาแจ้งประสงค์ของตัวเองเพื่อแลกกับทรัพย์สินที่มี กลุ่มนินจาได้แต่นิ่งสงบ…เหมือนยอมจำนนท์ต่อปัญหาที่ต่างคนก็รับรู้มาก่อนแล้ว มีเพียงไชอินาริ โจอานคนเดียวที่ไม่เห็นด้วยนินจาเลือดซามูไร บทที่ 15

“คุณชายน้อยก็เหมือนลูกข้าคนหนึ่ง…ข้าจะไม่ยอมให้เขาไปเติบโตที่อื่นโดยเด็ดขาด” โจอานตะเบ็งเสียงสั่นเครือออกมา…

“โจอานคุง…คาโกคุมะไม่ใช่ที่อื่น มินาโมโตเป็น…”

“เจ้าไม่ต้องพูดต่อแล้วยามุดะ…มันเกินที่ข้าจะรับไหว…ยอมก็คือยอม”ยาสุแทรกทันควัน เขานิ่งและค่อยๆหันหน้าไปหาโจอานที่ยังก้มหน้าอยู่ไม่ไกลจากมิกิ เท่าไรนัก “โจอานคุง…ในความเสี่ยงย่อมมีการผิดพลาดรออยู่”

“เขาคือความหวังเดียวของอูคาชิ…ข้าเชื่อว่ามินาโมโตจะให้ความปลอดภัยกับเขา จนกว่าจะพร้อม…เพื่อรับมือกับพวกมัน” ยามุดะแทรกขึ้นต่อ…และยาสุก็สวนอีก

                ยามุดะ!

“ท่านพ่อ…ข้าขอโทษ…ข้าขอโทษ…”นางละล่ำละลัก จนลนลานถอยหลังห่างออกไป 2 ก้าวก่อนจะทรุดนั่งก้มศีรษะลงจรดพื้นและพูดซ้ำๆไม่ต่างอะไรกับคนบ้า “ข้าขอโทษ…ข้าขอโทษ”

“…พอได้แล้ว…” เค็นจิกระซิบ ยามุดะถึงกล้าเงยใบหน้าที่อาบน้ำตาขึ้นมามองหน้ายาสุ นางเห็นเขาพยักหน้าให้เรียบๆ ทั้งที่ยังหายใจติดๆขัดๆ ก่อนยาสุหันไปพูดกับโจอานต่อ “โจอานคุง…”

“บุตรของคุณชาย ก็เสมือนบุตรคนหนึ่งของข้า ยาสุ…เค็นจิ ท่านอาจารย์…เราคุมครองเขาได้” โจอานพยายามชักนำ แต่ทุกคนก็หลบสายตาเขาไปหมด

“ถึงอย่างไรเขาก็ต้องไป…เพราะที่นี้ไม่ปลอดภัยเสียแล้ว…” เค็นจิเอ่ยเสียงต่ำอย่างคนระมัดระวัง

“ถ้าเป็นเช่นนั้น…ข้าจะขอตามไปอยู่กับคุณชายน้อย” โจอานเสนอตัวอย่างไม่ลังเล

“เป็นไปไม่ได้ เพราะที่นี้ก็ต้องการเจ้าเช่นกัน…แต่ถ้าเป็น ไชอินาริ โนอานนะไม่แน่”โอสุเกะ ฮิเดะสมทบ

“โนอาน…โนอาน โนอานรึ ใช่” โจอานพร่ำเหมือนคนละเมอ สักครู่ความเป็นกังวลที่อาบไปทั่วใบหน้าก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม

“ข้ามีแผนจะให้เขาตามคุณชายน้อยไปเรียนที่บ้าน…เอ่อ คาโกคุมะ อีกสามปีข้างหน้า เจ้าจงไปเตรียมพร้อมสำหรับการสอบของบุตรชายให้ดี”เค็นจิพูดเสียงเรียบๆ โจอานก้มหน้าต่ำทันทีที่ปะกับสายตาอันเหนื่อยล้าของยาสุเข้า

“อนาคตของอูคาชิ…อยู่ในกำมือของทุกๆคน…บัดนี้พึงรับรู้เอาไว้ว่าศัตรูของอิงะ มิใช่มีเพียงพวกชิโนบิหลังหุบเขาโคงะเท่านั้น หากแต่ยังมี ไอ้พวกนอกรีต โดยเฉพาะอิเงะสึงิ เคนซึ ตามล่าและฆ่ามันซะก่อนที่เนื้อนางเงือกจะเลี้ยงตัวจนโตเต็มวัย เพราะถ้าถึงเวลานั้น จะไม่มีใครสังหารเขาได้อีก…นอกจาก…”ยาสุหยุดพูดพักหนึ่ง เขาค่อยๆยันตัวเองลุกเดินไปหยุดที่หน้าตราสัญลักษณ์รูปสายฟ้าสีดำผ่ากลางจันทร์เสี้ยวเหนือผนัง “จะไม่มีใครสังหารเขาได้อีก 300 ปี นอกจากหญิงสาวพรหมจาริณีที่มีเลือดเป็นกรดเท่านั้น…ซึ่งข้าเองก็ไม่มั่นใจว่าเมื่อไรหญิงคนที่ว่าจะถือกำเนิดขึ้น…”เขาหยุดหายใจลึกๆจนลำตัวยืดสูง สายตาก็เพ่งออกไปนอกหน้าต่างทางทิศตะวันออก “ฟ้าเริ่มสางแล้วละ…แยกย้ายกันไปได้…ข้าจะส่งตัวคุณชายน้อยในคืนเดียวกับที่คุณชายอูคาชิมา…รอสัญญาณออกเดินทางจากข้า” ยาสุกล่าวเสียงต่ำ ทุกคนก้มศีรษะลงจรดพื้นด้วยความจำยอม เมื่อเงยหน้าก็ไม่ปรากฏร่างของยาสุยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว

……….

จุดเริ่มต้น…และจุดจบ คือ เวลาของ 1 ประสบการณ์

จงเอาเยี่ยงมาปรับใช้……แต่อย่าเอาอย่างไปลอกเลียน

เพราะนั้นคือวิถีแห่งคนโง่เขลา……………..โดยแท้

อูคาชิ ยาสุ

………..

คืนพรากปีที่ 15

และในคืนเดือนมืดกลางฤดูหนาวซึ่งเป็นคืนเดียวกับเมื่อ 15 ปีก่อน  เงาสีดำที่อำพรางตัวตนในความมืดของนินจาสองคนที่กำลังอุ้มคุณชายน้อย เซดะ ที่อายุพึ่งจะเลย 5 ขวบมาไม่กี่วัน โผจากเงาสู่เงาฝ่าความมืดและพายุหิมะที่กำลังตกหนักไต่ไปตามยอดไม้อย่างเร่งรีบ โดยมีขบวนม้าเร็วที่คอยหลอกล้อศัตรูทั้ง 3 ด้านตามมาห่างๆ

#คุณชายน้อยเป็นอย่างไรบ้าง#

#ยังหลับและไม่เป็นไร ตัวข้ายังอุ่นพอ#เสียงกระซิบแผ่วเบาดังขึ้นในความมืด

#ตามข้ามา…#สิ้นเสียง ปลายต้นสนมซึก็สั่นพึ่บๆ ประหนึ่งนกกลางคืนถลาออกจากรัง จนเกล็ดหิมะที่เกาะขาวโพลนไปทั้งต้นร่วงพรูทับกับเป็นชั้นๆลงไปกองอยู่กับพื้น

#ระวังหน่อย มากิ…#

#ข้าขอโทษ…#

#พวกที่ตามมา…ไม่อาจช่วยเราได้ทุกครั้งหรอกนะ…ตามข้าให้ทัน#เสียงตวาดประหนึ่งสายลมกระชากเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว พวกเขาหายไป พร้อมกับเสียงฝีเท้าของกลีบม้าหลายสิบตัวที่ควบตามมาทางด้านหลัง…และในที่สุดทิศทางที่ทั้งหมดมุ่งไปก็คือเมืองคาโกคุมะทางทิศตะวันตกนั้นเอง

มันช่างเหมือนกับภาพความสูญเสียเดิมๆที่เคยเกิดขึ้นกับยามุดะมาแล้วครั้งหนึ่ง และคืนนี้ความรู้สึกเมื่อ 15 ปีก่อนก็หวนกลับมาเล่นงานนางอีกจนได้

“เซดะ…เซดะ…อูคาชิ เซดะนางตะโกนข้ามช่องเขาคุโระอิสีนิลสู่ป่าฮานะที่ปกคลุมไปด้วยหิมะจนขาวโพลน

“เซดะ…เซดะคุง”มันดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าจนขบวนม้าสีนิลหายออกไป ส่วนอูคาชิ ยาสุ เขาหายไปตั้งแต่ยังไม่ค่ำ มีเพียงมิกิคนเดียวที่นั่งกอดยามุดะเอาไว้แน่น

“นายหญิง…นายหญิง เสียงของท่านจะทำให้พวกนอกรีตรู้ความเคลื่อนไหว” มิกิเขย่าเรียกสติ

“โจอานคุงและพวกเจ้าตามไปคุ้มกันและส่งคุณชายน้อยให้ถึงมือฟูจิกาว่า…หลบหลีกการปะทะกับพวกนอกรีตและอย่าริต่อกรกับอิเงะสึงิ เคนซึ ชีวิตของคุณชายน้อยสำคัญกว่า”เสียงเค็นจิกำชับในวงจำกัด

“โปรดวางใจ…ไชอินาริรอดพ้นจากคนเผ่าถ่านก็เพราะคุณชายทั้ง 2 คุณชายน้อยจะต้องปลอดภัย แม้จะแลกด้วยชีวิตของข้าก็ตาม”โจอานให้คำมั่น เขาส่งสัญญาณบอกนินจาอีกหกเจ็ดคนที่พร้อมอยู่แล้ว

“แบ่งเป็น 2 กลุ่มไล่โอบล้อมตามไปคนละด้าน…”เสียงเค็นจิสั่ง สักครู่เขาก็ยื่นใบหน้าเข้าไปกระซิบบอกบางอย่างที่เป็นความลับสุดยอดกับโจอานอีก “ฝากเก็บดอกอุเมะที่ขึ้นข้างๆ ปราสาทมินาโมโตมาให้ข้าสักกำ…ข้ารู้ว่ายามุดะชอบมัน” โจอานอมยิ้ม ก่อนจะนำเหล่านินจาชุดสุดท้ายดีดตัวผ่านช่องเขาคุโระอิสีนิล เป็นขบวนสุดท้าย

……….

รุ่งสางของวันต่อมา

ขอบฟ้าทางทิศตะวันออกค่อยๆสว่างขึ้น สัญญาณจากจิตพิรุธก็บอกยามุดะว่าทุกอย่างได้ผ่านไปด้วยดี คุณชายน้อยเซดะถึงมือฟูจิกาว่าและเขาก็ปลอดภัยท่ามกลางซามูไรของมินาโมโตในเวลานี้ นางเพ่งสายตาหยุดที่ขอบฟ้าสีแดง และถอนหายใจออกมาอย่างคนโล่งอก แต่ใบหน้าโดยรวมก็ยังหม่นหมองอยู่ดี

“คุณชายน้อยปลอดภัยแล้วละ…มิกิและพวกเจ้าแยกย้ายกันไปหลับได้” ยามุดะเอ่ยพร้อมๆกับรอยยิ้มฝืนๆ

“แต่นายหญิง…ข้า” มิกิพยายามค้าน เหมือนไม่ไว้วางใจมากนัก

“ข้าอยากอยู่คนเดียว…นี้คือคำสั่ง…ออกไปให้หมด” ยามุดะกระแทกเสียงแหลมสูง จนคนใช้สี่ห้าคนที่นั่งอยู่รอบๆ ต่างถอยกรูแทบไม่ทัน

“มิกิ!…” ยามุดะขู่อีกพร้อมๆ กับกดดันนางด้วยสายตา

“ได้…ได้…นายหญิง” มิกิกลัวจนตัวสั่น นางลนลานถอยหลังลุกเดินซอยเท้าสั้นๆ เป็นตุ๊กตาตามคนอื่นๆออกไป

แสงสีอำพันจากโคมไฟดับพรึบลงพร้อมกับแสงแรกที่กำลังตระกายขอบฟ้าทางทิศตะวันออก เหล่านินจากำลังจะเข้านอน แต่ผู้คนในหุบเขาอิงะกำลังจะตื่น ยามุดะหยิบมีดสั้นมาจ่อข้างลำคอของตัวเองอยู่นาน นางสูดลมหายใจเข้าออกจนหน้าอกกระเพื่อมหลายครั้ง คาบน้ำตาของเมื่อคืนยังแห้งเกรอะกรังทั้งสองแก้ม

“ข้าไม่เคยลืมความรู้สึกเมื่อ 15 ปีก่อน…มันเจ็บปวดเกินข้าจะพบปะมันได้อีก” สิ้นเสียงพึมพำ นางก็เสือกปลายมีดปักเข้าไปตรงๆอย่างไม่ลังเล  ฟันกรามทั้ง 2 ขบขยี้จนสั่น นางเกร็งเงยใบหน้าขึ้นสูง พลางเร่งข้อมืองัดปลายมีดเพื่อตัดเส้นเลือดแดงใหญ่ที่ขึ้นไปเลี้ยงสมองให้ขาด…ไม่มีเสียงกรีดร้องขอมีชีวิต ไม่มีเสียงดิ้นทุรนทุราย นางล้มลงและพยายามยึดตัวเองกับพื้นไม้ ดวงตาแดงฉานกระพริบถี่ๆ ติดต่อกันเหมือนจะปรับแสงเพื่อให้มองเห็นเลือดสีแดงที่กำลังพุ่งกระฉูดออกมาจากลำคออย่างชัดๆ พลันปลายนิ้วที่สั่นเทาจวนจะหมดแรงก็ละเลงไปกับเลือดสดๆ ตรงหน้า นางกัดฟันสู้กับลมหายใจเฮือกสุดท้ายเขียนข้อความที่อัดอั้นตลอดชีวิตลงกับพื้น…อย่างบรรจง ยังไม่ทันจะเขียนชื่อตัวเองลงไว้บรรทัดสุดท้ายครบทุกตัวอักษร มัจจุราชก็กระชากวิญญาณของนาง สติจมวูบสู่สีดำสิ้นแล้ว

……….

ข้าเกิดมาเป็นชิโนบิ………… เพราะเลือดอูคาชิและหุบเขาที่ชื่ออิงะ

แต่ในหัวใจของข้ากลับเต็มไปด้วยซามูไรแห่งขุนเขาพระอาทิตย์…

ฉะนั้น……ข้าจึงเลือกตายเฉกเช่นหนึ่งภรรยาของครอบครัวซามูไร

…………………………………………………………………..อภัยให้ข้าด้วย

มิ นา โม โต  ย า ม…..

……….

 และทันทีที่แสงแรกอาบยอดสน

“ยามุดะ…ยามุดะยามุดะ!” เสียงตะโกน เมื่อเห็นภาพของสตรีผู้เปรียบเสมือนน้องสาวคนสุดท้ายนอนจมกองเลือดอยู่กับพื้น

“ยามุดะ…” เค็นจิสะอึกติดอยู่ในลำคอ…ความรู้สึกทั้งหมดช็อกไปชั่วขณะ…แต่กลิ่นบางๆ ของดอกอุเมะที่ถืออยู่ในมือก็กระตุ้นเรียกสติของเขาให้กลับมา “ดอกอุเมะที่เจ้าชอบ…ยามุดะ…ข้าเก็บดอกอุเมะที่ข้างปราสาทมินาโมโตมาฝากเจ้า ตื่นซิ ลุกขึ้นมาคุยกับข้า…อ๊าก!…ฮื้อๆ…ยามุดะ ยามุดะ!”เสียงของเขาปลุกผู้คนในหุบเขาอิงะ มือที่สั่นเกร็งค่อยๆ ช้อนร่างไร้วิญญาณของอูคาชิ ยามุดะขึ้นมากอดแนบอก

“ยามุดะ…ตื่นมารับดอกอุเมะจากพี่ชายของเจ้าคนนี้ก่อน…ยามุดะ” เขาได้แต่พร่ำเรียกนางอย่างคนเสียสติ โดยมี อูคาชิ ยาสุยืนเกร็งนิ่งเหมือนโดนมนต์สะกดอยู่ไม่ไกล

“นางเลือกเกิดไม่ได้…แต่น่ายินดีที่นางเลือกตายตามวิถีที่นางปรารถนา…หลับให้สบายเถอะลูกรัก”

……….

งานศพของอูคาชิ ยามุดะถูกจัดขึ้นในนาม มินาโมโต ยามุดะตามวิถีของซามูไร มีแค่เหล่าคนใช้และนินจาเพียงไม่กี่คนที่ไปร่วมงาน ศพนางถูกฝังในวัด ไรอันจิ และมีป้ายชื่อที่สลักมาจากหินแกรนิตสีดำว่า “มินาโมโต ยามุดะ” ผลึกติดแน่นอยู่ข้างๆ ดูเหมือนวิถีห่มศพพันใบไม้ปล่อยไหลไปกับสายน้ำตามแบบจารีตเดิมของนินจา นางจะไม่ปรารถนาให้เกิดขึ้นกับสิ่งสุดท้าย

……….

สายฟ้าฟาด      ผ่าวงเลี้ยว      จันทรา

ดังเพลา     ว่าจากแล้ว     แก้วตาหนอ

เคยดีดพลิ้ว เพลงเพลินไพร ใกล้พะนอ

เจ้าเฝ้ารอ         ล้อเสียงข้า      ว่าลาเลว

ใบไม้เปลี่ยน    เหลืองแสด   แดงทั้งป่า

แต่ดวงตา    แลใบหน้า   คร่าคลายเหงา

เสียงหัวเราะ    ต่อกระซิก     ในวัยเยาว์

บัดนี้เงา         เจ้าห่างหาย       ใยไม่ลา

………..

                เค็นจิวางช่อดอกอุเมะข้างกองดินที่ปกคลุมไปด้วยหิมะหลังจากเสียงเพลงแห่งหุบเขาที่ตัวเองแต่งขึ้นจบลง สำเนียงดังลาเลวทำให้หลายคนหลังวัดไรอันจิถึงกับหลั่งน้ำตา…จนภาพที่เคยเกิดขึ้นในอดีตผุดขึ้นมาในหัว

……….

…ภาพในอดีต…

#ฮะๆ…ฮิๆ…เสียงร้องเพลงของอาเล็ก…เหมือนกับเสียงลาเลวไม่มีผิด#

#ถ้าเสียงอาดั่งลาเลว…เอ้! แล้วน้ำเสียงเจ้าละ…#

#เอ่อ!…เสียงระฆังแห่งหุบเขาตะวันตก ฮะๆ…#

……….

 เค็นจิเผลอยิ้มบางๆ เขาปาดน้ำตาหยดสุดท้ายทิ้ง “หลับให้สบายนะ…ไอ้ตัวเล็กของอา”

“ยามุดะ ลูกรักหากชาติหน้าเจ้าสามารถเลือกเกิดได้ ขอให้เป็นอย่างที่หัวใจของเจ้าปรารถนาเถอะ”น้ำเสียงแหบแห้งติดอยู่ในลำคอของยาสุ ปนออกมาพร้อมๆกับความรู้สึก นินจา 2 คน ช่วยกันขุดดินเพื่อปลูกต้นสนมซึที่เตรียมเอาไว้ ขอบฟ้าทางตะวันออกเริ่มจะสว่างขึ้น แต่ยาสุก็ยังยืนนิ่งท้าทายแสงนั้นอย่างไม่ไหวเกรง มันไล่เงามืดจนเห็นสีดินที่พึ่งขุดขึ้นมาชัดมากขึ้นเรื่อยๆ โอสุเกะ ฮิเดะจึงเดินย่ำหิมะเข้ามากระซิบ “เราต้องกลับแล้ว…หากฟ้าเปิดจนแสงอุ่น เราจะพรางกายลำบาก”

“ทุกคนกลับไปก่อน…ข้ามีบางอย่างต้องสะสาง”

“ข้าจะอยู่เป็นเพื่อน” โอสุเกะโพล่งขึ้นอย่างไม่ลังเล แต่ยาสุก็ไม่วายหันไปดุเขาด้วยสายตา  “ขอบใจฮิเดะคุง…มันเป็นสิ่งที่ข้าต้องสะสาง…คนเดียว!” ยาสุย้ำสองคำสุดท้ายหนักแน่น และบังคับสายตาให้แข็งกร้าวไล่เขาอีก จนโอสุเกะ ฮิเดะไม่อาจปฏิเสธมันได้  “พวกเจ้ากลับกันเถอะ…ข้าให้สัญญาว่าจะไม่ตายถ้าข้าไม่อยากตาย”ยาสุพูดเสียงดัง จนทุกคนจำต้องโค้งศีรษะต่ำลงก่อนจะพากันดีดตัวลอยข้ามยอดสนที่กำลังต้องแสงแรกและเค็นจิก็นำทางทั้งหมดโผวูบออกไปทางหลังวัดที่ลาดต่ำสู่พื้นราบที่มีบ้านเรือนหลายหลังกระจายตัวอยู่จนสุดเทือกเขาอีกด้าน

บัดนี้ ณ.หลังวัดไรอันจิ คงเหลือเพียงนินจาแก่ๆผ่านโลกมา 75 ปีเท่านั้น ที่ยืนนิ่งอยู่กับที่ เขาปล่อยให้แสงแรกค่อยๆลามเลียจนเกิดเงาทาบไปกับพื้น เป็นครั้งแรกที่ความเป็นนินจาของเขาอยู่ใต้อำนาจของดวงอาทิตย์ ซึ่งเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของซามูไรอย่างไม่เกรงกลัว…

“ข้าไม่เคยกลัวที่จะเผชิญหน้ากับเจ้า…มินาโมโต” เสียงพึมพำเหมือนจะรู้ว่ากำลังรอใครอยู่…ไม่นานนักเสียงกลีบเท้าของม้ากว่า 10 ตัวก็ดังใกล้เข้ามา แต่อูคาชิ ยาสุ ก็ยังยืนหันหลังนิ่งไม่สะทกสะท้าน

“ข้าคิดอยู่แล้วว่าสัญญาชิโนบิจะไม่มีวันตาย” เสียงทุ้มกังวานดังที่ด้านหลัง อูคาชิ ยาสุค่อยๆหันไปยิ้มให้และพยักหน้าทักทายซามูไรกว่า 10 คนในแบบของนินจา (ซาซากุมิ) เขาเอ่ยชื่อชายที่เห็นออกมา ด้วยน้ำเสียงที่ผิดคลาด

“ทุกอย่างมันจบลงแล้วนะยาสุ…ถึงเวลาที่ท่านต้องรับผิดชอบ…กับเรื่องราวทั้งหมด” ฮันโต ซาซากุมิตอกย้ำในสัญญาเดิมที่เคยให้ไว้

“สัญญาชิโนบิไม่มีวันตาย” อูคาชิ ยาสุโต้กลับทันควัน เขาเขม่นหนังตาพลางกราดมองไปยังกลุ่มซามูไร ที่ยังยืนนิ่งในระยะที่ห่างออกไปอย่างพินิจพิจารณา

“ถ้าจะมองหา มินาโมโตซัง…ขอบอกว่า ข้าเสียใจ ที่เขายังไม่พร้อมจะเจอท่าน…เขาจะมาเคารพศพคุณนายมินาโมโตภายหลัง”ฮันโต ซาซากุมิพูดและเชิดหน้าที่หยิ่งยโสใส่ นาทีเดียวกันซามูไรที่ยืนอยู่ด้านหลังก็เดินถือดอกไม้สีขาวเข้ามาพร้อมกับหลวงพ่อแห่งวัดไรอันจิ

“ไม่ได้เจอกันซะนานเลยนะฮันโตซัง”หลวงพ่อกล่าวทักทายและออกเดินนำเข้าไปยังหลุมฝังศพ ฮันโต ซาซากุมิรับดอกไม้จากมือซามูไรก่อนจะหันมายักคิ้วให้ยาสุแบบคนได้ใจ “ข้าจะไปบอกข่าวดีกับคุณนายมินาโมโต…ว่านางอาจจะได้หลานชายเร็วๆ นี้”

“ซาซากุมิ!….” ยาสุพ่นเสียงออกทางจมูก มือทั้ง 2 กำเกร็งและขยับเข้าไปเผชิญหน้าในระยะประชิด “ถ้าธุระมีแค่นี้ ข้าขอตัว” เขากดเสียงต่ำเหมือนต้องการจะจำกัดให้ได้ยินเพียง 2 คน

“หากสัญญาชิโนบิล่ม…รู้ใช่ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนินจาของท่าน” ซาซากุมิขู่ “ชิ!…”และพ่นหางเสียงลอดไรฟันเข้าไปในหูยาสุอย่างตั้งใจ “ข้าจะปั่นหัว…ให้อิงะ…กลับไปฆ่าอิงะซะให้แหลกทั้งหุบเขา…หึๆ…ฮาๆ” ดวงตาของซาซากุมิเบิกกว้างพร้อมๆ กับระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น

“เหตุผลระหว่างข้ากับเจ้า…ขอให้เป็นความลับที่ตายไปพร้อมกับข้า” ยาสุหน้าซีดเขาพยายามกดเสียงต่ำลงไปอีก

“สัญญาของซามูไรคือชีวิต…ข้าเตรียมต้นสนไว้ให้ท่านแล้วนะยาสุ…หวังว่ามันจะถูกนำมาปลูกใกล้ๆ กับหลุมฝังศพแม่ยายของข้า…เร็วๆนี้…ฮะๆ…ฮาๆ” เสียงหัวเราะดังขึ้นไปอีก จนหลวงพ่อหันมาจ้องเชิงตำหนิ

“ข้าขอตัว…” ยาสุเอ่ยสั้นๆ เขารีบสาวเท้าแยกไป

“รีบส่งข่าวในเร็ววัน…มิฉะนั้นนินจาของท่านจะกลายเป็นพวกนอกรีตเพราะฝีมือข้าเอง” ซาซากุมิตะโกนไล่ตามหลัง มันยิ่งทำให้ยาสุอยากจะเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น และทันทีที่พ้นสายตา เขาก็ดีดตัวลอยขึ้นเหนือยอดไม้ก่อนจะโผวูบหายไปทันที

(จะไม่มีพวกนอกรีต…เกมนี้ต้องจบลงที่ข้าคนเดียว)

 ………..

หากความโกรธแค้น……….คือการสร้างปมปัญหาให้คนๆหนึ่งโง่ลง

การให้อภัย………………ก็น่าจะเป็นทางออกให้คนๆนั้นฉลาดขึ้น

อูคาชิ ยาสุ

………..

นินจาเลือดซามูไร บทที่ 14

นินจาเลือดซามูไร บทที่ 14 คุณชายเลือดผสม หากจะเปรียบเวลากับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มันคงจะเป็นอะไรสักอย่างที่ไม่มีทั้งจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด อ่านเพิ่มเติม นินจาเลือดซามูไร บทที่ 14

นินจาเลือดซามูไร บทที่ 13

ดาบประจำตระกูล ดาบประจำตระกูล เหตุผลที่ทั้งชีวิตของช่างคนนั้น ตีดาบได้เพียง 4 เล่ม ก็เพราะว่า มันมีกรรมวิธีที่สลับซับซ้อน

คาตานะ มูโต

แสงดาวล้านดวงในคืนสุดท้ายปลายฤดูหนาวกระจ่างฟ้าจนเบนเงาต้นเบิร์ช ต้นทิวที่หิมะเริ่มละลายเกือบหมดราบไปกับพื้นดิน กิ่งก้านที่ยืนนิ่งดุจยืนตายซากเป็นแถวยาวตลอดสันเขา มีเพียงต้นสนมซึเท่านั้นที่ยังคงไม่โรยใบสีเขียวทึมๆ ตลอดทั้งฤดูที่ผ่านมา เงาป่าอีกด้านคงสีดำทะมึนตัดกับเส้นขอบฟ้า เป็นทิวยาวจากทิศตะวันออกอ้อมสันเขาไปจรดทิศตะวันตก มองเผินๆ ไม่แตกต่างอะไรกับเหล่านักรบนับล้าน ที่ยืนเรียงหน้ากระดานพร้อมจะกรำศึกหนักที่ใกล้เข้ามา ไม่ปรากฏเคล้าลางแห่งความพ่ายแพ้เลยสักนิด

เสียงสุนัขจิ้งจอกหอนยาว และอีกหลายตัวต่างหอนรับกันเป็นทอดๆ ไปรอบเมืองคาโกคุมะ โคทาโร่เงยหน้าขึ้นมองพ่ออย่างตั้งคำถาม

“ไม่ใช่ฤดูของมัน” เขาพูด

“พวกมันคง อยากจะฉลองขนใหม่เต็มที” ฟูจิกาว่าตั้งสมมุติฐานลอยๆ และไม่ยอมละมือไปจากการเขียนหนังสือด้วยพู่กันตรงหน้า โคทาโร่หัวเราะในลำคอ ฟูจิกาว่าเหลือบมองนิดๆ ก่อนจะอดขำตามไปด้วยไม่ได้

“ข้าไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะที่จะให้ท่านหลอกได้”

“รึ…ข้านึกว่ามันจะได้ผล หึๆ”โคมไฟในเรือนน้ำชาส่องแสงสีอำพันไปรอบผนังสีครีม ตราประจำตระกูลมินาโมโตยังโดดเด่นอยู่ที่เดิม รูปนกกระเรียนมงกุฎแดงสีขาวในวงกลมสีแดงก็ยังขยับปีกขึ้นๆลงๆตามจังหวะของเปลวแสงที่เต้นระริก ยิ่งเมื่อลมอ่อนๆโชยเข้ามาตามร่องประตู เงาปีกนกกระเรียนก็ยิ่งขยับเร็วขึ้น…และเร็วขึ้น จนคล้ายว่ามันกำลังร่อนถลาอยู่กลางดวงอาทิตย์สีแดงในยามเช้าอย่างไรอย่างนั้น

โคทาโร่ไม่ยอมละสายตาไปจากมัน เขาเคยเปรยๆกับมาเอดะในคืนก่อนว่า ตราสัญลักษณ์ประจำตระกูลของพวกเขาดูเหมือนมีหลายชีวิตหลายอารมณ์และหลายความรู้สึกซ่อนอยู่…บางครั้งมันดูเหมือนนกกระเรียนหมดแรงกระพือปีก แต่บางเวลามันกลับมีพลังมากมายจนสามารถไต่ระดับความสูงเหนือยอดเขาหิมาลัยได้อย่างน่าประหลาด

“เจ้ารู้ไหม ว่าทำไมกระเรียนมงกุฎแดงจึงกลายมาเป็นตราสัญลักษณ์ประจำตระกูลของเรา” ฟูจิกาว่าตั้งคำถามถามลอยๆ โคทาโร่หันไปยิ้มบางๆ ส่ายหน้าให้เห็น

“มีอะไรที่ข้าควรจะรู้…เกี่ยวกับเรื่องนี้” โคทาโร่ถามกลับ…

“นกกระเรียนใช้เส้นทางอพยพผ่านเทือกเขาหิมาลัย…ซึ่งที่นั้นมีเทพหลายองค์ประทับอยู่และอีกนัยหนึ่งมันยังเป็นนกที่ใช้เป็นสัญลักษณ์แทน…” ฟูจิกาว่าหยุดพูดเอาดื้อๆ เขาวางถ้วยน้ำชาบนถาดกระเบื้องสีเขียว ลุกเดินไปหยุดจ้องตราสัญลักษณ์แบบจริงจัง จนโคทาโร่อดลุกตามไปยืนข้างๆไม่ได้

“ท่านพ่อ!”

“เอ่อ…เป็นสัญลักษณ์แทนความรัก…และอีกบางอย่างที่เจ้าจะต้องเรียนรู้เกี่ยวกับดาบคาตานะ…ประจำตระกูล”

“ข้าไม่เข้าใจ…ทั้งนกกระเรียนและดาบคาตานะจะสัมพันธ์กันได้อย่างไร” โคทาโร่ถามพลางขมวดคิ้วทั้ง 2 ข้างเข้าหากัน

“กระเรียนเป็นนกที่มีรักได้เพียงครั้งเดียว…หากคู่มันตาย อีกตัวก็จะ…ตรมใจและตายตามไปด้วย…”

“เรื่องนั้นข้าพอรู้…แต่ดาบคาตานะ มันเกี่ยวกันได้อย่างไร” เขาย้ำอีก ฟูจิกาว่าไม่พูดต่อ อีกด้านแอบยินดีอยู่ลึกๆ อย่างน้อยโคทาโร่ก็ยังสนใจในเรื่องนี้จริงๆ

เสียงสุนัขจิ้งจอกเงียบไปแล้ว โคทาโร่เองก็เงียบเหมือนตั้งใจจะรอคำตอบอยู่ ใบหน้าที่เป็นกังวลของฟูจิกาว่ากำลังชั่งใจกับความเป็นมาในสิ่งที่เขาอยากจะบอกบุตรชาย ภาพของโคทาโร่ในชุดทหารติดดาบซามูไรเริ่มชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ…จะเกิดอะไรขึ้นกับบุตรชายคนเดียวของมินาโมโต?  เป็นคำถามที่วนเวียนในหัวตลอดหนึ่งปีที่มีทหารเข้ามาปิดประกาศนั้นๆ และที่สำคัญโคทาโร่เองก็กระหายที่จะเป็นทหารด้วย

“ท่านพ่อ…ข้ารอฟังคำตอบอยู่นะ” โคทาโร่เร่ง ฟูจิกาว่าเดินกลับมานั่งรินเหล้าสาเกลงถ้วยที่คนใช้พึ่งนำเข้ามาวางเมื่อครู่ เขาซดมันพราดเดียวจนหมด ก่อนจะลุกเดินกลับไปยืนนิ่งที่เดิมก่อนจะดีดนิ้วเสียงดัง 2 ที ซามูไร 2 คนที่นั่งอยู่ใกล้ๆวิ่งเข้าไปเลื่อนผนังออกคนละด้าน แต่ตราสัญลักษณ์ยังนิ่งอยู่จุดเดิมและยังมีประตูชั้นในที่ลึกเข้าไปก็ปรากฏตราสัญลักษณ์แบบเดิมแต่เป็นสีดำสนิทซ่อนอยู่ แต่ตำแหน่งที่นำสายตายังเป็นดวงเดียวกันที่ทับซ้อน เมื่อซามูไรจุดคบเพลิง แสงสะท้อนที่กลับมายิ่งทำให้ตราสัญลักษณ์ทั้ง 2 โดดเด่นชัดจนเห็นนกกระเรียนคล้ายจะมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ

“ข้าสงสัยอยู่แล้วเชียว ว่าต้องมีห้องนี้” โคทาโร่พูดอย่างคาดเดา เขาลุกเดินตามเข้าไป

“ห้องลับประจำตระกูล…เจ้ารออยู่ด้านนอก ไม่อย่างนั้นจะเปิดไม่ได้” ฟูจิกาว่าแนะ โคทาโร่หยุดนิ่งที่ประตูชั้นนอก ฟูจิกาว่าใช้มือกดปุ่มสีดำที่เรียงกันลงมาเป็นแนวตั้งสลับไปมา และทำแบบเดิมซ้ำอีก 2 ครั้ง ทันทีที่ฟูจิกาว่านิ่ง ประตูสีดำด้านในก็จะค่อยๆเลื่อนเปิดออกเองช้าๆ โคทาโร่ขยับไปทางขวา 2 ก้าวเพื่อลดแสงสะท้อน คราวนี้รูปตราสัญลักษณ์อันเดิมแต่ทำมาจากโลหะสีทองก็ปรากฏมีดาบคาตานะเล่มยาวแขวนพาดทแยงมุมอยู่บนผนังอีกชั้นที่ลึกเข้าไป เขารู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัวเมื่อฟูจิกาว่าเดินเข้าไปเอื้อมปลดดาบเล่มนั้นลงมาจากหิ้ง

#แกร๋ๆ…แกร๋ๆ…แกร๋ๆ…#ขณะเดียวกันนกกระเรียนหลังบ้านก็แข่งกันร้องประสานเสียงอย่างไม่ทราบสาเหตุ โคทาโร่คล้ายจะไม่ได้ยินเพราะประสาททุกส่วนถูกดาบคาตานะเล่มนั้นตรึงจิตไปจนหมดสิ้นแล้ว

ดาบประจำตระกูล

“มันถึงเวลาแล้วโคทาโร่คุง และนี้คือดาบประจำตระกูลของเรา…คาตานะ มูโต…” ฟูจิกาว่ากดเสียงต่ำ เหมือนจงใจจำกัดรัศมีให้ได้ยินเฉพาะ โคทาโร่รู้สึกเย็นวาบอีกทันทีที่มือสัมผัสกับหนังปลากระเบนสีดำที่ด้ามจับและมีตราสัญลักษณ์เล็กๆ สีเงินปรากฏอยู่ ฟูจิกาว่าเดินนำไปนั่งลงที่เดิม ก่อนเขาจะพูดต่อแบบคนใจเย็น “มันจะเป็นของเจ้า หากว่ามันเลือกเจ้าเป็นนาย”ความเป็นกังวลเริ่มปรากฏชัดขึ้นเรื่อยๆ

“ข้าขอจับมันให้ถนัดมือสักครั้งเถอะ” โคทาโร่ขออย่างกระหาย ฟูจิกาว่าชะงัก แต่ก็จำเป็นต้องส่งมันให้เขา

“หากไม่มีสงคราม ข้าจะไม่มีทางให้เจ้าได้เห็นมันโดยเด็ดขาด” ฟูจิกาว่าพึมพำในลำคอ และไม่ยอมละสายตาไปจากมือของโคทาโร่ที่เทียวลูปไล้ปลอกหนังสีดำที่มีลวดลายขนนกพันตีเป็นเกลียวโดยรอบไปตลอดทั้งฝัก

“ดาบคาตานะ มูโต จะเลือกซามูไรในสายเลือดมินาโมโตโดยตรงเท่านั้น”

“แล้วจะรู้ได้อย่างไร ว่ามันเลือกข้า” โคทาโร่ถาม มันยิ่งทำให้ใบหน้าของฟูจิกาว่าซีดขาวลงไปอีก

“เวลานี้เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง”

“เย็น ใช่…ข้ารู้สึกมีความสุขอย่างน่าประหลาด” โคทาโร่กระชับดาบด้วยสองมือ และ…

“อย่าริชักมันออกจากฝัก” ฟูจิกากระแทกเสียงดัง จนซามูไร 2 คนที่นั่งอยู่ต่างเบิกตากว้าง…เหมือนกับพวกเขาจะรู้ฤทธิ์เดชและอำนาจแฝงของมันเป็นอย่างดี

“….” โคทาโร่ดันดาบกลับเข้าที่ และค่อยๆ เงยหน้าจ้องฟูจิกาว่า แต่เสียงลมหายใจที่แผ่วเบาราวกับนินจาที่ด้านนอกก็ทำให้เขาลังเล

“ใครอยู่ด้านนอก” ซามูไรยืนชักดาบเตรียมพร้อมก่อนจะตะโกนออกไป สักพักคนใช้หญิงเก่าแก่อายุจะ 75 ปี ก็ค่อยเลื่อนประตูเปิดออกและเดินเข้ามานั่งหมอบลงกับพื้น แต่ทันทีที่นางเงยหน้าขึ้น ดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวก็เบิกกว้าง

“นายท่าน…เจ้าคะ…นายท่าน…คุณ คุณชายยังเด็กนัก” โอฟูริอุทานเสียงหลง  “ได้  ได้โปรด…เจ้าคะ…คุณชายยังไม่พร้อมที่จะถือมันเอาไว้ในมือ…คุณชายยังเด็กมากนัก…กรุณาเถอะ…ได้โปรดเถอะเจ้าค้า” นางวิงวอนหลายรอบ…ในที่สุดนางก็ร้องไห้ออกมา

“อะไรกัน โอฟูริ เจ้ามองหน้าโคทาโร่ให้ดีอีกทีซิ”

“ทำไมรึ เจ้าคะ…ข้าก็เห็นคุณชายของข้าทุกวัน” พูดจบดวงตาพล่ามัวและเปียกชุ่มก็จ้องใบหน้าของโคทาโร่

“โอฟูริ…ปีนี้ข้า 20 แล้วนะ” โคทาโร่บอกพลางหัวเราะออกมา

“เจ้าแก่ขึ้นเยอะเลยนะ” ฟูจิกาว่าพูดพลางอดขำตามโคทาโร่ไปอีกคนไม่ได้…

“จริงๆ ด้วย…เออ…ข้าคงแก่อย่างที่ คุณนายใหญ่ว่าจริงๆ ฮึๆ” โอฟูริหัวเราะในลำคอ ก่อนจะเข้าไปยกชุดน้ำชาที่วางอยู่ เดินงกๆเงิ่นๆ ออกไป

“ยังมีใครแอบฟังอยู่หรือเปล่า” ฟูจิกาว่ากระซิบ

“มีคนใช้หญิงในครัว 2 คน และยามเฝ้าประตูหน้าบ้านอีก 3 คน…แล้วเมื่อครู่ทำไมไม่ให้ข้าชักดาบประจำตระกูลออกมา”

“จำเอาไว้….เจ้าจะชักดาบก็ต่อเมื่อ เจ้าต้องการปลิดชีพศัตรูเท่านั้น…”ฟูจิกาว่าแนะ “โคทาโร่คุง”เขาลุกเดินไปหยุดที่หน้าตราสัญลักษณ์ที่ซ้อนกันอยู่ “ดาบคาตานะคือชีวิตของซามูไรและบัดนี้ดาบมูโตก็คือชีวิตหนึ่งของเจ้าแล้ว”เสียงของฟูจิกาว่าดูเข้มแข็งและจริงจังอย่างมีจุดประสงค์

                เมื่อ 200 ปีที่แล้วต้นตระกูลเรา ได้ว่าจ้างช่างตีดาบที่อพยพมาจากเมืองจีนคนหนึ่ง ว่ากันว่าเขาเป็นช่างตีดาบที่เก่งที่สุดในยุค ทั้งชีวิตของเขาจะสามารถตีดาบแบบเดียวกันนี้ได้มากที่สุดเพียง 4 เล่ม และหนึ่งในสี่เล่มก็อยู่ในมือเจ้าเวลานี้ฟูจิกาว่าพูดเสียงเรียบๆ เขาถอนหายใจออกมายาวๆ ก่อนจะกลับมานั่งที่เดิม เหล้าสาเกที่เหลือถูกรินลงในถ้วย 2 ใบที่เรียงกันอยู่

“เจ้าควรจะดื่ม”เขาแนะและยื่นถ้วยสาเกให้ โคทาโร่รับไปดื่มพรวดเดียวจนหมดและฟูจิกาว่าก็ซดมันตามไปอีกที

“มันเป็นดาบคาตานะที่งดงามมากๆ เท่าที่ข้าเคยเห็น” โคทาโร่เปรยๆ

                เหตุผลที่ทั้งชีวิตของช่างคนนั้น ตีดาบได้เพียง 4 เล่ม ก็เพราะว่า มันมีกรรมวิธีที่สลับซับซ้อนมากมาย โดยเริ่มตั้งแต่การคัดเลือกนกกระเรียนมงกุฎแดง เขาจะต้องเลือกเฉพาะนกตัวเมียที่มีคู่พร้อมจะวางไข่ จากนั้นหัวหน้าช่างจะทำพิธีฝนแท่งเหล็กด้วยตะไบจนเป็นผงละเอียด และนำผงเหล็กที่ได้ไปผสมกับเนื้อวัวบด  แล้วปั้นให้เป็นก้อนกลมเล็กๆ ก่อนจะนำไปให้นกกระเรียนกิน

                “ทำไมต้องเป็นนกตัวเมียที่กำลังจะวางไข่”โคทาโร่ถาม

                เขาบอกว่าในกระเพราะของนกกระเรียนที่กำลังสร้างไข่จะมีสารบางอย่างเสริมให้ผงเหล็กแข็งแกร่ง และเมื่อนกกระเรียนถ่ายมูลออกมา ช่างตีเหล็กก็จะนำเอามูลของมันไปผ่านการร่อนแร่ เพื่อคัดเอาเฉพาะผงเหล็กและนำผงเหล็กที่ได้กลับไปหลอมขึ้นรูปใหม่ เขาจะทำซ้ำๆอยู่อย่างนี้ถึง 3 รอบ เหล็กที่ได้จะมีคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมที่สุด ความแข็งแกร่งของมันสามารถตัดเหล็กที่มีความหนาถึง 1 นิ้วได้อย่างสบายฟูจิกาว่าอธิบาย “แต่สำหรับดาบมูโตเล่มนี้ ต้องผ่านกรรมวิธีนั้นๆถึง 5 รอบ เราต้องเสียนกกระเรียนมงกุฎแดงไปถึง 43 ตัว”

“และคู่ของมันอีก 43 ตัวก็ ตรมใจตาย”โคทาโร่เสริมอย่างคาดคะเน ฟูจิกาว่าพยักหน้าอย่างไม่สบายใจนัก

“ไม่มีดาบซามูไรเล่มใดจะแข็งแกร่งเท่ากับดาบ คาตานะ มูโต เล่มนี้อีกแล้ว…โคทาโร่คุงมองตาข้า นับตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป เจ้าคือซามูไรลำดับที่ 201 ของมินาโมโต ดาบคาตานะเล่มนี้เลือกเจ้าเป็นนายคนใหม่ของมันแล้วละ จงรักษาเอาไว้ด้วยชีวิต…”

“ท่านพ่อ…” โคทาโร่อุทาน

“เจ้าอายุครบ 20 ปีเต็ม ความฝันที่จะเป็นนักบินพึ่งจะเริ่มต้นและมันก็จะจบลงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เจ้าหนีไม่พ้นสงครามแน่ๆ โคทาโร่คุง” ดวงตาของฟูจิกาว่ากำลังเห็นอนาคตของบุตรชายอย่างชัดแจ้ง เหมือนจะชัดเจนยิ่งกว่าวันไหนๆ

“ด้วยเหตุนี้ ท่านพ่อเลยอยากให้ดาบคาตานะเล่มนี้…ออกสงครามพร้อมกับข้า” โคทาโร่เอ่ยลอยๆ ฟูจิกาว่าพยักหน้ารับ

“สงครามครั้งนี้ ไม่ใช่สงครามไล่ล่าโจรสลัดหรือสงครามระหว่างจีน มองโก เกาหลี หรือรัสเซีย แต่มันเป็นมหาสงครามระหว่างเอเชีย กับชาติตะวันตก…ดาบคาตานะ มูโตจะนำทางเจ้ากลับบ้านหลังสงครามสิ้นสุดลง” ฟูจิกาว่าบอกพลางจ้องหน้าบุตรชายชัดๆ “จงนำดาบเล่มนี้ติดตัวไปกับเจ้า…ถึงแม้จะมีปืนในมือก็ตามที”

“ท่านพ่อ…” โคทาโร่ให้คำมั่นด้วยการพยักหน้า แต่ก็พยายามจะหลบสายตาผู้เป็นพ่ออยู่ตลอดเวลา

“จ้องตาข้าซิ โคทาโร่คุง” ฟูจิกาว่ากระตุ้นเหมือนอยากจะมั่นใจในคำมั่นที่เขาให้เมื่อครู่

“ท่านพ่อคงลืมไปแล้วว่าข้าเป็นชิโนบิ…ท่านอาจจะหลับได้”

“เออ…ใช่! ข้าลืมไป ฮึๆ…”ฟูจิกาว่าหัวเราะ “ถึงแม้ความตายสำหรับซามูไรจะเป็นเรื่องเบาบางยิ่งกว่าขนนก แต่ข้าก็ไม่ปรารถนาจะให้มันเกิดขึ้นกับเจ้า”และฟูจิกาว่าก็ลุกเดินไปหยิบดาบวากิซาชิ (Wakizashi) แล้วนำมันมาวางไว้ตรงหน้าโคทาโร่อีกเล่ม “เป็นสิทธิ์ของเจ้าว่าจะพกมันหรือไม่”ฟูจิกาว่าพูดต่อ (สมัยก่อนซามูไรจะพกดาบอยู่ 2 เล่ม คือดาบยาวเรียกว่าคาตานะ เอาไว้ต่อสู้และป้องกันภัยจากศัตรู และวากิซาชิ ดาบสั้น ยาวประมาณ 12 นิ้วถึง 24 นิ้ว มีไว้สำหรับทำ “เซปปุกุ” (Seppuku) หรือที่รู้จักกันอีกชื่อคือ “ฮาราคีรี”เพื่อจบชีวิตตัวเองเมื่อเห็นสมควร)  โคทาโร่มองหน้าพ่อและหยิบดาบสั้นเล่มนั้นมาคู่กัน เขาถอยหลังไปสองก้าวแล้วก้มศีรษะลงจรดพื้นเสมือนแทนคำบอกลา

………..

มุ่งตรง…ไปข้างหน้า   นัยน์ตาคม…….ดุจเหยี่ยว

เที่ยวท่อง……แดนไกล  ใจมั่น………ดั่งหินผา

มินาโมโต โคทาโร่

………..

          (โคทาโร่คุง ข้าดีใจ ที่มันเลือกเจ้าและข้าก็เสียใจไม่น้อยที่เจ้าเลือกมัน…ดาบคาตานะ มูโต เล่มนี้เป็นเสมือนสัญญาทางจิตวิญญาณที่มีต่อบ้านมินาโมโต มันคือหลักประกันให้ข้ามั่นใจได้ว่า เจ้าจะต้องกลับมาและข้าก็แอบหวังลึกๆเช่นกันว่าเจ้าจะรับมือกับคำสาปจากมันได้ เพียงแค่ข้านึก หัวใจข้าก็แทบแตกออกเป็นเสี่ยงๆ…ลูกพ่อ สายน้ำจะนำพาจิตวิญญาณแห่งซามูไรอย่างเจ้ามาคืนข้า…ฟ้าสางที่คาโกคุมะ…ใช่….ฟ้าสางที่คาโกคุมะ…ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นี้) ฟูจิกาว่าไล่วนสิ่งปรารถนา โคทาโร่จ้องใบหน้าพ่อไม่กระพริบ เขาได้ยินและสัมผัสเสียงสื่อของฟูจิกาว่าได้กระจ่างชัดทุกถ่อยคำ แสงสีอำพันจากโคมไฟรอบๆห้องฉายให้เห็น ร่างของซามูไรหนุ่มนั่งกำดาบ 2 เล่มไว้ในมือ เขาก้มศีรษะลงจรดพื้นเป็นครั้งที่ 2 เหมือนอยากจะบอกลาแทนเสียงที่ไม่อาจเอ่ยจากปากเป็นคำรบที่ 2 เช่นกัน

………..

ความพ่ายแพ้………..คือบทเรียนแรกที่ต้องอ่าน

เสมือนความมืดตอนสี่นาฬิกา……ก่อนฟ้าสาง

มินาโมโต โคทาโร่

………..

สงครามมหาเอเชียบูรพา

ต้นฤดูใบไม้ผลิ ปี 1939

สองอาทิตย์หลังจากที่ โคทาโร่ได้เป็นเจ้าของดาบ คาตานะ มูโต อย่างสมบูรณ์ สิ่งที่ฟูจิกาว่าคาดการไว้ก็เป็นจริง เด็กหนุ่มในเมืองคาโกคุมะถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารถี่ขึ้น นักเรียนการบินปีแรกอย่างโคทาโร่ก็มีคำสั่งให้กระจายตัวเข้าสังกัดตามหน่วยงานต่างๆ ของกองทัพตั้งแต่กลางอาทิตย์ที่ผ่านมา แผนการบุกเข้าโจมตีพร้อมกันทุกส่วนของโลกก็มีเคล้าลางจะเป็นจริงมากขึ้น ถ้าฟูจิกาว่าคาดไม่ผิดแผนการจู่โจมคงจะเกิดขึ้นหลังจากคณะผู้แทนเจรจาซื้อขายน้ำมันกับอเมริกาจบสิ้นลง ซึ่งจากความบาดหมางระหว่าง 2 ประเทศ ยังไม่เห็นท่าทีว่าจะตกลงกันได้เลยสักครั้ง หากเป็นไปดังคาดการประเทศบ่อน้ำมันอย่างอินโดนีเซีย ซึ่งอยู่ในการครอบครองของฮอลแลนด์คงเป็นประเทศเป้าหมายอันดับต้นๆ นั้นก็หมายความว่าญี่ปุ่นต้องประกาศสงครามกับอังกฤษและอเมริกาไปพร้อมๆ กัน

“ไม่เกิน 2 ปี หลังจากนี้…สงครามจะเกิดขึ้นแน่ๆ” ฟูจิกาว่าพึมพำ เขาหลับตานิ่งเหมือนไม่อยากจะจิตนาการถึงอนาคตที่ดำมืดของบุตรชาย

ดอกซากุระเริ่มเบ่งบานต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ ลมเช้าโชยพัดเย็นสบาย หอบเอากรีบดอกโรยหลุดร่วงลงสู่พื้นดิน ต้นไม้นานาชนิดที่ยืนเหมือนตายซากตลอดฤดูหนาว ก็เริ่มผลิใบใหม่ ทุกอย่างกำลังจะเริ่มต้นด้วยความสุข แต่สำหรับปีนี้ทุกอย่างกำลังเปลี่ยนไปจากที่เคยเป็น ไม่มีคำถามว่า “เพราะอะไร, เพราะเหตุใด” แต่ดูเหมือนทุกคนจะทราบคำตอบอยู่แล้ว

ฟูจิกาว่ายืนเหม่อหน้าตราสัญลักษณ์รูปนกกระเรียนมงกุฎแดงกำลังกระพือปีกบินอยู่กลางดวงอาทิตย์ มันนานพอควรกับความรู้สึกที่มากมาย กระทั้งมินาโมโต โคทาโร่ในชุดนายทหารบกเต็มยศติดดาบคาตานะ มูโตอยู่ข้างเอว เดินเข้ามาคลุกเข่าลงด้านหลัง

“ท่านพ่อ” เขาเอ่ยทักสั้นๆก่อนจะก้มศีรษะจรดพื้น

                โคทาโร่คุง เจ้าต้องรักษาตัว อย่าให้ดาบคาตานะ มูโตห่างกาย เพราะมันจะพาเจ้ากลับมาหาข้าหลังสงครามฟูจิกาว่าพูดเป็นเชิงกำชับทั้งๆที่ยืนหันหลังให้เขา

“ข้าให้สัญญา…..ท่านพ่อ ข้าขอสัญญา” โคทาโรให้คำมั่นด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น ฟูจิกาว่าหันกลับมายิ้ม…แต่มันก็ฝืนเศร้าเต็มทน

“ข้าจะภาวนาขอให้เจ้าปลอดภัย” เสียงของคุณนายมินาโมโต ไอ ดังแทรกคนทั้งคู่ทางด้านหลัง โคทาโร่หันกลับไปยิ้มให้นาง เขาก้มหัวแทนคำอำลาแก่นางอีกคน

                “ข้าเองก็จะรอเจ้า…โคทาโร่คุง”เสียงมาเอดะที่พึ่งจะซอยเท้าสั้นๆเข้ามานั่งด้านหลังคุณนายมินาโมโต ไอ ดังขึ้นอีก

“ท่านพี่…ก็อย่างพึ่งแต่งงานก่อนข้ากลับแล้วกัน”โคทาโร่กระเซ้าเหมือนไม่อยากเห็นบรรยากาศเศร้าหนักไปกว่าที่เป็นอยู่

“ข้าจะรอจนกว่าเจ้าจะกลับมาซะก่อน” มาเอดะตอบกลับกวนๆ

“ท่านแม่…ฝากบอกลาพี่โนริยาดะด้วย…บอกนางว่าข้าจะภาวนาขอให้นางได้บุตรชาย”

“อื้อ!…” คุณนาย ไอรับผงกหัวนิดๆ ก่อนนัยน์ตาของนางจะปรากฏน้ำใสๆเอ่อล้นออกมา โคทาโร่รีบลุกหันหลังเดินถอยออกไป เหมือนเขาไม่อยากเห็นการอำลาในลักษณะนี้

“ข้าจะคิดถึง…ทุกคน” เขาพูดและค้อมศีรษะให้อีกครั้งที่หน้าประตู เสียงร้องไห้ของคุณนาย ไอ ดังขึ้นพร้อมกับมาเอดะ…ประตูชั้นนอกสุดเปิดออก โคทาโร่ก้าวลงบันไดเตี้ยๆ เดินเข้าไปหยุดใต้ต้นซากุระใหญ่หน้าบ้านที่กำลังออกดอกสีขาวอมชมพูบานสะพรั่ง สายลมต้นฤดูโชยผ่านเบาๆ เพียงเท่านั้นกลีบดอกก็หลุดร่วงลอยหมุนคว้างอยู่รอบตัวเขา มันโรยตัวต่ำไปกองรวมกันจนขาวโพลนแผ่เต็มพื้น ไม่ต่างอะไรกับพรมราคาแพงจากเปอร์เซียมาปูเพื่อส่งอำลา เหล่าซามูไรและคนใช้ในบ้านก็ออกมาออกันอยู่ด้านหน้า พวกเขาพร้อมใจกันนั่งลงกับพื้นและก้มศีรษะบอกลาอยู่อย่างนั้น โคทาโร่หยุดยืนนิ่ง สักครู่ก็หันกลับมา เหมือนต้องการจะจดจำทุกๆรายละเอียดของปราสาทบนเนินเขาให้ขึ้นใจ เขาก้มหัวนิดๆให้ ฟูจิกาว่า คุณนายไอ และมาเอดะ อีกครั้ง พร้อมกับกระชับดาบคาตานะ มูโตให้แน่นขึ้น…

“ข้าไปละนะ!” เขาเอ่ยลาสั้นๆ บนใบหน้าที่เรียบนิ่ง…“สัญญาว่าข้าจะกลับมา” พูดจบม่านกรีบซากุระก็กลืนเขาหายไปในเช้าวันนั้นเอง…

……….

ซากุระ      พร่างพราว     ขาวชมพู   

 พวงพรางพู่ ชูพวงพลาง กระจ่างใส

ขาวกลีบอ่อน  ผ่อนพลิ้ว  ละลิ่วไกล   

อยากอยู่ใกล้   พวงพิศ    พินิจนาน

แต่หัวใจ      เลือดนักสู้     คู่นักรบ    

จะหลีกหลบ      เลี่ยงไซ้    ได้ไฉน

จักออกสู้         ด้วยเลือด     ซามูไร    

ถึงชีพวาย   มลายสิ้น   ไม่กริ่งเกรง

……….

อีก 1 เดือนต่อมา

          “นายท่าน!…นายท่านมีจดหมายจากนายหญิงยามุดะ…”

“หุบเขาอิงะนั้นหรือ…”

“จากอูคาชิ….ใช่ๆ…จากหุบเขาอิงะจริงๆ”

“เอาเข้ามาเร็วๆ…” เสียงฟูจิกาว่าเร่งจากด้านใน…และสักครู่

                โคทาโร่มีบุตรชาย…ชื่ออูคาชิ เซดะหรือนี้…

                อูคาชิ เซดะ…อูคาชิ เซดะ…ยามุดะ

นินจาเลือดซามูไร บทที่ 11

ปักษาคืนรัง ปักษาคืนรัง คืนฟ้าสีนิล ปลายสัปดาห์ที่ 2 ของฤดูหนาว หิมะที่ทับถมบนพื้นดินตั้งแต่เมื่อคืนก่อนยังไม่ทันละลาย

ปักษาคืนรัง1

คืนฟ้าสีนิล ปลายสัปดาห์ที่ 2 ของฤดูหนาว  หิมะที่ทับถมบนพื้นดินตั้งแต่เมื่อคืนก่อนยังไม่ทันละลาย ก็มีเคล้าลางของพายุลูกใหม่กำลังจะเข้ามาในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า นับตั้งแต่ซามิโอะจากไปเมื่อสามเดือนก่อน เซดะก็ปล่อยให้ความเหงาเข้ามาเป็นเพื่อนได้โดยง่าย คืนนี้เขาอยู่ในชุดกิโมโนสีน้ำตาลสำหรับฤดูหนาวที่มิกิเตรียมไว้ให้ เขาออกมานั่งเหม่อมองที่ขอบฟ้าทางทิศตะวันตก เหมือนมีหลายเรื่องให้คิดตามที่จิตพิรุธบอก แต่ก็ยังไม่แน่ใจนักว่ามันเรื่องอะไรกันแน่ที่ทำให้รู้สึกประหลาดได้ถึงเพียงนี้  จนกระทั้งเสียงของยาสุที่อยู่ในเรือนน้ำชา สั่งมิกิให้มาตามเข้าไปพบ แต่เขาก็ทำเป็นไม่ได้ยิน กระทั้งเสียงฝีเท้าของคนรับคำสั่งใกล้เข้ามา ในใจอยากจะถอดกายทิพย์แล้วหนีไปเสียให้พ้น แต่สิ่งที่ยาสุต้องการคุยด้วยก็เป็นเรื่องน่าสนใจไม่น้อยไปกว่ากัน

“คุณชายนั่งอยู่ตรงนี้เอง ท่านพ่อเรียกหาเจ้าคะ” มิกิซอยเท้าสั้นเข้ามานั่งในแบบของนางและก้มศีรษะลงนิดๆทางด้านหลัง  เซดะพยักหน้าอย่างไร้อารมณ์ เขาลุกเดินผ่านนางไปตามพื้นระเบียงไม้เก่าๆ ที่ทอดตัวเชื่อมระหว่างเรือนนอนกับเรือนน้ำชาไกลออกไป สายลมจากช่องเขาคุโระอิสีนิลเริ่มหอบเอาเกล็ดหิมะโปรยปรายลงมา แต่ยอดต้นสนมซึที่ขึ้นอยู่รายล้อมตัวปราสาทสีดำยังคงนิ่งเหมือนจะไม่สะทกสะท้าน ไม่มีร่างที่โผจากเงาสู่เงาของเด็กชิโนบิระดับ 1,ระดับ 2 และระดับ 3 ให้เห็นเหมือนคืนก่อน มีเพียงแสงไฟสีส้มสะท้อนผ่านผนังสีขาวตลอดแนวทางเดินเท่านั้นที่ยังบ่งบอกว่ายังมีความเคลื่อนไหวของเหล่านินจาอยู่ และยังช่วยนำทางโดยไม่จำเป็นต้องปรับแสงสว่างจากนัยน์ตาให้เห็นสีเขียวอมเหลืองในความมืดให้ยุ่งยาก

เซดะเดินเข้าไปในเรือนน้ำชาที่มีคนใช้คอยนั่งประจำที่ประตูเลื่อนบานใหญ่ชั้นนอกสุด พวกนางศีรษะหัวต่ำก่อนจะเคาะเป็นสัญญาณ 2 ครั้งจึงเลื่อนเปิดทาง  เขาเดินผ่านเข้าไปโดยไม่ได้ทักทายเพื่อนนินจาที่นั่งสมาธิอยู่ในมุมด้านขวา คนใช้ประจำประตูชั้นกลางก็กระทำแบบเดียวกับชั้นแรก เขานึกขำพวกนางที่ต้องทำงานซ้ำๆซากๆตลอดทั้งวันทั้งคืนได้อย่างไม่แสดงอาการเบื่อหน่ายให้เห็น  เขาก้มหัวให้นิดๆขณะเดินผ่านเข้าไป

“คุณชาย…เจ้าคะ” เสียงคนใช้ชั้นในสุดดังขึ้นก่อนที่จะเดินไปถึง

“อื่อ!…เข้ามา”อูคาชิ ยาสุตอบกลับจากข้างใน ประตูถูกเลื่อนเปิดช้าๆ เซดะเดินแทรกผ่านเข้าไป แต่ยาสุก็ยังนั่งนิ่งอยู่บนเบาะผ้าสีน้ำตาลดำสลับขาว เขาหลับตาใต้แสงสว่างสีส้มที่กระจายบนผนังทั้ง 4 ด้าน เซดะมองพ่อด้วยอาการแปลกใจนิดๆ ที่คืนนี้มีโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กพร้อมกับถาดและถ้วยกระเบื้องสีน้ำตาลสำหรับน้ำชา 2 ชุด วางเรียงกันอยู่ทั้งๆที่เขาไม่เคยพิศวาสรสชาติขมๆของชาในหุบเขานี้เลย

“ท่านพ่อ”เซดะเอ่ย  ยาสุวาดมือเชิญทั้งๆที่ยังหลับตานิ่ง เขายิ่งรู้สึกใจหายวาบกับกิริยาเชื้อเชิญที่ไม่เคยเกิดขึ้น แต่ก็ยอมนั่งลงอย่างว่าง่าย คนใช้แก่ๆวัยใกล้จะ 70 ที่นั่งอยู่ไม่ห่างคลานเข่าเข้ามาพร้อมกับกาน้ำชา นางก้มศีรษะลงจรดพื้น ก่อนจะเริ่มรินจนเต็มทั้ง 2 ชุด

“คืนนี้พิเศษหน่อยนะ ดื่มน้ำชาร้อนๆก่อน” ยาสุลืมตาจ้องเขาพร้อมกับเอ่ยเชิญชวน“พวกเจ้าออกไปข้างนอกได้แล้ว”ยาสุสั่ง คนใช้ชายหญิง ที่นั่งอยู่รอบๆ ทุกคนก้มศีรษะลงจรดพื้นก่อนทยอยกันเดินออกไปจนเหลือแค่พวกเขาเพียงลำพัง จิตพิรุธของเซดะเริ่มวิตกเมื่อเห็นในสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้น

“ท่านพ่อ มีอะไรพิเศษจะคุยกับข้า” เซดะถามอย่างคนระมัดระวังตัว

“เรื่องที่เจ้าอยากรู้มากที่สุดไงละ…ข้าจะไม่ปิดบังเจ้าอีกต่อไป” ยาสุพูดเสียงต่ำช้าๆ เหมือนเขาตั้งใจจะให้มันชัดเจนในที่เดียว เซดะตกใจแทบจะสำลักน้ำชาที่พึ่งยกจรดริมฝีปาก เขารีบวางถ้วยกระเบื้องในมือลงที่เดิม

“มันเกิดอะไรขึ้น แต่ก่อนท่านพ่อเกลียดนักหนาเมื่อข้าถามถึงเรื่องนี้…มีอะไรมากกว่าสิ่งที่ข้าควรจะรู้อย่างนั้นหรือ” พูดจบ ทั้งคู่ก็นิ่ง…ยาสุจิบชานิดๆ…ใบหน้าที่เรียบสนิททำให้อีกฝ่ายเริ่มกลัว จนอยากจะลุกเดินหนีไปจากตรงนั้นให้ไวที่สุด

“ถึงเวลาที่เจ้าจะต้องรู้ความจริงเซดะคุง”

“ท่านพ่อ!”

“…นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้…ชีวิตของเจ้าจะเปลี่ยนไป…” ยาสุพูดอย่างคนใจเย็น แต่กลิ่นของสาเกที่ลอยออกมากับลมหายใจ กำลังตอกย้ำให้เซดะนั่งไม่ติด

“ในที่สุดนิทานของคนเผาถ่าน…ที่ท่านพ่อเคยกรอกหูข้าว่าไม่มีแก่นสารเชื่อถือไม่ได้…ก็เป็นจริงขึ้นมาใช่ไหม” เซดะเอ่ยประโยคนี้เบาๆ

“ใช่!…ข้าโกหกเจ้ามาตลอด…และในเมื่อนิทานของคนเผาถ่านเป็นจริง เจ้าบอกข้าเองมิใช่หรือว่าจะยอมแลกมันกับตำแหน่งคุณชายแห่งหุบเขาอิงะ…”ยาสุตวาดกลับเสียงแข็ง นัยน์ตาของเขาแดงกล่ำทันที ใบหน้าที่เคยเรียบนิ่งกลับเต็มไปด้วยริ้วรอย จนโหนกแก้มยกสูงเขม่นสั่น “พรุ่งนี้! เจ้าไม่ใช่คุณชายอูคาชิและไม่ใช่นักฆ่าชิโนบิอีกต่อไป”

“ท่านพ่อ!”

“มีแต่ดาบคาตานะและทายาทซามูไรที่ไม่ยอมจบสิ้นไปกับกาลเวลา….หึๆ…ความตายเป็นสิ่งบางเบาราวกับขนนก…อย่างมินาโมโตเท่านั้น ที่รอเจ้าอยู่”ยาสุนิ่งสะอึก เหมือนสะดุดความรู้สึกข้างในกับคำพูดของตัวเองเข้าอย่างจัง เขาเชิดหน้าสูงและสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดก่อนจะปล่อยมันทิ้งอย่างระมัดระวัง “เจ้าไม่ใช่อูคาชิ เซดะ…นับตั้งแต่แสงแรกแตะขอบฟ้า ข้าจำเป็น ต้องคืนเจ้าให้กับมินาโมโต จงลืมเงามืดแห่งราตรี ลืมสายฟ้าสีดำผ่ากลางจันทร์เสี้ยวซะ หากต้องการให้พี่น้องอูคาชิได้อยู่ต่อ”

“ท่านพ่อ!”เซดะหลุดตะโกนอย่างสุดจะทน น้ำตาของเขาล้นทะลักออกมา… แต่ดวงตาสื่อดวงตาใต้แสงไฟยังคงสั่นระริก “ท่านพ่อเห็นแก่ตัว…ท่านพ่อกำลังเห็นข้าเป็นสิ้นค้าแลกเปลี่ยน”เซดะพูดพลางใช้หลังมือที่สั่นเทาปาดน้ำตาที่กำลังไหลทิ้ง “…เพื่อพี่น้องอูคาชิ…หึๆ…แล้วข้าละ…ข้าไม่ใช่อูคาชิหรืออย่างไร ข้าไม่ใช่ชิโนบิรึ ตอบข้าซิ…ตอบข้า…ตอบข้ามา”—แพล้ง!—เขาปัดชุดน้ำชาบนโต๊ะญี่ปุ่นกระเด็นแตกกระจายไปทั้งห้อง สติก็หลุดจนยากจะควบคุมได้

“ตอบข้าซิ”—โครม!—เขาตะโกนเสียงสูงขึ้นไปอีก พร้อมๆกับยกโต๊ะญี่ปุ่นที่กั้นกลางเหวี่ยงทะลุผนังออกไปด้านนอกจนมองเห็นมิกิและคนใช้อีกหลายคนกำลังนั่งร้องไห้รวมกันอยู่มุมหนึ่ง  แต่ยาสุก็ยังนิ่ง มีเพียงกลิ่นสาเกเท่านั้นที่เซดะสัมผัสได้จากตัวเขาเวลานี้

“ข้าอยากจะถามท่านพ่ออีกข้อหนึ่ง…ยามุดะ ผู้หญิงที่ท่านเอ่ยถึง นางเป็นแม่ของข้าจริงหรือไม่”

“ใช่นางคือแม่ของเจ้า…”

“ฮื่อๆ…นี้ก็นิทานของคนเผาถ่าน” เซดะร้องไห้เสียงดังขึ้น

“นางเกิดมาพร้อมกับวงดาบเสี้ยวจันทรา”

“นี้ก็นิทานของคนเผาถ่าน”

“เซดะ ข้าจำเป็นที่จะต้องคืนเจ้าให้กับมินาโมโต”

“ข้าคือมินาโมโต…โคทาโร่ นี้ก็นิทานบทหนึ่งของคนเผา เผาถ่าน” เซดะตะโกนใส่ด้วยความคับแค้นใจสุดๆ

“สิ่งที่…ชิโนบิแห่งหุบเขาอิงะต้องการก็คือเลือดชิโนบิโนะโมโนะบริสุทธิ์มากกว่า ที่มีอยู่ในตัวเจ้าเพียงครึ่งเดียว”

“ท่านพ่อพูดอะไร….ท่านพูดอะไรออกมา”

“เซดะ…” ยาสุตวาด เรียกสติ

“ทั้งๆที่รู้ ทำไมท่านถึงลักพาตัวข้ามาที่นี้ตั้งแต่แรก…” แต่เสียงที่ตอกกลับแรงขึ้นกว่าหลายเท่า จนโอสุเกะ ฮิเดะและไชอินาริ โจอานที่นั่งฟังอยู่ข้างนอก ถึงกับร้องไห้เสียงดังอย่างไม่อาย “ข้าเกลียดท่าน…ข้าเกลียดท่าน”ทันทีที่เซดะตะโกนคำๆนั้น น้ำตาของยาสุก็ทะลักไหลล้นอาบทั้ง2 แก้มทันที

#ข้าจะทำให้เขาเกียดข้า…เกียดให้ถึงที่สุดนับตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันจากลา…มันเป็นทางเดียวที่จะทำให้เขากับข้าลืมกันและกันได้ง่ายขึ้น# พลันเสียงของยาสุก็ผุดขึ้นมาจากความทรงจำ…ของหลายคนโดยเฉพาะ อิเงะสึงิ เคนซึ ,โอสุเกะ ฮิเดะ,อูคาชิ เค็นจิ และอาจารย์โอคิตะ ไออิ

“เวลาที่ผ่านมามันได้พิสูจน์ให้ข้าเห็นแล้วว่า เจ้าควรจะเป็นซามูไร มากกว่าชิโนบิ…ข้าขอตำแหน่งคุณชายแห่งหุบเขาอิงะคืนอย่างที่เจ้าเคยท้าทายไว้กับข้า” ยาสุบีบเสียงพยายามให้มีความเกลียดชังปนออกมาด้วย แต่มือและแขนทั้ง 2 ข้างของชายวัย 70 ปี ก็กำลังสั่นเกร็ง เหมือนมันจะต่อต้าน

“ไม่มีทางอื่นอีกแล้วใช่ไหม…ท่าน…พ่อ” เซดะลดระดับเสียง เหมือนจะเห็นเนื้อแท้ในความรู้สึกของยาสุได้ชัดมากว่าอาการที่เสแสร้งของเขา

“พรุ่งนี้ เจ้าจะต้องเป็น คุณชายมินาโมโต โคทาโร่ พ่อ…”ยาสุสะดุดคำสรรพนามที่เอ่ย เขากลืนน้ำลายลงคอเฮือกหนึ่ง “พ่อ…ข้าขอโทษ นิทานของคนเผาถ่านเป็นเรื่องจริงทั้งหมด…ไชอินาริ โจอานชนะข้าแล้ว พ่อ…เอ่อ ข้ารับปากจะให้เขาได้เข้าสอบอัครนินจัตสึเป็นกรณีพิเศษ”ในที่สุดยาสุก็ทนไม่ได้อีกต่อไป

“เป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายจากคุณชายแห่งหุบเขาอิงะ”เซดะฝืนพูด เขามองผ่านผนังที่ขาดโหว่ไปยังโจอาน

“คุณชาย….คุณชาย…ฮื้อๆ…คุณชาย ฮื้อๆๆๆ” โจอานร้องไห้เสียงดัง…และดูเหมือนจะไม่หยุดลงง่ายๆ ยาสุทรุดลงกับพื้นพร้อมกับช้อนร่างเซดะขึ้นมากอด

“เจ้าจะต้องโชคดี….คุณชายมินาโมโต…ข้าจะทำให้เจ้าหลับตลอดการเดินทาง”

“ท่านพ่อ!…”

“ข้าต้องรักษาความลับ…เพื่อให้เป็นความลับไปตลอดกาล”

“…บอกโจอาน แทนข้าด้วย…ว่าสัญญาชิโนบิ ไม่มีวันตาย…” เซดะพูดเสียงสั่นเครือพร้อมกับเบิกตาที่เปียกชุ่มกว้างพร้อมจะรับมนต์สะกดชิโนบิจากดวงตาสู่ดวงตา เขาใช้ปลายนิ้วแตะน้ำชาที่ไหลนองอยู่กับพื้น และกัดฟันในเฮือกสุดท้าย เขียนประโยคๆหนึ่ง แทนความรู้สึก ก่อนทุกอย่างจะดับวูบลง…“ข้ารัก……….ท่าน…พ่อ”

ข้ารักชิโนบิ

“ลูกพ่อ…ลูกพ่อ…ข้ารักเจ้าที่สุด…ข้าลืมเจ้าไม่ได้…คุณชายเจ้าได้ยินข้าไหม…ข้าลืมเจ้าไม่ได้…ข้าเกลียดเจ้าไม่ลง…ลูกพ่อ”ยาสุแผดเสียงดังจนตัวเองแทบจะหลุดลอยจากพื้น เขาร้องไห้ไม่ต่างอะไรกับเด็กๆ ในขณะที่ร่างของเซดะก็หลับลึกอยู่ในอ้อมกอดที่สั่นเกร็ง ขณะเดียวกันนินจาในชุดพลางสีเดียวกับหิมะกว่า 20 คนที่เตรียมพร้อมอยู่ด้านนอก ก็โผวูบเข้ามายืนนิ่งล้อมรอบคนทั้งคู่

“เราต้องปล่อยเขาไป…เพื่อความอยู่รอดของเรา” อิเงะสึงิ เคนซึ กระซิบเรียกสติ

“ตอนนี้ ซามิโอะจัง ได้คลอดบุตรชายอย่างที่เราต้องการแล้ว” โอสุเกะ ฮิเดะรายงานต่อ ยาสุค่อยๆเงยหน้าขึ้น เขาฝืนยิ้มบางๆในแสงไฟสีส้ม…แต่ก็ยังเศร้าหนักอย่างฝืนไม่ออกให้หลายคนเห็น

“ขืนเรายังให้คุณชายอยู่ต่อ พวกชิโนบิในหุบเขาโคงะต้องเปิดทางเข้าหมู่บ้านให้กับพันธมิตรของมินาโมโตเล่นงานแน่ๆ”ยูกาว่า ชิการุกระแทกเสียงแข็งกร้าวที่ด้านหลัง เหมือนจะมีเขาเพียงคนเดียวที่อยากจะไล่ เซดะ ไปให้พ้นหูพ้นตาในเวลานี้

“ยามุดะ มาถึงไหนแล้ว” ยาสุถามกลับ พร้อมกับเช็ดน้ำตาที่อาบทั้งสองแก้มอย่างรวดเร็ว

“ครึ่งทางในป่าใกล้เขตุมิเอะ…แต่ตอนนี้คุณชายต้องไปแล้วละ…ก่อนที่เขาจะตื่น” อิเงะสึงิ เคนซึกำชับซ้ำ 2  ยาสุจึงยอมส่งร่างเซดะให้กับนินจา 2 คนที่รอพร้อมอยู่ข้างๆ พวกเขาช่วยกันอุ้มร่างที่กำลังหลับใหลเดินผ่านประตูหลายชั้นออกไปลานโล่งหน้าปราสาทสีดำ

“คุณชาย…คุณชาย” เสียงมิกิดังขึ้นปานจะขาดใจอยู่ด้านใน ก่อนจะพาร่างกระเซอะกระเซิงวิ่งตามพวกเขาออกมา “คุณชายเจ้าคะ!…ฮื้อๆ”

“ข้าจะตามไปส่งคุณชาย ให้ถึงคาโกคุมะ” ไชอินาริ โจอานรีบเสนอตัวทั้งๆที่ไม่ได้รับอนุญาตตั้งแต่แรก

“เจ้าได้เป็นชิโนบิสมใจแล้วนิ…ก็มีสิทธิ์ตัดสินใจได้เหมือนคนอื่นๆ…” เค็นจิรีบบอก

“แต่ แต่ เจ้า เจ้า ต้อง เปลี่ยนชุด ชุด…”

“ขุดพลางหิมะ…” โจอานร้อนใจและดีใจในคำอนุญาตของเค็นจิ

“วู้ๆ….ขอบใจ โจอานคุง ไม่อย่างนั้นใจข้าขาดแน่ๆ” เค็นจิเล่นต่อ เหมือนจงใจจะทำให้บรรยากาศที่เศร้าดีขึ้น

“ข้าอยากส่งคุณชายให้ปลอดภัยด้วยตัวเอง…” โจอานพูดพร้อมกับชำเลืองหางตาไปหยุดที่ด้านหลัง ยูกาว่า ชิการุ อย่างไม่ไว้ใจ ซึ่งดูเหมือนยาสุจะเห็นด้วยกับเขา

“อื้อ…ส่งคุณชายให้ถึงมือฟูจิกาว่า พร้อมกับจดหมายฉบับนี้”ยาสุกดเสียงต่ำและพยายามบีบให้เป็นปกติ เขายื่นซองจดหมายในมือให้โจอานเป็นคนรับผิดชอบ… “นี้คือภารกิจแรกของเจ้า!โจอาน”

“ขอบคุณ…ขอบคุณ…ในที่สุดสัญญาชิโนบิก็ไม่มีวันตาย ข้าจะไม่มีวันลืมว่า ไชอินาริ พ้นจากคนเผาถ่านได้ก็เพราะคุณชาย” โจอานดีใจสุดๆ แต่ก็ยังร้องไห้ออกมาอีกอยู่ดี เขาโผวูบหายไปจากตรงนั้น แต่เพียงเสี้ยวนาทีเขาก็กลับมาพร้อมกับชุดพรางสีหิมะอย่างที่ตั้งใจ จนสร้างความไม่พอใจให้กับ ยูกาว่า ชิการุอย่างเห็นได้ชัด

“ชิ!….”

……….

สายธารไม่เคยหวนคืน……………..ไหลกลับ

ไกลลับเลี้ยวลัดเลาะ……………………..หุบเขา

พรากกราด  จากหิน…..พรากมวลหมู่เม็ดดิน

ไกลถิ่นฐานสู่คงคา………..ลอยเคว้งลงเวิ้งนที

อูคาชิ ยาสุ

……….

 วันต่อมา

เช้าวันใหม่ท้องฟ้าไม่ค่อยสดใสเท่าไรนัก ลำแสงจากดวงอาทิตย์ยังไม่สามารถส่องลงมาถึงพื้นดินที่ปกคลุมไปด้วยหิมะได้  ไม่มีเสียงนกกระจิบร้องขับขานเหมือนทุกๆวัน ดอกอุเมะที่ถูกหิมะทับถมยังไม่เบ่งบาน เหมือนมันกำลังรอแสงแรก ยามุดะ กลับมาถึงหมู่บ้านตอนฟ้าใกล้สางพร้อมๆกับนินจา แต่อีกกลุ่มที่ไปส่งคุณชายมินาโมโต โคทาโร่ ยังกลับมาไม่ถึง พวกเขาคงต้องหลบนอนอยู่ที่ไหนสักแห่ง รอจนกว่าจะค่ำช่องเขาคุโระอิสีนิล จึงจะเปิดรับอีกครั้ง แต่สำหรับอดีตของคุณชายหุบเขาอิงะ ที่ถูกประมุขแห่งอูคาชิ สะกดจิตให้หลับก่อนจะนำออกสู่ภายนอก เขาก็จะไม่มีวันกลับเข้าสู่หมู่บ้านลึกลับแห่งนี้ได้อีกต่อไป…ถึงแม้จะพยายามสักแค่ไหนก็ตาม

“เจ้าจากพวกเราไป เกือบ 20 ปี ยังเหมือนเดิมเลยนะ ยามุดะ ลูกรัก”ยาสุพึมพำกับร่างที่ยังหลับไม่ได้สติของบุตรสาว

“ช่วยบอกหน่อยสิ ว่าพ่อควรจะดีใจที่เจ้ากลับมา หรือจะเศร้าที่เสียหลานชายไปกันแน่”ยาสุพึมพำต่อ “เซดะไม่ได้จากเราไปใช่ไหม เขาเพียงกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทารกเท่านั้น ไม่มีชื่อใดที่เหมาะสมกว่านี้อีกแล้ว อูคาชิ เซดะ ก็ยังคงจะเป็นอูคาชิ เซดะแห่งหุบเขาอิงะต่อไป…หรือเจ้าว่าอย่างไร”ยาสุเหมือนจะใช้สิ่งนี้เพื่อหลอกให้ตัวเองดีขึ้น แสงแรกกำลังสว่างเหนือพื้นหิมะ ดอกอุเมะที่กำลังรอก็ได้เวลาเบ่งบานทั้งๆที่ยังหนาวเหน็บ เหมือนมันกำลังส่งสัญญาณถึงความสุขที่จะกลับมาถึงแม้ว่าเรื่องเศร้าจะยังไม่จางหายไปง่ายๆก็ตาม

……….

อีก 1 เดือนต่อจากนั้น

“คุณชายอูคาชิได้ตายไปจากเราแล้ว แต่ขอบใจ ที่เจ้ายังกลับมาเกิดใหม่ในจุดเดิม…เจ้าจะได้เป็นคุณชายอูคาชิเต็มตัวเสียที ข้าจะให้ชื่อกับเจ้า…ว่า เซดะ คุณชายน้อย…คุณชายอูคาชิ เซดะ” ยาสุ ชูร่างของทารกเพศชายขึ้นเหนือหัว เสียงหัวเราะของเขาดูแหบแห้งจวนจะเป็นเพียงเสียงที่เสแสร้งหลอกๆ

“ไปเอาสาเกมาเลี้ยง กินเนื้อให้เต็มที ต่อจากนี้อีก 3 วันเพื่อทุกคน ฮาๆ…”เขาเชิญชวน แต่ใบหน้าของหลายคนยังคงเศร้า ยาสุมองหน้าทารกในอ้อมแขน ดวงตาพิเศษของคนที่เขาพยายามเกลียดได้ปรากฏชัดขึ้นมาอีกครั้ง

“คุณชายน้อยเซดะ…เฮ…คุณชายเซดะกลับมาอีกครั้งแล้ว”โจอานชายหนุ่มร่างใหญ่นำตะโกนเป็นคนแรกๆ…ทุกคนพยายามสนุก ขาดแต่เพียงอิเงะสึงิ เคนซึคนเดียวเท่านั้นที่หายไป

“คุณชาย…คุณชายน้อยของเรา”หลายคนพยายามยินดี…

          “กูจะฆ่ามึง…ไอ้อูคาชิ!” และเป็นเสียงขู่คำราม ในขณะที่ฟันกรามบดขยี้กันอย่างหนักของ ยูกาว่า ชิการุ….

……….

แม้จะหนาวลึก………………………………จนทรวงสะท้าน

แต่เจ้าก็ยังเบ่งบานในฤดูหิมะ…………โอ้แม่ดอกอุเมะ

อูคาชิ ยามุดะ

……….

นินจาเลือดซามูไร บทที่ 10

เลือดหนุ่มแรก เลือดหนุ่มแรก “จงเร่งนำของสิ่งนี้ไปให้ อูคาชิซัง…ให้ถึงมือเขา!

เลือดหนุ่มแรก

ที่ปราสาทฮันโต

“จงเร่งนำของสิ่งนี้ไปให้ อูคาชิซัง…ให้ถึงมือเขา!” ฮันโต ซาซากุมิย้ำเสียงแน่นๆ พร้อมกับยื่นมีดสั้น “วากิซาชิ” และจดหมายให้คนนำสาร

“เจ้ารู้ใช่ไหม ว่ามันหมายถึงอะไร…” เขาพูดต่อพลางเกร็งใบหน้าจนโหนกแก้มด้านซ้ายกระตุก ความเคียดแค้น ความสะใจกำลังถูกสะสางไปพร้อมกันแล้วในเวลานี้

“อูคาชิซัง…มิใช่คนโง่…แต่การรักษาเกียติของชิโนบิกับซามูไรต่างกัน ข้าเกรงว่า…”

“ฮึๆ…ฮึ…เขาไม่กล้าปฏิเสธข้าทั้ง 2 ข้อหรอกน่า…”

“ถ้าอย่างนั้นข้าจะรีบไปเดี๋ยวนี้เลย” คนนำสารกำมีดสั้นพร้อมกับจดหมายในมือแน่น เขาก้มหัวนิดๆ แล้วเดินถอยหลังออกไปเร็วๆ

“ฮาๆ…ให้ทุกคนคอยดู…ทุกคนจะได้เห็น ชิโนบิแก่ๆ แต่จะต้องมาตายด้วยฮาราคีรีอย่างซามูไร…ฮ่าๆ…ช่างมีเกียติเหลือเกิน อูคาชิซัง…ฮ่าๆๆ”

……….

หุบเขาอิงะ

การทำงานล้มเหลวของอูคาชิที่ปราสาทฮันโตเป็นเสมือนสายปานที่ยึดโยงหุบเขาอิงะเอาไว้ค่อยๆ ขาดที่ละเส้น มินาโมโต ฟูจิกาว่ายกบุตรสาวคนโตให้แต่งงานกับไอ้ผิดเพศอย่าง ฮันโต ซาซากุมิ เพื่อสานสัมพันธ์ระหว่าง 2 ตระกูลและ 2 เมืองที่ขนาบหุบเขาอิงะคนละด้าน มันสร้างแรงกดดันให้กับอูคาชิ ยาสุมากมายหลายเท่า และหากพวกชิโนบิในหุบเขาโคงะเล่นด้วยกับเรื่องนี้ อูคาชิก็เห็นทีจะไม่มีทางรอด

“เคนซึ ข้าต้องการให้เจ้าทำหน้าที่เจรจากับยามุดะ เพราะข้าไม่ประสงค์จะเจอนางนอกหุบเขา” ยาสุพูดด้วยแววตาที่หม่นหมอง เหมือนพยายามเลี่ยงสิ่งที่กำลังบีบคั้นอย่างหนักโดยเฉพาะดาบ วากิซาชิ และความหมายแห่งมันที่ส่งมาถึงเมื่อ 2 วันก่อน

“ไว้ใจได้…ข้าจะทำให้ดีที่สุด” อิเงะสึงิ เคนซึรับปาก ยาสุยกถ้วยน้ำชาสีน้ำตาลดำขึ้นมาหมุน 3 รอบ แต่ก็ไม่ได้ดื่ม

“นี้ข้าไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้วใช่ไหม เค็นจิ” ยาสุหลุดเพ้อขึ้นมาลอยๆ ถ้วยน้ำชาในมือยังหมุ่นไปอีกหลายรอบ แต่ก็ยังไม่ดื่มมันอีก

“หากฮันโต สามารถเจรจากับพวกโคงะสำเร็จ…เราเห็นทีจะลำบาก” เสียงเค็นจิพึมพำในลำคอ เหมือนไม่ประสงค์จะให้สิ่งที่คาดการณ์ถึงหูอีกหลายคนที่นั่งอยู่วงนอก

“แต่เราสามารถเจรจากับพวกหุบเขาโคงะ เพื่อยืดเวลาได้ชั่วหนึ่งหญิงตั้งครรภ์ตามสัญญาชิโนบิที่เคยมีให้กัน” อยู่ๆ โอสุเกะ ฮิเดะก็เสนอเหมือนจะชี้นำบางอย่าง…ทุกสายตาในห้องลับหลังม่านไม้ไผ่หันไปจ้องเขาเป็นจุดเดียว

“เจ้าหมายความว่า….” อิเงะสึงิ เคนซึกดเสียงต่ำถามใกล้ๆ ยาสุยิ้มออกมาอย่างเห็นด้วย…เหมือนเขาจะรู้ความหมายที่โอสุเกะ ฮิเดะได้สื่อออกมาแล้วเวลานี้

“เราจะไม่ยอมเสียคุณชายไป…เพราะพรสวรรค์พิเศษที่อยู่ในตัวเขาคือสมบัติที่มีค่ายิ่งสำหรับชิโนบิ และเขาต้องรีบถ่ายเทพรสวรรค์กับทายาทโดยตรงจากสายเลือดสู่สายเลือด ข้าเชื่อว่าพวกโคงะคงจะเข้าใจ” โอสุเกะ ฮิเดะอธิบาย เขาวาดสายตาจับจ้องไล่ไปทีละคน เหมือนจะขอแรงสนับสนุน

“แต่…แต่คุณชาย พึ่ง พึ่งจะ 15…”

“ไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้…เค็นจิ และฮิเดะคุงเป็นหน้าที่ของพวกเจ้า…ในการไปเจรจากับพวกโคงะ…” ยาสุเหมือนจะสรุปตามนั้นแล้ว

“แต่…แต่…คุณชาย…พึ่ง 15 ปี” เสียงของโอคิตะ ไออิพยายามคัดค้านขึ้นอีก

“15 ปี ของคุณชายก็แกร่งพอ สำหรับ เลือดหนุ่มแรก …ข้าเชื่อและมั่นใจอย่างนั้น” โอสุเกะ ฮิเดะสวนกลับ พร้อมก้มหัวให้อาจารย์โอคิตะทั้งสองที่คอยจดบันทึกอยู่อีกมุมหนึ่ง

“ข้าเห็นด้วย…ทุกอย่างมันต้องมีทางออก” อิเงะสึงิ เคนซึออกแรงหนุนความคิดของฮิเดะอีกคน

“ใช่แล้ว 15 ปี สำหรับเซดะก็แกร่งพอสำหรับเลือดของหนุ่มแรก…ข้าฝากพวกเจ้าด้วยนะ” ยาสุตอบรับเบาๆ ก่อนจะซดน้ำชาในถ้วยกระเบื้องสีน้ำตาลที่เย็นชืดจนหมด

……….

อีกมุมหนึ่ง

สายลมโชยเบาๆ มาจากช่องเขาคุโระอิสีนิล มันหอบไอหิมะแรกที่เย็นยะเยือกมาปลิดป่าใบสีแดงที่กำลังเริงระบำให้หลุดร่วงเป็นรอบที่ 10 ตั้งแต่คุณชายอูคาชิ เซดะปรากฏตัวขึ้นที่นี้  ความเป็นหนุ่มแรกวัย 15 ของเขา ได้นำมาซึ่งความหงุดหงิดของยาสุเกือบทุกวันและทุกๆเรื่อง จนบางครั้งนิทานจากคนเผาถ่านที่ยาสุเทียวกรอกหูมาตั้งแต่เด็กว่าไม่มีแก่นสาร กำลังดลใจให้เขารู้สึกว่ามันคือเรื่องจริง

“โจอานไม่เคยโกหกข้า ไม่เลยตั้งแต่วันแรกจนเดี๋ยวนี้” เซดะเทียวนึกถึงสิ่งนี้ทุกครั้งที่มีปัญหา ประกอบกับชื่อเรียกที่หลุดออกมาจากปาก ฮันโต ซาซากุมิ ก็ไม่มีทางที่เขาจะลืมมันไปได้ง่ายๆ

“คุณชาย มินาโมโต โคทาโร่” เซดะเพ้อขึ้นมาลอยๆ ก่อนจะหันไปถามเพื่อนรักที่นั่งนิ่งเป็นหินอยู่ข้างๆ “โจอาน บอกซิว่าข้าเป็นใคร”

“คุณชาย ข้ายืนยันว่านิทานจากคนเผ่าถ่านเป็นเรื่องจริง” โจอานย้ำอย่างหนักแน่น

“ข้าคือมินาโมโต โคทาโร่”

“และคุณชายอูคาชิ แห่งหุบเขาอิงะในเวลาเดียวกัน”

………..

ในห้องประชุมลับหลังม่านไม้ไผ่อีก 1 เดือนต่อมา

“เคนซึ ยามุดะว่าอย่างไรบ้าง”ยาสุกระวีกระวาดถามอย่างคนร้อนใจ

“…….” แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับจากคู่สนทนาที่นั่งนิ่ง เหมือนเขาจะไม่แน่ใจกับอะไรบางอย่างในห้อง

“มีอะไรหรือ” โอสุเกะ ฮิเดะและอูคาชิ เค็นจิหลุดถามขึ้นพร้อมกันพวกเขาประสานสายตากันไปมาก่อนเสียงอิเงะสึงิ เคนซึจะดังขึ้น “ข้ารู้สึกว่าไม่มีเฉพาะเรา 6 คนที่อยู่ในห้องนี้”

“เจ้า เจ้า หมายความว่า ว่า อย่างไร อิ อิเงะซัง” อาจารย์โอคิตะ อีอิหลุดเสียงไม่ต่อเนื่องทั้งๆที่เขาควรจะนั่งเงียบ และอาจารย์โอคิตะ ไออิ ที่นั่งอยู่ข้างกันก็เบิกตาโพลง “ใคร…ใครจะกล้า กล้า”

“เดี๋ยวข้าจัดการเอง…” อิเงะสึงิ เคนซึเอ่ยสั้นๆ เขาลุกเดินถอยหลัง 3 ก้าวสายปานแดงถูกดึงออกมาจากกระเป๋า เขาตวัดมันไปรัดรอบๆเสาไม้ที่อยู่หลังห้องอย่างรวดเร็ว

“โอ้ย! ข้าเจ็บ…ท่านลุง” เป็นเสียงของเซดะที่ตะโกนลั่นพร้อมๆกับเผยร่าง สีหน้าของเขาดูเหมือนจะเจ็บใจมากกว่าเจ็บตัวหลายเท่า

“เซดะคุง…ข้าเคยบอกแล้วใช่ไหม ว่ามันไม่ใช่ธุระอะไรของเจ้า” ยาสุกระแทกเสียงดังใส่พร้อมกับพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ แต่เซดะ กลับนิ่งและจ้องหน้าเขาด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก

“คุณชายออกไปข้างนอกก่อน” โอสุเกะ ฮิเดะเดินเข้ามารวบตัวเขาทันทีที่อิเงะสึงิ เคนซึ คลายปมสายป่านพ้นตัว

“ความลับหลังม่านไม้ไผ่…หึๆ…ท่านพ่อมีอะไรปิดบังข้ากันแน่…หรือมันเกี่ยวกับคุณชายมินาโมโต โคทาโร่…” เซดะพูดด้วยเสียงเรียบๆ แต่กลับเต็มไปด้วยอารมณ์ที่กำลังเดือดดาลสุดๆ

“เซดะ!” ยาสุตวาด จนใบหน้าที่แดงกล่ำเขม่นปูดรอยย่นสูง

“บอกข้าสิ ท่านพ่อ! บอกข้า…”

“ลากตัวคุณชายออกไป…” แต่ก็ไม่มีใครกล้าขยับ “เอาเขาออกไป!” ยาสุแผดเสียงทั้งหมดที่มี จนโอสุเกะ ฮิเดะไม่รออีก

“คุณชาย…คุณชายไปกับข้า…”

“ท่านพ่อ!…ท่านพ่อ…มีอะไรเกี่ยวกับตัวข้ากันแน่” เสียงเซดะตะโกนไปตามทางเดินที่ไกลออกไปเรื่อยๆ

“คุณชายเชื่อข้า…”

“ยามุดะที่ท่านพ่อกล่าวถึงไม่ต่ำกว่า 10 ครั้งในรอบสัปดาห์ นางเป็นใครกันแน่ หรือนางเป็นเจ้าของวงดาบเสี้ยวจันทราที่ข้าถนัดรองมาจากดาบคาตานะของพวกซามูไร…ท่านพ่อบอกข้าซิว่านิทานของพวกเผาถ่านเป็นเรื่องจริง…ท่านต่างหากที่โกหกข้ามาโดยตลอด…ท่านพ่อ ท่านพ่อนางคือแม่ของข้าใช่หรือไม่” เสียงของเซดะยังดังเล็ดลอดเข้ามาจนถึงห้องประชุมชั้นในสุด ไม่มีใครอยากได้ยิน แต่ทุกคนก็ได้ยิน โดยเฉพาะอาจารย์โอคิตะทั้ง 2 พวกเขาตกตะลึกค้างไม่หุบปาก แต่สักครู่ก็ก้มหน้าจดบันทึกบางอย่างลงในสมุดสีดำคนละเล่มอย่างเอาจริงเอาจัง

“เลือดหนุ่มแรกกำลังพลุ่งพล่านตามวัย…ท่านพี่ต้องใจเย็นให้ถึงที่สุด” เค็นจิปลอบและพยักหน้าให้ยาสุเชื่อตามเขา

“อีอิ…ไออิคุงจงบันทึกลงไป นับตั้งแต่บัดนี้ ข้าจะทำให้เขาเกลียดข้า…เกลียดให้ถึงที่สุดจนกว่าจะถึงวันจากลา…มันเป็นทางเดียวที่จะทำให้เราลืมกันและกันได้ง่ายขึ้น”ยาสุกดเสียงต่ำที่ยังสั่นระริกบอก อาจารย์โอคิตะทั้ง 2 ก้มศีรษะรับอย่างเกร็งๆ แต่ก็ไม่กล้าหลุดคำถามใดๆ ออกมาอีก

“ท่านพร้อมหรือยัง” อิเงะสึงิ เคนซึถามแทรกขึ้น หลังจากสังเกตเห็นอารมณ์ของยาสุเริ่มจะเข้าที่

“ฮิเดะกำลังเข้ามา…รอเขาก่อน” ยาสุพูดช้าๆ พลางเป่าลมออกมาทางปากเสียงดัง สักพักโอสุเกะ ฮิเดะก็เดินผ่านประตูเลื่อนชั้นสุดท้ายลอดม่านไม้ไผ่มาถึง

“คุณชาย…” โอสุเกะ ฮิเดะจะรายงาน แต่ยาสุรีบยกมือห้ามเอาไว้

“พวกโคงะว่าอย่างไร” ยาสุถอนหายใจออกมายาว 3 ครั้งก่อนจะหันไปถามเค็นจิ ที่นั่งคู่กับโอสุเกะ ฮิเดะ

“เรามีเวลาแค่หนึ่งหญิงตั้งครรภ์ สัญญาชิโนบิยังไม่ตาย” เค็นจิก้มหน้ารายงาน

“โอสุเกะ….”

“ซามิโอะจัง…นางเหมาะสมที่สุดกับภารกิจนี้” เสียงสนทนาตอบโต้กันไปมา ความลับหลังม่านไม้ไผ่ ก็ยังคงเป็นความลับอยู่ ภารกิจกับเวลาแค่หนึ่งหญิงตั้งครรภ์กำลังจะเริ่มต้น ไม่มีใครล่วงรู้ความลับ นอกจากพวกเขาทั้ง 6 คนกับบันทึกในสมุดสีดำอีก 2 เล่ม

……….

ความลับ…………………ไม่ต่างอะไรกับไข่

มันจะไม่ยอมเปิดเผย…จนกว่าจะฟักเป็นตัว

อูคาชิ ยาสุ

……….

การเปลี่ยนไปของอูคาชิ ยาสุทำให้เลือดหนุ่มแรกของเซดะ เต็มไปด้วยความสับสน เขาหัดดื่มสาเก และเหล้าจากแป้งหมักของพ่อค้าชาวจีนกับกลุ่มผู้ใหญ่แทบทุกวันและบางครั้งยังร่วมวงดื่มน้ำตาลเมากับคนเผาถ่าน บางเวลาก็ขลุกอยู่ในครัวเสบียง จนสาวๆไม่เป็นอันทำงาน  เขาทำตัวไม่ต่างอะไรกับคนอายุสามสิบ หนีเที่ยวในชั่วโมงฝึกบ่อยขึ้น ความเสเพลที่คุณชายทำเพื่อประชด ยาสุ เป็นเหตุให้เขากับ โอตาบิ ซามิโอะ เด็กสาวที่แก่กว่า 2 ปีมีความสัมพันที่ลึกซึ้งกันจนได้…

…………

รสแรกเพลงรักซ่าน……สั่นหวิว

บรรเลงพลิ้วตามโน้ตใจ…ที่ใฝ่หา

เนื้อแนบเนื้อสวาทรัก…..ปักอุรา

ฟ้าทั้งฟ้าวาดวิมาน…….วิวาห์เรา

โอตาบิ ซามิโอะ

……….

และทุกๆ ครั้งที่เขามีกามกิจ เสียงร้องที่เกิดจากแรงปรารถนาของ ซามิโอะ จะสอดประสานกับเสียงลั่นของพื้นไม้เป็นจังหวะ  ยิ่งเขากลัวว่าความลับจะแตกเท่าไร ซามิโอะ ก็ยิ่งทำตัวไม่ต่างจากโสเภณีกับเขาได้ทุกวัน น่าแปลกที่ไม่ปรากฏสายตาระแคะระคายสงสัยในเรื่องนี้แม้แต่นินจาด้วยกัน เว้นแต่ ยูกาว่า ชิการุ พี่ชายของกุโบะ และเป็นคนรักของซามิโอะคนเดียวเท่านั้น ที่จ้องเหมือนจะฉีกเนื้อเขาออกเป็นชิ้นๆ

(…กูจะฆ่ามึง…ไอ้เซดะ!เสียงกล่นด่าที่ออกมากับเสียงสื่ออย่างแผ่วเบา มันเจือออกมาพร้อมกับแววตาอาฆาตแค้น และมันก็ดังขึ้นอีกพร้อมๆกับเสียงขบฟันกรามที่ไม่ปกติ (มึงทิ้งน้องกู…มึงส่งคนของกูไปเป็นตัวประกันที่ปราสาทฮันโต…และวันนี้มึงยังอาจหาญมาพราก ซามิโอะ ไปจากกูอีก…ไอ้คุณชายนรก!เห็นทียูกาว่าจะอยู่ร่วมในหุบเขาอิงะไม่ได้เสียแล้ว) เซดะได้ยินมันครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เพราะความเสเพลในวงเหล้าจึงทำให้เสียงกร่นด่าไม่ต่างกับเสียงสายลมลอดจากช่องเขาคุโระอิสีนิลเข้ามาในหมู่บ้าน

และอีกหลายเดือนต่อจากนั้น  อยู่ๆโอตะบิ ซามิโอะ ก็หายตัวไปจากหุบเขาอิงะเฉยๆ ยูกาว่า ชิการุบอกอย่างเดือดดาลว่า นางถูกส่งตัวไปอยู่เกียวโตกับแม่ เพราะเขาเป็นต้นเหตุ และอูคาชิ ยาสุเองก็ใช้เหตุผลเดียวกันนี้เป็นข้อรังเกียดมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่

……….

เกลียดสิ่งใด……………………ก็จะจดจำสิ่งนั้นไม่มีวันลืม

เช่นเดียวกับ…………………หนอน 1,000 ตัวในซากเน่า

อูคาชิ เซดะ

……….

ประหนึ่งเทพประดุจมาร

ที่เกียวโตปลายปี 1935

#อุแวๆ…อุแวๆ…#

#แฝดชาย!…#

#หา!…ปิศาจมาเกิดชัดๆ#เสียงตื่นตระหนกดังตอบโต้กันไปมาภายในห้องคลอด

……….

“โอ้!…ไม่นะ” อิเงะสึงิ เคนซึยืนหน้าซีดเมื่อรู้ความเคลื่อนไหวนั้นๆ

“เรา…เราจะทำ…ทำอย่างไรดี…ดี” เสียงติดๆ ขัดๆ ของโอคิตะ อีอิ ผู้ติดตามเพียงคนเดียวดังขึ้น ใบหน้าของเขาซีดมากกว่าเคนซึหลายเท่า

“อีกหนึ่งเทพ…และอีกหนึ่งก็ต้องเป็นมาร…เห็นทีข้าต้องเสียสละครั้งใหญ่หลวงเสียแล้ว อีอิคุง”

“แล้ว แล้ว จะ จะทำอย่าง อย่างไรดี ดี” เขายังย้ำถาม นาทีนั้นอิเงะสึงิ เคนซึ ก็หันมากระซิบ

“ปิดบันทึกลับชิโนบิ…เราจะรู้เรื่องนี้เพียง 2 คน คือเจ้า…ข้า…” น้ำเสียงของอิเงะสึงิ เคนซึน่ากลัวจนโอคิตะ อีอิสั่นเพราะเดาทางเขาไม่ออก

“คนคน อื่น อื่นในห้อง ห้องคลอดละ ละ”

“มีทางเลือกอื่นอีกหรือ…” เขาถามกลับพลางใช้ดวงตาชี้นำความหมายแห่งมัน

“แม้ แม้ แต่ ซา ซา มิโอะจัง…” ใบหน้าของอาจารย์โอคิตะเริ่มเครียดสนิททันทีที่เห็นภาพจากความหมายที่สายตาเขาบอก

“นางเป็นของยูกาว่า…ข้าจะล้างสมองนาง…”

“เคนซึ!…”

“ไม่เป็นไร…ข้าจะไม่ตาย…จนกว่าเขาจะตาย…” เคนซึเอ่ยอย่างไตร่ตรองและสีหน้าเขาก็เริ่มสลด

“ท่าน ท่านจะ จะ ทำอะไร”

“ขอโทษนะ ยาสุ…ข้าจำเป็นต้องอยู่ต่อเพื่อควบคุมเขา…ข้าจะต้องมีชีวิตอยู่ต่ออีก 300 ปี”

“เนื้อ…เนื้อ นาง นาง เงือก….”

“ข้าจำเป็นจริงๆ…อีอิคุง เจ้ามีหน้าที่จดบันทึกและเก็บความลับนี้ลงในหีบซะ…หน้าที่เจ้าก็จะได้สิ้นสุด”อิเงะสึงิ เคนซึยื่นหน้ากระซิบ อีอิหน้าซีดเป็นแผ่นกระดาษเมื่อมีดสั้นมาจ่อที่คอตรงจุดตายเส้นเลือดใหญ่ มือของเขาสั่นแต่ก็ยังตวัดตัวหนังสือไปมาพร้อมกับลงชื่อและตราประทับสีแดงเอาไว้ด้านล่าง

“เก็บมันลงไปในหีบ…เพื่อความสมบูรณ์” เคนซึย้ำพลางกดปลายมีด จนสัมผัสได้ถึงความเย็นเฉียบของคมมัจจุราช

“เคะ…เคนซึ!…”โอคิตะ อีอิอุทาน แต่ผมที่ยาวสลวยดุจแพรไหมสีขาวก็ปกปิดความเศร้าไปจนหมดสิ้น

“เก็บมันไว้ชั้นล่างสุด…น้องข้า” เคนซึย้ำเสียงต่ำลึก มันน่ากลัวซะยิ่งกว่าเสียงตวาดหลายเท่า

“ลูก ชาย ชาย ข้า ยัง เด็ก เด็กนัก…ข้า ข้า ไม่อยากตาย ตายตอน นี้” อีอิ พยายามอ้อนวอน…ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันไม่มีประโยชน์อีกแล้ว

“ไออิคุง…น้องชายของเจ้ายังอยู่ถือว่าทำเพื่อคุณชายเถอะนะน้องรัก”

อ๊าก!” ทันทีที่บันทึกถูกเก็บเข้าที่ เลือดของโอคิตะ อีอิก็พุ่งสวนปลายมีด สีแดงฉานของมันกระเด็นไปทั่วทั้งห้อง อิเงะสึงิ เคนซึกดร่างของอีอิแน่นจนแน่นิ่งไปกับพื้น…สักครู่ปลายมีดเล่มเดียวกันก็กรีดลงกลางหน้าผากของร่างไร้วิญญาณเป็นตัวอักษรของพวกโคงะ

“หลับให้สบายเถอะน้องข้า…มันเป็นทางเดียวที่จะเก็บความลับของคุณชายเอาไว้กับข้าได้…ดีที่สุด” เคนซึเอ่ยเศร้าๆเขาใช้ฝ่ามือลูบเปลือกตาที่ยังเหลือกโพลงให้ปิดลง สักครู่เขาก็ดีดตัวหายออกไปทางหน้าต่าง เพียงเสี้ยววินาทีก็เปิดประตูกลับเข้ามาพร้อมกับนินจาอีก 2 คน ด้วยชุดกิโมโนสีน้ำตาลตัวใหม่

อีอิคุง!” อิเงะสึงิ เคนซึแผดเสียงตกใจดังลั่นห้อง

“อาจารย์!…” นินจา 2 คนที่ตามเข้ามาต่างก็ตกใจไม่แพ้กัน อิเงะสึงิ เคนซึทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ร่างไร้วิญญาณอย่างคนหมดแรง เขาช้อนร่างโอคิตะ อีอิขึ้นมากอด ก่อนจะปล่อยน้ำตาให้ไหลในแบบที่เขาไม่เคยทำมาก่อน

“อย่างน้อยการตายของเจ้าก็มีข้าที่เสียใจ…น้องรัก” เขาก้มลงกระซิบที่ข้างหู ก่อนจะรวบรวมเสียงทั้งหมดตะเบ็งเป็นชื่อเขาออกมาอีกหลายครั้ง อีอิคุง!…ไม่นะอีอิคุง!…อีอิคุง!”

“ฝีมือของพวกโคงะ…” เสียงนินจาคนหนึ่งดังขึ้น เมื่อเห็นรอยแผลรูปตัวอักษรโคงะปรากฏที่หน้าผาก…ซึ่งมันก็ทำให้แววตาแห่งความยินดีของอิเงะสึงิ เคนซึค่อยๆ ฉายออกมาลับๆ (ฮึๆๆ)… อีอิคุง…อีอิคุง!

……….

อย่าพึ่งมั่นใจว่า…….บุคคลที่ยืนอยู่หน้ากระจกเงา

จะเก็บงำความลับเอาไว้ได้…………….ตลอดไป

อิเงะสึงิ เคนซึ

…………

นินจาเลือดซามูไร บทที่ 8

กลับคืนสู่ตัวตน กลับคืนสู่ตัวตน จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปีการตามหา มินาโมโต โคทาโร่ บุตรชายคนเดียวของตระกูลก็ยังไร้วี่แวว

กลับคืนสู่ตัวตน

จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปีการตามหา มินาโมโต โคทาโร่ บุตรชายคนเดียวของตระกูลก็ยังไร้วี่แวว หมู่บ้านนินจาในหุบเขาอิงะก็ยังเป็นความลับที่ไม่อาจจะเข้าถึง แม้แต่เลือดนินจาอย่างยามุดะเองก็ไม่เป็นผล ทุกๆวันของฟูจิกาว่าจึงหมดไปกับการลาดตระเวนไปทุกๆ จุดทุกๆ ที่ ที่คาดว่าจะเป็นหน้าผาคุโระอิสีนิล ตามที่ยามุดะบอก แต่ก็คว้าน้ำเหลวไม่เป็นท่าทุกครั้ง

ส่วนยามุดะ…นางยังคงโทษตัวเองไม่เลิก แม้เวลาจะผ่านไปนานสักเพียงไรก็ตาม นางมักจะเอาหมอนปิดปากร้องไห้ เหมือนกลัวว่าเสียงโศกเศร้าจะทำให้ฟูจิกาว่ารำคาญ แต่กระนั้นมันก็ไม่เป็นความลับ นางอยากจะฆ่าตัวตายเสียให้รู้แล้วรู้รอดหลายครั้งต่อสัปดาห์ แต่โมริก็คอยกันนางให้อยู่ห่างจากมีดได้ทุกครั้ง

อูคาชิ…ข้าเกลียด อูคาชิ ข้าเกลียดชิโนบิ ข้าเกลียดหุบเขาอิงะ ข้าเกลียดโลกมืด” เข้าปีที่ 10 แล้ว ที่เสียงกล่นด่าประโยคเดิมยังหลุดจากปากไม่เว้นแต่ละวัน เวลานี้ยามุดะไม่ต่างอะไรกับคนบ้า มันนานพอสำหรับจะให้ลืมเรื่องบางเรื่อง แต่สำหรับเรื่องที่กินลึกเข้าไปในหัวใจ แม้วันสุดท้ายของชีวิตนางก็จะยังร้องไห้อยู่ดี

“หากการตามหายังล้มเหลว เห็นทีข้าต้องเอาชีวิตเข้าแลก” ยามุดะพึมพำ โมริเงยหน้ามองแวบหนึ่งก่อนจะหันไปสนใจกับงานที่กองอยู่ตรงหน้า ทำเหมือนไม่มีอะไรเช่นที่เคยทำ  “เลือดบริสุทธิ์อย่างข้า กับเลือดผสมอย่างโคทาโร่ ดูซิว่า…ท่านพ่อจะเลือกใคร” นางบ่นเสียงดังขึ้นอีกจนโมริกระวีกระวาดเข้าไปหา

“นายหญิง…อีกไม่นานคุณชายมินาโมโตก็ต้องกลับ” โมริไม่รีรอจะพูดประโยคซ้ำๆ ที่นางใช้ได้ผล

“เจ้าพูดประโยคเดิมๆนี้เข้าปีที่ 10 แล้วนะโมริจัง” ยามุดะหันไปกระแทกใส่จนสาวใช้นิ่งก้มหน้า  “ข้าขอโทษ…ที่หงุดหงิด…แต่ตอนนี้ข้าเริ่มหิวแล้วละ” พูดจบยามุดะก็ถอนหายใจออกมายาวๆ จนโมริเงยหน้ามองเพื่อสำรวจอารมณ์ที่คาดว่าจะปกติอย่างคนหวาดหวั่น

“ถ้าอย่างนั้นนายหญิงเร่งแต่งตัวใหม่เถอะ ข้าจะสางผมให้นะเจ้าคะ” นางเสนอเมื่อแน่ใจอย่างที่เห็น

“ไม่ต้อง ข้าจัดการเอง…เจ้ารีบลงไปสั่งเตรียมอาหารด้านล่างจะดีกว่า”

“เจ้าคะ…นายหญิง…กิโมโนสีเขียวปีกแมลงทับ ข้าได้เตรียมไว้ให้แล้ว” โมริบอกยิ้มๆ นางชายตาไปที่ชุดกิโมโนที่แขวนอยู่อย่างตั้งใจ ยามุดะพยักหน้า “ไปเถอะข้าจัดการเองได้” ยามุดะกำชับอีก จนสาวใช้จำต้องลุกเดินซอยเท้าสั้นๆ ออกปะตูไป

“เลือดข้ายังเป็นชิโนบิ…มันคงไม่ใช่เรื่องยากหากข้าจะกลับไปสื่อเสียงติดต่อ…ข้าจะไม่ลังเลอีก ข้าจะไม่ลังเลอีกต่อไป” ยามุดะพึมพำคนเดียวในห้อง ความเงียบและความว่างเปล่ากำลังนำทางให้สมาธิของนางนิ่ง และแล้ว…

(ท่านพ่อเคยพยายามติดต่อกับข้าด้วยวิธีนี้ ญาณชิโนบิ)

(ท่านพ่อ…ท่านพ่อ…ท่านพ่อ) “ข้าต้องฝึก….เพื่อกลับไปสู่ตัวตน…ข้าหนีโลกมืดไม่พ้นจริงๆ” นาทีนั้นน้ำตาของยามุดะก็หยดแหมะลงพื้น ทั้งๆที่ใบหน้าของนางกำลังแข็งกร้าว

การฝึกฝนเพื่อกลับคืนสู่ตัวตนของยามุดะเป็นไปอย่างเงียบๆ นางมุ่งมั่นจนโมริอดสงสัยไม่ได้ กระนั้นยามุดะก็ไล่โมริออกมานั่งนอกประตู โมริพยายามแข็งขื่นแต่ก็เกรงสายตาปริศนาของนาง มีอยู่ครั้งหนึ่งที่โนริยาดะ บุตรสาวคนโตเข้ามาเห็นยามุดะในขณะกำลังฝึกทบทวนการพลางตัวกับผนัง แต่ในเวลานั้นนางยังทำได้ไม่สมบูรณ์นัก จึงทำให้โนริยาดะเห็นแต่เพียงศีรษะของนางลอยอยู่นิ่งกับผนังสีครีม

“กรี๊ด!…ท่านแม่” เสียงกรีดร้องของบุตรสาวทำให้ยามุดะรีบเป่าผงแป้งสีขาวเพื่อกางอาคมครอบ มิให้เสียงดังจนคนทั้งบ้านแตกตื่น

“โนริ….โนริยาดะ ฟังแม่…” ยามุดะจ้องเข้าไปในดวงตาที่ยังเบิกค้าง จนบุตรสาวได้สติ

“ท่านแม่ เมื่อครู่…ข้าเห็น…ข้าเห็น” โนริยาดะเสียงสั่น ดวงตาของนางกลับกรอกไปมาอย่างคนหวาดระแวง

“โนริจัง ฟังแม่…สิ่งที่เจ้าเห็นเป็นเพียงภาพลวงตา…รับปากกับแม่ซิ ว่าจะไม่พูดเรื่องนี้กับใคร” ยามุดะย้ำเสียงต่ำใกล้ๆ และจงใจใช้พลังลึกลับจากดวงตาที่เป็นมรดกของนินจากระตุ้นให้บุตรสาวเชื่อ

“หมายความว่าอย่างไร….ภาพลวงตา ข้าไม่เข้าใจ”

“แล้วเจ้าจะค่อยๆรู้จักมันเอง…รับปากกับแม่ซิว่าจะไม่พูดเรื่องนี้ให้ใครฟัง” ยามุดะย้ำเป็นครั้งที่ 2

“ท่านแม่บอกข้าก่อน ว่ากำลังจะทำอะไรแล้วข้าถึงจะรับปาก”

“โนริจัง…แม่ให้สัญญาจะบอกลูกแน่นอน แต่ไม่ใช่วันนี้”

“แล้ว…เมื่อไรกัน” โนริยาดะคาดคั้น พลางเบี่ยงตัวออกจากอ้อมกอดมานั่งจ้องหน้านางอย่างเอาจริง

“อีกไม่นาน…แม่สัญญา” ยามุดะเสียงแข็ง

“ถ้าอย่างนั้นข้าก็ให้สัญญา” ยามุดะดึงบุตรสาวเข้ามากอดแทนความรู้สึกที่กำลังสับสน นางใช้เวลาฝึกตัวเองไม่นาน กระบวนการถอดร่างก็สำเร็จ ตอนนี้นางสามารถถอดร่างได้ถึง 3 ร่าง และอีกไม่นานนางจะต้องถอดให้ได้ไม่น้อยกว่า 10 ร่างเหมือนที่เคยทำได้ในอดีต

ตอนกลางคืนยามุดะจะหายไปเป็นระยะๆ เพื่อฝึกฝนตนเองให้เข้ากับโลกมืด นางหลีกเลี่ยงการสะกดจิตเข้าไปในดวงตาของฟูจิกาว่าเพื่อจะทำให้เขาหลับ เพราะนางเชื่อว่าสิ่งนั้นอาจจะทำให้ความรักบริสุทธิ์เกิดรอยด่าง…จนกระทั้งคืนหนึ่งความตั้งใจของยามุดะก็เป็นผล

(อูคาชิ ยามุดะ เจ้าของวงดาบเสี้ยวจันทรา…ขอต้อนรับกลับคืนสู่หุบเขาอิงะ) อยู่ๆ เสียงสื่อที่มาจากกระแสจิตของใครบางคนก็ดังขึ้นในหัว ยามุดะฉายยิ้มทั้งน้ำตา (โลกมืดคือบ้านของเจ้า…ยามุดะ)

(ใช่!ความมืดคือโลกที่ข้าเกิด ข้าไม่อาจปฏิเสธมันได้) ยามุดะตอบกลับและเงียบรอจากอีกฝ่าย แต่เสียงสื่อก็เงียบจนนางรู้สึกกลัว (…ข้าขอแลกเลือดบริสุทธิ์ในกายข้า กับเลือดผสมที่มีวิญญาณของศัตรูซ่อนอยู่) ยามุดะรีบสื่อเสียงต่อ และเฝ้าภาวนาให้อีกฝ่ายได้ยินในสิ่งที่นางเสนอ แต่มันก็ยังเงียบเช่นเดิม

โคทาโร่ ไม่ใช่ชิโนบิ…เขาไม่ได้เกิดมาเพื่ออูคาชิ แต่เขาคือซามูไรแห่งมินาโมโต…เขาเกิดมาเพื่อเป็นซามูไรยามุดะหลุดเสียงตะโกน จนนกกระเรียนมงกุฎแดงในสวนหลังบ้าน ตกใจตีปีกเสียงดังขึ้นพร้อมๆกัน #พึบๆ…พึบๆ แกร๋ๆ…แกร๋ๆ#

(เจ้าเกิด  มาเพื่อ  เป็นอาวุธ…วงดาบเสี้ยวจันทรา) ไม่ใช่เสียงคนเดิมที่ตอบกลับมา ยามุดะเบิกตากว้างอย่างคนคาดไม่ถึง

“ท่านพ่อ”

(คืนเดือนเสี้ยวก่อนฤดูหิมะ…ใบไม้สีแดงจะนำทางเจ้าสู่น้ำตก มะทซึ นิ เราจะรอเจ้าที่นั้น…น้ำตกต้นสนคู่แห่งหุบเขา…)

(โคงะ น้ำตกต้นสนคู่แห่งหุบเขาโคงะใกล้ศัตรูหมายเลขหนึ่ง)

(ใกล้ศัตรูเท่าไร ก็ยิ่งปลอดภัยจากซามูไรเท่านั้น)

(ท่านพ่อ…)

(เวลานี้เจ้าไม่มีสิทธิ์ มาต่อรอง)

(ใช่…และข้าก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ)

(ใบไม้ใบแรกโหมโรง…สัญญาชิโนบิก็จะเริ่มต้น) ทันทีที่เสียงนั้นพูดจบ เสียงป่ากลางหุบเขาทิศตะวันออกของเมืองคาโกคุมะ ก็เข้ามาแทนที่ ยามุดะยืนนิ่งอยู่นานก่อนความยินดีจะฉายออกมาเป็นรอยยิ้ม

“โคทาโร่…แม่มีหวังแล้ว” ยามุดะพึมพำพร้อมๆ กับน้ำตาแห่งความยินดีหยดลงสู่พื้นดิน “เจ้าจะต้องเป็นซามูไรเหมือนพ่อ…มิใช่อาวุธนินจาอย่างแม่” นางปล่อยน้ำเสียงแหบแห้ง…ก่อนปลายเท้าที่ทำหน้าที่ไม่ต่างกับสปริงจะพานางทะยานขึ้นจากหมู่แมกไม้ นางส่งตัวจากต้นแอ็ด ต่อด้วยต้นสนมซึ กางแขนทั้ง 2 ข้างออกเหินเวหาราวกับเข้าใจว่าตัวเองคือนกรัตติกาล “โคทาโร่ๆๆๆๆๆ…”

…….

ตามหาฝัน……………………………………….อันรางเลือน

ดีกว่าเลือนรางบนทางที่………………………..มิได้ฝัน

มินาโมโต ยามุดะ

……….

ใบไม้โหมโรงในคืนจันทร์เสี้ยว

ทันทีที่ฤดูใบไม้ร่วงเยื้องกรายเข้ามา ใบไม้ใบแรกก็เริ่มโหมโรงเปลี่ยนสีในตัวเองจากเขียวเป็นเหลืองและแดงลามไปทั้งป่า ยามุดะ ใจสั่นหวิว นางบอกตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำว่า มันคืออาการของความตื่นเต้นที่สัญญาชิโนบิมาถึงหรือว่าเป็นเพราะลางอาลัยที่นางจำต้องจากที่นี้กันแน่

“โมริ…” ยามุดะเรียกสาวใช้ที่นั่งเย็บผ้าอยู่หน้าห้อง ประตูถูกเลื่อนออกช้าๆ และคนที่นางเรียกก็นั่งก้มหน้ารอคำสั่งอยู่ตรงนั้น

“มีอะไรหรือเจ้าคะนายหญิง”

“คืนนี้ข้าอยากพักผ่อน อย่าให้ใครเข้ามาในห้องโดยเด็ดขาด!” ยามุดะย้ำประโยคสุดท้ายเสียงหนักแน่น และใช้สายตาแกมบังคับในเชิง

“เจ้าคะ” โมริก้มหัวรับคำสั่งและประตูก็เลือนปิดพร้อมๆ กับแสงไฟภายในห้องนอน

#นายหญิงหลับแล้วเจ้าคะ#เสียงของโมริจากนอกประตู

#รึ!…ไม่เป็นไรเอาไว้พรุ่งนี้ก็แล้วกัน ข้าไม่อยากรบกวนนาง#และก็เป็นเสียงพูดของมินาโมโต ฟูจิกาว่า

“…ข้ารักท่าน” ยามุดะพึมพำในความมืด “แต่ข้าจะลังเลอีกไม่ได้” นางกดเสียงต่ำด้วยความเจ็บปวดสักพักร่างในชุดพรางสีดำก็พุ่งทะยานออกไปทางหน้าต่างหายเข้าไปในเงามืดของคืนเดือนเสี้ยวที่ปกปิดความเป็นตัวตนของนาง ปลายเท้าทำหน้าที่ไม่ต่างกับสปริงกดเบาๆจากต้นแอ๊ดที่พึ่งเปลี่ยนเป็นสีแดงลอยข้ามไปยังโขดหินที่อยู่ไกลออกไป นางหยุดกระพริบตาถี่ๆ หลายครั้งเพื่อปรับแสงสีเขียวอมเหลืองให้เห็นชัด

(ใบไม้สีแดงจะนำทางเจ้าสู่น้ำตก มะทซึ นิ) พลันเสียงสื่อในความทรงจำก็ผุดขึ้นมาในหัว

“น้ำตกต้นสนคู่แห่งหุบเขาโคงะ” นางทบทวน ก่อนจะปล่อยผมที่ขมวดเอาไว้ให้เป็นอิสระ อากาศบางเบาถูกสูดเข้าจนเต็มปอด สักพักมันก็ถูกพ่นออกมาแรงๆ แล้วร่างที่พร้อมจะโผจากเงาสู่เงาก็ลอยสูง แขนทั้งสองข้างกางออกประหนึ่งจะใช้มันแทนปีกของนกรัตติกาล ยามุดะกระพริบตาอีกครั้ง สุดท้ายยอดไม้สีแดงข้างหน้าก็ฉุดร่างของนางให้ลอยข้ามไปหา ปลายเท้ากดส่งต่อไปยังต้นสีแดงถัดไปเป็นระยะๆ จนลับเหลี่ยมเขาทางทิศตะวันออกของคาโกคุมะ

อีก 3 ชั่วโมง…ในที่สุดนางสัมผัสเสียงน้ำตกที่ใกล้เข้ามาได้อย่างชัดเจน นางเริ่มโผช้าลงพลางส่ายสายตาที่แหลมคมประดุจเหยี่ยวสำรวจเข้าไปในความมืดของป่าเบื้องล่าง

“ใช่!…น้ำตกมะทซึ นิ…มันคือน้ำตกต้นสนคู่แห่งหุบเขาโคงะ ข้าจำมันได้ดี” ยามุดะพึมพำพร้อมลดระดับต่ำ ทันทีที่ปลายเท้าทั้งสองสัมผัสกับโขดหิน นินจากว่า 10 คนก็พุ่งทะยานออกมาจากราวป่ารอบๆ พวกมันล้อมวงหมุนเข้ามาหานางช้าๆ แต่ยามุดะก็ไม่มีท่าทีจะหวาดหวั่น นางกลับฉายยิ้มไปให้แทน

“ขอบใจที่มา ตามสัญญา” นางกดเสียงต่ำทุ้มๆ เหมือนไม่ต้องการให้สะท้อนกับโขดหินหลังน้ำตก สัญชาตญาณบางอย่างชักนำให้นางกระโจนต่อไปยังพื้นราบที่ถูกปกคลุมไปด้วยใบไม้แห้ง โดยมีเหล่านินจาพวกนั้นตามไปหมุนรอบๆ ตัวนางด้วยท่าทีระแวดระวังเป็นพิเศษ

“ข้ารู้ว่าพวกเจ้ามิใช่โคงะ…และพวกเจ้าก็รู้เช่นกันว่าข้าเป็นใคร” ยามุดะยิ้มมุมปาก ในขณะที่ปลายเท้าก็กดกิ่งไม้ให้แตกเหมือนจะส่งรหัสลับบอกอีกคน

#แกร็ก!#

“ยามุดะ…เจ้าสบายดีใช่ไหม” ทันใดนั้นเสียงเยือกเย็นประหนึ่งสายลมฤดูหนาวก็ลอยมาจากต้นสน 2 ต้นเหนือน้ำตกขึ้นไป ยามุดะมองตามทิศที่เสียงเรียก มีความยินดีไม่น้อยเจืออยู่ และแล้วร่างชายชราผมยาวสลวยดุจแพรไหมสีขาวในชุดกิโมโนสีเทาขุ่นก็ลอยข้ามลำธารเข้ามาหยุดนอกวงล้อมของนินจา ที่เวลานี้พวกมันเริ่มหมุนช้าลงแล้ว

“ท่านลุง…เคนซึ” ยามุดะเสียงสั่น ใจนางเองก็สั่นลึกจนแทบจะจมหายไปในพื้นดิน

“เจ้ามีความสุขดีใช่ไหม…” เขาย้ำประโยคเดิมพลางเสยเส้นผมสีขาวที่คลุมใบหน้าออกให้พ้นสายตา

“ข้ามีความสุขที่สุด…แต่จะมีประโยชน์อันใด ในเมื่อนรกกำลังรอข้าอยู่” ยามุดะประชดอย่างที่อัดอั้น “ท่านลุงไม่เคยเปลี่ยนแปลงตลอด 15 ปี” นางประมาณ และกระพริบดวงตาอีก 2 ครั้ง

“สุขภาพข้าแย่ลงไปเยอะ” อิเงะสึงิ เคนซึตอบและเงียบไปพักหนึ่ง “ยามุดะ…ชิโนบิอย่างเรา ถูกฟ้าลิขิตให้เกิดมาเพื่อปกป้องความยุติธรรมในโลกมืด เราเกิดมาเพื่อเป็นอาวุธ นรกที่เจ้าว่ามันอยู่ในใจของเจ้าเองต่างหาก เลือดชิโนบิบริสุทธิ์ในกายจะไม่มีวันเปลี่ยนเป็นอื่น โดยเฉพาะซามูไร” เขาเหน็บแนมพร้อมกับเดินตรงเข้ามาหา ในขณะที่เหล่านินจาก็หยุดนิ่งในท่าเตรียมพร้อมจะจู่โจม

“ข้าจะไม่หนีมันอีก…แต่คนที่มีเลือดชิโนบิอยู่เพียงครึ่งเดียวอย่างโคทาโร่ ก็ไม่สมควรจะอยู่ในหมู่บ้านเช่นเดียวกัน…” ยามุดะยืนกรานเสียงแข็ง มือของนางข้างลำตัวกำเกร็งแน่น

“เขา ต้อง มี…ตัวตายตัวแทน…” อิเงะสึงิ เคนซึพูดเสียงเบากว่าเมื่อครู่

“ท่านลุงกำลังจะทำอะไรกับบุตรชายข้า…”

“เขาจะไม่เป็นอะไร…แต่ขอเวลาเราสักนิด…ข้าให้สัญญาไม่นานเกินไป…แล้วจะส่งคนไปรับ”

“ข้าหนีมาเองข้าก็ต้องกลับเอง…เพียงแค่ท่านบอกรหัสผ่านกับข้า”

“ไม่ได้!…” อิเงะสึงิ เคนซึปฏิเสธเสียงแข็งดัง

“ทำไม…ข้าก็เป็นอูคาชิคนหนึ่ง…ชิโนบิทุกคนย่อมมีสิทธิ์เข้าออกหมู่บ้านเท่าเทียมกัน”

“แต่ไม่ใช่เวลานี้…หากฟูจิกาว่ารู้…ความลับที่ปิดตายมากว่า 400 ปี ก็จะถูกเปิดเผย…เจ้าจงเตรียมตัวให้พร้อม แล้วข้าจะรีบส่งคนไปรับ” พูดจบ อิเงะสึงิ เคนซึก็ส่งสัญญาณให้เหล่านินจาทั้ง 10 คนก้มหัวให้นาง

“ข้าจะบอกยาสุ ว่าเจ้ายังสวยเหมือนเดิม” เขายิ้มบางๆ จนริมฝีปากแนบแบนเป็นเส้นตรง ทันทีที่ใบไม้รอบๆ เริ่มโบกสะบัด ร่างของนินจาทั้ง 10 และเคนซึก็ลอยสูงจากพื้น

“ท่านลุง…เคนซึ… เดี๋ยวอย่างพึ่งไป” ยามุดะตะโกนไล่หลัง แต่สายลมวูบหนึ่ง ก็หอบทั้งหมดหายลับยอดไม้ไปแล้ว

(เจ้าจงเตรียมตัวให้พร้อม…สัญญาชิโนบิไม่มีวันตาย แล้วข้าจะส่งคนไปรับ)เสียงสื่อดังขึ้นในหัว…แต่ยามุดะเหมือนจะร้องไห้ออกมา

(ข้าต้องรอถึงเมื่อไร…ท่านลุง ท่านลุง) นางกรอกเสียงสื่อกลับอย่างสุดจะทานกับคำตอบ มีเพียงเสียงของน้ำตกกระทบโขดหินเท่านั้นที่ตอบกลับ “ข้ารู้ว่าสัญญาชิโนบิไม่มีวันตาย…แต่เมื่อไรกัน” ยามุดะตะโกนด้วยเสียงทั้งหมดที่มี จนนกป่าที่เกาะคอนหลับอยู่ตามกิ่งไม้รอบๆ ตกใจตีปีกบินหนีไปคนละทาง “ข้าต้องรอถึงเมื่อไร” ความมืดปกปิดความเป็นตัวตนของนางได้ แต่ไม่สามารถปกป้องเสียงสะอื้นที่ลอยไปตามลมได้ “เจ้าต้องเข้มแข็งกว่านี้ ยามุดะ” นางกำชับตัวเอง และปล่อยให้ความเงียบเข้ามาเยียวยา น้ำตาหยดสุดท้ายถูกปาดทิ้ง ไม่นานร่างในชุดพรางสีดำก็ดีดตัวไปยังโขดหินใกล้ๆ ก่อนจะส่งต่อลอยสูงเหนือยอดต้นหลิว “ข้าต้องเข้มแข็ง….กว่านี้” นางกดปลายเท้าอีกครั้งที่ยอดต้นสนคู่เหนือน้ำตกมะทซึ นิ ความมืดกลืนร่างนางหายไปเหลือไว้เพียงจันทร์เสี้ยวในคืนที่สัญญาชิโนบิจบลงและเริ่มต้นใหม่อีกเป็นครั้งที่ 2  เวลาต่อจากนี้เท่านั้นที่จะช่วยนางพิสูจน์ว่า สัญญาชิโนบิจะไม่มีวันตายหรือไม่

ประกายแสงสีอำพันเริ่มจับที่ขอบฟ้าทางทิศตะวันออก เสียงนกเล็กๆ ตามรายทางที่นางโผทะยานผ่านกล่าวอรุณสวัสดิ์ ยามุดะเร่งโผให้เร็วขึ้นนางต้องกลับให้ถึงคาโกคุมะก่อนฟ้าสางซึ่งเวลาก็น้อยลงทุกที

(เจ้าต้องเป็นซามูไรเหมือนพ่อ มิใช่อาวุธร้ายอย่างแม่…โคทาโร่)

……….

บางเรื่อง……………….ต้องอาศัยคนโง่เจรจา

จึงจะถือว่า……………………………ฉลาดล้ำ

อิเงะสึงิ  เคนซึ

…………

นินจาเลือดซามูไร บทที่ 6

ความลับหลังม่านไม้ไผ่ความลับหลังม่านไม้ไผ่ มีแมลงเพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้นที่อาจหาญเผชิญหน้ากับความเหน็บหนาว

ความลับหลังม่านไม้ไผ่

ฤดูใบไม้ร่วงผ่านเข้ามาอีกปี…อีกปี…และอีกปี ต้นไม้ทั้งหุบเขาอิงะก็ยังคงโหมโรง เริงระรำเพื่อตอนรับฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง อีกครั้ง…อีกครั้งและอีกครั้ง ป่าใบสีแดง เหลืองและน้ำตาลต่างร่วงพลูยามโดนลมกระโชกเข้ามาทางช่องเขาคุโระอิสีนิล ต้นแอด เมเปิ้ล และต้นโอ๊ค กำลังจะปรับสภาพตัวเองเพื่อจะอยู่ให้รอดในฤดูหิมะ มีเพียงต้นสนมซึเท่านั้น ที่ยังคงเขียวครึ้มเหมือนไม่หวั่นเกรงใดๆ กับเรื่องนี้

ไม่มีดอกซูซูลันส่งกลิ่นหอมสีขาวรูปกระดิ่งที่โผล่ขึ้นจากดินเหมือนเช่นต้นฤดูใบไม้ผลิ มีเพียงผีเสื้อ ตัวหนอนและแมลงนานาชนิดเท่านั้นที่กำลังเร่งฝังไข่ใบสุดท้ายไว้ใต้เปลือกแข็งของต้นไม้ ซึ่งเป็นที่ที่พวกมันหวังจะให้ลูกๆ ปลอดภัยตลอดฤดูหิมะ เมื่อภารกิจสุดท้ายสิ้นสุดลง เหล่าแมลงตัวแล้วตัวเล่าก็เลือกที่จะปลิดชีพตัวเองก่อนพายุลูกแรกจะมาเยือน

……….

อเวจีสีขาว ที่ยาวนาน   ดั่งเวทีประหาร ล้านบาป

อูคาชิ เซดะ

……….

คงมีแมลงเพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้นที่อาจหาญเผชิญหน้ากับความเหน็บหนาวที่เปรียบดั่งอเวจีสีขาวไปได้ ในขณะที่ทุกอย่างกำลังนิ่งเงียบไม่ปรากฏเสียงฝีเท้าย้ำพื้นที่เต็มไปด้วยซากใบไม้ แต่พลันเสียงวัตถุบางอย่างก็ดังหวีดหวิวทวนกระแสลมใกล้เข้ามา นินจาหลายคนกระโจนหลบหาที่กำบังตามสัญชาตญาณ มีเพียงอูคาชิ ยาสุและเซดะเท่านั้น ที่ยังคงยืนนิ่งมองหน้ากันไปมาและแล้วลูกธนูลึกลับก็ลอยแหวกอากาศเข้ามาปักติดกับต้นสนมซึที่อยู่ไม่ห่างจากพวกเขา มันมาพร้อมกับม้วนกระดาษสีน้ำตาลหมองๆ โอสุเกะ ฮิเดะที่ยืนอยู่ใกล้สุดเดินเข้าไปดึงลูกธนูออกจากต้นสนพร้อมนำม้วนกระดาษส่งให้ยาสุอย่างเร่งรีบ

“ฮันโต ซาซากุมิ ผู้ปกครองเมืองไบเซน เราต้องสังหารเขาก่อนพันธมิตรจากตระกูลต่างๆ ทางเหนือจะมาประชุมกันที่นั้น” ยาสุสรุปข้อความที่ปรากฏในแผ่นกระดาษสั้นๆ ให้ทุกคนรู้ เขาใช้หางตาเหลือบมองเซดะแวบหนึ่งแล้วกลับมาจ้องข้อความบางอย่างในจดหมายฉบับนั้นอย่างคนมีนัยยะสุดท้ายก็จุดไฟเผาทิ้งทันที…เซดะสงสัยในสิ่งที่ไม่เคยเป็น เขาจ้องเปลวไฟที่สว่างวาบสลับกับใบหน้าผู้เป็นพ่อไปมา

“จะลงมือเมื่อไร” เค็นจิถามแบบคนรู้ทัน

“เคนซึ, เค็นจิ, ฮิเดะ, และอาจารย์โอคิตะทั้ง 2 ท่านเชิญด้านใน ส่วนที่เหลือรออยู่ที่นี้” ยาสุพูดเร็วเหมือนมีความลับบางอย่าง

“ท่านพ่อ…แม้แต่ข้าก็ไม่มีสิทธิ์หรือไง” เซดะโพล่งขึ้นตรงๆ

“ใช่…เจ้ายิ่งจะต้องอยู่ด้านนอก…และอย่าพยายามแอบฟังเหมือนครั้งที่ผ่านมา…เพราะมันจะไม่ได้ผล” ยาสุหันกลับมากำชับเอาจริง…เซดะได้แต่มองตามหลังคนทั้งหมดไป

คนใช้ในบ้านค่อยๆ เลื่อนประตูปิดตามหลังพวกเขาทีละชั้น…ทีละชั้น กระทั่งทั้งหมดเข้ามารวมกันอยู่ในห้องประชุมหลังม่านไม้ไผ่แคบๆที่ถูกกางอาคมครอบไว้เรียบร้อยแล้ว

“ท่านพี่มีอะไร ที่เป็นความลับอย่างนั้นหรือ” เค็นจิเอ่ยถามก่อนคนอื่น ซึ่งก็เหมือนจะเป็นคำถามเดียวกันที่ทุกคนอยากจะรู้

“พวกเจ้าออกไปข้างนอก” ยาสุสั่งคนใช้ผู้หญิงที่นั่งก้มหน้านิ่งอยู่รอบๆ พวกนางรีบก้มศีรษะจรดพื้นแล้วลุกเดินซอยเท้าสั้นๆ หายไปคนละทาง

“มินาโมโตซัง ได้ยกบุตรสาวคนโตของยามุดะให้กับไอ้แก่ผิดเพศ ฮันโต ซาซากุมิ หวังจะผนึกกำลัง สานต่อไมตรีกับพวกโคงะ เพื่อจะให้พวกหลังเขาเปิดทางเข้าหมู่บ้านโจมตีเรา การสังหารฮันโต คือทางรอดเดียวของอิงะในเวลานี้” ยาสุอธิบายเสียงต่ำด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด

“ฮันโตซัง…จะต้องตายก่อนจะรวบรวมตระกูลซามูไรเก่าแก่ที่เกียวโตได้สำเร็จ” อิเงะสึงิ เคนซึเสริมอย่างคาดคะเน

“ใช่.!…”

“แต่ว่าพวกโคงะ จะเล่นด้วยรึ…เพราะได้ข่าวแววๆ ว่าทางรัฐบาลญี่ปุ่นกำลังหนุนพวกมันจัดตั้งองค์กรลับ เพื่อหวังจะได้ความสามารถพิเศษไปใช้งานด้านการข่าวของทหาร” โอสุเกะ ฮิเดะตั้งขอสังเกต ยาสุหันขวับพร้อมกับชี้นิ้วไปที่เขาเหมือนกับนึกอะไรขึ้นมาได้

“เอ่อใช่…ข้าลืมสายตาของไอ้ทาอิโระ เมื่อครั้งที่คนของรัฐบาลเรียกเข้าไปประชุมที่โตเกียวได้อย่างไรกัน…นี้แหละคือเหตุผลสำคัญที่พวกโคงะจะร่วมมือกับฮันโตและมินาโมโตเพื่อหวังจะล้มล้างเรา…”

“ท่านกำลังจะ กำลังจะ เอ่อ เอ่อ บอก บอก ว่า” อาจารย์โอคิตะ อีอิพูดไม่ทันจบ โอคิตะ ไออิน้องชายก็แทรกขึ้นแทน “พวกโคงะหวังจะเป็นหนึ่งเดียว…เป็นหนึ่งเดียวขององค์กรลับระดับชาติ…ระดับชาติ”

“ใช่ หากไม่มีเรา งานของพวกมันก็จะง่ายยิ่งขึ้น” ยาสุสรุปตามเหตุผลที่เห็นสอดคล้องกัน

“หากเราสังหาร ไอ้ผิดเพศ ซาซากุมิได้สำเร็จ ทุกอย่างก็จบ” อิเงะสึงิ เคนซึ พูดอีก พลางลูบไล้ผมที่ยาวสลวยดุจแพรไหมสีขาวของตัวเองอย่างคาดการณ์

“และข้าจะทวงคืนยามุดะจากมินาโมโต ให้สมกับที่ปิดบังข้ามาหลายสิบปี” ยาสุพึมพำด้วยสายตาที่แข็งกร้าวและมั่นใจเป็นพิเศษ

“เราจะลงมือกันเมื่อไร” เค็นจิถาม

“คืนนี้…เราต้องชิงลงมือก่อนพวกมันจะรู้ตัว”

“แล้วคุณชายละ”

“ให้ไปด้วย เพิ่มคนคอยอารักขาเป็น 2 เท่า แต่อย่าให้รู้ตัว เพราะจิตพิรุธของเขาไวมาก” ยาสุกำชับเสียงหนักแน่น

“คืนนี้บุตรของข้าพร้อมเข้าสอบอัครนินจัตสึ” โอสุเกะ ฮิเดะ แทรกขึ้นทันที

“นารุ นั้นหรือ…เขาไม่เด็กไปหน่อยหรือไง” อิเงะสึงิ เคนซึ ตั้งข้อสังเกต และจ้องไปที่ โอสุเกะ ฮิเดะ ด้วยความเป็นห่วง

“เขาพร้อมแล้วละ…ข้าว่า” เสียงของ โอสุเกะ ฮิเดะ ไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าไรนัก แต่เขาก็พยักหน้าย้ำในจุดยืนเดิม จนทุกคนไม่กล้าแย้งอีก

“ถ้าอย่างนั้น เค็นจิ…เป็นหน้าที่โดยตรงของเจ้า” ยาสุพูด

“ได้…นารุมันจะได้สมใจก็คราวนี้แหละ” เค็นจิรับคำสั่ง พร้อมกับพูดถึงลูกศิษย์คนโปรดด้วยรอยยิ้มแห่งความสมใจจางๆ

“อาจารย์โอคิตะ ทั้ง 2 ข้าต้องรบกวนพวกเจ้าด้วยนะ” ยาสุหันไปก้มหัวให้พวกเขานิดๆ

“บันทึกลับ…บันทึกลับของคุณชาย มัน มันเป็นหน้าที่หลักของตระกูล…ของตระกูลข้าอยู่แล้ว พวกข้า…พวกข้าต่างหาก…ต่างหากที่ต้องขอบคุณที่ท่านประมุขที่ไว้ใจ…” โอคิตะ ไออิ พูดซ้ำไปซ้ำมาจนแทบจะไม่จบประโยค…แต่เขาก็ได้ถอนหายใจออกมาจนได้

“โอ้ย!…ข้าใจแทบขาด กว่าพวกเจ้าจะพูดจบ…เฮ้ย!” โอสุเกะ ฮิเดะ โพล่งขึ้น พร้อมกับถอนหายใจยาวๆ จนหลายคนอดขำตามไม่ได้

………..

ความลับ……………………ไม่มีวันตาย

แม้แต่สายลม…………………………ก็รู้

อูคาชิ ยาสุ

……….

 

ผลสอบอัครนินจัตสึที่ปราสาทฮันโต

คืนเดือนมืดที่ปราสาทฮันโต

โคมไฟที่เว้นระยะห่างเท่าๆ กันเป็นแถวยาวไกลจนสุดมุมโค้งกำแพงหินปูนที่สูงไม่ต่ำกว่า 3 เมตร มันทอดตัวยาวไล่ระดับสูงขึ้นไปตามทางเข้าที่ลาดชันและเหมือนจะโอบล้อมตัวปราสาท 5 ชั้น ที่ปลูกสร้างอย่างมีศิลปะบนเนินเขาทางทิศตะวันตกของเมืองไบเซนเอาไว้ทุกด้าน มันแสดงให้ผู้คนทั่วไปได้เห็นถึงอำนาจ บารมีที่เหลือล้นของเจ้าของอย่างเด่นชัด โคมไฟจากยางสนอีกชั้นที่กระจายกันอยู่ภายในแนวรั้วติดกับปราสาทเผยให้เห็นกิจกรรมของเหล่าซามูไรในชุดสีน้ำตาลแดงที่กำลังยืนเฝ้ายามอยู่ตามจุดต่างๆ และแต่ละจุดก็มีไม่ต่ำกว่า 5 คน หนึ่งในนั้นจะยืนถือโคมไฟนิ่งเป็นหุ่นหินอยู่ด้านหน้า ทุกๆ 15 นาที เขาก็จะออกเดินนำจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งวนไปรอบๆ ดูจากสีหน้าที่จริงจังของพวกเขาแล้วเหมือนหน้าที่ที่กำลังปฏิบัติอยู่สำคัญยิ่งกว่าชีวิตที่มีลมหายใจหลายร้อยพันทวี

……….

อีกมุมหนึ่ง

ณ จุดที่มืดสนิททางทิศใต้ของตัวปราสาท ดวงตาที่ไม่ต่างอะไรกับนกรัตติกาลกว่า 150 คู่กระจายโอบล้อมปราสาทเป็นรูปเสี้ยวจันทรา เสียงซุบซิบไม่ต่างอะไรกับสายลมดังระงมไปทั่ว แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครเอะใจในเสียงเหล่านั้นเลยสักนิด…พวกเขานิ่งรอสัญญาณจู่โจมจากผู้นำที่อยู่ส่วนกลาง…อย่างตั้งมั่น

(คุณชายกับนารุคุง ตามข้ามา ส่วนกุโบะและพวกเจ้าตามเค็นจิอ้อมไปทางซ้าย เราจะไปพร้อมกับสายลมกระโชกปลายสน) โอสุเกะ ฮิเดะ สื่อเสียงให้นินจาเพียงไม่กี่คนที่สามารถรับคลื่นความถี่สูงนี้ได้ กุโบะ กับ นารุ หลับตาหนึ่งครั้งแทนการพยักหน้า พวกเขาซุบซิบตามสายลมที่กวัดแกว่งใบไม้ต่อๆ กันไป จนเงียบนิ่งลงอีกครั้ง

“นารุ – ยูกาว่า กุโบะ นี้คือบททดสอบอัครนินจัตสึของพวกเจ้า…อย่าประมาณ เพราะการพลาดเพียงครั้งเดียว มันหมายถึงชีวิต” อิเงะสึงิ เคนซึ กำชับเลียนเสียงจิ้งหรีด ทั้ง 2 กระพริบตาพร้อมกันอีก แต่นารุเด็กหนุ่มวัย 12 ปี เหมือนจะตื่นเต้นจนยากจะควบคุมให้นิ่งได้ในเวลานี้

“ข้าจะคอยดูพวกเจ้าอยู่ห่างๆ คำเตือนจากรุ่นพี่จะช่วยให้ผ่านมันไปได้” เขาพูดผ่านผ้าที่คลุมใบหน้าสีดำ

“ข้าจะระวังให้ถึงที่สุด” ยูกาว่า กุโบะ กระซิบเลียนเสียงป่าตอบกลับ และทันทีที่ปลายสนมซึแกว่งไกว สัญญาณโผจากเค็นจิจึงเริ่มต้น

(ไปได้) ร่างในเงาสีดำที่กลืนเป็นสีเดียวกับราตรีลอยข้ามกำแพงหินปูนไปพร้อมๆ กันทุกด้าน  เชือกป่านติดตะขอเหล็กถูกโยนขึ้นไปบนสันหลังคาปราสาท แต่เสียงของมันกลับเงียบสนิทจนผิดวิสัย พวกเขาดึงตัวเองวิ่งตามขึ้นไป ก่อนจะแยกออกไปเป็น 2 กลุ่ม คืนเดือนมืดเช่นนี้ช่วยพรางเงาสีดำของพวกเขาได้เป็นอย่างดี ในที่สุดทั้งหมดก็หายไปทันทีที่สายลมนิ่ง เหล่าซามูไรที่กำลังเฝ้ายามอยู่ด้านล่าง กำลังเปลี่ยนจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง ดูเหมือนไม่มีใครรู้ตัวเลยว่า ณ เวลานี้มีนักฆ่าชิโนบิกระจายตัวเกาะติดกับผนังและหลังคาปราสาทไม่ต่างอะไรกับปลิงลมกระหายเลือดอยู่ทุกด้านแล้ว

แต่ในขณะที่ซามูไร 5 คนที่จุดทางเข้ากำลังเดินเรียงแถวผ่านซุ้มประตูด้านหนึ่งและจะโผล่ไปยังอีกด้าน อยู่ๆปลายเท้าที่สั่นระริกของโอสุเกะ นารุก็สะกิดเข้ากับแผ่นกระเบื้องมุงหลังคาชั้นบนสุดโดยบังเอิญ “แคล็กๆๆๆ…” มันไหลลงไปตามแนวลาด เสียงของมันทำให้ซามูไรชักดาบคาตานะเตรียมสู้ แต่ก็ช้ากว่านินจา 5 คน ที่กระโจนตาม พวกเขาแยกประกบตัวต่อตัว ใช้มีดสั้นเชือดเส้นเลือดใหญ่และกล่องเสียงที่ลำคอแล้วกดพวกเขาไว้กับพื้นจนแน่นิ่ง เซดะใช้ปลายเท้ารับแผ่นหลังคากระเบื้องเอาไว้ได้ทันก่อนที่เสียงของมันจะปลุกคนทั้งปราสาทให้แตกตื่น

(ซ่อนศพ แล้วไปต่อ) โอสุเกะ ฮิเดะส่งสัญญาณมือ  พวกเขาทำงานอย่างรู้กันก่อนจะดีดตัวกลับขึ้นหลังคาอีกครั้ง

(นารุ) โอสุเกะ ฮิเดะดุ เขาด้วยสายตา แต่ก็ไม่ใช่เวลาที่จะต้องต่อว่ามากไปกว่านี้

(ข้าขอโทษ…) ในแววตาที่เต็มไปด้วยความตื่นกลัวฉายออกมาแทนเสียงสื่อ โอสุเกะ ฮิเดะเริ่มเป็นกังวล…ทางเดียวเวลานี้คือต้องรักษาชีวิตของบุตรชายกลับไปหุบเขาอิงะให้ได้ ถึงแม้ว่าจะสอบอัครนินจัตสึไม่ผ่านก็ตามที…

“อย่าห่างข้า” ฮิเดะกำชับบุตรชายและพยักหน้าให้เขาอีก ก่อนทั้งหมดโผตามกันเข้าไปในความมืดใต้ชายคาชั้น 3 พวกเขาซ่อนเงาหาช่องผ่านทะลุเข้าไปด้านในทันที

……….