นิยายอ่านฟรีจบเรื่อง อนุชาย2 บทที่38 จบบริบูรณ์
อ่านเพิ่มเติม อนุชาย2 บทที่38
หมวดหมู่: อนุชาย2
อนุชาย2 บทที่37
อนุชาย2 บทที่36
เมียน้อยที่สมบูรณ์
อนุชาย2 บทที่35 เมียน้อยที่สมบูรณ์
อ่านเพิ่มเติม เมียน้อยที่สมบูรณ์
อนุชาย2 บทที่34
อนุชาย2 บทที่34 มรดกเลือด
ตำรวจแบ่งกำลังออกติดตามมือปืนหลายกลุ่ม หนึ่งในเป้าหมายนั้นก็คือคนขับรถคนใหม่ของอนุชาญที่ชื่อว่า “หมาย” หลังก่อเหตุบนอาคารจอดรถภายในสนามบิน ผ่าน 48 ชั่วโมงคนแรกที่เขาต้องการไปพบเพื่อเบิกเงินที่จะต้องใช้ในการหลบหนีจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเจ้าของเซฟเฮ้าส์ในไร่ภูตะวันที่ อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมานั้นเอง
ย้อนกลับไปเมื่อเวลา 03.00 น.ของคืนที่ผ่านมา…
โคมไฟริมถนนภายในหมู่บ้านยังคงสว่างและให้ความรู้สึกปลอดภัยไม่ต่างจากเวลากลางวัน ยิ่งมีแสงโคมบนรั้วรอบๆ บ้านหลังใหญ่ทรงร่วมสมัย 3 ชั้นสีครีมเสริมเข้าไปด้วยแล้ว แม้แต่แมลงหวี่ยังเล็ดลอดสายตาเข้าไปภายในได้ยาก สยามยามวัยใกล้ 90 ปียังปฏิบัติหน้าที่อยู่ภายในป้อมยามขนาด 2 เมตรคูณ 2 เมตรอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เสียงเพลงจากนักร้องสาวชาวจีน เติ้ง ลี่จวิน ยังคลอเป็นเพื่อน…ในขณะที่ทุกคนในบ้านหลังใหญ่กำลังหลับใหล เขาดื่มชาและกาแฟหลังเที่ยงคืนอย่างละแก้ว กระนั้นกาน้ำร้อนที่ตั้งอยู่ข้างๆ ก็ยังเดือดปุดๆ รอกากชาแก้วสุดท้ายก่อนจะสว่าง กิจวัตรซ้ำๆ เช่นนี้เกิดขึ้นมาหลายสิบปีตั้งแต่จำความได้ อีกสิ่งหนึ่งที่เขาชื่นชอบมากเป็นพิเศษเห็นจะเป็นภาพยนตร์จีนบู้ล้างผลาญ-กำลังภายในเก่าๆ จากโทรทัศน์เครื่องเล็กๆ เหนือหัว ถ้าเมื่อไรถึงบทที่มีข้อความประมาณว่า
#ท่านพ่อ…จะ 10 ปีหรือ 100 ปีข้าก็จะตามล้างแค้นแทนท่านให้สาสม ข้าสัญญา# รอยยิ้มเหี้ยมๆ จนเดาอารมณ์ไม่ถูกก็จะฉายออกมาและทันทีที่เสียงนาฬิกาบนผนังภายในเรือนรับรองข้างสระว่ายน้ำบอกเวลา 03.00 น. เขาก็เงยหน้าลุกยืดตัวบิดขี้เกียจเพื่อขับไล่ความง่วง เวลาเดียวกันเสียงรถมอเตอร์ไซด์จากหน้าหมู่บ้านก็ใกล้เข้ามา เขาขยับตัวให้มั่นคงไฟฉายและกระบองที่วางคู่กันถูกหมายตาเอาไว้…ในที่สุดมันก็เป็นจริงดังคาด เมื่อชายรูปร่างสูงสวมหมวกกันน๊อกสีเทา-แดงขับรถมอเตอร์ไซด์สีดำ-ขาวมาจอดเทียบ กระนั้นเขาก็ยังไม่ขยับ จนกระทั้งชายคนดังกล่าวถอดหมวกกันน๊อกเสียบไว้กับกระจกแล้วตรงดิ่งเข้ามาหา สยามก็ยังไม่ขยับอีก
“หมาย….” สยามเรียกชื่อราวกับคุ้นเคยเป็นอย่างดี “มัวทำอะไรอยู่ เวลานี้แกน่าจะอยู่ในเขมรแล้วนะ”
“กว่าจะหลบตำรวจมาได้” หมายบอกพลางจุดบุหรี่สูบอย่างใจเย็น กระทั่งสยามวางซองเอกสารสีน้ำตาลที่บรรจุเงินสดจำนวนหนึ่งให้ เขาคว้าไปหนีบไว้ในรักแร้พร้อมกับพ้นควันสีขาวทิ้ง จนสยามต้องกระทุ้งเสียงดัง
“ยังไม่ไปอีก….โดนจับขึ้นมาจะซวยกันหมด”
นาทีเดียวกันชายลึกลับไม่ต่ำกว่า 10 คนไม่รู้มาจากทางทิศไหนก็กรูเข้าตะครุบตัวพร้อมกับปิดปากคนทั้งคู่ลากไปขึ้นรถยนต์ที่พุ่งเข้ามารับ อีก 2 คนก็ยกรถมอเตอร์ไซด์ยัดใส่ท้ายกระบะอย่างไม่ประณีต ไม่ถึง 10 นาทีทุกสิ่งทุกอย่างก็กลับเข้าสู่สภาพเดิมราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น….
อีก 12 นาทีจะ 11 โมง
ปกรณ์ เชาว์ พร้อมกำลังตำรวจไม่ต่ำกว่า 50 นายก็ปิดล้อมบ้านตระกูลเชาว์ในรัศมี 100 เมตรไว้ทุกด้าน 30 นาทีผ่านไปสัญญาณบอกให้เข้าจู่โจมจากคนข้างในก็ดังขึ้น
สมหวังเห็นและได้สติก่อนคนอื่นๆ เขาวิ่งตรงไปยังรถเบนซ์ที่จอดอยู่หน้าบ้านโดยมีซ้อหงส์ร้องโหยหวนอย่างกับคนบ้าอยู่ในเรือนรับรอง
“อ๊ากกกกกกก!……”
ยามและคนใช้ไหลไปรวมกันมุมประตูด้านข้าง ตำรวจกลุ่มหนึ่งเข้าตะครุบตัวสมหวังขณะกำลังจะสตาร์ทรถ อีกกลุ่มก็ถือหมายจับเดินเข้าไปในเรือนรับรอง ปกรณ์แยกไปกันวิวกับซันที่ตกใจร้องไห้ออกประตูข้างพาเข้าไปสงบสติภายในตัวบ้าน อนุชากับทนายอำพลลุกยืนคล้ายกับหน้าที่ของพวกเขาสิ้นสุดลงแล้ว
“อ๊ากกกกก! ทำไมต้องจับฉัน ฉันทำอะไรผิด ฉันทำอะไรผิด” ซ้อหงส์ร้องสลับโวยวายไม่หยุขณะที่เจ้าหน้าที่ใส่กุญแจมือลากไปขึ้นรถ สมหวังดิ้นหนีตายเป็นครั้งสุดท้าย แต่กำแพงรั้วที่สูงไม่ต่ำกว่า 3 เมตรก็บังคับให้เขาจนมุม
“ผมไม่ได้ทำ ผมไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น ปล่อยผม ปล่อยกู ปล่อยกูซิโว้ย”
“เชิญครับ เราไปคุยกันที่โรงพักดีกว่า” นายตำรวจผู้ใหญ่ที่มาด้วยพูด แล้วรถตำรวจกว่า 10 คันก็แล่นเข้ามาจอดเทียบรับคนทีละกลุ่ม แม่บ้าน คนรับใช้ คนสวนและยามถูกเชิญไปให้ปากคำ ยกเว้น วิวกับซันที่อยู่ในความดูแลของปกรณ์ ไม่นานอนุชาและทนายอำพลก็เดินเข้าไปสมทบ
“แม่ แม่ ฮื้อๆ”
“ยายวิวฟังอา….” อนุชาจับไหล่เด็กสาว ขณะที่ปกรณ์โอบซันไม่ยอมปล่อยกระทั้งพวกเขาเข้าไปอยู่รวมกันในห้องรับแขกการพูดคุยอย่างเป็นทางการจึงเริ่มขึ้น
“อาชา อาชาขา เตี่ยเสียชีวิตแล้วจริงหรือค่ะ ฮื้อๆ” วิวถามอนุชาเป็นประโยคแรก
“เราไม่ใช่ลูกเตี่ยจริงหรือฮะ” ซันตามขึ้นติดๆ ปกรณ์จึงรวบมือวิวกับซันมารวมกัน เขามองหน้าทั้งคู่ในเชิงปลอบโยน
“ก่อนเตี่ยของพวกเราจะสิ้นลม ได้สั่งไว้กับ…..เอ่อ”
“นายเป็นพี่ใหญ่ของพวกเขาปกรณ์” อนุชาเตือน
“เตี่ยได้สั่งไว้กับเฮีย แม้ว่าเราจะไม่ใช่ลูกแท้ๆ แต่เตี่ยก็รักเหมือนลูก….เตี่ยก็ยังเป็นเตี่ย…เรา 2 คนก็คือลูกสาว-ลูกชายของเตี่ยและยังเป็นอาหมวย อาตี๋ของเฮียกับอาชาตลอดไป” ปกรณ์พูดยาวพร้อมกับตบหลังมือซันกับวิวไม่หยุด กระทั่งซันผวาเข้ากอดเขา ขณะที่วิวโผเข้ากอดอนุชา
“อาชาขา ฮื้อๆ อาอย่าทิ้งพวกหนู อาอย่าทิ้งพวกเรานะค่ะ ฮื้อๆ”
“อาเอีย อาเฮียครับ…..”
เมื่อสติของทั้ง 2 สงบลงจนเกือบเป็นปกติ ทนายอำพลที่นั่งรอจังหวะจึงพูดขึ้น “คุณหนูยังเป็นลูกสาวและลูกชายของพ่ออนุชาญ เชาว์ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง…” เขาเงียบประเมิน “เวลานี้คุณหนูโตพอจะรับรู้เรื่องราวทั้งหมด ลุงเลยต้องการจะให้รู้เรื่องนี้ไปพร้อมๆ กับทุกคนในบ้าน หวังว่าคงเข้าใจลุงนะ”
ซันกับวิวปาดน้ำตาก่อนจะพยักหน้าอย่างว่าง่าย
“บางทีเรื่องของผู้ใหญ่ เด็กๆ อย่างเราไม่ควรเข้ามาเกี่ยวแต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ ต่อจากนี้เป็นต้นไปอาสัญญาว่าจะดูแลพวกเราให้ดีที่สุด” อนุชาตบท้าย
……….รัตติกาล แรกสลัว มัวมืดมิด……….
………ราวจะปิด ชีวิตพรุ่งนี้ ที่ยุ่งเหยิง………
………เหมือนกับเชื้อ เพื่อรอไฟ ใต้แสงเพลิง………
………สิ้นเถลิง เริงลาภจบ ภพนิรันดร์……….
ตำรวจงัดหลักฐานตั้งแต่อดีตที่สยามอยู่เบื้องหลังอนุชาและท่านผู้หญิงแขไขขึ้นมาประกอบสำนวนฟ้อง จนล่าสุดกลุ่มมือปืนหลายกลุ่มที่ถูกจับก่อนหน้านี้ได้ซัดทอดมาที่อนุชาญ สมหวังและซ้อหงส์ตามลำดับ แต่เมื่อนำหลักฐานและข้อมูลเชิงลึกมารวมกันถึงได้รู้ว่าตัวการใหญ่ไม่ใช่พวกเขา แต่เป็นเจ้าของเซฟเฮ้าส์ภายในไร่ภูตะวันอำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา หลักฐานการครอบครองจากกลมที่ดินจึงมัดตัว นายสยาม แช่ลอ ยามเก่าแก่ประจำบ้านตระกูลเชาว์จนดิ้นไม่หลุด
ข้อมูลในส่วนนี้ นายสยาม แซ่ลอ ได้ให้การสารภาพภายหลังว่า ตัวเองควรจะใช้นามสกุล “เชาว์” ตามพ่อมาตั้งแต่ต้น แต่ในเมื่อคนตระกูลเชาว์ไม่ยอมรับ ซ้ำยังกดขี่ไม่ยอมให้ไปไหน แม่จึงเป็นได้แค่แม่ครัวจนกระทั้งเสียชีวิต ตัวเองก็ยังถูกบังคับให้เป็นยามในบ้าน มูลความแค้นจากอดีตจึงถูกสะสม การล้างแค้นถึงจะใช้เวลารอนานแค่ไหนก็ไม่มีวันสายและเมื่อสมหวังบุตรชายคนเดียวที่เขาส่งไปเรียนต่อที่ประเทศรัสเชีย แต่ก็เรียนไม่จบจนต้องกลับมาเป็นคนขับรถภายในบ้านอีกคน แรงแค้น-แรงอาฆาตจึงเพิ่มปริมาณเร็วขึ้นอย่างรวดเร็ว การยุยงและสังหารคนบ้านตระกูลเชาว์ด้วยสารพิษ โนวิชอก-คัสตาร์ด จึงถูกใช้เรื่อยมา
“อั๊ว!…เป็นลูกที่เตี่ยลืมเพียงเพราะแม่อั๊ว! เป็นคนใช้ อั๊ว! ไม่เคยได้รับความยุติธรรมมาตั้งแต่แรก เพราะฉะนั้นหากวันนี้ อั๊ว!โดนศาลตัดสินประหารชีวิต อั๊ว!ก็ไม่กลัว อั๊ว!ผ่านความกลัวมาสารพัดจนรู้สึกว่ามันคือเพื่อนแท้”
“แต่อากงก็รวยมากๆ ถึงขนาดเป็นเจ้าของไร่ภูตะวัน ยังไม่พอใจรึครับ” นายตำรวจถาม
สยามมองนายตำรวจแล้วก็ส่ายหัว “ไร่ภูตะวันเป็นสมบัติของคนแซ่ลอ ไม่ใช่มรดกส่วนที่เป็นสิทธิ์ที่อั๊ว! ควรจะได้รับจากคนตระกูลเชาว์ เพราะฉะนั้นมันจึงถูกเก็บเป็นความลับมาโดยตลอด”
“อากง”
“ในเมื่อเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว อั๊ว!ก็พร้อมจะตาย ตายไปพร้อมกับสิทธิ์และชีวิตที่ไม่เคยชัดเจน ได้โปรดให้ศาลเร่งตัดสินประหารชีวิตเร็วๆ ด้วยเถอะ อั๊ว! จะได้กลับไปสู่ ดิน-น้ำ-ลม-ไฟ ลืมว่าครั้งหนึ่งเคยเกิดมาเป็นมนุษย์ในตระกูลเชาว์ แต่ต้องใช้แซ่ลอตามแม่…เป็นได้แค่คนรับใช้และยามภายในบ้านของตัวเอง….พี่น้องก็เอาแต่ดูถูกเหยียบหยาม จนอั๊ว! ทนมีชีวิตต่อไปไม่ไหวแล้วละ”
นายตำรวจมองชายชราด้วยคำถามมากมาย “อากงมีอะไรจะฝากถึงลูกชายหรือเปล่าครับ ผมหมายถึง นายสมหวัง แซ่ลอ นะครับ”
สยามนิ่งค้างราวกับรูปปั้น เขาเป่าลมทิ้งสั้นๆ “หลานอั๊ว! 2 คน ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้แม้กระทั่งว่าอั๊ว! เป็นกงแท้ๆ สิ่งที่อั๊ว!อยากฝากจึงไม่ใช่ลูกชายที่กำลังจะถูกศาลตัดสินประหารชีวิต แต่เป็นอาตี๋-อาหมวยที่บ้านตระกูลเชาว์ บอกพวกเขาว่ากงแอบมอง-แอบชื่นชมและแอบรักพวกเขามาโดยตลอด”
“อากงคงหมายถึงคุณหนูวิว กับคุณซันใช่ไหมครับ”
สยามพยักหน้า “ใช่!”
“อากงไม่ต้องเป็นห่วง คุณอนุชาญก่อนจะเสียชีวิตได้ทำพินัยกรรมไว้ให้ทั้งหมดแล้วและคุณอนุชา เชาว์ กับคุณปกรณ์ เชาว์ เชาว์เองก็ได้รับปากว่าจะดูแลให้ดีที่สุด”
สยามยิ้มพร้อมกับหายใจยาวๆ เขามองหน้านายตำรวจราวจะขอบคุณ แต่…. “อั๊ว!ไม่มีอะไรจะแก้ตัว หรือพูดให้ตัวเองพ้นผิดแล้วละ พาอั๊ว!กลับเข้าห้องที อั๊ว! ง่วงนอนเหลือเกิน”
หลายคนในคดีนี้ถูกศาลตัดสินประหารชีวิตและอีกหลายคนถูกจำคุกตลอดชีวิต ซ้อหงส์ก็เป็นหนึ่งในนั้น อนุชา เชาว์ ย้ายกลับเข้ามาอยู่ในบ้าน คนใช้ คนขับรถหลายคนยังเต็มใจอยู่กับเขา แต่หลายคนก็ลาออกไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ การจัดการตามพินัยกรรมเดิมและพินัยกรรมฉบับใหม่ เขาจึงเป็นคนรับผิดชอบสะสาง ทนายอำพลถูกขอร้องให้ช่วยงานต่อจนกว่าจะจบ
“หากความยุติธรรมไม่มีซะแล้ว ก็อย่าถามหาความสงบสุขคุณอำพลว่าจริงไหมครับ”
“ครับ มันเป็นสมการตรงตัว 1 + 1 = 2 ไม่ว่าสังคมไหนหากไม่มีความเป็นธรรม สังคมนั้นก็นับวันถอยหลังสู่กาลล่มสลายได้เลย” ทนายอำพลกล่าวปิดท้าย รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยบาดแผลย่อมเจ็บปวดเสมอ จะนานหรือสั้นขึ้นอยู่กับหลายองค์ประกอบ แต่หากตัดขาดจากความโลภโมโทสัน มองให้เห็นความเป็นจริง อยู่กับความจริง สติครองชีวิตก็จะสร้างความสุขอย่างอัตโนมัติ
และเมื่อเหตุการณ์ได้ดำเนินมาถึงขั้นนี้ ดร.ชานนท์กับอนุชัยก็ไม่ลังเลจะนัด อนุชา ปกรณ์ รวมทั้งทนายอำพลเข้ามาปรึกษาหาทางออกและห้องคาราโอเกะหมายเลข 28 ภายในสวนอาหารสะบันงา บนถนนเกษตรนวมินทร์ ก็ถูกจับจองเพื่อใช้เป็นห้องประชุม
เมื่อถึงเวลานัดหมายทุกคนก็พร้อม
นายตำรวจใหญ่ผู้ดูแลคดี 3 นาย คุณหญิงพวงพรกับดร.ชวนนท์ผู้เป็นพ่อขอเข้าร่วมสังเกตการณ์ ทุกคนจึงสบายใจและพร้อมจะหาทางออกในมรดกเลือดก้อนนี้ ทันทีที่ทุกคนเข้าประจำตำแหน่ง เครื่องดื่มมีเพียงน้ำเปล่าก็ถูกเรียงพร้อมแก้วกระจายไปจนครบ เมื่อเห็นว่าได้เวลาทนายอำพล โรจน์ชัยนาม จึงกล่าวนำ
“ทุกๆ ท่านครับ กระผมนายอำพล โรจน์ชัยนาม เป็นทนายความและผู้ดูแลมรดกตามพินัยกรรมฉบับเดิมของคุณอนุชาติ เชาว์ รวมทั้งพินัยกรรมฉบับใหม่ของคุณอนุชาญ เชาว์ ที่เพิ่งเสียชีวิต กระผมจึงใคร่ขอทบทวนเพื่อความเข้าใจทั้งหมดดังนี้นะครับ….
- นายอนุชา เชาว์ ทายาทลำดับที่ 3 ได้รับมรดกเป็นจำนวน 20 เปอร์เซ็นต์ของเงินกงสี
- นายอนุชาญ เชาว์ ทายาทลำดับที่ 2ได้รับมรดกเป็นจำนวน 25 เปอร์เซ็นต์ของเงินกงสี”
- นางสาวแคราย เชาว์ หรือปัจจุบันใช้นามสกุล เจมส์มาร์ทคอร์ ตามสามีซึ่งเป็นบุตรสาวของ นายอนุชาติ เชาว์ กับท่านผู้หญิงแขไขได้รับมรดกเป็นจำนวน 15 เปอร์เซ็นต์ของเงินกงสี
- ชายนิรนามรอผลตรวจ ซึ่งปัจจุบันคือ นายปกรณ์ เชาว์ ได้รับมรดกเป็นจำนวน 10 เปอร์เซ็นต์ของเงินกงสี….
- ด.ช.อานนท์ สายสกุล หรือปัจจุบันคือ นายอานนท์ สายสกุล ได้รับมรดกเป็นจำนวน 30 เปอร์เซ็นต์ของเงินกงสี
ส่วนนี้คือพินัยกรรมเดิมของนายอนุชาติ เชาว์ ที่ยังไม่ถูกบังคับใช้…เนื่องจากเหตุผลใดนั้นเราทุกคนก็น่าจะรู้ดีและต่อมาเมื่อวันที่ XX เดือนมีนาคม พ.ศ. XXXX ก่อนคุณอนุชาญ เชาว์ จะเสียชีวิต ท่านได้เรียกกระผมเข้าพบเพื่อทำพินัยกรรมขึ้นมาเฉพาะส่วนของตัวเองดังนี้ ผมขออ่านตามลายมือของคุณอนุชาญที่ได้เขียนเอาไว้เลยก็แล้วกัน
วันที่ XX เดือนมีนาคม พ.ศ. XXXX
กราบเรียนท่านที่เกี่ยวข้อง ข้าพเจ้า นายอนุชาญ เชาว์ มีความประสงค์จะแบ่งมรดกเฉพาะส่วนที่ตัวเองได้รับตามพินัยกรรมของ นายอนุชาติ เชาว์ พี่ชายคือจำนวน 25 เปอร์เซ็นต์ของเงินกงสี หากข้าพเจ้าเสียชีวิตเพราะอะไรก็ตามขอให้แบ่งทรัพย์สินก้อนดังกล่าวออกเป็น 2 ส่วนเพื่อมอบให้บุตร 2 คนของข้าพเจ้าดังนี้
- นายโชคชาญ เชาว์ บุตรชายคนโตเป็นจำนวน 12.5 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนที่ได้รับตามพินัยกรรมเดิม
- น.ส.ชิดชนก เชาว์ บุตรสาวเป็นจำนวน 12.5 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนที่ได้รับตามพินัยกรรมเดิม
ข้าพเจ้าจึงขอให้ทุกคนทุกท่านที่เกี่ยวข้องได้ปฏิบัติตามนี้อย่างเคร่งครัด
ด้วยความปรารถนาดี
อนุชาญ เชาว์
ครับที่ผมได้อ่านไปนั้นก็เป็นพินัยกรรมที่คุณอนุชาญมอบไว้ก่อนจะเสียชีวิต สำหรับทายาทที่มีชื่อตามพินัยกรรมต้องมีอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์จึงจะมีสิทธิ์ตามพินัยกรรม สำหรับส่วนของกระผมก็มีเท่านี้ ท่านใดจะแย้งหรือเห็นต่าง เชิญได้เลยครับ” ทนายอำพลพูดจบก็ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มพร้อมกับกวาดสายตาไปรอบๆ ห้อง
“เออ…ผมขอพูดก่อนในฐานะคนนัดประชุมนะครับ” ดร.ชานนท์ใช้น้ำเสียงเป็นทางการ เขาหันไปมองอนุชัยที่นั่งอยู่ข้าง “กระผมกับแฟน ผมหมายถึงอนุชัยตลอดทั้งคุณแม่และคุณพ่อนั้นก็คือคุณหญิงพวงพร ดอกเตอร์ชวนนท์ สายสกุล…เป็นเวลาหลายปีมาแล้วนะครับ เกี่ยวกับมรดกเลือดก้อนนี้ เรามีความประสงค์จะสละสิทธิ์ไม่ขอเข้าไปเกี่ยวข้องกับกงสีของบ้านตระกูลเชาว์ เบื้องต้นทนายอำพลได้แจ้งเอาไว้ว่า ต้องให้นายอานนท์ สายสกุล ผู้ที่ถูกระบุในพินัยกรรมอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์เสียก่อนจึงจะยื่นขอสละสิทธิ์ได้ แต่ในเมื่อเกิดเหตุเลวร้ายขึ้นกับครอบครัว เราจึงรอให้ถึงวันนั้นไม่ไหว กระผมและครอบครัวจึงอยากจะขอความเห็นจากทุกๆ ท่านว่าพอมีทางอื่นที่จะช่วยเหลือเรื่องนี้ให้จบเร็วๆ หรือไม่” ดร.ชานนท์พูดจบ เขาก็วางสายตาไปทีละคน
“อันที่จริงเขาคือทายาทสายสกุลโดยตรง ไม่น่าเข้าไปเกี่ยวข้องกับบ้านตระกูลเชาว์ตั้งแต่แรก ผมของเสริมเท่านี้ครับ ขอบคุณมาก” อนุชัยต่อ เขาพยักหน้าให้ดร.ชานนท์กระทั่งเห็นคุณหญิงพวงพรกับดร.ชวนนท์ที่นั่งอยู่ริมสุดพยักหน้ายืนยัน
“ครับ….เอ่อ….ทุกๆ ท่านครับ….” ปกรณ์พูดคล้ายจะเกร็ง เมื่อสายตาทุกคู่จ้องไปที่เขา “คือสำหรับส่วนที่คุณพ่อ เอ่อ คุณอนุชาติ เชาว์ ได้มอบไว้ให้นั้น ผมต้องขอขอบพระคุณมากๆ แต่สิ่งที่ต้องการไม่ใช่มรดก ผมเพียงแต่อยากได้ชีวิตตัวเองกลับคืนมา ซึ่งบัดนี้ผมก็ได้ส่วนนั้นครบถ้วน เอ่อ….สำหรับเรื่องอื่นๆ หมายถึงทรัพย์สินเงินทองของบ้านตระกูเชาว์ ผมไม่ต้องการเช่นเดียวกับอาตี้….จึงอยากขอสละสิทธิ์ด้วย….เออ…ขอบคุณมาก”
“คุณอนุชาครับ เชิญครับ” ทนายอำพลวาดมือไปยังเขา อนุชาเงยหน้าสำรวจสักพัก
“เรียนทุกท่านที่เคารพ….กระผม นายอนุชา เชาว์ ในฐานะผู้จัดการมรดกคนใหม่ ทุกคนครับ พวกเราทุกคนครับ” อนุชาพูดพร้อมกับทิ้งสายตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดให้เห็น “บทเรียนจากมรดกเลือด…เราได้รับ ได้เห็น ได้เผชิญกันถ้วนหน้า…เราทุกคนรู้ดีและเป็นสาเหตุให้มานั่งรวมกันในห้องนี้-วันนี้และเวลานี้…กระผมติดอยู่ในคุก 15 ปี แถมยังถูกไล่ยิงไล่ฆ่าจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด ปัจจุบันกระผมเองก็อายุเลย 50 มาหลายปีพอสมควร กระผมไม่ต้องการเป็นคู่อาฆาต ไม่อยากมีศัตรู อยากจะเป็นลุง อยากจะเป็นอา อยากจะเป็นพี่ชายให้ทุกคน กระผมโสดอยู่ตัวคนเดียว หากทุกคนสละสิทธิ์กันหมด แล้วกระผมจะรับมือกับมรดกเลือดก้อนนี้เพียงลำพังได้อย่างไร…” อนุชาเงียบ ปล่อยเวลาให้ทุกคนคิด “ครับ…ทุกท่านคงเข้าใจ ได้โปรดช่วยกระผมในเรื่องนี้ด้วย”
“คุณอนุชาหมายถึง…”
“ขอให้เคารพตามพินัยกรรมที่เฮียชาติ กับเฮียชาญที่ได้ทำเอาไว้ทั้ง 2 ฉบับ กระผมจะขอรับผิดชอบเฉพาะส่วนที่เป็นของตัวเองเท่านั้น ไม่เอาอีกแล้วความขัดแย้ง” เขาหันหน้าไปทางปกรณ์ “อาขอเป็นอาและขอเป็นกงของหนูประดุจดาวเถอะนะ” พูดจบเขาก็หันไปทางดร.ชานนท์กับอนุชัยอีก “ที่ผ่านมาอาขอโทษ ในเมื่ออาเป็นกงของอาตี้ อาก็อยากเห็นอาตี้มีความสุขและอยากส่งมอบความสุขที่คนตระกูลเชาว์ต้องการจะให้กับทายาท….สายสกุลก็คือครอบครัวที่ใกล้ชิดและให้ความช่วยเหลือตระกูลเชาว์มาโดยตลอด ได้โปรดรับไว้เถอะ….อนุชัย ชานนท์ อาขอร้อง” อนุชาปล่อยแววตาวิงวอนจนอนุชัยต้องพูดต่อ
“คุณอาครับ” อนุชัยเรียก ทำให้อนุชาตื่นเพราะสรรพนามจากปากเขา “ในเมื่อเราทุกคนต่างก็ได้รับบทเรียนที่เลวร้ายร่วมกัน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาภายหลัง ผมกับชานนท์จึงอยากขอใช้สิทธิ์ของผู้ปกครองพูดแทนลูกชายว่า” อนุชัยทิ้งสายตาไปที่ดร.ชานนท์
“เราจะรับมรดกเลือดที่ว่าเอาไว้ก็ได้” ดร.ชานนท์พูดแทน ทำให้คุณหญิงพวงพรกับดร.ชวนนท์สะดุ้งสุดตัว “เรารับไว้ก็ได้ครับ….แต่อยากให้คุณอาช่วยจัดการกับมรดกเฉพาะส่วนที่เป็นของอาตี้เฉลี่ยกลับคืนให้กับทายาทในจำนวนเพิ่มขึ้นเท่าๆ กัน เราถึงจะยอมรับ”
“หมายความว่า ในจำนวน 30 เปอร์เซ็นต์ที่คุณอาตี้จะได้…ให้เกลี่ยกลับไปให้ทายาทคนอื่นๆ” ทนายอำพลถามย้ำ
“ในปริมาณที่เพิ่มขึ้น…ถูกต้องไหม” อนุชาทวน
“แต่ในส่วนของอาตี้ให้ลดลง…เราถึงจะยอมรับครับคุณอา” และอนุชัยเน้น ดร.ชานนท์บีบริมฝีปากและพยักหน้าเห็นด้วย อนุชาเองก็คลายกังวล มีเพียงปกรณ์เท่านั้นยังนั่งก้มหน้า จนอนุชาตบหลังเรียก
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
ปกรณ์เงยหน้าแดงๆ มองกลับ “ผม ผม ผม”
“พี่นะควรจะได้มากกว่า 10 เปอร์เซ็นต์” อนุชัยบอก
“ใช่!….อย่าลืมนะเวลานี้นายเป็นใคร นายอยู่ในสถานะพี่ใหญ่ของบ้านตระกูลเชาว์ไปเรียบร้อยแล้วนะปกรณ์” อนุชากระตุ้นอีกคน ทำให้ปกรณ์ลุกรวบทั้ง 2 มากอด และเขาก็ร้องไห้ออกมาจริง ๆ
“ขอบคุณ ขอบคุณ” ปกรณ์พูดได้เพียงเท่านั้น
“เมื่อแสดงความจำนงครบทุกคน อากับทนายอำพลก็จะได้ดำเนินการต่อให้จบ อาอยากจะเป็นอา เป็นลุง เป็นพี่ เป็นกงให้หลานเต็มทีแล้ว” อนุชาพูด…อนุชัยและปกรณ์กอดเขาแน่น คุณหญิงพวงพรที่นั่งเงียบมาตลอดถึงกับปาดน้ำตาทิ้ง
“เดี๋ยวก่อนครับ….ก่อนจะถึงตรงนั้น เอ่อ….” ทนายอำพลพูดและเงียบราวกำลังคิดเรียบเรียงเอกสารที่ต้องใช้ “ในเมื่อคุณอาตี้อายุยังไม่ครบ 18 ปีเพราะฉะนั้นถ้าจะให้ดี คุณอนุชัยกับดร.ชานนท์ที่เป็นผู้ปกครองจำเป็นจะต้อง….เอ่อ….” ทนายอำพลอ้ำๆ อึ่งๆ ราวกับคนเกรงใจจนดร.ชานนท์ทนไม่ไหวต้องพูดขึ้นมาเอง
“คุณอำพลต้องการให้เรา 2 คน…..”
“ครับ….เป็นไปได้ไหมถ้าคุณอนุชัยกับดร.ชานนท์จะไปจดทะเบียนสมรสกันที่ต่างประเทศเพื่อมาเพิ่มน้ำหนักให้เอกสาร” ทนายอำพลเบิกตารอ ขณะที่อนุชัยกับดร.ชานนท์มองหน้ากันไม่ขยับ
“เอาเลยพี่เห็นด้วย” ปกรณ์สนับสนุน “เพราะพี่กับเด่นดวงเองเมื่อเอกสารสมบูรณ์ก็จะหาเวลาไปจดทะเบียนสมรสเช่นกัน”
“นั้นนะซิ….อารอได้นะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” อนุชากล่าวปิดท้ายก่อนทุกคนจะพยักหน้าเห็นด้วยไปรอบๆ ห้อง
“เอาละครับทุกคนเมื่อสรุปได้แบบนี้ อาหารมือนี้ผมในฐานะพี่ชายของอนุชัยกับดร.ชานนท์จึงขอเลี้ยงฉลองให้ทั้งคู่ล่วงหน้าเลยแล้วกัน….เต็มที่ไปเลยครับ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
เสียงหัวเราะ รอยยิ้มวนไป…แต่สายตาของอนุชัยกลับหุบหาย…ดร.ชานนท์เองก็คล้ายกำลังคิดหนักจนแทบอยากจะหนีไปให้พ้นๆ
(ฉันตกอยู่ในสถานะเมียน้อยที่สมบูรณ์แบบให้นายมานานแค่ไหนแล้วเนี่ย! ชานนท์)
(ฉันจะจดทะเบียนซ้อนได้อย่างไร ถ้าไม่หย่าขาดกับดาริการซะก่อน) ดร.ชานนท์คิด
กระนั้นเมื่อสายตาของทั้งคู่ประสานกันเรื่อง 2 เรื่องก็คล้ายจะหลอมรวมเป็นเรื่องเดียวที่ยังหาทางออกไม่เจอ
(อนุชาย….ฉันเกลียดคำๆ นี้มาตั้งแต่แรก…. อนุชายยยยยยย)
จบ อนุชาย2 บทที่34 มรดกเลือด
ปกรณ์ เชาว์
อนุชาย2 บทที่33 ปกรณ์ เชาว์
อ่านเพิ่มเติม ปกรณ์ เชาว์
อนุชาย2 บทที่32
อนุชาย2 บทที่32 รายต่อไป
สายๆ….ณ บ้านไม่มีเลขที่…ขณะปกรณ์กำลังเก็บเครื่องใช้ส่วนตัวของอดีตท่านผู้หญิงแขไขเพื่อจะส่งมอบบ้านคืนเจ้าของ อยู่ๆ ประตูด้านหน้าชั้นล่างที่ลืมล็อกก็ถูกผลักเข้ามาข้างใน โชคดีที่เขายังอยู่ในห้องนอน การซ่อนตัวหรือหลบหนีจากความตายจึงพอเป็นไปได้ เบื่องต้นเขาหมายตาจะใช้หน้าต่างหรือไม่ก็ระเบียงด้านข้างที่อีกฟากของรั้วโปร่งๆ คือเป็นบ้านของนายตำรวจใหญ่เพราะหากจนมุมก็มีสิทธิ์ตะโกนขอความช่วยเหลือได้ไม่ยาก
“ปกรณ์ นายยังอยู่ที่นี่ใช่ไหม” แต่เมื่อน้ำเสียงคุ้นหูเรียก เขาจึงหายใจหายคอได้โล่งขึ้น “นายอยู่ไหม”
ปกรณ์ชะโงกหน้าจากวงกบประตูห้องมองผ่านระเบียงภายในชั้น 2 ลงไปชั้นล่าง เมื่อเห็นอนุชายืนโด่เด่ลากขาวนไปมา จึงขานรับ “ครับอา….กำลังเก็บของใช้ส่วนตัวคุณแม่นะครับ” เขาบอก
อนุชามองแต่ก็ไม่มีท่าทีจะตามขึ้นมาสมทบ “ใกล้เสร็จรึยังลงมาข้างล่างหน่อยอามีเรื่องจะคุยด้วย”
“ครับ….แป๊บหนึ่งนะครับเกือบเสร็จแล้วละ” สักพักปกรณ์ก็หอบลังกระดาษใบย่อมๆ ที่ยังไม่ได้ปิดผนึกลงบันไดมา เมื่อวางลงข้างประตูทางออก ชายรูปร่างท้วมที่เพิ่งสังเกตุเห็นเฉพาะช่วงล่างก็ทำให้ก้าวขาไม่ออก (หรือจะโดนหักหลังจากญาติเพียงไม่กี่คน) เขาคิด
“เป็นไง” แต่เมื่อน้ำเสียงเป็นมิตรทักทาย เสียงอนุชาที่อยู่ด้านในก็ดังขึ้นติดกัน
“คือเฮียชาญอยากคุยด้วยนะ”
“คุณ…..” ปกรณ์เงยใบหน้าซีดขาวสำรวจ เขาแปลกใจอยู่ไม่น้อยเมื่ออนุชาญปล่อยรอยยิ้มฉ่ำๆ ในแบบที่ไม่เคยเห็น ขาทั้ง 2 ข้างก็ราวถูกตรึงติดกับพื้นอีกวาระ
“เข้ามาคุยข้างในเถอะเฮีย” อนุชาพูดนำ ทำให้ปกรณ์ต้องรีบถอยหลังเปิดทางพร้อมกับวาดมือเชิญเข้าสู่ภายในตัวบ้าน บุคคลิคของคนเจียมเนื้อเจียมตัวเหมือนจะฝังเข้าสู่กมลสันดานจนแก้ไม่หาย ปกรณ์ยืนก้มหน้าขณะที่อนุชาญเดินสำรวจไปรอบๆ ห้องรับแขกขนาดเล็ก เขานิ่งหันหลังให้สักพักจึงหันกลับมา กระนั้นปกรณ์ก็ยังก้มหน้านิ่งๆ จนคล้ายลูกน้องรอรับคำสั่งจากเจ้านายไม่ผิดเพี้ยน อนุชาญเองก็ไม่พูดไม่จา จนเสียงอนุชากระตุ้นอีก
“อาเฮียครับ”
“อั๊ว! ทำกับพวกลึ! ได้ขนาดนี้เลยรึ!….” เสียงเย็นๆ ลงโทนต่ำจนคล้ายมีความเสียใจปนออกมา ทำให้ปกรณ์เดาไม่ออกว่าชายคนที่เคยอยู่ในสถานะเจ้านายจะมาไม้ไหน เขาจึงใช้ความระมัดระวังเงยหน้ามอง เมื่อดวงตา 2 คู่ประสานกัน…ระยะไม่ถึง 2 เมตรที่ขั้นกลางก็เย็นวาบราวกับฤดูหนาวสั้นๆ มาเยือน “ดวงตาของลึ! ได้ฟองฟ้ามาเต็มๆ……” อนุชาญพูด
“มานั่งคุยกันดีๆ เถอะเฮีย…” เสียงอนุชานำทั้งคู่ไปจบที่โซฟาเล็กๆ ผนังโล่งสีขาว โคมทั้งห้องมีแค่หลอดฟลูออเรสเซนต์ดวงเดียวทำให้ใบหน้าของอนุชาญไม่เสถียร ปกรณ์กับอนุชาที่นั่งคู่กันปล่อยเวลาให้เขาซึมซับ….
“เมื่อสิ้นอาม่ากับอาเตี่ย เราก็ยังมีเฮียชาติที่เป็นหลักให้กับคนตระกูลเชาว์ แต่เมื่อสิ้นเฮียชาติ แทนที่อั๊ว! จะเป็นหลัก อั๊ว! กลับทำตรงกันข้าม” อนุชาญก้มหน้า มือที่จับเข่ากำลังเกร็ง “วันที่อั๊ว!ได้สำนึกคือวันที่อั๊ว! เสียรู้ให้กับคนๆ หนึ่งมาเกือบ 20 ปี และวันนี้อั๊ว! คิดว่าที่เฮียชาติทุบกงสีบ้านตระกูลเชาว์-แบ่งมรดกออกเป็นส่วนๆ ให้ทุกคนดูแลด้วยตัวเอง…เป็นเพราะว่าความไม่เอาไหนของอั๊ว! หากผู้ใหญ่ภายในบ้านไม่เป็นธรรม สมาชิกก็ระส่ำระสายเป็นเรื่องปกติ”
“คุณ….” ปกรณ์อยากพูด แต่ก็พูดไม่ออก อนุชาเหลือบมองเขาสั้นๆ ก่อนจะเลือกเงียบไปอีกคน อนุชาญหลังจากเงยหน้าวางสายตาลอยๆ ไร้จุดตกพอสมควรก็กลับมาที่ปกรณ์อีก คราวนี้แววตาของเขาช่างให้ความรู้สึกอบอุ่นจนอยากพุ่งเข้าสู่อ้อมแขนเสียให้ได้
“ลึ! น่าจะเป็นลูกชายอั๊ว!” อนุชาญพูด ปกรณ์สะดุ้งก่อนจะจ้องอนุชาญตรงๆ “คนโง่ๆ หูเบา ซ้ำยังอยากเป็นใหญ่…ได้เป็นแค่อาของลึ! ก็มากพอว่าไหม”
“คุณ…”
“ที่ผ่านมา…อั๊ว! ทำร้ายทำลายทั้งตัวลึ! แม่ลึ! อั๊ว! หมายถึงสาวเชียงตุงที่ชื่อฟองฟ้า” อนุชาญสะดุดอารมณ์เข้าอย่างจัง
“เล่าเรื่องของเธอให้ฟังได้ไหมครับ” ปกรณ์ได้โอกาส “อย่างน้อยภาพของผู้หญิงที่เป็นแม่แท้ๆ จะได้ชัดเจนขึ้น”
อนุชามองเขา อนุชาญเองก็คล้ายจะร้องไห้แต่ก็กลืนน้ำลายจนเห็นลูกกระเดือกเลื่อนขึ้นลงหลายครั้งเพื่อสกัดกั้น เขาละสายตามองผ่านหน้าต่างบานเลื่อนสลับออกไปด้านนอกที่สว่างกว่า เมื่ออารมณ์เข้าที่เข้าทาง น้ำเสียงขาดน้ำหนักก็ตามขึ้นมา “เวลานั้นอั๊ว! ยังเรียนไม่จบ มศ. 7 ด้วยซ้ำ…หลังวันสงกรานต์แม่ครัวของบ้านตระกูลเชาว์ที่กลับไปเยี่ยมญาติที่เชียงตุงก็ได้นำหลานสาวมาด้วยคนหนึ่ง เธอชื่อฟองฟ้า นัยน์ตา แววตาของเธอเหมือนกับลึ! ไม่ผิดเพี้ยน อั๊ว! เห็นเธอแว๊บแรก หัวใจอั๊ว! ก็สั่น ขณะที่เธอเองก็สั่นเช่นกันแต่เป็นการสั่นที่เกิดจากความหวาดผวา…ขณะนั้นเฮียชาติไปเรียนต่อประเทศแคนาดาแล้ว พี่ใหญ่ในบ้านจึงเป็นอั๊ว! อั๊ว! หาทางข่มเหงเธอหลายครั้ง จนในที่สุดเธอก็หนีไม่รอด เรื่องนี้มีคนในบ้านรู้เพียงไม่กี่คน อั๊ว! สนุกกับเธอเกือบ 2 ปีจนกระทั้งเฮียชาติกลับมา เธอจึงมีคนคุ้มครอง อั๊ว! ทั้งโกรธทั้งแค้นเฮียชาติในเรื่องนี้จนกลายเป็นฉนวนระหว่างพี่น้อง….กระทั้งฟองฟ้าตั้งท้อง แรกๆ อั๊ว!ยังคิดว่าเด็กเป็นลูกอั๊ว!….แต่ในเมื่อความโกรธบังตา…อั๊ว! เลยอยากให้เธอได้รับบทเรียน อั๊ว! ตัดสินใจแต่งงานกับผู้หญิงที่อากง-อาม่าหามาให้ จนกระทั้งฟองฟ้าให้กำเนิดทารกเพศชาย บ้านตระกูลเชาว์ก็วุ่นวายขึ้นมา…..” อนุชาญหยุดมองไปที่ปกรณ์จริงๆ จังๆ “ประเด็นสำคัญที่อั๊ว! อยากบอกลึ!….นั้นก็คือ ฟองฟ้าเป็นผู้หญิงคนเรกและคนเดียวที่อั๊ว! ลืมไม่ลง ถ้าถามว่าอั๊ว! รักเธอไหม?…..” อนุชาญคล้ายคนกำลังอ่านความรู้สึกจากอดีต “วันนี้…อั๊ว!ก็ยังลืมเธอไม่ลง”
“คุณ…..” ปกรณ์จะพูด แต่ก็ยังพูดไม่ออกอีก เขาหลับตาเชิดหน้านิ่งๆ ก่อนจะตัดสินใจแต่อนุชาญก็แทรกอีก
“อั๊ว! ควรจะเป็นพ่อลึ!…แต่ในเมื่อความจริงเฉลย อั๊ว!เลยอยากจะขอร้องให้ลึ! เรียกอั๊วว่าอา….” อนุชาญจ้องหน้าปกรณ์แบบคนประเมิน “ได้ไหม….” เขานิ่งรอ…ปล่อยให้เวลากับความเงียบทำหน้าที่ “และอั๊ว! ก็อยากขอโทษลึ! กับเรื่องทั้งหมด ส่วนลึ!จะให้อภัยได้หรือไม่….ขึ้นอยู่กับตัวลึ!….อา เสีย ใจและอาขอโทษ”
ปกรณ์ตาลุกวาว “คุณ……อา”
อนุชาที่นิ่งมาโดยตลอดก็คล้ายจะช็อกไปด้วย “เฮีย……”
ปกรณ์พิจารณาและไตร่ตรองความรู้สึกของตัวเอง จนอารมณ์ที่ดิ้นพล่านๆ ลดสู่ระดับเกือบปกติ “คุณ อา….” เขายังเว้นระยะแบบคนเจียมตัว อนุชาญเองก็นิ่งรอ “คุณ…อา…..”
“ให้อภัยฉันได้ไหม”
“คุณ…อาคิดว่า แม่ฟองฟ้ายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่าครับ” ปกรณ์ถามกลับในลมหายใจเดียวกัน อนุชาญค้างคิดก่อนจะผงกหัวให้เห็น ปกรณ์จึงค่อยๆ ยิ้มออกมาได้…. “ขอบคุณครับคุณอา”
หากกระทำผิดและรู้ว่าตัวเองทำไม่ถูกต้อง…ก็แสดงว่าจิตใต้สำนึกยังเหลือความดีงามอยู่ การพูดเพื่อขออภัยและการให้อภัย จึงเป็นการทำทาน-ให้ทานที่ยิ่งใหญ่….
อีกฝ่าย…..
เกือบจะ 5 ทุ่ม เมื่อเด็กๆ ในบ้านตระกูลเชาว์กำลังหลับ เงาสีดำก็หมุนตัวออกจากเรือนคนงานเข้าสู่บ้านหลังใหญ่โดยอาศัยประตูครัวด้านหลัง เขาไต่บันไดขึ้นสู่ชั้น 3 โดยไม่ต้องพึ่งแสงสว่าง เมื่อถึงโถงที่เห็นโคมไฟระย้าในเงาสีดำแขวนระดับสายตา เขาจึงตรงไปยังห้องนอนแขกที่ปิดตายไม่ได้ใช้งานแต่มีการแอบใช้เป็นประจำ เมื่อผลักประตูเข้าสู่ภายในห้องที่เห็นแสงสีเหลืองอ่อนๆ จากโคมกระดาษสา…เสียงผู้หญิงที่รออยู่ก่อนแล้วก็ดังขึ้น
“ทำอะไรอยู่ มาช้าจัง”
“โถ! ซ้อ….กว่าจะหลบตาแก่มาได้….” เขาพูดเสียงสั่นๆ พลางเร่งมือถอดเสื้อผ้าจนเหลือเพียงกางเกงบล็อกเซอร์สีเทา “คิดถึงผัวขนาดนั้นเลยรึจ๊ะที่รัก” เขาพูดระดับแผ่วขณะปีนขึ้นไปเทินทับบนเรือนร่างเกือบเปลือยของเธอ
“อย่างเพิ่งมาปากหวานตอนนี้…ว่าแต่บริษัท SH. ที่สิงคโปร์เป็นอย่างไรบ้าง” ซ้อหงส์ถามขณะปากของสมหวังไม่อยู่สุข “เรามีเวลาทั้งคืนอย่าใจร้อนซิ….”
“ไม่ได้เจอเมียเป็นอาทิตย์ใจแทบขาด”
“ดูพูดเข้า…..ฮิ ฮิ ฮิ อ่า!….บริษัทที่สิงคโปร์เป็นอย่างไรบ้างคะทูนหัว…มีอะไรผิดปกติไหม” ซ้อหงส์ยังไม่หลุดจากประเด็น สมหวังแกะยกทรงพร้อมกับใช้ปลายเท้าถีบจีสตริงลายลูกไม้ให้พ้นทาง บล็อกเซอร์ของตัวเองก็หลุดลงไปกองคู่กัน…. “ดูทำเข้า….คนอะไรไม่รู้….ว่าไงจ๊ะที่รักบริษัทเราเป็นไงบ้าง เงินก้อนโตกำลังถูกถ่ายโอนในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าแล้วนะ…..”
“อ่า!!!….ทุกอย่างราบรื่นพอๆ กับ อ่า!….ที่รัก…พอๆ กับของเราเวลานี้….”
ซ้อหงส์เชิดหน้าเลยหมอน จนหน้าอกขาวดีดเด้งหลุดจากแสงสีเหลือง เธอดิ้นเร่าได้ไม่นานก็พลิกตัวขึ้นสู่ด้านบน เธอกดหน้าอกล่ำบึกของสมหวังให้จมหายไปกับฟูก “อีกไม่กี่เดือนเราก็สมบูรณ์แบบแล้วละที่รัก….โอ้ย!…ทูลหัว”
“เป็นผัวเมียให้สมบูรณ์มากกว่านี้….”
“ใช่!…ไม่ต้องหลบซ่อน ผัวจ๋า….”
“ผมกำลังให้คนหาซื้อบ้านสำหรับเราที่ประเทศออสเตรเลีย….สวรรค์อยู่แค่เอื้อมแล้วที่รัก”
“แล้วเรื่อง…..”
“ในเมื่อคนของนายชาญไม่ได้เรื่อง ไอ้สมหวังก็ต้องลุยเอง ดูผลงานของผัวซิ! เมียจ๋า….เข้าเป้าเต็มๆ ยิงปืนนัดเดียวได้นกถึง 2 ตัว” สมหวังบอก ความหมายคืออาตี้กับอนุชัยที่ขณะนั้นทั้งคู่ยังไม่ได้ข่าวเพิ่มเติม “โดนเต็มๆ ซะขนาดนั้นอย่างไรก็ไม่มีทางรอด”
“ฮิ ฮิ ฮิ เข้าเป้าจนลึกสุดแบบนี้ แบบนี้….ผัวขา ผัวขา เมียชอบสุดๆ….ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
ที่สนามบิน……
เมื่อหมอแครรายทำบุญครบ 100 วันให้อดีตท่านผู้หญิงแขไขแล้วเสร็จ ปกรณ์ จึงแนะนำให้เธอพร้อมครอบครับรีบเดินทางออกนอกประเทศทันที ซึ่งหมอแครรายเองก็เชื่อตามนั้น การเดินทางกลับประเทศไทยช่วงหลังๆ ดร.ชวนนท์ขอร้องกึ่งบังคับให้เธอพร้อมครอบครัวเจมส์มาร์ทคอร์มาพักที่บ้านสายสกุลเพื่อความปลอดภัย ก่อน 10 โมงเช้าปกรณ์จึงอาสาขับรถตู้ไปส่งด้วยตัวเอง แต่ก่อนจะไปสนามบินหมอแครรายเผื่อเวลาแวะไปบ้านเด่นดวงที่เป็นทางผ่านเพื่อทักทายบอกลาหลานสาว เมื่อหมอแครายตรวจสุขภาพ-รวมทั้งเรื่องที่ต้องดูแลจนครบ ทุกคนก็มุ่งหน้าสู่สนามบินสุวรรณภูมิทันที
เคาน์เตอร์สายการบิน XX-718 เปิดไปแล้ว 15 นาที ทันทีที่กระเป๋าสัมภาระถูกลำเลียงสู่สายพาน การร่ำลาแบบจริงๆ จังๆ ก็เกิดขึ้น
“เฮียคะ….” แครรายเพิ่งใช้สรรพนามนี้เรียกเขา ปกรณ์ที่ยืนรวมอยู่กับเบลและ สตีป เจมส์มาร์ทคอร์ จึงหันไปมอง “เมื่อไรเรื่องร้ายๆ ของบ้านตระกูลเชาว์จะจบสิ้นไปสักทีคะ แครอึดอัดทุกครั้งที่ต้องเดินทางกลับมาประเทศไทยนะคะ”
ปกรณ์ผงกหัว “ใกล้จบแล้วละน้องแคร….ผู้ร้ายตัวจริงเริ่มเผยตัวและตำรวจก็เก็บหลักฐานจนดิ้นไม่หลุดในชั้นศาลแล้วด้วย” ปกรณ์บอกในหัวกำลังนึกถึงรอยยิ้มของอนุชาญจนทำให้ตัวเองยิ้มตอบแครรายและสตีปได้มากขึ้น
“หวังว่ามาคราวหน้า เราจะเที่ยวได้สะดวกมากกว่านี้นะครับ” สตีป เจมส์มาร์ทคอร์ พูด “เพราะเมืองไทยมีที่เที่ยวเยอะมาก ผมอยากพารินรี่กับเบลไปเล่นน้ำทะเลก็ยังไม่ได้ไปสักที” เขาพูดต่อพลางตบไหล่เบาๆ ปกรณ์ยิ้มพร้อมกับโบกมือให้รินรี่ที่ยืนข้างแครราย
“กลับมาครั้งหน้า ผมก็หวังว่าประดุจดาวโตพอจะออกทะเลกับพี่สาวของเธอเช่นกัน….” ปกรณ์ตอบพร้อมกับหันไปยิ้มกว้างๆ จนแครรายอดพุ่งเข้าหาไม่ได้
“เฮียคะ….ระวังตัวด้วยนะ”
“ไม่เป็นไร….เดินทางปลอดภัยนะแครรี่….เฮียจะอยู่ที่นี่เพื่อเป็นหลักให้ทุกคนเอง….โชคดีนะครับสตีป เบล รินรี่ กลับมาเยี่ยมน้องบ่อยๆ นะ ลุงจะรอ”
“คะ/ ค่ะ”
เมื่อครอบครัวเจอส์มาร์ทคอร์ขึ้นบันไดเลื่อนผ่านประตูไปแล้ว ปกรณ์ก็หายใจได้โล่ง รอยยิ้มของเขาเฉิดฉายราวกับแสงอาทิตย์แรก เสียงนายตำรวจผู้ดูแลคดีรายงานความคืบหน้าดังขึ้นในหัว เส้นทางการเงินของคนบ้านตระกูลเชาว์ถูกเชื่อมโยงข้ามไปยังประเทศสิงคโปร์ เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้มากนักแต่ใบหน้าคนร้ายตัวจริงที่ตำรวจเปิดเผยบางส่วนก็ทำให้ถึงกับขนลุก
“ฮื้อ!…ไม่น่าเลย….” เขาพึมพำ ในหัวก็เทียวถามเทียวตอบตัวเองหลายรอบ “ลุงคือน้องชายคนละแม่ของอากงจริงๆ หรือ….เพราะหากเป็นเช่นนั้นการทวงทรัพย์สินส่วนหนึ่งจากคนบ้านตระกูลเชาว์ก็มีส่วนชอบธรรมอยู่ไม่น้อย” ปกรณ์คิดถึงตัวเองและยังนึกถึงคำพูดที่อนุชาญบอก
(ถ้าอากงเป็นธรรมมาตั้งแต่ต้น คนบ้านตระกูลเชาว์ก็ไม่ต้องสู้รบกันจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน—–>อ้าว! แล้ว บริษัท SH. จำกัด สมหวังเอาชื่อพ่อตัวเองไปใช้หรือว่า (อนุชาถาม)——>ไม่หรอก ลุงเป็นตัวตั้งตัวตีเรื่องนี้เองทั้งหมดและตำรวจก็ให้อั๊ว! ปล่อยเงินเข้าบริษัทแล้วกว่า 2 ล้านบาท——>มิน่า! ละตำรวจถึงใช้เวลากับคดีนี้นานหลายปี(ปกรณ์พูด)——>ใช่! รวมทั้ง 15 ปีที่อาติดอยู่ในคุกด้วย)
ปกรณ์คิดไม่ตกระหว่างสะพานเชื่อมเข้าสู่ตัวอาคารจอดรถ สมองเต้นตุบ ๆระหว่างลิฟต์กระจกนำขึ้นสู่ชั้นดาดฟ้า และหูทั้ง 2 ข้างอื้ออึงราวกับมีฝูงแมลงนับล้านบินวนรอบตัวขณะเดินเหม่อลอยตรงไปยังรถตู้ที่จอดอยู่ในระยะ 100 เมตร แดดสีขาวตอนเที่ยงกำลังเปิดเผยทุก ๆสิ่ง แต่ก็ยังมีอีกหลายอย่างที่แดดไม่มีทางเข้าถึง…
# ปับ! ปับ! ปับ! ปับ! ปับ! #
เสียงปืนเก็บเสียงดังขึ้นติดๆ กันหลายนัดแต่บุรุษร่างท้วมไม่รู้ที่มาก็กระโจนเข้ารับมันไว้หมด ปกรณ์ตกใจสุดขีด เขาโอบอุ้มร่างบุรุษผู้นั้นเอาไว้ในอ้อมแขน เลือดสีแดงฉานกำลังไหลทะลักจนเสื้อสีขาวที่เขาสวมใส่เปียกชุ่มรู้สึกร้อนผ่าวๆ
“คุ คุณ อา!!!!!!!” เขาตะโกนลั่นเมื่อทราบว่าบุรุษผู้นั้นเป็นใคร รถกระบะสีบลอนต้องสงสัยเลี้ยวตีมุมแคบๆ หายลงไปชั้น 4 ก่อนจะทะยานออกทางยกระดับ รปภ.ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ใกล้ๆ ต่างกรูเข้ามาหา “คุณอา คุณอาครับ….”
อนุชาญดิ้นพล่านๆ เลือดที่ปกรณ์ใช้ฝ่ามือปิดปากแผลไหลซึมผ่านง่ามมือทุกนิ้ว
“คุณอาครับ…..ช่วยด้วย ช่วยผมด้วย”
รปภ.สนามบินใช้โทรศัพท์สื่อสารกันให้วุ่น ปกรณ์ก็ยังประคองกอดเขย่าร่างของอนุชาญไม่หยุดกระทั้ง น้ำเสียงกำลังจะไร้น้ำหนักดังให้ได้ยิน
“ปกรณ์ ปกรณ์” อนุชาญเรียก “นี่ นี่…..” เขาชี้นิ้วไปยังหน้าอกใต้เสื้อแจ็คเก็ตสีดำพร้อมกับจับมือเขาสัมผัส ปกรณ์ล้วงดึงซองเอกสารสีน้ำตาลออกมา “มันคือ….เอ เอกสาร 2 ชิ้น 1.เป็นใบมอบอำนาจร่วมให้ลึ! กับอาชาเป็นผู้จัดการมรดกบ้านตระกูลเชาว์ให้จบ….และ….เอ เอ เอสาร ส่าน ส่านที่ ที่ …….”
“อาชาญ อาชาญครับ……”
อนุชาญพูดไม่ทันจบมัจจุราชก็กระชากวิญญาณเขาผ่านประตูมิติไป……
“อาชาญ อาชาญครับ…ฮื้อๆ อา ครับ อาชาญครับ……” ปกรณ์สั่นเขย่าร่างอนุชาญอย่างเอาเป็นเอาตายกระทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาแยก แดดบ่ายมาพร้อมกับอุณหภูมิ แต่เวลานี้กลับหนาวสั่น เอกสารในซองก็สั่นไม่หยุด กระทั้งเขาถูกเชิญตัวเข้าห้องภายในสนามบิน อีก 2 ชั่วโมงต่อมานายตำรวจที่ดูแลคดีก็เดินทางมาถึง เขาขอดูเอกสารในมือ ปกรณ์จึงยื่นให้อย่างไม่อิดออด สักพักนายตำรวจคนดังกล่าวก็ส่งคืนให้
“มันคือเอกสารมอบอำนาจร่วม 2 คนในการจัดการกับมรดกของบ้านตระกูเชาว์ครับ และ……” เขาขยับเอกสารแผ่นที่ 2 ให้เห็น “สำหรับแผ่นนี้ผมคิดว่าคุณปกรณ์น่าจะรู้ความหมายของมัน” ปกรณ์ใช้สายตาของคนหมดอาลัยตายอยากมอง เมื่อแผนที่เมืองเชียงตุงระบุตำแหน่งพร้อมชื่อ-ที่อยู่ของผู้หญิงชื่อฟองฟ้าปรากฏให้เห็น ดวงตาทั้ง 2 ข้างก็ลุกวาว
“แม่……” เขาอุทานพร้อมกับเริ่มไล่อ่านมันจริง ๆจัง ๆ
#ถ้าอยากไปหาฟองฟ้า ให้ลึ! ติดต่อผู้หญิงชื่อสายพินเบอร์โทร 09x-xxx-xxxx เธอเปิดร้านอาหารอยู่ในตัวอำเภอแม่สาย และเธอคือพี่สาวแท้ๆ ของแม่ลึ!….ตามหาชีวิตตัวเองให้เจอ หากพบกับฟองฟ้า ให้บอกเธอด้วยว่า…อั๊ว! ไม่เคยลืมเธอแม้แต่วันเดียว….และฝากขอโทษแทนอั๊ว!ด้วย#
“คล้ายกับคุณอนุชาญจะรู้ตัวอยู่แล้วคุณว่าไหมครับ…” นายตำรวจพูด
แต่ในหัวของปกรณ์กลับมีหลายเรื่องให้คิด ขณะที่สายตากำลังไล่อ่านเอกสารอีกแผ่น การเป็นผู้จัดการมรดกของบ้านตระกูลเชาว์ร่วมกับอนุชา เป็นเรื่องที่สุ่มเสี่ยงและเขาเองก็ไม่อยากเสี่ยงอีกต่อไปจึงได้โทรปรึกษาเรื่องดังกล่าวกับทนายอำพล เมื่อได้ข้อสรุป เขาจึงส่งเอกสารใบมอบอำนาจร่วมให้ตำรวจ “คุณจะเก็บไว้เป็นหลักฐานหรือเปล่าครับ”
“หมายความว่าอย่างไรครับ” นายตำรวจถามกลับแบบคนคิดไม่ทัน เมื่อปกรณ์ยืนยันด้วยสายตาเขาจึงนำเอกสารไปถ่ายสำเนาเก็บไว้ก่อนจะส่งตัวจริงคืนให้ “ผมเข้าใจคุณ”
ปกรณ์รับมาฉีกทำลายทิ้งต่อหน้า “ขอบคุณมากครับท่าน”
“ต่อจากนี้อำนาจของผู้จัดการกับมรดกบ้านตระกูลเชาว์จะเหลือแค่คุณอนุชา เชาว์เพียงผู้เดียวนะครับ”
“ทราบครับและผมก็ไม่สนมรดกนั้นอีกแล้วละ” พูดจบปกรณ์ก็ชูกระดาษอีกแผ่นสูงๆ “เพราะชีวิตทั้งหมดของผมอยู่ในกระดาษแผ่นนี้ต่างหาก”
เย็นๆ อนุชาก็มาสมทบ ปกรณ์ถูกปล่อยตัวในเวลาใกล้เคียง ตำรวจขอเก็บศพและเรื่องที่อนุชาญเสียชีวิตไว้เป็นความลับเพื่อการบางอย่าง ทั้งอนุชาและปกรณ์จึงไม่ว่าอะไร แผนซ้อนแผนเพื่อเข้าจับกุมเป้าหมายใหญ่จึงเริ่มต้นขึ้น….แสงสุดท้ายกำลังลับขอบฟ้า ทิศตะวันออกมืดไปแล้ว 30 เปอร์เซ็นต์ อีก 70 เปอร์เซ็นต์ ยังเป็นสีเลือดอาบฟ้าทางทิศตรงข้ามราวจะบอกให้หลายคนที่เกี่ยวข้องได้รู้ชะตากรรม….
“ถ้าลุงคือน้องชายต่างมารดาของอากง การได้รับสถานะเป็นแค่ยามภายในบ้านของตัวเองมาทั้งชีวิต มันเจ็บปวด….ผมเข้าใจและจะไม่ผูกใจเจ็บหรืออาฆาตแค้นใครเด็ดขาด….จบสิ้นกันซะที…” ปกรณ์พึมพำก่อนจะขับรถตู้สีบลอนเงินออกจากอาคารจอดรถกลับสู่บ้านหลังใหม่ที่อบอุ่นกว่า….เขายิ้มได้ทั้งๆ ที่ฟ้ากำลังอาบไปด้วยสีเลือด ดวงตาเขาสดใสวิบๆ วับๆ ขณะใบหน้าสาวน้อยประดุจดาวผุดขึ้นมาในหัว การเป็นหัวหน้าครอบครัวไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาในเวลานั้น….
จบ อนุชาย2 บทที่32 รายต่อไป
ตื่นเพื่อเป็นเมียน้อย
อนุชาย2 บทที่31 ตื่นเพื่อเป็นเมียน้อย
อ่านเพิ่มเติม ตื่นเพื่อเป็นเมียน้อย
ตัวเลือก
อนุชาย2 บทที่30 ตัวเลือก
อ่านเพิ่มเติม ตัวเลือก
อนุชาย2 บทที่29
อนุชาย2 บทที่29 อโหสิกรรม
พัทยากลาง….
เมื่อรถเบ้นซ์สีดำเลี้ยวลงไปจอดชั้นใต้ดินของโรงแรมห้าดาวแห่งหนึ่งในพัทยากลาง กระโปรงและเสื้อลูกไม้ที่หลุดลุ้ยของหญิงวัยเกือบจะ 50 แต่ยังคงใบหน้าสดสวยเปล่งปลั่งจากงานศัลกรรมก็ถูกสวมให้เข้าที่ เธออาศัยกระจกหลังสำรวจใบหน้าตัวเองก่อนจะควักลิปสติกกับตลับแป้งขึ้นมาเติม ปั๊บ! ปั๊บ! ปั๊บ!…เมื่อจัดทรงผมเข้าที่เข้าทางเสียงชายหนุ่มรุ่นน้องก็ดังขึ้น
“พี่หงส์….เราจะหลบๆ ซ่อนๆ แบบนี้อีกนานแค่ไหน….ลูกเรา 2 คนก็กำลังโตเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วนะพี่”
“ใจเย็นๆ ซิที่รัก….อีกไม่นานหรอกเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเรา 4 คนก็จะสบายแล้วละ” เธอโน้มหอมแก้มพลางฉายแววตาปรารถนาให้เห็น “ทรมานพี่มาตลอดทาง ไม่สงสารบ้างเลยหรือค่ะทูลหัว”
“อาซันนับวันใบหน้าจะคล้ายผมเข้าไปทุกที เราต้องเร่งมือแล้วละ” สมหวังพูดขณะกำลังเปิดประตูรถ เขาก้าวลงไปยืนรอก่อนซ้อหงส์จะเดินอ้อมมาสอดมือคล้องแขนพลางดันหน้าอกที่เพิ่งไปยกกระชับดุลหัวไหล่อย่างจงใจ
“ใจเย็นๆ นะค่ะพ่อรูปหล่อ”
“อยากให้จบๆ วันนี้พรุ่งนี้เลยด้วยซ้ำ….ยิ่งเห็นพี่หงส์อี๋อ๋อกับมันหัวใจผมแทบมอดไหม้เป็นผุยผง” สมหวังพึมพำ
ซ้อหงส์ยิ้มแบบคนได้ใจสุดๆ “ดูพูดเข้า ฮา ฮ่า ฮ้า….เล่นน้ำพี่เดินเลยรู้ไหม” พูดจบเธอก็โน้มจูบติ่งหูกระตุ้นก่อนจะถึงประตูไม่กี่เมตร
“2 ชั่วโมงขอจัดหนักๆ ให้สมกับอยากมาหลายวันนะครับพี่”
“รีบเช็คอินก็แล้วกันหลบๆ ซ่อนๆ แบบนี้ตื่นเต้นจะตายว่าไหม ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
และแสงดาวไล้ท์ของห้องสูทบนชั้น 22 ยามใกล้เที่ยงก็อาบ 2 ร่างขาวเนียนบนเตียงขนาดคิงส์ไซด์ พวกเขากำลังถาโถมกระหน่ำทุกสัดส่วนของร่างเปลือยเปล่า-โลมเล้ากันไปมาอย่างเอาเป็นเอาตาย เม็ดเหงื่อทุกเม็ดผุด-ปลิ้น-ล้นออกมาจากรูขุมขนอย่างไม่บันยะบันยัง
“โอ้ย!…..”
“เร็วเข้าที่รักเร็วเข้า เร็วขึ้นอีก”
ซ้อหงส์พลิกตัวเองขึ้นด้านบนตา 2 ข้างหลับพริ้มครวญครางเชิดสูง หน้าอกส่วนเสริมกระชับก็ชูชันจนชายหนุ่มได้แต่นอนดิ้นเร่าๆ อยู่ด้านล่างหลงวันเวลา จนหมดสิ้น
“เรียกฉันว่าเมียเร็วเข้า สามีจ๋า โอ้ยยยยยย”
“ผมเป็นผัวให้พี่หงส์มาเกือบ 20 ปี ไม่น่าเชื่อว่าไอ้หมูโง่จะไม่รู้เรื่อง….มันสะใจสุดพี่ว่าไหม….”
“อย่าพูดถึงเค้า…..อย่าพูดถึงเค้าในเวลานี้…..โอ้ยยยยยยย เมียจะขาดใจตายอยู่แล้ว…ผัวขา”
ที่วัดแห่งหนึ่งใน อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
ยังไม่ 7 โมงเช้ารถตู้ 2 คันก็แล่นมาจอดคู่กันใต้ต้นโพธิ์ที่กำลังผลัดใบ ยอดอ่อนสีชมพูบอกความงามอันวิจิตรบรรจงให้หลายคนทึ้ง ความยิ่งใหญ่แผ่รัศมีไม่น้อยกว่า 7 เมตร ใบเก่าสีน้ำตาลหลุดร่วงปลิวว่อนอยู่เหนือหัวไม่นานวิถีแห่งโลกก็ดึงมันลงมากองรวมกันจนพื้นรอบโคนต้นขนาด 10 คนโอบ-ไม่เห็นใบหญ้าและสีดินเลยสักฝ่ามือเดียว
สตีป เจมส์มาร์คอร์ เลื่อนประตูรถตู้ที่ตามหลังก้าวออกมาให้เห็นก่อน ตามด้วยสาวน้อยรินรี่และเบล สักพักหมอแครรายก็ออกมารับแขนอดีตท่านผู้หญิงแขไขที่มาด้วยชุดสีขาวสะอาดจนแทบมองไม่เห็นตำหนิ หลังจากเธอตั้งหลักได้ กิริยาแช่มช้อยก็ค่อยๆ ยกมือพนมไหว้ไปทางอุโบสถหลังใหญ่ที่โดดเด่นในระยะ 50 เมตร ปกรณ์ เชาว์ เมื่อดับเครื่องยนต์ก็ก้าวตามลงมาสมทบ เขาเข้าไปประคองแขนหญิงชราก่อนจะพาเดินเข้าไปสมทบกับคนบ้านสายสกุลที่ยืนรวมกลุ่มรออยู่อีกฟากหนึ่ง
“สวัสดีคะคุณพี่” แขไขยกมือไหว้ดร.ชวนนท์ต่อด้วยคุณหญิงพวงพรที่มาด้วยชุดสีขาวคล้ายกัน ปกรณ์ยกมือไหว้คนทั้ง 2 เมื่อทั้งหมดทักทายกันจนครบ เสียงดร.ชานนท์ที่ยืนคู่กับอาตี้และอนุชัยก็ดังขึ้น
“เจ้ดวงไม่มาด้วยหรือครับพี่ปกรณ์”
ปกรณ์ยิ้มอบอุ่น แววตาบอกอิ่มๆ จ้องคนทั้ง 3 “เดือนหน้าก็จะถึงกำหนดคลอดเลยไม่อยากให้มานะครับ” เขาบอก
“รู้หรือยังได้ลูกสาวหรือลูกชาย” ดร.ชวนนท์ผู้เป็นพ่อถามบ้าง ปกรณ์หันไปยิ้มให้อีก
“ยังไม่ทราบหรอกครับท่าน เรากะว่าจะรอลุ้นตอนคลอดทีเดียวนะครับ หึ หึ หึ” ปกรณ์บอกพลางหัวเราะเสียงในลำคอ
“จากประสบการณ์ถ้าจะให้แครเดานะ เราน่าจะได้หลานสาวแน่ๆ เลยคะ ฮา ฮ่า ฮ้า”
“ก็ดีซิคะพี่หมอ หญิงจะได้จับแต่งตัว-แต่งหน้า-แต่งผมให้สนุกไปเลย ฮ่า ฮ่า ฮ่า” หญิงรัดดาพูดทีเล่นทีจริงก่อนที่แครรายจะเดินไปฉุดข้อมือเธอแยกไปกระซิบกระซาบและในระยะ 5 เมตร 2 สาวก็หัวเราะร่าสลับมีหลายเรื่องราวต่อเนื่องไม่หยุด…กระทั้งแดดสีวะนิลายกระดับสู่สีครีม ดร.ชวนนท์จึงนำคนทั้งหมดเข้าไปนั่งรวมกันอยู่ในศาลา
“คุณพี่คะ” เสียงแขไขดังในระดับต่ำ “หากที่ผ่านมาดิฉันได้กระทำล่วงเกินหรือกระทำเรื่องมิสมควร คุณพี่ทั้ง 2 ได้โปรดอโหสิกรรมให้ดิฉันด้วยนะคะ”
คุณหญิงพวงพรรับไหว้สั้นๆ พร้อมกับช้อนร่างของเธอขึ้นมานั่งที่เดิม “ไม่เป็นไร ขึ้นมานั่งบนเก้าอี้เถอะ วันนี้เป็นวันดีนะคะ” เมื่อแขไขเข้าที่เข้าทาง เสียงคุณหญิงพวงพรก็ดังขึ้นมาอีก “หากดิฉันและครอบครัวได้กระทำอะไรให้ขุ่นข้องหมองใจก็ได้โปรดอโหสิกรรมให้พวกเราด้วยเช่นกันนะคะ”
แขไขยิ้มจนคล้ายจะมีน้ำตา “คะ….แค่นี้ดิฉันก็สบายใจหมดห่วงแล้วละคะคุณพี่”
“ถ้าเป็นหนทางที่แขสบายใจและมีความสุข เราทุกคนก็มีความสุขไปด้วย ไม่ต้องเป็นกังวลหรอก” ดร.ชวนนท์ที่นั่งอยู่ข้างๆ เสริม…
แดดด้านนอกทอประกายผ่านแมกไม้ สีเขียวหลายเฉดสลับพุ่มเงากำลังทำให้หลายๆ คนหลงใหล ปกรณ์ อนุชัย ดร.ชานนท์ แคราย สตีป รินรี่ เบล อาตี้และหญิงรัดดาก็ยังวนเวียนชื่มชมรอบๆ บริเวณ ดูเหมือนทุกคนกำลังกอบโกบความสุขอันเหลือเฟืออย่างไม่รู้จักอิ่ม เสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ ยอกเย้าดังไม่ขาดระยะ กระทั้งพระเณรและแม่ชีเสร็จจากภารกิจภาคเช้า เกือบ 9 โมง อดีตท่านผู้หญิงแขไขก็ถูกเชิญไปอาบน้ำโกนหัว เพื่อเตรียมตัวเข้าทำพิธีบวช ปกรณ์ต้องวิ่งหน้าวิ่งหลังคอยอำนวยความสะดวก แครรายเองก็วนเวียนอยู่ไม่ห่าง กระทั้งพิธีโกนหัวเสร็จสมบูรณ์ เครื่องนุ่งห่มสีขาวของว่าที่แม่ชีแขไขก็เสร็จสมบูรณ์ เธอออกมายืนโดดเด่นให้ทุกคนเห็น แดดสีครีมอุ่นๆ เสริมส่งจนหลายคนอดพนมมือไหว้เธอไม่ได้
และขณะที่หมอแครรายกำลังจะส่งเธอเข้าสู่อุโบสถ เสียงปืนไม่รู้ที่มาก็ดังขึ้น 4 นัดติดๆ กัน
#ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!#
ทุกคนล้มหมอบไปกับพื้นตามสัญชาตญาณมีเพียงอาตี้คนเดียวที่ยังยืนนิ่งราวกำลังช็อกสุดขีด เขายิ้มในเบื้องต้นก่อนจะค่อยๆ แสดงความเจ็บปวดให้เห็น เลือดสีแดงฉานกำลังซึมผ่านเสื้อผ้าสีขาวโดยที่เจ้าตัวไม่ทันรู้ด้วยซ้ำ….แต่นาทีต่อมา “พ่อ…..” เขาเรียกเมื่อเห็นสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับตัวเอง
“อาตี้!….” เสียงดร.ชานนท์กับอนุชัยดังขึ้นพร้อมกัน พวกเขาพุ่งเข้าไปรับร่างที่กำลังทรุด “อาตี้!….”
“อ๊ากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ…….” และเสียงกรีดร้องโหยหวนของว่าที่แม่ชีแขไขก็ดังลั่น เธอทรุดฮวบกองลงกับพื้นก่อนจะเป็นหมอแครรายวิ่งเข้าไปช้อนร่างของเธอมากอดแน่น “แม่….แม่…..” ปกรณ์มอง 2 ฝั่งสลับกันไปมาก่อนจะวิ่งไปยังรถตู้ เมื่อเสียงเครื่องยนต์คันหนึ่งดังขึ้น เสียงอีกคันก็ดังตามขึ้นมาติดๆ
“แม่ แม่ แม่…..”
“อาตี้ อาตี้ อาตี้” เสียงเรียกสติอีกฝั่งก็ยังไม่หยุด ดร.ชานนท์อุ้มร่างลูกชายวิ่งตรงไปยังรถ
“คุณอยู่กับเด็กๆ ที่นี่ก่อนนะคะ” คุณหญิงพวงพรหันมาสั่งสามี เธอออกแรงวิ่งตามร่างของหลานชายไปพร้อมๆ กับอนุชัย กระทั้งรถตู้บ้านสายสกุลแล่นออกนอกเขตวัด รถตู้อีกคันก็แล่นเข้ามาจอดเทียบ….แต่ว่า….
“แม่ แม่ แม่” แครรายกระตุ้น ปกรณ์กระโจนลงมากะจะช้อนร่างอ่อนปวกเปียกแต่ทันทีที่แขนสอดผ่านยกเธอขึ้นจากพื้นเสียงแครรายก็ดังขึ้นมาอีก
“แม่ แม่ แม่”
ปกรณ์ทรุดฮวบ ร่างทั้งร่างสั่นเกร็งจนความเจ็บปวดแสดงตัวตนออกมา
“แม่ แม่คะ….”
ทันทีที่แดดเปลี่ยนเฉดเวลาเข้าสู่สีขาว เสียงโหยหวนจากชายผู้อาภัพก็ดังลั่นลานวัด
“แม่………….”
อดีตท่านผู้หญิงแขไขหรือว่าที่แม่ชีแขไขสิ้นลมแล้ว ปกรณ์กับแครรายสั่นเกร็งทำอะไรไม่ถูก เมื่อถึงบทสรุปเขาจึงค่อยๆ วางร่างไร้วิญญาณลงกับพื้นก่อนจะวิ่งไปกระชากชายผู้ต้องสงสัยมาจากแขนบอดี้การ์ดพร้อมกับกดร่างเขาลงกับพื้นดิน
“คุณอา…..เป็นฝีมือของคุณอาใช่ไหม ใช่ไหม”
ชายผู้ต้องสงสัยคนนั้นคือ อนุชา เชาว์ ไม่ใช่ใคร เขานิ่ง นิ่งจนเห็นน้ำตาล้นทะลักออกทางหางตาทีละข้าง “อาแค่อยากมาขออโหสิกรรมกับพี่หญิงเท่านั้นจริงๆ ฮื่อๆ” อนุชาฟูมฟายร้องไห้ไม่หยุดกระทั้งมือที่กดเกร็งค่อยๆ หมดแรง
“ทำไมต้องรุนแรงขนาดนี้ ทำไม ทำไม ทำไม”
………แดดสีครีม กำลังอุ่น ละมุนหอม………
………ผีเสื้อดอม ดมตามกลิ่น เสน่หา………
………ผ้าสีขาว ราวกับฟ้า มาเมตตา……….
………ชื่นอุรา สุขเอมอิ่ม พริ้มพราวพรรณ……..
……..เกือบ 10โมง เหมือนฝัน วันฟ้าฉาย……..
………ใจสลาย เมื่อกรรมหนัก ทักทายฉัน………
……….สิ้นเสียงปืน ฝืนเห็นร่าง ร่วงเร็วพลัน………
………..ใจฉันสั่น สลายลับ ดับมืดมน……….
……….อโหสิกรรม จะนำส่ง สู่แดนไหน………
……….สรวงนรก หรือแห่งใด ไม่เคยหวั่น……….
……….ขอผลบุญ ที่เหลือค้าง ล้างเร็วพลัน………
……….เสริมสร้างฝัน วันฟ้าใหม่ ให้ทุกคน………
“แม่……..”
งานศพของอดีตท่านผู้หญิงแขไขถูกจัดขึ้นง่ายๆ ที่วัดแห่งนั้นและอีก 3 วันต่อมา ปกรณ์ เชาว์ ก็บวชเดินนำร่างอดีตท่านผู้หญิงแขไขสู่เชิงตะกอน แสงสุดท้ายกำลังจะลับขอบฟ้า เขายืนแบบคนปลงตกจ้องเข้าไปในกองไฟที่กำลังลุกโชติช่วง นัยน์ตาอ่านไม่ออกกำลังเต้นเร่าๆ ราวกับมีหลายเรื่องราวให้ขบคิด…กระทั้งเสียงของหลวงพ่อดังขึ้นทางด้านหลัง
“โยมเค้าไปดีแล้วละ อย่าได้เป็นกังวลเลย…..ไปกันเถอะถึงเวลาที่ต้องกลับคืนสู่โลกเดิมแล้ว”
พระปกรณ์นิ่ง….ชายผ้ากาสาวพัสตร์ที่ห่อหุ้มร่างกายโปกสะบัด สายลมในยามนั้นก็กระตุ้น “ครับหลวงพ่อ”
“ยังมีอีกหลายเรื่องหลายราวรอให้ได้พบได้เห็น…จงผ่านมันไปให้ได้เถอะนะ”
และก่อนหน้านั้น…..
“คุณอาครับ ทำไมต้องรุ่นแรงขนาดนี้” ปกรณ์ยังกดร่างอนุชาติดกับพื้นดิน จนบอดี้การ์ดของบ้านสายสกุลเข้ามาแยกก่อนจะนำตัวอนุชาไปโรงพัก ปกรณ์ก็ตามไปคุยด้วย เมื่ออารมณ์กลับสู่ปกติ การพูดคุยอย่างมีเหตุมีผลจึงเริ่มต้นอีกครั้ง
“งานนี้ไม่ใช่ฝีมือของเฮียชาญ” อนุชาพูดจากหลังลูกกรง แววตาฉายความั่นใจชัดเจนจนปกรณ์ถึงกับซี๊ด!ปาก….
“ถ้าไม่ใช่คนของอาชาญแล้วจะเป็นใครไปได้ละครับคุณอา” ปกรณ์ถาม
“อีกแค่ปีเดียวกงสีของบ้านตระกูลเชาว์ก็จะถูกกฎหมายเข้ามาจัดการ มีอีกกลุ่มที่ต้องการเร่งจบเกมให้เร็ว เฮียชาญคิดไม่ทันคนกลุ่มนี้แน่ๆ”
“ใครกันละครับคุณอา…”
อนุชาฉายยิ้ม…… “ดูหน้าอาซันกับยายวิวเองซิ…..”
ปกรณ์ยิ่งงงเข้าไปใหญ่ “อาซันกับคุณหนูวิวเข้ามาเกี่ยวอะไรด้วย ผมว่าคุณอาอย่าเอาหลานเข้ามายุ่งจะดีกว่า” ปกรณ์สะบัดหางเสียงราวต้องการจะตัดประเด็น
“อาขอถามหน่อย….ที่นายไม่ใช่ลูกชายเฮียชาญเพราะอะไรรู้ไหม”
ปกรณ์นิ่งคิด…เขาสำรวจอนุชาอยู่หลายรอบแต่ก็เห็นเพียงปริศนาที่เดาไม่ออก…
“ฟองฟ้าแม่ของนายตกเป็นเมียของเฮียชาญร่วมปีแต่ไม่เคยตั้งท้อง แต่พอเฮียชาติกลับจากแคนาดาไม่ถึง 3 เดือนเธอก็ท้องขึ้นมาทันที…”
“คุณอาอย่าบอกนะว่า….” ปกรณ์คล้ายจะนึกออกแต่ก็ไม่กล้าสรุป
อนุชาผงกหัว “เฮียชาญเป็นหมัน”
“หา!……จริงหรือครับ แล้ว แล้ว…..”
“อาซันกับยายวิวไม่ใช่ลูกเฮียชาญอย่างแน่นอน” อนุชาสรุป…ปกรณ์ทิ้งตัวไปกับพนักเก้าอี้ เขามองฝ้าเพดานที่ว่างเปล่าอย่างคนหมดแรง…สักพัก
“แล้วอาชาญจะรู้เรื่องนี้….ผมหมายถึงเรื่องที่ตัวเองเป็นหมันหรือเปล่าครับ” ปกรณ์ถามกลับเร็วๆ
“คาดว่าน่าจะรู้ไม่นานมานี้แหละ…เพราะว่าเฮียชาญแอบไปซื้อบ้านหลังหนึ่งให้เมียน้อยแถวลำลูกกา….ซึ่งอาเองก็เพิ่งรู้มาเช่นกันว่าพวกเขาแอบคบกันได้แค่ 2 ปีมานี้เองและผู้หญิงคนนั้นก็อยากมีลูกกับเฮียชาญจนต้องพาเขาไปพบแพทย์ถึง 3 ครั้งมาแล้วด้วย”
“คุณอารู้เรื่องทั้งหมดนี้ได้อย่างไรครับ” ปกรณ์ถามอีก
“เวลานี้อาอยู่ในการดูแลของตำรวจ……”
“จริงหรือครับ”
อนุชาพยักหน้า “ไม่ต้องเป็นห่วงอาหรอก อีกสักพักอาก็ได้ออกจากตรงนี้แล้วละรับรองได้” และที่ด้านหลัง
“อนุชา เชาว์ มีคนมาประกันตัวแล้วครับออกมาได้” เสียงนายตำรวจประจำสถานีตำรวจภูธรอำเภอปากช่องดังขึ้น
“นั้นไงเชื่ออาหรือยัง”
“ครับ…..”
“ฝากดูแลงานศพพี่หญิง อาตี้รวมทั้งแครรี่อีกคน เธอน่าสงสารพอๆ กับนายนั้นแหละ”
“แล้วเวลานี้คุณอาอยู่ไหนครับ”
อนุชามองหน้าปกรณ์ “ไม่ต้องเป็นห่วงอาหรอก ดูแลตัวเองให้ดีก็แล้วกัน”
“ครับ…คุณอาเองก็ต้องดูแลตัวด้วยละกัน”
อีกฝ่าย….
ร่างของอาตี้ถูกนำส่งโรงพยาบาลอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เมื่อปฐมพยาบาลเบื้องต้นเรียบร้อย เขาก็ถูกส่งขึ้นเฮลิคอปเตอร์สู่โรงพยาบาลของแพทย์หญิงคุณหญิงพวงพร สายสกุล บน ถนนพระราม 9 คุณหญิงพวงพร อนุชัย รวมทั้ง ดร.ชานนท์ขึ้นไปกับเฮลิคอปเตอร์ลำนั้นด้วย ส่วนดร.ชวนนท์นำคนที่เหลือตามไปกับรถตู้
ไม่ถึงชั่วโมงเฮลิคอปเตอร์ก็ถึงที่หมาย ทันทีที่ร่างของอาตี้ถูกเข็นเข้าสู่ห้องฉุกเฉิน อนุชัยก็จับใบหน้าของดร.ชานนท์ให้หันมองตัวเอง
“ชานนท์นายฟังฉันให้ดี ๆ” อนุชัยเว้นรอจังหวะกระทั้งเห็นดร.ชานนท์พยักหน้า “ฉันกับอาตี้มีเลือดกรุ๊ป AB RH- เหมือนกัน หากมีอะไรเกิดขึ้นนายอย่าได้ลังเล”
“นุ…..”
“อย่าลังเลเด็ดขาด” อนุชัยย้ำ เขาจ้องตาดร.ชานนท์นาน “อย่าลังเล…ชานนท์”
“แต่…..”
“ไม่มีแต่….นี่คือคำสั่ง”
สักครู่พยาบาลก็วิ่งเข้ามาหา “คุณอนุชัยพร้อมแล้วใช่ไหมคะ”
“ครับ…ผมพร้อมแล้วครับ” อนุชัยตอบทันที เขาโน้มจูบดร.ชานนท์แน่นๆ ก่อนจะผละออก
“อย่าลังเล ชานนท์” พูดจบอนุชัยก็เร่งฝีเท้าตามพยาบาลหายเข้าไปข้างใน เพียงลำพัง ด้านนอกก็ทำให้ดร.ชานนท์ปล่อยโฮออกมาเงียบๆ……
“ทำไมต้องให้ฉันเลือก….ทำไม ทำไม อนุชาย อนุชาย อนุชายยยยยยยยย”
………กาเหว่าร้อง กา กา กา ท้าแดดฝน………..
……….แรงลมบน โถมกระโชก กระชากหาย……….
……….กา กา กา ก็ยังก้อง กังวานวาย……….
……….ใจสลาย เมื่อการ้อง พร้องเสียงลม………
“พวกนายคือชีวิตของฉัน….ทำไมต้องบังคับให้ฉันเลือก อนุชัย อนุชายยย……”
บ่ายๆ รถตู้จากบ้านสายสกุลก็ตามมาถึง พวกเขารวมตัวกันหน้าห้องฉุกเฉิน จนกระทั้งความมืดผ่านเข้ามาปกคลุม ความรู้สึกด้านชาทำให้ดร.ชานนท์ไม่รู้จักมัน เวลาแต่ละนาทีผ่านไปช้าเหลือเกิน หญิงรัดดาที่นั่งโอบอยู่ข้างๆ ก็สะอึกสะอื้นเป็นพักๆ….แสงดาวมองไม่เห็นจากด้านในแต่ในใจก็ยังอดถามพวกมันไม่ได้ว่า…ทำไมถึงใจร้ายได้ถึงเพียงนี้….
(หากเวรกรรมมีจริงก็จงนำบุญที่ข้ามีไปให้หมดแล้วปล่อยพวกเขามา..มันมากเกินไป…หรือกะจะทุบให้หัวใจข้าแตกเป็นเสี่ยงๆ ถึงจะพอใจอย่างนั้นหรือ….) คำภาวนาที่เลื่อนลอยของดร.ชานนท์ถูกปล่อยเข้าไปในอากาศ เขามองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากประตูทางเข้าห้องฉุกเฉินที่มีคนรัก 2 คนนอนหายใจรวยรินรอให้เขาเข้าไปปลุกเรียก
(ตื่นเถอะอาตี้ ตื่นเถอะนุ ตื่นมาเพื่อฉัน ตื่นมาเพื่อเราที่รัก)
จบ อนุชาย2 บทที่29 อโหสิกรรม
อนุชาย2 บทที่28
อนุชาย2 บทที่28 แผนฆ่า
อยู่ๆ อนุชาก็ได้รับจดหมายลึกลับฉบับหนึ่ง…เขาแกะอ่านทั้งๆ ที่มือทั้ง 2 ข้างสั่นระริก ในหัวส่งสัญญาณร้ายเตือนอย่างอัตโนมัติว่าที่อยู่ปัจจุบันถูกเปิดเผย เขาจะต้องย้ายภายในคืนนี้หรือไม่ก็พรุ่งนี้เช้าเป็นอย่างช้า แต่เมื่อข้อความในจดหมายบอกแหล่งที่มาเป็นรหัสสั้นๆ ทั้งภาษาไทยและอังกฤษสลับกันเขาก็พอเดาออกทันทีว่าหมายถึงอะไร
“คิดจะล่อเสือออกจากถ้ำ…..มันจะง่ายเกินไปแล้วมั่ง” เขาพึมพำคนเดียวกระทั้งเลยเที่ยงคืนไม่กี่นาที ทนายอำพล ทนายความประจำบ้านตระกลูเชาว์ก็โทรผ่านไลน์เข้ามือถือที่เขาเป็นคนจัดให้
“ครับ”
(คุณอนุชามือถือเครื่องนี้ถูกเปิดเผยที่อยู่กรุณาทำลายทิ้งตอนนี้เลย ไม่เกิน 3 วันผมจะจัดส่งเครื่องใหม่ไปให้และขอย้ำอีกครั้งว่า…อย่าใช้มันโทรหาใครยกเว้นผมเพียงคนเดียว)
“มิน่าละ….ถึงได้มีจดหมายเสนอเงินก้อนใหญ่มาถึงอั๊ว!”
(โอ้!….ไม่ได้การแล้วละ…เก็บเสื้อผ้าออกจากบ้านหลังนั้นภายใน 1 ชั่วโมง เดี๋ยว เดี๋ยวจะส่งรถแท็กซี่หมายเลขทะเบียน กส-XXXX ไปรับ สถานที่จะ Confirm กลับไม่เกิน 15 นาที)
“อั๊ว!…..”
(อย่าบอกนะว่าคุณไปให้การกับตำรวจมา) เสียงทนายอำพลพูดจากคาดเดาพลางพ้นเสียงลมหายใจแสดงสถานะรอให้ได้ยิน
“อั๊ว! เบื่อ….”
(มิน่าละเรื่องมันถึงได้วุ่นไปกันใหญ่….ตำรวจบางคนก็ไว้ใจไม่ได้ เก็บเสื้อผ้าออกจากห้องตอนนี้เลย ไม่อย่างนั้นคุณจะเหลือแค่ชื่อแน่ๆ)
“แต่….”
(ไม่มีแต่…ออกไปหลบที่ไหนสักแห่ง ผมจะส่งแท็กซีไปรับ รอเพียงข้อความนัดอย่างเดียว เชื่อผม)
“แต่อั๊ว! ไม่อยากหนีอีกแล้ว คุณช่วยมามากและคุณก็ไม่อาจช่วยอั๊ว! ได้ตลอดไป เอาเป็นว่าเรื่องนี้ขออั๊ว! จัดการเองจะดีกว่า คุณแค่รอติดต่อกลับจะปลอดภัยกว่า ขอบคุณมากๆ” อนุชาพูดราวจะสรุป เขากดสายทิ้ง แต่อีกมือก็ไล่เก็บเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ตัวยัดใส่กระเป๋า เมื่อกำลังจะก้าวขาตรงไปยังประตู เสียงกุกๆ กิกๆ ผิดวิสัยหลังเที่ยงคืนก็ทำให้ต้องชะงัก เขาสังเกตแสงไฟที่เล็ดลอดผ่านรอยแยกเข้ามาในห้อง มันวูบวาบบอกสถานะข้างนอกอย่างผิดธรรมดา เขาจึงเปลี่ยนใจเดินกลับไปยังระเบียงด้านหลัง ในเมื่อห้องเช่าอยู่เพียงชั้น 2 การจะหนีออกทางนี้จึงไม่ใช่เรื่องลำบาก เมื่อเขาปีนลงมาถึงพื้นอย่างปลอดภัยแล้ว เสียงดังปั้ง! เพียงครั้งเดียวก็ทำให้พอเดาเหตุการณ์ข้างบนได้
#มันไหวตัวทัน#
#นี้ไงซองจดหมายคล้ายจะถูกฉีกใหม่ๆ คงยังหนีไปไหนไม่ไกล….ออกตามหาให้เจอ#
#ครับ#
ความมืดช่วยอำพรางเอาไว้ แต่สำหรับพรุ่งนี้เขามีทางเลือก 2 ทางนั้นก็คือโทรหาทนายอำพลขอให้ช่วยเหลือ กับเดินขึ้นสถานีตำรวจเพื่อสะสางปัญหาของครอบครัวให้จบ ตำรวจจะให้ความเชื่อมั่นกับเขาได้มากน้อยเพียงใดละ แต่ถ้ามัวแต่หลบๆ ซ่อนๆ วันหนึ่งความตายก็ต้องเดินทางมาถึง สู้เดินหน้านำความจริงให้กฎหมายจัดการอย่างน้อยความตายที่รออยู่ก็มีค่ามากกว่าความตายอันเงียบงันในโลกที่ไม่อาจคาดเดาได้…
“อย่างไรก็ต้องตาย ขออั๊ว! ตายดังๆ เถอะนะอาเฮีย…..” เขาพึมพำราวรำลึกถึงใบหน้าของพี่ชายขณะทิ้งรอยเท้าไปตามถนนแคบๆ มืดๆ ราตรีของคืนนั้นช่างยาวนาน หนทางข้างหน้าก็มิอาจคาดเดา ข้อนี้เขารู้ดีและเริ่มคิดถึงคุกอันเป็นบ้านมา 15 ปีขึ้นในหัว….
“หากกลับเข้าคุก อั๊ว! ปลอดภัย แต่คนอื่นที่ไม่รู้เรื่องละจะทำอย่างไร” สมองยังคงแล่นเร็วกว่าฝีเท้า ในที่สุด 9 โมงเกือบๆ จะครึ่งอนุชาก็ตัดสินใจขึ้นไปนั่งเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ตำรวจกองปราบปรามฟัง การวางแผนเพื่อซ้อนแผนฆ่าจึงเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นระบบ….
“เอกลักษณ์ส่วนบุคคลต้องทำลายทิ้งให้หมด เดี๋ยวเราจะจัดการให้เอง…ส่วนคุณแค่ทำตามเราก็พอ” เสียงพูดกว้างๆ ของนายตำรวจใหญ่ที่เข้ามาดูแล อนุชาผงกหัวหงึกๆ อย่างคนไม่มีทางเลือก
“ครับ….จัดการได้เลยผมพร้อมแล้ว”
ที่เซฟเฮ้าส์ ภายในไร่ภูตะวัน อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา อีก 3 วันต่อมา….
ตำรวจให้อนุชาติดต่อกลับตามรหัสที่แกะได้เป็นหมายเลขโทรศัพท์ การประสานงานเบื้องต้นเป็นไปด้วยดี อีก 3 วันถัดมาการเข้าสู่เซฟเฮ้าส์ภายในไร่ภูตะวันจึงเริ่มต้นขึ้น อันที่จริงสถานที่แห่งนี้มิใช่อนุชาไม่เคยมา เมื่อก่อนเขายังเคยคิดว่ามันคือบ้านหลังที่ 2 ด้วยซ้ำ กระนั้นเมื่อสถานะเปลี่ยนไป เขาจึงต้องวางตัวต่างจากเมื่อก่อนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตำรวจจัดหารถกระบะไม่มีหมายเลขทะเบียนให้คันหนึ่งพร้อมกับนายตำรวจผู้มีเอกลักษณ์ค่อนไปทางผู้ร้ายร่วมติดตามไปด้วย 1 คน
ถึงแม้ตะวันตกดินไปแล้วหลายชั่วโมงแต่เซฟเฮ้าส์ที่สร้างด้วยไม้ 3 ชั้นหลังนี้ก็ยังคงตั้งตระหง่านตัดกับขอบฟ้า ยอดภูเขาสูงเสริมให้มันดูโดดเด่น สีไม้ทึบๆ เองก็บอกความลึกลับเอาไว้ครบถ้วน อนุชากับต๋อง…ชื่อที่สมมุติขึ้นมาสำหรับนายตำรวจที่มีใบหน้าเป็นเอกลักษณ์ก็ขับรถมาถึง ทันทีที่ทั้ง 2 เดินขึ้นสู่เฉลียงกว้างๆ ประตูไม้สักบานใหญ่ก็เปิดต้อนรับจากด้านใน พวกเขาเดินเข้าไปในตู้โชว์ข้างบันไดตามเสียงผ่านสายแนะนำและภายในก็ปรากฏลิฟต์แคบๆ ให้เห็น มันนำลงสู่ห้องลับ แม่บ้านวัยดึกพร้อมกับคนสวนวัยชราส่งหน้ากากให้ทันทีที่ก้าวขาออกมาจากลิฟต์ตัวนั้น…แล้วห้องเพดานเตี้ยนี้ละเป็นชั้นไหนของเซฟเฮ้าส์หลังนี้กันแน่ นายตำรวจผู้ติดตามมิอาจล่วงรู้มีเพียงอนุชาและอีกไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ความลึกลับในข้อนี้ เมื่อหน้ากากถูกสวมเข้าที่ อนุชาก็ดึงถุงมือพลาสติกจากผนังส่งให้ รวมทั้งตัวเขาด้วย
“เชิญด้านใน” เสียงแม่บ้านที่หน้าตาไม่รับแขกดังห้วนๆ
อนุชาพยักหน้าใต้หน้ากากขอบคุณก่อนจะก้าวผ่านประตูเลื่อนไม้ทึบๆ เข้าสู่ภายในห้องที่ปรากฏแสงไฟสีขาวสว่างจากทุกทิศทางจนเหลือเงาบนพื้นแค่ฝ่ามือเดียว พวกเขามาถึงเป็นลำดับที่ 4 ยังเหลืออีก 2 คนกำลังลงลิฟต์จากด้านหลังมา ชายฉกรรจ์สูงใหญ่ผิวดำคล้ำและอีก 6 คนในห้องเลือกจะนั่งกระจัดกระจายไปตามเก้าอี้รอบๆ โต๊ะใหญ่อย่างไม่เป็นระเบียบ อีกไม่ถึง 2 นาทีชายรูปร่างท้วมลงพุงผิวขาวแบบคนจีน 2 คนสวมหน้ากากบางๆ สีเนื้อแต่ก็ปกปิดตัวตนได้สมบูรณ์แบบก็ผ่านประตูเข้ามาสมทบ อนุชาพอจะเดาออกว่าเขาคนนั้นเป็นใคร แต่การจะทักทายอย่างเปิดเผยจึงเป็นเรื่องผิดวิสัยของนักฆ่า เขาไม่พูดพร่ำทำเพลงรูปของคน 3 คนก็ถูกฉายพร้อมรายละเอียดขึ้นบนจอ LED. ใหญ่ที่แขวนติดผนังหน้าห้อง
“คนที่ 1 คือ DEATH01AC พิกัดพร้อมรายละเอียดจะส่งให้ภายหลัง คนที่ 2 DEATH04PK และคนสุดท้ายคือ DEATH05AN กลุ่มไหนเก็บคนใดคนหนึ่งได้ก่อนมาเบิกเงินส่วนที่เหลือได้เลย” ชายร่างท้วมพูดจบเขาก็โยนซองเอกสารที่มีเงินก้อนโตให้ทีละกลุ่ม เมื่ออนุชาเห็นรูปที่ปรากฏมีตัวเองแผ่หราอยู่ต่อหน้า เขาทำอะไรไม่ถูกการยืนนิ่งๆ เพื่อให้ทุกอย่างผ่านไปจึงเป็นเรื่องสมควรในเวลานั้นและเมื่อจบภารกิจลับรถกระบะไม่มีหมายเลขทะเบียนก็วิ่งกลับไปตามทางเดิม เมื่อพ้นเขตของไร่ภูตะวันเสียงทุ้มๆ ก็ดังขึ้น
“นี่….หมายความว่าอย่างไร”
นายตำรวจที่ใช้ชื่อต๋องยิ้ม “อันที่จริงเรากับทนายอำพลร่วมกันวางแผนเรื่องทั้งหมดก่อนจะเกิดเหตุร้ายกับคุณปกรณ์ซะอีก การล่อคุณให้แสดงตัวจึงต้องใช้วิธีนี้ละ” เขาบอก อนุชาหน้าซีดอย่างคนคาดไม่ถึง
“ทนายอำพลรู้เรื่องทั้งหมดนี้ด้วยหรือ” อนุชาถามขณะเร่งความเร็วของรถออกสู่ถนนหลวงเพื่อมุ่งหน้ากลับเข้ากรุงเทพฯ เวลาก็ผ่าน 5 ทุ่มมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว กระนั้นแสงไฟตามรายทางก็ยังสว่างเข้าไปในหุบเขาทีละส่วน
“ครับ แต่ไม่ทั้งหมด ในเขามีเรา…ในเราก็มีเขาเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้” ต๋องบอก เขาเงียบ ทั้งคู่เงียบสักพัก “แต่ทีมเราก็มีมากกว่าที่คุณจะนึกได้ เชื่อผมซิ”
อนุชาเป่าลมทิ้ง “อั๊ว! อยากให้เรื่องบ้าๆ พวกนี้จบเร็วๆ” เขาพูดจากความรู้สึกจริงๆ ก่อนจะพารถมุดเข้าไปในอุโมงที่ยาวโค้ง “สุดท้ายหากอั๊ว! ต้องกลับเข้าไปอยู่ในคุก อั๊ว!ก็ไม่กลัวอะไรอีกแล้วขอเพียง DEATH 04PK กับ DEATH05AN รวมทั้งคนบ้านตระกูลเชาว์ปลอดภัยกินอิ่มนอนหลับเท่านั้นพอ”
“เราวางแผนเรื่องนี้มานานพอสมควร ยังขาดหลักฐานเชื่อมโยงอีกนิดหน่อยก็จะปิดคดีได้แล้วละ”
“อู้!….เขาคือพี่ชายคนเดียวของอั๊ว!เอง”
“อย่าเพิ่งปักใจเชื่อมากนัก….คดีนี้ค่อนข้างซับซ้อน ขอความกรุณาใจเย็นๆ” ต๋องพูดราวจะบอกใบ้….
เกือบจะตี 1 รถกระบะก็ยังแล่นด้วยความเร็วปกติผ่านอำเภอกบินทร์บุรี อนุชากับต๋องแวะเติมน้ำมันสั้นๆ ก่อนจะออกเดินทางต่อ จุดหมายปลายทางของอีกคนชัดเจนแต่อีกคนกลับเลื่อนลอย ในหัวเต็มไปด้วยปริศนานานา…หากไม่ใช่อนุชาญแล้วจะเป็นใครกันละที่บงการเรื่องทั้งหมด เขาพยายามคิด พยายามอ่านเกมเพื่อให้เชื่อมโยงถึงตัวการใหญ่….กระทั้งเสียงนายตำรวจดังขึ้นอีก
“แวะปั้มน้ำมันข้างหน้านะครับเราต้องเปลี่ยนรถ”
“ได้ครับ…..”
“และอีกคนจะพาคุณไปยังบ้านพักที่จัดไว้ให้ สบายใจได้ขอเพียงอย่าทำอะไรนอกเหนือจากที่เราบอกก็แล้วกัน”
“ครับ….ผมจะทำอะไรได้ละ”
“เงินก้อนนี้ต้องเก็บไว้เป็นหลักฐาน ส่วนเงินที่คุณจะใช้จ่าย เขาเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้วไม่ต้องเป็นกังวล” ต๋องพูดด้วยน้ำเสียงเย็นๆ เมื่อรถกระบะเลี้ยวเข้าไปจอดหน้าห้องน้ำภายในปั้ม ปตท. รถโตโยต้าวีออสสีขาวก็วนเข้ามาจอดเทียบ “ต้องขออนุญาตปิดตาอีกครั้งนะครับคุณอนุชา…เราได้เก็บกระเป๋าเสื้อผ้าของคุณมาให้พร้อมทั้งหมดแล้วด้วย”
“เราจะติดต่อกันอย่างไร”
“….เดี๋ยวจะรู้เอง” ต๋องบอกพลางใช้ผ้าดำปิดตาเขาไปด้วยกระทั้งมีอีกคนเปิดประตูเข้ามารับตัว “โชคดีนะครับคุณอนุชา”
“ครับ เช่นกัน”
เช้าวันต่อมาที่บ้านตระกูลเชาว์
“อาเฮีย….อยู่ไหน อาเฮีย” เสียงแหลมๆ เล็กๆ ของสาวไทยเชื้อสายจีนดังจากภายในบ้าน ไม่นานหญิงร่างท้วมขาวใบหน้ากลมสวยเพราะศัลยกรรมวัยน่าจะเลย 50 ปี…ที่มีโลม้วนผมอยู่เต็มหัวก็เดินผ่านประตูห้องทำงานออกมา “อาเฮีย อาเฮีย….”
“อาซ้อ….นายชาญออกไปข้างนอกแล้วครับ” เสียงยามที่หน้าประตูรายงาน
“ไปไหนของเค้าแต่เช้า เวลามีเรื่องมีราวเป็นต้องหายหัวทุกที พิมพ์เอ้ยพิมพ์…….”
“ขาซ้อหงส์…”
“อ้อๆ เห็นแล้ว…จะถามหาโทรศัพท์ซะหน่อย ไป ไปทำงานให้เสร็จ โอ้ยอะไรกันนักหนา วุ่นวายแต่เช้า นี้รองเท้าของใครเกะกะไม่เป็นระเบียบต้องให้บ่นได้ทุกวัน สมหวัง สมหวัง”
“ครับซ้อหงส์…..”
“รอฉันอยู่ตรงนี้แป๊บเดียว” พูดจบเธอก็ส่ายสะโพกกลมกลึงผ่านโถงบันไดออกไปด้านนอกอีกรอบ “สยาม”
“ครับอาซ้อมีอะไรหรือครับ”
“นายพวกแกไปไหนได้บอกไหม” เธอท้าวสะเอวถามพลางเกาหัวหยิกๆ ไปด้วย
“เห็นบอกจะไปอำเภอวังน้อยนะครับ….” ยามเก่าแก่ประจำบ้านรายงาน
“หมายขับรถให้ใช่ไหม…แล้วใครจะไปส่งอาซันกับยายวิวให้ฉันละเนี่ย โอ้ยเวลาจะใช้งานหายหัวไปหมด” เธอบ่นขณะลากขากลับไปทางเดิม
“ผมไปส่งคุณหนูก่อนก็ได้ครับซ้อหงส์” สมหวังอาสา ซ้อหงส์หยุดยิ้ม หนุ่มขับรถรุ่นน้องก็ยิ้มตอบในลักษณะลึกลับ ซ้อหงส์มองซ้ายแลขวาก่อนจะก้าวเข้าไปหา
“ฉันมีธุระที่พัทยา…..” เธอกระซิบขณะเดียวกันก็ลากสายตาหวานๆ ผ่านใบหน้าดวงตาและจบที่เป้ากางเกงตุงๆ
“ไม่นานหรอกครับ ซ้อแต่งตัวรอได้เลย….แต่อย่าใส่ชั้นในเลยนะครับ” สมหวังกระซิบยิ้มๆ
“ฮ่า ฮ้า ฮ้า…ถ้ารถติดให้ขึ้นทางด่วนมาเลยนะ วันนี้เฮียชาญไม่อยู่เรามีเวลาทั้งวัน” เธอเอื้อมมือลูบเป้าหนุ่มรุ่นน้องเป็นการสื่อนำ “พี่จะแต่งตัวรอนะจ้ะ”
“ครับพี่หงส์….ผมเองก็แทบทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน” สงหวังกระซิบอีก
“ด่วนเลย….อาซัน ยายวิวเสร็จรึยังลูก วันนี้แม่มีธุระพ่อก็ไม่อยู่….โอ้ยจะบ้าตาย….”
ที่บ้าน LOFT LOVE 2 วันหลังจากกลับมาจากเกาะพีพี
แดดเช้ากำลังไล่อาบบ้านปูนเปลือยความเด่นชัดของผนัง Loft ก็ค่อยๆ เปิดเผยสีเทาจมดำไปทีละส่วน ลุงเย็นลากกระเป๋าเดินทางของ หมอเดียรเนียล สแปนเลย์ ไปยัดใส่ท้ายรถตู้ของบ้านสายสกุลที่เพิ่งมาถึง หญิงรัดดาลงจากรถได้ก็หิ้วกล่องใส่ขนมปังตามหลังอาตี้ขึ้นบันไดเฉลียงเข้าสู่ตัวบ้าน….
“อาหมอหวัดดีฮะ” อาตี้ทักทายหมอเดียรเนียลขณะที่กำลังทำอะไรบางอย่างอยู่กับเคาน์เตอร์ฝรั่ง
“คุณกำลังทำอะไรคะเดียรเนียล” และเสียงของหญิงรัดดาก็ตามขึ้น เธอเดินเข้าไปหาขณะที่อาตี้แยกไปล้มตัวลงนอนกับโซฟาเบทในห้องนั่งเล่น เกมในมือยังคงต่อเนื่อง หญิงรัดดาวางกล่องขนมปังได้ก็พุ่งใส่ทันที
“เฮ้!….น้องหญิง-เดียรเนียล” เสียงดร.ชานนท์ดังมาจากบันไดขณะที่อนุชัยเดินนำหน้าได้แค่ยิ้มให้ก่อนจะแยกไปรวมกับอาตี้….. “นายยังไม่…..”
“พี่ชาย พี่นุสวัสดีคะ….” หญิงรัดดากล่าวทักทายแต่ใบหน้าก็ยังจ้องไปที่ดวงตาสีฟ้าของหมอหนุ่มจากอเมริกาไม่กระพริบ “ฉันคงคิดถึงคุณมากๆ”
“อย่าเว่อร์น้องหญิง….นายก็เช่นกันเดียรเนียล ตามทำเนียมไทยถ้ายังไม่แต่งงานนายไม่มีสิทธิ์ถูกเนื้อต้องตัวน้องสาวฉันด้วยซ้ำ” ดร.ชานนท์คล้ายจะดุ กระนั้นทั้งหมอเดียรเนียลและหญิงรัดดาก็เหมือนจะไม่ได้ยิน
“คุณพ่อฮะปล่อยอาหญิงเถอะรถไฟขบวนสุดท้ายก็เป็นแบบนี้ละ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
“เงียบเลยอาตี้…..”
“คราวนี้ ไอ บินกลับซานฟรานฯ น่าจะมีคุณไปด้วย” หมอเดียรเนียลออดอ้อน
“คงต้องเป็นอาทิตย์หน้านั้นแหละคะ”
“อาทิตย์หน้า ไอ ก็ต้องบินต่อไปแวนคูเวอร์….You บินไปหาไอที่นั้นนะที่รักได้โปรด” เสียงหมอเดียรเนียลเบาสู่ระดับ 2 คน
“ไม่ต้องเลย….ฉันไม่อยากมีหลานก่อนน้องสาวฉันแต่งงาน” ดร.ชานนท์เข้าไปแยกคนทั้งคู่ออกจากกันจนสำเร็จ “นายจำไว้เลยนะ ฉันอนุญาตนายแค่นี้ก็มากเกินไปแล้ว”
“พี่ชายคะ นี่ทศวรรษไหนแล้วคะ”
“น้องหญิงเงียบเลย เรื่องนี้พี่ชายต้องเคลียกับเขาเป็นการส่วนตัว” ดร.ชานนท์แสดงสีหน้าจริงจังจนอีก 2 คนในห้องนั่งเล่นอดขำในความเป็นเผด็จการของเขาไม่ได้
“ฮ่า ฮ้า ฮ่า….นายนี้เป็นเอามากนะชานนท์” อนุชัยหัวเราะแล้วพูด
“นั่นซิฮะ….อาตี้ถึงไม่แปลกใจที่อาหญิงยังเป็นโสดมาถึงวันนี้”
“เงียบเลยทั้งคู่….” ดร.ชานนท์หันไปดุ ก่อนจะกลับมาที่เพื่อนตัวเองอีกรอบ “นายพร้อมแล้วใช่ไหมเดียรเนียลฉันจะได้ไปส่ง”
“No No….ไอยังทำมิโซะซุ๊ปไม่เสร็จเลย” หมอเดียรเนียลบอก ดร.ชานนท์นิ่งราวกับช็อก! “ไอตั้งใจทำให้ You โดยเฉพาะเลยนะ”
“อาหมอนี้ล้ำลึกจริงๆ” อาตี้เสริม ทำให้อนุชัยหัวเราะไม่หยุด
“คุณกำลังทำมิโซะให้พี่ชายเหรอคะ ถ้าอย่างนั้นมาเลยขอหญิงขอลุยด้วยคน” หญิงรัดดากำลังจะเดินไปปลดผ้ากันเปื้อนมาสวมแต่ก็ถูกดร.ชานนท์ดึงมาสวมแทนซะก่อน
“น้องหญิงไปนั่งรอเลยคะ เดี๋ยวพี่ชายกับไอ้หมอเจ้าเล่ห์จัดการให้เอง….” ดร.ชานนท์พูดจบก็ผลักหลังหญิงรัดดาให้พ้นเคาน์เตอร์ก่อนตัวเองจะแทรกเข้าแทนที่ “แล้วนายละนุ….ไข่น้ำใช่ไหม”
“ขออาตี้ด้วยคนฮะ”
“พี่ชายจะไม่ถามหญิงสักนิดเลยเหรอคะ” หญิงรัดดาท่าทางจะน้อยใจแต่หมอเดียรเนียล สแปนเลย์กลับยิ้มพลางใช้หางตาชี้นำไปยังหม้อเล็กๆ บนเตาไฟฟ้า “อย่าบอกนะคะว่า”
“ข้าวต้มกุ้งสำหรับคุณที่รัก” หมอเดียรเนียลบอก ทำให้หญิงรัดดาถึงกับเป็นปลื้มออกหน้าออกตา จนสร้างความหงุดหงิดให้ดร.ชานนท์อีกหลายเท่า
“แต่ไหนแต่ไรน้องหญิงชอบทานสลัดมื้อเช้าไม่ใช่หรือคะ”
“อาหญิงเปลี่ยนไปแล้วฮะคุณพ่อ จากคาเมราซอรัสเป็นคาร์โนทอรัสเรียบร้อยโรงเรียนไดโนเสาร์ไปแล้วฮะ”
“เงียบเลยอาตี้….” หญิงรัดดาปรามอีก ส่วนหมอเดียรเนียลได้แต่ยิ้มร่าแบบผู้กุมชัยชนะให้ดร.ชานนท์เห็น
“You ตามฉันไม่ทันหรอกชานนท์ ฮ่า ฮา ฮ้า”
ดร.ชานนท์มองทั้งคู่สลับกันไปมาก่อนจะเข้าตะตบคอเสื้อหมอเดียรเนียลยกขึ้นด้วยกำลังแขน “อย่าบอกฉันนะว่า นาย….”
“พี่ชายคะ เดียรเนียลคะ หญิงมีเรื่องสำคัญจะบอก” หญิงรัดดาพูดเป็นการเป็นงาน ทำให้ดร.ชานนท์ยอมวางเพื่อนลงที่เดิม
“มีอะไรคะน้องหญิง” ดร.ชานนท์ถาม
“You อย่าบอกไอนะว่า…..”
“คะเดียรเนียล…..”
“จริงๆ หรือ ไอ ไอกำลังจะมีลูกจริงๆ หรือนี้ Oh! My God Thank you Thnaks God, ไอ มีความสุขมากๆ You กำลังจะได้เป็นลุงแล้วนะชานนท์”
ดร.ชานนท์ถึงกับพูดไม่ออก เขาตัวแข็งทื่อกระทั้งอนุชัยกับอาตี้เดินเข้ามาถึง
“นายต้องดีใจแน่ ๆ….” อนุชัยโอบไหล่ตบเบาๆ
“ฮื้อๆ…..นุ นุ ฉัน ฉัน” ดร.ชานนท์ปล่อยโฮอย่างไม่มีปี่มีขลุย ทุกคนในโถงรวมเพดานสูงมองไปที่เขาโดยเฉพาะหมอหนุ่มจากอเมริกา….เมื่อตั้งสติได้ ดร.ชานนท์ก็รวบหญิงรัดดากับหมอเดียรเนียล สแปนเลย์มากอด
“นายทำให้ฉันแปลกใจเสมอเพื่อน”
“พี่ชายคะ หญิงขอโทษ” เสียงหญิงรัดดาคล้ายจะร้องไห้ ดร.ชานนท์จึงผละเดียรเนียลแล้วหันไปช้อนคางน้องสาวขึ้นมาบอกใกล้ๆ
“มันทศวรรษไหนแล้วคะน้องหญิง”
“ฮ่า ฮา ฮ้า ฮ้า” ทุกคนหัวเราะขึ้นพร้อมกัน ก่อนเสียงอาตี้จะดังขึ้นจากนอกวง
“ฮัลโหล คุณย่าฮะ อาตี้มีข่าวด่วนข่าวเร็วจะบอก…….ฮะ ฮะ……คือว่า…..”
“อาตี้ส่งโทรศัพท์มานี้เลย” หญิงรัดดาตะโกนใส่ ก่อนจะเป็น หมอเดียรเนียล สแปนเลย์ แย่งไปพูดซะเอง
“คุณแม่ครับ ไอกลับอเมริกาก็เพราะจะไปบอกกับ Mom และ Daddy ให้มาสู่ขอหญิงรัดดาตามประเพณีไทยให้เร็วที่สุด เพราะ เพราะว่า….ฮื่อๆ” หมอเดียรเนียล ร้องไห้จนจุก ทุกคนในห้องร่วมกันลุ้นจนตัวโก่ง “เพราะว่า เพราะว่า ไอ ไอกำลังจะมีลูก ฮื้อๆ”
(จริงหรือคะคุณหมอ ลูกหญิง ลูกหญิง ขอสายลูกหญิงหน่อย)
“ค่ะ ค่ะ คุณแม่….จริงคะ”
จบ อนุชาย2 บทที่28 แผนฆ่า
คุณพ่อแกล้งหนู
อนุชาย2 บทที่27 คุณพ่อแกล้งหนู
อ่านเพิ่มเติม คุณพ่อแกล้งหนู
อนุชาย2 บทที่26
อนุชาย2 บทที่26 อันดามันรำลึก
เมื่อปกรณ์แข็งแรงระดับหนึ่งหัวหน้าทีมบอดี้การ์ดของบ้านสายสกุลก็ได้ประชุมกัน สมรกับศักดิ์ดาเห็นว่ายังช่วยเหลือตัวเองได้ไม่ดีนักจึงเสนอให้ไปพักรักษาตัวต่อที่บ้านของพวกเขา เจ้ดวงซึ่งเห็นช่องทางจะให้ปกรณ์ได้มีโอกาสเรียนรู้ชีวิตในวัยเด็กของน้องชายตัวเองจึงสนับสนุน ตกลงทีมบอดี้การ์ดก็ต้องตามไปดูแลอย่างเสียไม่ได้ ศักดิ์ดาจึงยกบ้านตัวเองซึ่งอยู่ติดกันให้โดยไม่คิดค่าเช่า ทุกอย่างจึงลงตัว
แดดสายๆ ของวันที่ 5 นับจากปกรณ์ออกจากห้องผ่าตัดที่เมืองเล็กๆ ในหุบเขาบน ถนนมิตรภาพ ระหว่างจังหวัดสระบุรี กับ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมากำลังเย็นสบาย ถ้าจะว่าไปแล้วบ้านพักอาศัยภายในสนามกอล์ฟเซอร์แจ็คสันของอดีตท่านผู้หญิงแขไขก็อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ การปรับตัวจึงเสมือนการได้กลับสู่บ้านหลังเดิมบรรยากาศเดิมๆ เมื่อขาก้าวเหยียบพื้นที่ต้องเดินเท้าเข้าสู่ตรอกตึกแถวไม้เก่าที่ปลูกติดกันเป็นตับทำให้ปกรณ์รู้สึกเย็นวาบอย่างไม่เคยเป็น ถนนคอนกรีตคงเป็นแผ่นคอนกรีตดั้งเดิมที่น้องชายเคยวิ่งเล่น หน้าบ้านผนังไม้เรียบๆ เข้าขั้นเก่าโบราณก็ยังเกิดคำถาม-คำตอบขึ้นในหัว อนุชัยเติบโตอยู่ที่นี่ อยู่กับสิ่งนี้จนเคยชินกระมัง ขณะที่ตัวเองอยู่ในบ้านหลังใหญ่แต่สถานะกลับต่ำตม-ตอกย้ำให้เห็นความแตกต่างที่ใกล้เคียง เมื่อนำ 2 ด้านมาหักลบความได้เปรียบเสียเปรียบเขาทั้งคู่คงไม่ต่างกันสักเท่าไร แต่ทำไมขณะที่น้องชายแท้ๆ อาศัยอยู่แค่ปลายจมูก เขาจึงไม่นึกเอะใจเลยแม้แต่น้อย ปกรณ์ก้าวตามสมรผ่านประตูบานเฟี้ยมเข้าสู่ภายในที่สะอาดสะอ้าน ผนังกรุด้วยแผ่นยิบซั่มบอร์ดฉาบทับวอลเปเปอร์สีครีมบวกเฟอร์นิเจอร์ที่เข้าขั้นทันสมัย ทำให้รู้สึกราวกับหลุดเข้ามาอีกโลกหนึ่ง เขายืนสำรวจไปรอบตัวและมองทะลุผนังที่เปิดโล่งสู่ห้องครัวที่ทันสมัยด้านหลัง ท๊อปเคาน์เตอร์เป็นหินแกรนิตสีน้ำตาลดำดึงดูดใจจนอดเดินลึกเข้าไปยืนอยู่ท่ามกลางพวกมันไม่ได้ สักพัก เสียงสมรก็ดังขึ้น
“นุซื้อที่ดินนอกตลาดไว้แปลงหนึ่ง แรกๆ เขาจะสร้างบ้านหลังใหม่แทนหลังนี้ให้แม่ แต่แม่ไม่ยอม เขาจึงตกแต่งภายในให้ใหม่แทน”
“เขาออกแบบได้ดีโดยเฉพาะเคาน์เตอร์ครัวมุมนี้นะครับ” ปกรณ์บอก
“อยากเห็นห้องนอนของน้องหรือเปล่า….อันที่จริงก็ต้องพักบนห้องนั้นอยู่แล้วนี่นะพ่อไม่น่าถามเลย” ศักดิ์ดาพูดทำให้ปกรณ์รีบพยักหน้าตามเร็วๆ
“ผมอยากรู้จักชีวิตในวัยเด็กของเขา…..เออ!….” ปกรณ์มองสมรสลับศักดิ์ดาอย่างคนไม่รู้จะเรียกทั้งคู่ว่าอะไรดี จนสมรเดาอาการออก
“เราเป็นพี่ชายอนุชัยเรียกพ่อกับแม่ให้สนิทปากไปเลยลูก”
“ใช่ๆ ดีซะอีก มีลูกชายแถมกำลังจะมีหลานเพิ่มอีกคนหาได้ที่ไหนจริงไหมแม่” ศักดิ์ดาหันไปถามความเห็นกับภรรยาที่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ ปกรณ์พูดอะไรไม่ออกหลายนาที เขายกมือปิดปากเพื่อผ่อนคลายอารมณ์…แต่สุดท้ายก็ทรุดกับพื้นพร้อมกับพนมมือไหว้ด้วยกิริยาไม่สมบูรณ์
“ไม่ต้องๆ ลุกขึ้นเถอะ” สมรพูดเร็วๆ ศักดิ์ดารีบเข้ามาซ้อนร่าง
“ทั้งชีวิต…ผมเหมือนอยู่ตัวคนเดียวมาโดยตลอด ไม่เคยได้เรียกใครว่าพ่อกับแม่จริงๆ จังๆ สักคน” เขาสารภาพเสียงสั่นแล้วนิ่งเก็บอาการไปอีก “ในเมื่อน้องชายเรียกคุณว่าแม่…พ่อ…..ผมจึงขออนุญาตเรียกตามเค้า”
“มันต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว มาๆ ตามพ่อขึ้นมาเรื่องราวน้องรอให้ค้นหาอยู่เต็มห้องเชียวละ” ศักดิ์ดาบอกพร้อมกับเดินนำขึ้นชั้น 2 ทันทีที่ประตูไม้สีน้ำตาลถูกผลักเข้าสู่ภายใน ถนนมิตรภาพที่เลื้อยยาวราวกับลำตัวของงูยักษ์ก็ปรากฏให้เห็น ปกรณ์สาวเท้าไปหยุดริมหน้าต่าง เขามองข้ามภูเขาอีกลูกไปยังทิศใต้กระทั้งสมรกับศักดิ์ดาเห็นหลังมือสั่นดิกๆ….
“อนุชัยอยู่ห้องนี้มาตั้งแต่แรกเลยหรือครับ……แม่” คำสุดท้ายถูกเว้นระยะห่าง
“ใช่แล้วลูก อนุชัยเขาเติบโตภายในห้องนี้ตั้งแต่วันแรกที่ย้ายเข้ามาอยู่กับแม่” สมรบอก
“ช่วยเล่าเรื่องของเค้าให้ฟังได้ไหม”
สมรนิ่งอยู่นาน กระทั้ง….. “ต้นเดือนมิถุนายนเมื่อ 36 ปีก่อน แม่ของแม่…หมายถึงยายที่จากเราไปแล้วนะบ่นอยากกินแกงเห็ดป่า แม่จึงไปหาซื้อในตลาดมวกเหล็กแต่ไม่มีขายแม่จึงนั่งรถโดยสารต่อไปยังตลาดกลางดง เช้าวันนั้นแดดสีครีมมาพร้อมกับเม็ดฝนโปรยปรายบางๆ มองเผินๆ ไม่ต่างอะไรจากฝูงแมลงตัวเล็กๆ กำลังบินว่อนเต็มท้องฟ้า สายรุ้งที่หุบเขาสีทึมๆ ทางอำเภอแก่งคอยก็สวยงามไร้ที่ติ กระนั้นแม่ก็ยังใช้ผ้าขนหนูสีฟ้าโพกหัวเพื่อป้องกันตัวเอง เมื่อได้ของจนเต็มมือ เสียงร้องไห้ของเด็กทารกแรกเกิดจากเพิงสังกะสีก็ดึงดูดให้แม่เดินเข้าไปหา แม่จึงได้พบกับพี่พวงพร สาวอายุมากกว่า 2 ปีกำลังทอดกล้วยขาย อีกมือก็คอยตบปลอบลูกน้อยไม่หยุด แม่ก้าวขาไม่ออกในหัวมีทั้งความเวทนา-สงสารกับคำถามมากมายสารพัด……”
ปกรณ์ตัวสั่นโคลง ร่างทั้งร่างราวจะล้ม “พอแล้วครับ พอแล้วครับแม่” เขาพูดและพยายามสงบสติจนกลับมานิ่งระดับหนึ่ง “ผมเป็นพี่ชายเขาประสาห่าอะไร…..แค่ภูเขาลูกนั้น” ปกรณ์ใช้สายตาชี้นำไปยังสนามกอล์ฟเซอร์แจ๊คสัน “เขาก็อยู่ตรงนี้ อยู่ใต้จมูกผมมาโดยตลอดยังไม่มีปัญญาปกป้องเขา ฮื้อๆ” ปกรณ์ปล่อยโฮเสียงดังแบบไม่อายใคร “แถม แถมยังเกือบจะฆ่าน้องชายแท้ๆ ตัวเองอีก ฮื้อๆ”
ศักดิ์ดาจึงเดินเข้าไปโอบ-ตบปลอบเบาๆ
“ผมมันชั่วช้าสารเลวขนาดนี้ คุณ คุณ…..” ปกรณ์หันกลับมาใช้สายตาชื้นๆ เปิดให้อ่าน “คุณยังจะยอมให้ผมเรียกว่าแม่กับพ่ออีกอย่างนั้นหรือ” พูดจบร่างของหนุ่มวัยใกล้จะ 40 ปีก็ทรุดฮวบลงกับพื้น ศักดิ์ดาไม่ทันได้ช้อนร่าง สมรก็นั่งลงสะอื้นอยู่ในสถานะเดียวกัน
“เวลานั้นลูกยังไม่รู้ ย่อมไม่ผิด….และเวลานี้อนุชัยก็ผ่านเรื่องราวทั้งหมดมาแล้ว ลูกเองนั้นแหละ ต้องปลดบ่วงอดีตให้พ้นตัวเองสักที….” สมรบอกแล้วนิ่งจ้องอารณ์ที่กำลังจมดิ่งของเขา “ปลดบ่วงอดีตทิ้งให้หมด พรุ่งนี้รอลูกอยู่นะปกรณ์”
“ใช่! อดีตเรากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ มีเพียงวันนี้กับพรุ่งนี้เท่านั้นที่กำลังเปิดโอกาสให้เริ่มต้น” ศักดิ์ดาเสริมก่อนจะเดินไปเปิดตู้ไม้สักหยิบอัลบั้มเก่าๆ ของอนุชัยมาส่งให้ “รู้จักน้องชายของลูกให้เต็มที่ซะพรุ่งนี้อนุชัยกำลังรอลูกอยู่”
ปกรณ์มองศักดิ์ดานิ่งๆ ก่อนจะรับอัลบั้มรูปมาถือไว้ในมือ “ผมขออยู่คนเดียวนะครับ…..” เขาใช้น้ำเสียงวิงวอน…. “พ่อ…..” แล้วก็หันไปพูดกับสมรที่กำลังปาดน้ำตาทิ้ง “แม่…..”
“มีหลายอย่างของอนุชัยที่ลูกจะต้องรู้จัก” สมรชี้นิ้วไปยังตู้ไม้สักที่ศักดิ์ดาเพิ่งไปหยิบอัลบั้มรูปมาให้ “เรื่องราวในอดีตของน้องอยู่ในนั้นทั้งหมด”
“ตามสบายเลยลูก พ่อกับแม่จะลงไปรอด้านล่าง”
ปกรณ์จ้องคนทั้ง 2 สลับกันไปมา “ขอบคุณ ขอบคุณจริง ๆ”
….สรุปก็เป็นไปตามที่วางแผน ปกรณ์พักฟื้นอยู่กับศักดิ์ดาและสมร 1 อาทิตย์ วันสุดท้ายเขาขอร้องให้เธอเล่าเรื่องราวของอนุชัยที่ยังเล่าไม่จบให้ฟังก่อนจะแวะไปทำบุญให้พวงพรแม่ของอนุชัยกับอนุชาติพ่อของเขาที่สถูปเล็กๆ คู่กัน แดดหลัง 8 โมงเช้าที่อำเภอมวกเหล็กกำลังงดงาม สายลมเย็นๆ จากยอดเขาทางทิศตะวันตกก็กำลังสบาย แต่ครอบครัวใหม่รอให้กลับไปรับผิดชอบ เขาประคองเด่นดวงขณะที่เธอยังแข็งแรงไปขึ้นรถ โดยมีสมรกับศักดิ์ดาตามไปส่งกระทั้งเด่นดวงเข้าที่
“ต้องคิดถึงที่นี่แน่ ๆ” ปกรณ์พูดลอย ๆ “ผมจะกลับมาเยี่ยมนะครับ…..พ่อ……แม่”
สมรกับศักดิ์ดาเผลอปาดน้ำตา “ไปเถอะลูก พ่อกับแม่ไม่ได้ไปไหนหรอกจะรอลูกๆ อยู่ที่นี่ละ”
“ไปนะพี่สมร ฉันนับญาติไม่ถูกแล้วเนี้ย ฮา ฮ่า ฮ่า” เด่นดวงตะโกนออกมาจากรถโฟวิล แล้วเธอก็หัวเราะต่อไม่หยุด
“ไปนะแม่ ไปนะครับพ่อ”
“เออ ขับรถดีๆ ละ” ศักดิ์ดาบอกส่ง ทั้งหมดโบกไม้โบกมือให้กัน….แดดสีครีมกำลังเปลี่ยนเป็นสีขาว รถโฟวิลสีดำก็หายลงเนินหายไปเงียบๆ….
“เขานิสัยคล้ายกันมากๆ เลยนะพ่อ”
“อื้อ!….เราโชคดีที่พวกเขาปลอดภัยและกำลังจะมีหลานอีกคนให้อุ้ม….ขอให้ได้หลานสาวทีเถอะพ่อจะถวายหัวหมูสักสิบหัวเลย สาธุ สาธุ สาธุ” ศักดิ์ดาพร่ำยาว
“พ่อบนกับแม่รึไง….ฮ่า ฮ่า ฮ่า คนอะไร้ยิ่งแก่ยิ่งเรอะ….ไปๆ กลับบ้าน ต้องเตรียมของอีกเยอะแยะ”
“แต่นุมันไม่ให้แม่ขายแล้วนา!”
สมรหันมามองหน้าสามี…. “ถ้าหยุด….พ่อก็ต้องป่วย แม่ก็ป่วย เดี๋ยวตายก่อนจะได้เห็นหน้าหลานสาวกันพอดี”
“เออ….ก็จริงของแม่นะ….ไปๆ รีบเถอะพ่อต้องไปรับกล้วย…เที่ยงไม่รู้จะเสร็จหรือเปล่าไม่รู้เลย….”
ที่บ้าน LOFT LOVE…
อีก 2 เดือนต่อมา คุณหมอเดียรเนียล สแปนเลย์ พร้อมคณะ ในที่นี่หมายถึงหญิงรัดดากับอาตี้ก็บินกลับมาเมืองไทยเพื่อเช็คอาการของดร.ชานนท์ คราวนี้ดร.ชวนนท์ผู้เป็นพ่อถือโอกาสย้ายตามภรรยามาอยู่กินที่บ้าน Loft Love ด้วยซะเลย โถงรวมเพดานสูงจึงกลายเป็นโถงกิจกรรมตลอด 24 ชั่วโมงไปโดยปริยาย
“อาหญิงฮะนี่ใช่เกาะ…..” อาตี้เปิดดูอัลบั้มรูปเจอรูปถ่ายของหญิงรัดดายืนโชว์หุนชวนแซบ! อยู่หัวเรือยอร์ซเข้าโดยบังเอิญ เขากำลังจะถามขณะที่เธอเดินถือถาดข้าวตังเกรียบกรอบมาเสริฟ แต่ดร.ชานนท์ก็แย่งไปทำเป็นลูบให้เห็นซะก่อน “เอ้!…คุณพ่อรู้ได้ไงฮะว่ารูปวางอยู่ตรงไหน”
คุณหญิงพวงพรปิดปากหัวเราะ แต่ดร.ชานนท์ชะงักค้างราวกำลังหาข้อแก้ตัว….
“แค่เสียงไล่เปิดภาพพ่อเค้าก็รู้แล้วละ” อนุชัยที่เดินถือน้ำชาเข้ามาแก้ตัวแทน “อย่าเป็นคนขี้สงสัยให้มากเข้าใจไหม”
“ใช่ๆ….พ่อนุพูดถูก….” ดร.ชานนท์ตามติดๆ
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า….เป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยนะ” คุณหญิงพวงพรอดรนทนไม่ไหวเลยกระแซะอีกคน
“เป็นปี่เป็นขลุ่ยคืออะไร….หญิงรัดดาอธิบายให้เข้าใจหน่อย” เดียรเนียล สแปนเลย์ ถามพลางดึงแขนเธอให้นั่งลงข้างๆ
“ก็ประมาณเข้ากันได้ดี หรือเข้าข้างกันประมาณนั้นแหละ” หญิงรัดดาอธิบายอย่างคนปัดรำคาญ
“ไอ ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีนั้นแหละ”
“นายเงียบไปเลย ค่อยทำความเข้าใจกันภายหลังได้เปล่า” ดร.ชานนท์ต้องการจะหลุดจากประเด็นเลยแทรกเบรกเร็วๆ ซึ่งมันก็ได้ผล
“ไอ มีเวลาอยู่เมืองไทยไม่ถึง 2 วีค แต่ไอเคยเห็นรูปเกาะในประเทศไทยสวยๆ มากๆ เราไปกันดีไหม” หมอเดียรเนียล สแปนเลย์ เสนอ ทำให้ดร.ชานนท์ถึงกับถอนหายใจทิ้ง
“หญิงนึกออกละ…นั้นเป็นรูปของอาสมัยสาวๆ นะอาตี้”
“รู้แล้วฮะ ประเด็นมีอยู่ว่า มันคือที่ไหนบนแผนที่โลกต่างหาก” อาตี้ถามต่อ
“หมู่เกาะ PP จังหวัดกระบี่ ภาคใต้ของประเทศไทยเรานี้แหละ” หญิงรัดดาบอกและก่อนที่น้ำชาอุ่นๆ จะจรดริมฝี่ปาก ดวงตาของเธอก็เบิกโพลง “หรือว่าเราจะไปรำลึกถึงความหลังกันสักคืน”
“เฮ!…..ผมเอาด้วย” เดียรเนียลตามแบบคนไม่ต้องคิด ต่อจากนั้นก็เป็นอาตี้….อนุชัยได้แค่ยิ้มๆ ให้ดร.ชานนท์ขโมยเห็น…..
“พ่อฮะ….” อาตี้เร่ง “พ่อฮะ….”และก็หันไปขอความเห็นใจจากอนุชัยอีก
“แฟนรัก….มีหมออย่างฉันไปด้วย ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น OK”
“เดียรเนียลคะ….คุณอยากเรียนภาษาไทยตั้งแต่เริ่มต้นหรือภาษาอังกฤษดีคะ…Friend คะ…ไม่ใช่แฟน เดี๋ยวก็ทำให้ครอบครัวชาวบ้านเขาแตกอีกรอบหรอก คราวนี้หญิงไม่สามัคคีอีกแล้วนะ” หญิงรัดดาเล่นของสูง จนทุกคนหัวเราะลั่นบ้าน
“เป็นอันว่างานนี้แม่กับพ่อจะไปด้วย” ดร.ชวนนท์เห็นด้วยอีกคน
“แต่ภายใน 2 วีคนี้คิวดิฉันแน้นแน่นๆ นะคุณ”
“คุณแม่ / คุณย่าฮะ”
“งานนุเองก็เพิ่งจะสรุปโครงการใหญ่….”
“คุณพ่อฮะ /พี่นุ”
“สรุปเป็นไฟท์บังคับใช่ไหมครับ” ดร.ชานนท์ที่นิ่งฟังระยะหนึ่งพูดอย่างคนต้องการคำตอบสุดท้าย
“ใช่/ Yes! / ถูกต้องแล้วฮะ”
“….ตกลงตามนี้นะคุณ เราเองก็ไม่เคยไปเที่ยวไหนด้วยกันนานมากแล้วนะ…ถือโอกาสไปนอนอาบแดดซะหน่อย”
“Yes! บิงโก….อาตี้กลับอเมริกาคราวนี้จะได้ผิวสีแทน…ไอ้ยูจิต้องพูดไม่ออกแน่ ๆ…..ฮา ฮ่า ฮ่า”
“ยูจินี้ใครกันละคุณ” ดร.ชวนนท์หันไปถามภรรยาอีก
คุณหญิงพวงพรส่ายหน้าเบื่อหน่าย พร้อมกับจิ! ปากใส่สามีดังๆ “ยูจิ ยามาซาดะ จะเป็นลูกใครไปได้ละคะคุณก็”
“อ้อ!….ลูกของยูริหรอกหรือ….ส่งไปเรียนซานฟรานฯ ตั้งแต่เมื่อไรกัน ไม่เคยเห็นเล่าให้ฟังเลย”
“คุณถ้าจะแก่แล้วแก่เลยจริงๆ แล้วละค้ะ….”
“เกือบ 2 ปีมาแล้วคะคุณพ่อ อายูริยังมาให้คุณพ่อเซ็นรับรองให้อยู่เลย จำไม่ได้รึคะ” หญิงรัดดาทวนความทรงจำ
“อ้าว!….พ่อก็นึกว่ายังไม่กี่ขวบ…”
“โตเป็นหนุ่มสูงใหญ่พอๆ กับอาตี้แล้วละคะคุณ แถมหล่อซะด้วย ฮ่า ฮ่า ฮ่า แม่ขำยูจิเพิ่งจะบินมาเยี่ยมแท้ๆ ลืมได้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” พูดจบคุณหญิงพวงพรก็หัวเราะยาว…..
“มันแอบมานอนอาบแดดเป็นอาทิตย์ไม่ยอมชวนกลับไปสาวๆ นี้ตรึม!….คราวนี้ก็ถึงคิวอาตี้บ้างแล้วละ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” อาตี้เสียงดัง อนุชัยอมยิ้มหันไปยักคิ้วให้ดร.ชานนท์ อาตี้เห็นเข้าพอดีจึงเก็บความสงสัยเรื่องพ่อตัวเองมองไม่เห็นไว้ในใจ……
กระทั้งวันเดินทางมาถึง ดร.ชวนนท์ส่งทีมบอดี้การ์ดลงสำรวจพื้นที่ล่วงหน้า 2 วัน ก่อนจะสั่งเพิ่มกำลังแฝงตามไปในรูปนักท่องเที่ยวอีก 2 เท่า…ใบหน้าของคุณหญิงพวงพรจึงดูดีขึ้นมาบ้าง
ช่วงหลังๆ อาตี้มักจะขลุกอยู่กับ หมอเดียรเนียล สแปนเลย์ หลายชั่วโมงต่อวัน เสียงซุบซิบระยะไกลจึงเป็นประเด็นอยากรู้ของคุณหญิงพวงพรมากเป็นพิเศษ กระทั้งหลังจากทั้งคู่ลากกระเป๋าไปยกใส่ท้ายรถตู้เรียบร้อยแล้ว คุณหญิงพวงพรก็กวักมือเรียกมาคุยด้วย
“ไหนมีความลับอะไร บอกมาให้หมด” คุณหญิงพวงพรคาดคั้น อาตี้หน้าหงอหันไปขอความเห็นจากหมอเดียรเนียลที่ยืนอยู่ข้างๆ
“เอ่อ….คือว่าอย่างนี้ครับคุณแม่” หมอเดียรเนียลจะอธิบายแต่อาตี้ก็แซงโค้งปาดหน้าซะก่อน
“คุณย่าฮะ….คุณย่าไม่สงสัยพ่อชายบ้างหรือฮะ….” เขาเงียบคิด “อาตี้กับอาหมอกำลังคิดว่าแท้จริงแล้วเราทั้งหมดกำลังโดนหลอกอยู่หรือเปล่า…แบบว่า”
“ไอก็มั่นใจมากๆ ครับคุณแม่ ว่าชานนท์มองเห็นแล้วแน่แท้และแน่นอน”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า”……คุณหญิงพวงพรหัวเราะลั่น ทั้ง 2 จ้องหน้ากันไปมา
“คุณย่า….”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า……” แต่คุณหญิงพวงพรก็ยังหัวเราะไม่หยุด กระทั้งเธอปาดน้ำตาทิ้ง “เอาเป็นว่างานนี้อาตี้มีแผนอะไรย่าขอร่วมด้วยคน”
“หมอเดียรเนียลมองหน้าอาตี้สั้นๆ…. “คุณแม่รู้ตั้งแต่วันแรกแล้วใช่ไหม” หมอเดียรเนียลถาม เมื่อคุณหญิงพวงพรยิ้ม เขาก็ตบขาตัวเองดังผาง! “ปาดโท้!…..”
อาตี้สะกิด “ปั๊ดโท!….ครับอาหมอ”
“เออๆ ปั๊ดโท! นั้นแหละไอเอะใจอยู่แล้วเชียว ชานนท์นะชานนท์เล่นกันได้ งานนี้ละ”
“ใช่ๆ…..อาตี้มีแผนหรือยังลูก” คุณหญิงกระซิบ
“ยังหรอกฮะกำลังคิดอยู่….”
แต่ที่ด้านหลัง….
“คุณแม่คะ….มีอะไรกันหรือคะท่าทางเคร่งเครียดเชียว” เป็นเสียงหญิงรัดดาทุกคนจึงแยกทิ้งสีหน้าไปคนละทาง…. “เราจะไปเที่ยวกันนะคะ สนุกหน่อยดิ….นะคะ นะคะ…ไปคะขึ้นรถได้แล้ว”
“อาตี้ก็ว่าแบบนั้นแหละฮะ” และเขาก็เป็นคนแรกที่กระโจนออกไปทางประตูหน้า ก่อนจะตรงดิ่งไปหาดร.ชานนท์ที่มีอนุชัยยืนอยู่ข้างๆ
“แหม!….คุณพ่อใส่หมวกแก๊ปเหมือนกันเลยนะฮะ เท่จัง”
“พ่อเพิ่งตัดผมมาใหม่นะ….เป็นไงจะได้เหมือนหมวกสีดำของอาตี้ไง” ดร.ชานนท์พูดยิ้มๆ แต่อาตี้กลับมาในแผนที่ลึกกว่า
“ใครบอกว่าหมวกคุณพ่อสีดำกันละฮะ….สีชมพูต่างหาก” พูดจบเขาก็บีบริมฝีปากแน่นก่อนจะหันหลังเดินเข้าไปในรถ ทำให้ทั้งดร.ชานนท์และอนุชัยต่างมองหน้ากันไปมา
“ตกลงตาฉันไม่บอดสีแน่นะ” ดร.ชานนท์กระซิบ อนุชัยปิดปากหัวเราะแทบไม่ทัน
“หรือว่าฉันตาบอดสีซะเอง”
“สีดำ….นี้มันสีดำชัดๆ เราคงไม่ตาถั่วพร้อมกันหรอกเชื่อฉันดิ…..” ดร.ชานนท์กับอนุชัยพึมพำ แต่อาตี้กลับหัวเราะลั่นอยู่คนเดียว (ฮา ฮ่า ฮ้า ฮ่า ฮา)
จบ อนุชาย2 บทที่26 อันดามันรำลึก
โลกสีเดิม
อนุชาย2 บทที่25 โลกสีเดิม
อ่านเพิ่มเติม โลกสีเดิม
อนุชาย2 บทที่24
อนุชาย2 บทที่24 ข่าวร้าย
ที่หน้าห้องผ่าตัด-แสงโคมสีส้มจากเกาะกลางถนนสายหลักหน้าโรงพยาบาลสาดเข้ามาผสานกับแสงสีขาวของหลอดนีออนทุกอย่างจึงถูกเปิดเผยสีจริงแค่ 50 เปอร์เซ็นต์ แต่นอกรัศมีของแสงทั้ง 2 มองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากสีดำ เกือบจะ 2 นาฬิกาของอีกวันร่างของปกรณ์ที่ถูกเข็นเข้าห้องผ่าตัดตั้งแต่ยังไม่ 6 โมงเย็นก็ยังไม่มีวี่แววของนายแพทย์ออกมาแจ้งข่าว สายตาลอยๆ ของอนุชัยบอกสารพัดเรื่องราวที่กำลังวิ่งวนอยู่ในหัว เขางีบหลับไม่ถึง 3 ชั่วโมงตั้งแต่เกิดเหตุ กระทั้งเวลานี้ถึงจะเหนื่อยสายตัวแทบขาดก็มิใช่ประเด็นที่สมองจะหลับลง…สักพักหัวหน้าบอดี้การ์ดของบ้านสายสกุลกับลูกทีมที่มาเปลี่ยนเวรก็เดินถือกุญแจรถ BMW ส่งให้
“ผมให้อาณัติกับลูกน้องไปเอารถที่ร้านอาหารสวนกวางมาให้เผื่อท่านจะใช้นะครับ” เขาบอกขณะหย่อนก้นนั่งข้างๆ
“ขอบคุณมากครับ” อนุชัยรับกุญแจด้วยท่าทางเนือยๆ ราวกับชีวิตหายไปแล้วเกินครึ่ง
“ผมจอดไว้ที่ลานจอดรถด้านล่างนะครับ ส่วนโฟวิลให้นำไปเก็บที่คอนโดมิเนียมเรียบร้อยเช่นกัน นี้ครับกุญแจ” ชายหนุ่มท่าทางจะอายุน้อยกว่าสัก 3 ปีที่ชื่ออาณัติรายงานพร้อมกับล้วงกุญแจอีกชุดยื่นให้
“ขอบคุณมากๆ ครับ”
“ยินดีครับท่าน…เออท่านครับ ท่านทราบ…..” อาณัติพูดไม่ทันจบประโยคนายแพทย์ที่นำทีมผ่าตัดก็เดินออกมา อนุชัยจึงพุ่งเข้าไปคุยด้วยแบบคนร้อนใจ แต่ที่ด้านหลังหัวหน้าบอดี้การ์ดกลับกำชับอาณัติด้วยท่าทีไม่พอใจจนเห็นเขาพยักหน้างึกๆ
“คุณหมอครับ…..” อนุชัยเอ่ย นายแพทย์ประสิทธิ์ถอดหน้ากากผ้าสีฟ้ายิ้ม
“นานไปหน่อยต้องขอโทษด้วย แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี”
“คุณหมอ” อนุชัยอุทานด้วยน้ำเสียงชัดเจนจนคล้ายมีความยินดีไม่น้อย เขายิ้มได้ในรอบหลายชั่วโมงก่อนจะยกมือไหว้ “ขอบคุณ ขอบคุณครับ”
นายแพทย์ประสิทธิ์รับไหว้แทบไม่ทัน “ยินดีครับ แต่กว่าฤทธิ์ยาสลบจะหมดก็คงเป็นพรุ่งนี้เช้าโน้นแหละ คุณอนุชัยขึ้นไปนอนพักบนห้องที่ทางโรงพยาบาลเตรียมไว้ให้ได้เลย ไม่ต้องเป็นกังวลอะไรทั้งสิ้น ผมรับรอง”
“ขอบคุณครับคุณหมอ ขอบคุณมาก ๆ”
“ยินดีครับ”
อีก 2 คนที่อยู่ด้านหลัง….
“อาณัติ…ท่านรับศึก 2 ด้านไม่ไหวแน่ ๆ คุณหญิงกำชับมาว่าอย่างไร”
“อ้อ….ขอโทษครับหัวหน้าผมเผลอไปหน่อย”
“คืนนี้ปล่อยให้ท่านหลับ พรุ่งนี้อะไรจะเกิดค่อยว่ากัน….มีอะไรรายงานตลอดเวลาเข้าใจไหม?”
“รับทราบครับหัวหน้า”
เช้าวันต่อมา….
แดดก่อน 8 โมงเช้ายิงลำแสงสีขาวเข้ามาปลุกถึงเตียงนอนในโรงพยายบาล อนุชัยงัวเงียอาบน้ำแบบรีบๆ ก่อนจะใช้ชุดลำลองที่ติดมากับรถเปลี่ยน เขาลงไปเยี่ยมปกรณ์สั้นๆ เมื่อเห็นทุกอย่างผ่านไปด้วยดีจึงแจ้งกับทีมบอดี้การ์ดถึงจุดประสงค์ต่อไป
“ผมมีธุระที่ มวกเหล็ก นิดหน่อย”
หัวหน้าบอดี้การ์ดจ้องเขาด้วยแววตาอ่านไม่ออก… “เราเตรียมบรรพตมาขับรถให้ท่านเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงคุณปกรณ์นะครับ” เขาบอกราวกับคนวางแผน
“ขอบคุณมาก”
“ขอกุญแจรถด้วยครับท่าน ผมจะไปเอารถมารับ” บรรพตเด็กหนุ่มรุ่นน้องท่าทางจะเป็นตำรวจพูดเร็วๆ อนุชัยจึงล้วงกุญแจยื่นให้…เขายืนคุยกับทีมบอรดี้การ์ดต่อไม่ถึง 5 นาที BMW สีน้ำตาลดำก็วนเข้ามารับ
“ไม่ต้องเป็นห่วงทางนี้นะครับท่าน”
“ถ้าไม่ได้พี่ผมคงจะแย่” อนุชัยบอกส่งขณะเข้าไปนั่งเบาะหลัง…และขณะที่ท้าย BMW แล่นออกจากโรงพยาบาลเสียงอาณัติจึงดังขึ้นอีก
“หัวหน้าจะไม่บอกเรื่องของคุณชายบ้านสายสกุลให้ท่านทราบจริงๆ เหรอครับ”
หัวหน้าบอดี้การ์ดเป่าลมทิ้งทางปากดังๆ “อีกไม่กี่นาทีท่านก็จะทราบเองนั้นแหละ ไม่อย่างนั้นคุณหญิงพวงพรคงไม่ส่งบรรพตมาขับรถให้หรอก….” เขาตบไหล่อาณัติ 2 ทีก่อนจะหันหลังเดินเข้าข้างใน“นายออกเวรกี่โมง” เขาถามขณะอาณัติตามมาขนาบข้างๆ
“บ่าย 2 ครับ”
“อื้อ…ดีจะได้กลับเข้ากรุงเทพฯ พร้อมกัน….”
“ครับหัวหน้า….”
อีกฝ่าย….
ที่โรงพยาบาลบนถนนพระราม 9 คุณหญิงพวงพรในชุดกาวน์สีขาวเดินออกจากห้อง ICU ด้วยท่าทีนิ่งๆ เธอเก็บอาการได้ดีขณะที่ลูกชายคนเดียวนอนเป็นผักอยู่บนเตียงในสภาวะเป็นตายเท่ากัน เมื่อขาก้าวผ่านประตูสู่ห้องพักพิเศษสำหรับครอบครัว หญิงรัดดากับอาตี้ที่ผ่านการร้องไห้อย่างหนักก็พุ่งเข้าใส่
“คุณแม่คะ….หมอเดียรเนียลส่งไลน์บอกตอนนี้ถึงสนามบินนาริตะแล้วคะ” หญิงรัดดารายงานขณะหลังมือก็ปาดน้ำตาไม่หยุด
“คุณย่าฮะ….พ่อนุไปไหนฮะ คุณย่า”
“อื้อๆ ใจเย็นทั้งคู่เลย…คุณคะ….” เธอชะโงกหน้าเรียกดร.ชวนนท์ที่นั่งไม่พูดไม่จามาหลายชั่วโมง เมื่อสามีหันมาพยักหน้าเศร้าๆ ให้เห็น
“คุณคะ….”
“ผมส่งรถตู้ไปรอคุณหมอที่สนามบินสุวรรณภูมิสักชั่วโมงแล้วละ” ดร.ชวนนท์รายงานคุณหญิงพวงพรจึงลากแขนอาตี้กับหญิงรัดดาไปนั่งลงใกล้ๆ
“ถ้าความดันพ่อชายลดสู่ปกติ ทุกอย่างก็พร้อม ไม่ต้องเป็นกังวล”
“คุณแม่—–“
“ไม่เป็นไรหญิงรัดดา….เราจะต้องผ่านจุดนี้ไปให้ได้” คุณหญิงพวงพรปลอบพร้อมดึงอาตี้มากอดพลางลูบหัวเด็กหนุ่มขี้แยไม่หยุด “ไม่เป็นไรอาตี้ พ่อเราเข้มแข็งเชื่อย่าซิ!”
“คุณย่า….ฮื้อๆ…แล้วพ่อนุละฮะ อาตี้โทรหาเป็นร้อยรอบ ส่งข้อความเป็นพันครั้งก็ยังเงียบ พ่อนุไปไหนฮะ”
“นั้นสิคะคุณแม่ เกิดอะไรขึ้นกับพี่นุกันแน่” หญิงรัดดาเสริมตาม
คุณหญิงพวงพรซี๊ด!ปากแบบคนคิดหนัก ก่อนจะเป็นเสียงดร.ชวนนท์ที่นั่งเงียบข้างๆ พูดขึ้นมาแทน
“นุ ติดธุระสำคัญ และสำคัญมากๆ พ่อกับแม่วางแผนทั้งหมดไว้แล้วละ….ฮู่!…มาๆ เรามาร่วมภาวนาให้พวกเขาผ่านพ้นเรื่องเลวร้ายไปให้ได้เถอะ”
“คุณปูก็พูดแต่แบบนี้มาทั้งคืน…..” อาตี้คล้ายต่อว่า แต่เสียงโทรศัพท์เรียกเข้าของตัวเองก็ขัดจังหวะขึ้นซะก่อน “พ่อนุ…..” ทุกคนในห้องชะงักค้าง อาตี้ผละยืดตัวจากอ้อมแขนคุณหญิงพวงพรก่อนจะรนกดรับทั้งๆ ที่ยังร้องไห้ไม่จบ
“พ่อนุฮะ พ่อนุหายไปไหน ช่วยอาตี้ด้วย ช่วยพ่อชายของอาตี้ด้วย”
(อาตี้ อาตี้ครับ พ่อ พ่อชายเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น)
“ฮื้อๆ…..พ่อนุ พ่อนุ ช่วยพ่อชายด้วย ช่วยพ่อชายด้วย” อาตี้ยังตั้งสติไม่ได้ คุณหญิงพวงพรจึงดึงเขามากอดกระซิบ….
“อาตี้จ้ะ!….ขอย่าคุยกับพ่อนุเองนะจ้ะ….”
อาตี้จึงกดเปิดสปีกเกอร์โพน….. “ตานุฟังป้าดีๆ และฟังอย่างคนมีสตินะลูก……” คุณหญิงพวงพรเปิดประเด็นสุ่มเสี่ยง เธอบอกเขาหมดทุกอย่าง…..กระทั้งเสียงปลายสายเงียบ “ฮัลโหล ฮัลโหล…….ตานุ ตานุ ยังอยู่ในสายหรือเปล่า”
(คะ คะ คุณหญิง….) เป็นเสียงของสมรแทรกขึ้นมาแทน
“สมรจ้ะ….ถึงหน้าที่ของเราแล้วละ”
(คุณหญิงป้าครับ นุ นุ …….)
“ไม่เป็นไรตานุ ใจเย็นๆ….ป้าให้บรรพตไปขับรถให้แล้ว เวลานี้หมอเดียรเนียลก็ถึงนามบินนาริตะประเทศญี่ปุ่น อีกไม่เกิน 4 หรือ 5 ชั่วโมงก็จะมาถึง” คุณหญิงพวงพรพูดด้วยน้ำเสียงจากประสบการณ์
(ทำไมคุณป้าถึงไม่บอกนุตั้งแต่เมื่อวานละครับ)
“ตานุ….ป้าไม่ได้เฉยเมยหรอกนะ เพียงแต่ป้าต้องเรียงลำดับที่จะบอก ทุกคนทุกฝ่ายจะได้ผ่านเรื่องเลวร้ายพวกนี้ไปด้วยกัน….ตั้งสติแล้วใจเย็นๆ เชื่อป้า”
(ฮื้อๆ….ถึงเวลาสำคัญ นุกลับไม่ได้อยู่กับเขา….ฮื้อๆ)
“ใครบอก….ตาชายกำลังรอนุอยู่ต่างหาก”
(นุจะกลับกรุงเทพฯ เดี๋ยวนี้แหละครับ——>ไปเถอะลูกไม่ต้องเป็นห่วงพี่เขาหรอก แม่จะดูแลให้เอง [เสียงสมรแทรก]—–> เข้มแข็งไว้ไม่ต้องเป็นห่วงปกรณ์พ่อจะดูแลให้เหมือนกับลูกชายอีกคนเลยละ [เป็นเสียงศักดิ์ดา]…..สักพัก…..ขับรถดีๆ นะ—->สบายใจได้ครับ ไม่ต้องเป็นห่วงครับ [เสียงบรรพต]—–> อาตี้ อาตี้ ไม่เป็นไรนะครับลูก พ่อนุกำลังไปหา)
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร….ค่อยๆ เดินทางมาไม่ต้องรีบนะตานุ”
(ครับคุณป้า….ขอบคุณมากๆ ครับ)
เมื่อโทรศัพท์วางสายได้ไม่นานเสียงอาตี้ก็ดังขึ้นอีก
“ปกรณ์เป็นใครกันฮะ คุณย่า”
“นั้นซิคะคุณแม่ ใช่คนขับรถเก่าน้าหญิงแขไขหรือเปล่า…คุ้นๆ เหมือนเคยได้ยิน” หญิงรัดดาอดไม่ได้
“ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วคุณหญิงปิดบังไว้ก็ไม่มีประโยชน์ มา หันมาทางนี้ปู่บอกเองดีกว่า…..” ดร.ชวนนท์กำลังจะพูดแต่เสียงคุณหญิงพวงพรจึงแทรกแทน
“ใช่จ้ะ! หญิง….ปกรณ์คือคนขับรถของน้าหญิงแขไขนั้นละ”
“แล้ว แล้วเกิดอะไรขึ้นฮะไม่เห็นจะเกี่ยวกับพ่อนุตรงไหนเลย…..อย่า อย่า บอกอาตี้นะว่าพ่อนุ กับ……….”
“อาตี้ฟังย่าให้ดี ๆ….ปกรณ์เป็นพี่ชายแท้ๆ ของพ่อเรา” คุณหญิงพวงพรเน้นด้วยน้ำเสียงช้าๆ ชัดๆ เธอสบตากับอาตี้ที่เปิดปากหวอ ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้หญิงรัดดาอีกคน
“เป็นความจริงจ้ะหญิง ปกรณ์เป็นลูกชายคนโตของอาอนุชาติกับฟองฟ้าสาวเชียงตุงที่เข้ามาทำงานในบ้านตระกูลเชาว์….และแม่ก็เป็นคนทำคลอดเองกับมือ”
“คุณย่าฮะ / คุณแม่คะ”
“มันคือเรื่องจริงและความจริงอีกข้อก็คือ เมื่อคืนวานก่อนตานุจะหายไป ปกรณ์โดนยิงได้รับบาดเจ็บจนต้องย้ายไปรักษาตัวจังหวัดสระบุรี”
“ทำไมคุณแม่ไม่บอกหญิงละคะ”
“นั้นซิฮะ คุณย่า คุณปู่ครับ….ทำไมละฮะ” อาตี้กับหญิงรัดดาคล้ายจะโวยวาย
“เรื่องบางเรื่องจำเป็นต้องใช้จังหวะ ใช้เวลาเหมาะสม หญิงกับอาตี้อย่าโกรธปู่กับย่าเลย หากบอกทีเดียวพร้อมๆ กัน บางคนในพวกเราอาจจะตั้งรับไม่ทัน”
“แล้วตอนนี้ลุงปกรณ์เป็นไงบ้างฮะ” อาตี้ถามต่อ
“ปลอดภัยแล้วจ้ะ ต่อจากนี้ก็ถึงคิวตาชายแล้วละ….มา! เรามาร่วมกันส่งแรงใจกันเถอะ” คุณหญิงพวงพรรวบมือทั้งหมดมาร่วมกันก่อนจะนำภาวนา แสงดาวไร้ท์สีขาวกระจายเต็มห้องยังไม่ปิดตั้งแต่เมื่อคืน กระทั้งเดี๋ยวนี้และต่อจากนั้นอีกชั่วโมงครึ่ง…อนุชัยก็ปรากฏตัวที่ประตูทางเข้า อาตี้จึงพุ่งเข้าใส่
“พ่อ…..พ่อนุ….” อนุชัยปาดน้ำตาทิ้งเร็วๆ สภาพร่างกายทรุดโทรมราวกับคนไม่ได้หลับไม่ได้นอนหลายคืนทำให้เสียงร้องไห้ของอาตี้ดังกว่าปกติ “พ่อ…ฮื้อๆ”
“ไปเปลี่ยนชุดเถอะตานุ เธอ 2 คนมีเวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมงก่อนหมอเดียรเนียลจะมาถึง” คุณหญิงพวงพรบอก
“เขาบินยาวเกือบ 20 ชั่วโมงจะไหวรึครับคุณป้า”
“หญิงจองชั้นธุรกิจให้หลับยาวตั้งแต่แวนคูเวอร์จนถึงกรุงเทพฯ ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะพี่นุ” หญิงรัดดาบอกและพยักหน้าให้เขามั่นใจมากขึ้น
“อาตี้ไม่ต้องกังวลนะลูก รอพ่อด้านนอก พ่อสัญญาจะไม่ปล่อยให้พ่อชายเป็นอะไรเด็ดขาด” อนุชัยบอกเสียงแน่นๆ…..ก่อนจะตามคุณหญิงพวงพรออกจากห้องนั้นไป
ระหว่างทางสู่ห้อง ICU หลังจากอนุชัยเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้ว…. “ทำไมคุณหญิงป้าถึงไม่บอกนุตั้งแต่เมื่อคืนครับ”
คุณหญิงพวงพรหันมาสบตาแบบคนผ่านประสบการณ์ “ตานุ….ในสภาวะของคนๆ หนึ่งไม่สามารถแบกรับเรื่องราวหนักอึ้งได้พร้อมกันหลายเรื่องหรอก….เชื่อป้าเถอะ ป้าเป็นหมอนะ” เธอยิ้มให้รื่นๆ “มาถึงขนาดนี้แล้วควรจะบอกเขาทุกๆ เรื่อง….ตาชายรับไหว เชื่อป้าซิ!….”
เมื่อเท้าก้าวตามแพทย์หญิงคุณหญิงพวงพรผ่านประตูชั้นที่ 3 เข้าสู่ห้องปลอดเชื้อ สายระโยงระยางรอบๆ ตัวคนรักราวกับเขาเป็นมนุษย์ประดิษฐ์จากโลกอนาคตก็ทำให้เท้าหยุดชะงัก
“คุณ…..”
“OK ความดันกลับมาปกติแล้วละ….พวกเธอมีเวลา 2 ชั่วโมง พูดกับเขา บอกกับเขาทุกเรื่องที่อยากบอก ป้าจะออกไปรอรับหมอเดียรเนียลด้านนอก” คุณหญิงพวงพรแนะ ขณะที่อนุชัยยังทำอะไรไม่ถูก จนคุณหญิงพวงพรต้องเข้าไปลากแขนมาที่เตียง “เอานะ…ตาชายเข้มแข็งเชื่อป้าซิ”
“คุณหญิงป้าครับ”
“ไม่เอา….มีอะไรพูดกันเอง ตาชายรู้สึกตัวดีและกำลังนอนฟังเสียงเรา 2 คน สังเกตหางตาเขาซิ….เหมือนกำลังรอให้บอกเรื่องปกรณ์นะ….” พูดจบคุณหญิงพวงพรก็ตบหลังปลอบก่อนจะเดินออกจากห้อง อนุชัยมองที่ร่างไม่ไหวติงของดร.ชานนท์อยู่นาน หางตาของคนรักกำลังปรากฏน้ำใสๆ ล้นให้เห็นนั้นแสดงว่าความรู้สึกข้างในกำลังเข้าขั้นวิกฤติ เก้าอี้พลาสติกสีขาวถูกเตรียมไว้ข้างๆ เตียง จังหวะที่แสงจากโคมไฟกำลังทำงาน เขาจึงดึงมือคนรักมากุมและบีบคลึงไปมากระทั้งแรงตอบสนองจากปลายนิ้วส่งสัญญาณให้เห็น ดวงตามัวๆ จึงได้เบิกโพลง
“ชานนท์ นายได้ยินฉันไหม….บีบมือให้ฉันรู้หน่อย” อนุชัยก้มใช้ระดับเสียงกระซิบ ไม่นานปลายนิ้วของดร.ชานนท์ก็กระดิก “นายฟังฉันให้ดีๆ นะ….คนที่นายกำลังหึงแตก…เขาคือพี่ชายแท้ๆ ของฉันเอง….”
ปลายนิ้วของดร.ชานนท์กระดิกติดกันหลายครั้ง
“ใช่! ปกรณ์ เชาน์ คือพี่ชายแท้ๆ ของฉัน….ถ้าจะให้ฉันร่าน ฉันจะร่านกับนายคนเดียว” อนุชัยปล่อยเวลาได้ทำหน้าที่ “….นายเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของฉัน เราสัญญากันแล้วไงว่าจะใช้ลมหายใจเดียวกัน นายต้องตื่น…ถ้านายไม่ตื่น ฉันก็ไม่รู้จะอยู่ต่อเพื่อใคร นายต้องตื่นมาเพื่อฉัน เพื่อลูกชายของเรานะชานนท์….นายต้องตื่นมาเพื่อเรา ฉันขอร้องละ ได้โปรดเถอะที่รัก ฉันรักนาย ฉันรักนายที่สุด”
……..คำภาวนา พึมพำ นำทางฝัน………
……..เรามีกัน เรามีลูก ปลุกปลอบเลี้ยง………
………คำสัญญา ว่าจะใช้ ใจคู่เคียง………
……….อย่าเป็นเพียง เสียงลมปราณ ผ่านลอยลอย………
“นายต้องตื่นนะชานนท์….ฉันขอร้องละที่รัก”
อีกคนที่โรงพยาบาลเอกชนในจังหวัดสระบุรี….
บ่ายวันเดียวกันเมื่อสมรโทรบอกเรื่องดังกล่าวกับเด่นดวง…หญิงร่างท้วมขาวแบบอาหมวยวัย 40 ต้นๆ ก็มานั่งร้องห่มร้องไห้ข้างเตียง เมื่อฝ่ามืออุ่นๆ เสียงสะอื้นต่างออกไป ปกรณ์จึงตื่นได้เร็วขึ้น….และเมื่อสติบอกถึงคนที่นั่งฟูมฟายแทนที่อนุชัย สายตาฉ่ำๆ จึงค่อยๆ รื่นจนแขนกระตุกสั่นเทา
“ตัวเอง ตัวเอง….” เด่นดวงใช้สรรพนามนี้กับปกรณ์จนติดปาก ทำให้สมรกับศักด์ดาที่นั่งอยู่ในมุมที่ปกรณ์ไม่ทันเห็นถึงกับยิ้มให้กัน
“เด่นดวง….” ปกรณ์เรียกชื่อเธอ
“ตัวเอง…ตัวเองตื่นแล้ว…”
“….อนุชัยไม่น่าบอกตัวเองตอนนี้เลย…ซี๊ด!”
“ตัวเองจะใจร้ายกับเค้าไปถึงไหน” เด่นดวงคล้ายจะต่อว่าพลางยกมือปกรณ์มาสัมผัสแก้ม “เค้า เค้า…ฮื้อๆ”
“ไม่เอา….ไม่ร้องนะ….เค้าตั้งใจจะบอก แต่ไม่ใช่เวลานี้…..” ปกรณ์เงียบหลับตาซี๊ด! ปากราวกับคนเจ็บปวด “ตัวเองช่วยปรับหัวเตียงให้เค้าที”
เด่นดวงไม่รอให้พูดจบ เธอกดปุ่มยกหัวปกรณ์ให้สูงขึ้นจนกระทั้ง….
“เป็นอย่างไรบ้างพ่อหนุ่มตื่นแล้วเหรอ” ศักดิ์ดาทักทายก่อนจะเดินมาหยุดยิ้มที่ปลายเตียงหลังจากนั้นก็เป็นสมร
“หายเร็วๆ นะลูก” สมรบอก
ปกรณ์ทำหน้างงๆ แบบคนจับต้นชนปลายไม่ถูกกระทั้งเสียงเด่นดวงแนะนำ “นี้คือพี่สมรกับพี่ศักดิ์ดา แม่กับพ่อของอนุชัยอย่างไรละ”
“เรายังไม่เคยเจอกัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกว่าไหม….” ศักดิ์ดาพูด ปกรณ์ตาลุกวาว พร้อมกับจะยกมือไหว้ แต่ก็ถูกสมรปรามไว้ก่อน
“ยังไม่ต้องก็ได้ลูก เรายังต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน หรือจนกว่าจะหายดีโน้นแหละ…และอีกอย่างอนุชัยไม่ได้เป็นคนโทรบอกเด่นดวงอย่างที่เข้าใจหรอกนะ…แต่เป็นแม่เอง” สมรสารภาพพลางยิ้มอายๆ ให้
ปกรณ์ทำหน้าเลิ่กลั่กเหมือนจะมองหาใครบางคน…. “………”
“มองหาอนุชัยเหรอ” ศักดิ์ดาถามราวจะอ่านออก
“อนุชัยไปทำธุระในกรุงเทพฯ นะ….ตัวเองหิวรึยัง” เด่นดวงถาม
“ถ้าอย่างนั้นก็อยู่ด้วยกันไปก่อนนะ เดี๋ยวแม่กับพ่อจะออกไปคุยกับคุณหมอสักหน่อย” สมรพูดเร็วๆ ก่อนจะพยักหน้าให้สามีที่ยืนทำหน้างงๆ ตามเธอออกจากห้อง
“อะไรแม่….”
“เออ…ปล่อยพวกเขาอยู่ด้วยกันเถอะพ่อ” ทันทีที่สมรลากแขนศักดิ์ดาหายออกประตูไปแล้ว สายตาฉ่ำรื่นๆ ของเด่นดวงก็กลับมาทำงานอีกรอบ
“ตัวเองรู้ไหม ว่าเค้าเป็นห่วงแค่ไหน….ถ้าพี่สมรไม่โทรบอกเค้ากะจะแจ้งความแล้วนะ ฮื้อๆ” พูดจบเธอก็ฟุบลงกับฝ่ามืออุ่นๆ….ปกรณ์เอื้อมมือที่มีสายน้ำเกลืออีกข้างลูบเรือนผมยาวๆ เขาใช้เวลากับตรงนั้นพอสมควรกระทั้ง เด่นดวงเงยหน้าขึ้นมาสบตา “ตัวเอง….”
“หึ!….” ปกรณ์ยักคิ้วสูงแบบคนตั้งคำถาม
“เค้า เค้า…..” เด่นดวงเงียบแล้วยิ้ม “ตัวเองต้องหายเร็วๆ นะ เค้า เค้า กำลังจะ…..”
ปกรณ์เบิกตาโพลงราวกับคนเดาออก “ตัวเอง อย่า บอกเค้านะ ว่า กำลัง จะ…..มี…..”
เด่นดวงพยักหน้ายิ้มร่า “เค้ากำลังจะมีลูก….”
ปกรณ์ตาค้างชะงักราวกับหุ่นยนต์แบตเตอร์รี่หมด…. “…….” เมื่อกลับคืนสู่ปกติ เขาจึงจ้องไปที่เด่นดวงแบบคนอ่านไม่ออก จนสีหน้าของเด่นดวงค่อยๆ จมสู่สีดำ
“เค้าดีใจที่สุด….แต่ว่า….”
เด่นดวงกลับมายิ้มได้อีกครั้ง “แต่ว่าอะไร”
“ตัวเองไม่ใช่อายุน้อยๆ แล้วนะ…..”
“คนบ้า!….”
“คือเค้าเป็นห่วงตัวเองนะ….” ปกรณ์พูดพลางดึงเธอขึ้นมานั่งกอดบนเตียง “ตัวเองจะไหวเหรอ”
“เค้าไปให้คุณหญิงพวงพรตรวจสุขภาพก่อนจะตัดสินใจมีอะไรกับตัวเองซะอีก…ผู้ชายอะไรพูดทำร้ายจิตใจผู้หญิงได้ลงคอ….”
ปกรณ์ยิ้มเกือบจะหลุดหัวเราะ “เค้ายังไม่มีเงินซื้อแหวนแต่งงานเลยด้วยซ้ำ”
“ไม่สำคัญหรอก เพียงตัวเองคิดดี เค้าก็ OK แล้วละ”
“…เด่นดวง….” ปกรณ์รวบเธอกอดแน่น “ในที่สุดตัวเองก็ทำให้เค้ามีตัวมีตนขึ้นมาจริง ๆ”
“ไม่ใช่เฉพาะตัวเองหรอกนะที่มีตัวตนแต่ยังหมายถึงลูกของเราด้วย…หายกลับมาเป็นพ่อคนให้เค้าเร็วๆ นะ”
ปกรณ์พยักหน้า…ความสุขทำให้เขาจุกแน่นจนพูดอะไรไม่ออก….เด่นดวงจึงใช้นิ้วปาดน้ำตาให้พลางโน้มจุมพิตที่ดวงตาทีละข้างก่อนจะจบที่ริมฝีปากกำลังสั่นของเขา…..
“เค้าเป็น Professional of sex ไม่นึกไม่ฝันว่าจะมาตกหลุมหรัก Professional of Love….” ปกรณ์จ้องเด่นดวงราวกับสิ่งมหัศจรรย์….“ตอนนี้ลูกเรากี่เดือนแล้วละ”
“2 เดือนเมื่อวานพอดี…..”
“หา!…….” ปกรณ์ตาลุกวาว
“เค้าเกิดมาเพื่อช่วยตัวเองโดยเฉพาะเลยว่าไหม”
“ผู้หญิงหรือผู้ชาย….” ปกรณ์ถามเร็วๆ พลางลูบท้องเด่นดวงไม่หยุด
“ยังไม่รู้หรอกต้องรอเดือนหน้าโน้นแหละ”
“ไม่เอาๆ รอลุ้นตอนคลอดเลยดีกว่า….จะเป็นหญิงหรือชายเค้าก็รักหมด…ขอเพียงลูกแข็งแรง….ตัวเองแข็งแรง เท่านั้นพอ”
จบ อนุชาย2 บทที่24 ข่าวร้าย
เดียวดายกลางสีดำ
อนุชาย2 บทที่23 เดียวดายกลางสีดำ
อ่านเพิ่มเติม เดียวดายกลางสีดำ
อนุชาย2 บทที่22
อนุชาย2 บทที่22 กลิ่นความตาย
สัญญาณแจ้งว่ามีข้อความเรียกเข้ามือถือที่วางบนอยู่โต๊ะทำงานดัง #ตี๊ดๆ ตี๊ดๆ# ขณะที่อนุชัยยังติดประชุมอยู่ภายในห้องกระจก จนกระทั้งแสงอาทิตย์กำลังโรยต่ำ ภาพกรุงเทพฯ บนชั้น 18 ก็ถูกแดดสีครีมเข้าครอบคลุม ท้องฟ้าสีครามไร้เมฆมรสุมก็ยังครามค่อยๆ จมสู่สีน้ำเงินทีละส่วน….เมื่อดีลเลอร์ของบริษัท BCOL จำกัด (มหาชน) ลุกขอจับมือด้วยท่าทีพึงพอใจ การประชุมนานร่วม 6 ชั่วโมงก็สิ้นสุดลง
“ขอบพระคูณมากค่ะ….เดินทางโดยสวัสดิภาพนะคะ” เสียงเลขาบอกส่งดีลเลอร์กว่า 10 คนอยู่หน้าประตู สักพักอนุชัยพร้อมทีมงานของบริษัท APT. Group 4 คนก็หอบเอกสารเดินตามออกมา เธอเข้าไปรับพร้อมกับรายงานตามหน้าที่ “บอสคะ….มีข้อความเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือไม่ต่ำกว่า 10 ครั้งค่ะ”
“ขอบใจมาก เอาเอกสารไปแก้ตามข้อความที่ผมลงลายมือกำกับแล้วจัดส่งไปให้ BCOL. ตรวจสอบก่อนค่อยส่งต่อให้ดีลเลอร์ตามหลัง” อนุชัยสั่ง
“ค่ะ….ได้ค่ะ….”
“อ๋อ…แนน….ขอด่วนหน่อยนะ เพราะผมอยากเซ็นสัญญาให้จบๆ”
“ค่ะ…” เลขาสาวสวยรับปากก่อนจะหอบเอกสารพวกนั้นกลับไปที่โต๊ะของเธอ ส่วนอนุชัยก็เร่งฝีเท้าแยกเข้าห้องกระจกที่อยู่ติดกัน ทันทีที่หยิบมือถือขึ้นมาเช็คข้อความ เขาก็ต้องหลับตาซี๊ด! ปากราวกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก สักพักก็หมุนตัวไปยืนนิ่งๆ กับผนังกระจกที่ด้านหน้าเป็นทิศของบ้าน Loft Love
(คะ…คุณนุ)
“คืนนี้ผมอาจจะกลับช้า ฝากน้าสมใจทำข้าวต้มกุ้งสำหรับชานนท์ที่เดียวพอนะครับ”
“ค่ะ ได้ค่ะ”
เมื่อวางสายเขาก็ต่อมือถือเข้าอีกเครื่อง…สัญญาณเรียกดังอยู่นาน จนเริ่มเห็นรอยกังวลจับเหนือหน้าผาก เขาเป่าลมทิ้งขณะรอ จนกระทั้งคนที่ปลายสายรับด้วยน้ำเสียงรีบรน
“นายทำอะไรอยู่” เขากรอกคำถามเกือบจะรัว
(เข้าห้องน้ำ….เพิ่งออกมา) เสียงดร.ชานนท์บอก เขาเงียบสักครู่ก่อนจะพูดขึ้นมาอีก (นายเลิกประชุมแล้วเหรอ)
“อื้อหึ!….แต่ฉันยังติดธุระอีกที่หนึ่ง คืนนี้อาจจะกลับดึกๆ หน่อย”
(นายกลับมากี่โมง โลกของฉันก็ยังเป็นสีดำอยู่ดีนั้นแหละ)
“คุณ….”
(ฮ่า ฮ่า ฮ่า…ฉันแหย่นายเล่นเฉยๆ….ไม่เป็นไรฉันอยู่ได้ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก)
“อื้อ…..แล้วเจอกัน” อนุชัยวางสาย เขายืนนิ่งรับแสงสุดท้ายราวกับคนคิดไม่ตกหลายนาที “ขอโทษนะชานนท์ ฉันบอกความจริงกับนายไม่ได้…เพราะเวลานี้นายเปาะบางเกินกว่าจะรับรู้เรื่องสกปรกโสมม…ฉันต้องช่วยเขา เพราะเขาคือคนเดียวที่ฉันมี” อนุชัยพึมพำก่อนจะหันหลังกลับไปนั่งลงเก้าอี้นวมสีดำ กูเกิลแมปส์ถูกเปิดใช้งานจากคอมพิวเตอร์พีซีสั้นๆ ก่อนจะปิดและหิ้วกระเป๋าเดินออกจากห้องไปเงียบๆ
“คนชี้เป้า….ชายอาภัพ….น้องชาย….ต้องหมายถึงนาย ต้องเป็นนายแน่ ๆ” เขาพึมพำขณะลิฟต์กำลังนำดิ่งสู่ชั้น 4 เมื่อ BMW สีน้ำตาลดำวนหลุดจากตัวอาคารไปอยู่บนถนนสุขุมวิท มันก็มุ่งหน้าสู่มินบุรีทันที
………. คนชี้เป้าจะไปดินเนอร์ที่ร้านอาหารสวนกวาง มินบุรี……….
………นอกพื้นที่ควบคุม………..
………. ชายอาภัพไม่รอดแน่นอน………
……….หากน้องชายไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ………..
จาก…….XXXX…….
ร้านอาหารสวนกวาง มินบุรี
เมื่ออนุชัยมาถึงร้านอาหารสวนกวางตามที่กูเกิลแมปส์นำทาง ลูกค้าภายในร้านยังบางตา จึงไม่ใช่ปัญหาที่จะสำรวจแบบไม่มีพิรุธ
“สวัสดีคะ” เสียงพนักงานสาวดังขึ้นใกล้ๆ
“ขอเปิดห้อง VIP. ก็แล้วกันครับ” เขาบอกพลางหมายตาห้องกระจกที่อยู่บนชั้น 2 เวลาเกือบจะ 6 โมงเย็น แดดก็ทิ้งเงาต้นหมากที่กำลังมีลูกสีแดงพวงใหญ่ข้ามถนนไปตกที่ป้ายรถเมล์ฝั่งตรงข้าม “ขอเป็นชั้น 2 ห้องนั้นครับ”
“แต่ห้องนั้นแอร์ไม่เย็นนะคะ กำลังเรียกช่างมาดูนะค่ะ”
อนุชัยพยักหน้ารับทราบ “ไม่เป็นไรผมมาคนเดียวอยากเป็นส่วนตัวสักหน่อย”
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามสะดวกค่ะ”
อนุชัยกระวนกระวายตั้งแต่อาหารชุดแรกยังมาไม่ถึง ข้อความเพียงไม่กี่คำแล่นวนอยู่ในหัวขณะที่สายตาก็คอยสำรวจไปรอบๆ เพื่อหาสิ่งผิดปกติ แสงสุดท้ายถูกขอบฟ้าทางทิศตะวันตกกลืนหายไปร่วมชั่วโมง ทุกสิ่งทุกอย่างภายในร้านก็ยังปกติ กระทั้งเขาสะบัดหัวให้หลุดรำคาญ
“เราเป็นบ้าอะไรวะเนี่ย!….” เมื่อเวลากำลังเดินเข้าสู่ 2 ทุ่ม ความอดทนก็สิ้นสุด เขาเอื้อมมือกดกริ่งเรียกบริกรเข้ามาเช็คบิล แต่แล้วชายร่างท้วมผิวขาวแบบคนจีนหัวล้านเลยหน้าผากไปไกลก็ปรากฏตัวที่ลานจอดรถ “อาชาญ” เขาอุทานพลางซี๊ด! ปากราวกับมีบางอย่างมาถ่วงดึง
#ก๊อกๆ….# “ขอโทษค่ะ มีอะไรสั่งเพิ่มอีกไหมคะ” เสียงบริกรสาวดังที่หน้าประตู
“ขอเบียร์ขวดหนึ่ง แล้วเช็คบิลเลยนะครับ” เขาสั่งทั้งๆ ที่ไม่ได้หันไปมอง
“ค่ะ ได้ค่ะ”
อนุชาญเลือกที่นั่งริมสุดติดกับลานจอดรถ เขาสั่งเครื่องดื่มเป็นเบียร์กระป๋องเพียงอย่างเดียว ท่าทางกระวนกระวายไม่นิ่งราวกำลังรอการมาของใครบางคน กระทั้งรถกระบะโฟวิลสีดำค่อยๆ เลี้ยวเข้ามาจอดเทียบรถกระบะสีขาว แรงบีบอัดจากข้างในจึงเร่งเร้าความตื่นเต้นเพิ่มเป็น 2 เท่า
“นั้นมันรถปกรณ์นี่…..” อนุชัยอุทานจนหลังมือสั่นและเกือบจะโทรแจ้งทีมบอดี้การ์ดของบ้านสายสกุลหลายรอบ แต่สุดท้ายสติสตังที่เต้นตึบๆ ก็ห้ามเอาไว้… “ไม่ ไม่นะ…” เขาอุทานเมื่อเห็นปกรณ์เร่งฝีเท้าเข้ามาสมทบ อนุชัยพยายามหาช่องโหว่เพื่อให้ได้ยินเสียงของคนทั้งคู่แต่ก็ไม่เป็นผล กระทั้งเบียร์ที่สั่งหายไปกว่าครึ่ง…ชายลึกลับอีกคนสวมหมวกแก๊ปสีดำมีแว่นตากันแดดคล้ายจะอำพลางรูปลักษณ์ภายนอกก็ก้าวลงจากรถแท๊กซี่ที่จอดเทียบข้างถนน บทสนทนาที่ดูจะเคร่งเครียดถูกอนุชาญยกมือห้าม เขาพลิกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลานิดๆ ก่อนปากจะขยับ 2 – 3 คำแล้วลุกเดินจากโต๊ะ อนุชัยเดาออกทันทีว่าเขาจะไปที่ไหน แรงถีบส่งจากข้างในจึงเร่งฝีเท้าล่วงหน้าเข้าไปดักซุ้มรอในห้องน้ำพร้อมกับเปิดอัดเสียงจากโทรศัพท์มือถือราวจะตั้งรับ
“นก 2 ตัวมาถึงแล้ว สอยมันให้ร่วงทั้งคู่”
“…………….”
“อย่าให้รอดไปได้อีก…อั๊ว! ลองทุนชี้เป้าด้วยตัวเอง….หากพวกลึ! ยังพลาด เราเลิกกัน”
“…………..”
โทรศัพท์เงียบได้ไม่นาน เสียงปืนกว่า 10 นัดก็ดังรัวกลบบรรยากาศยามเย็นพร้อมกับเสียงแตกตื่นของผู้คนภายในร้าน #ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!#…..อนุชัยสะดุ้งโหยง…..
“อาชา….ลึ! ทำแบบนี้ได้อย่างไร” และเสียงของเขาก็ดังประโยคซ้ำๆ ออกจากห้องน้ำ อนุชัยเปิดประตูเดินตามด้วยท่าทีบอกไม่ถูก กระทั้งเห็นอนุชาญช้อนร่างปลวกเปียกของปกรณ์ที่อาบโชกไปด้วยเลือดมากอดเขย่าด้วยท่าทีเสียอกเสียใจให้หลายคนเห็น เขาแสดงบทนี้ได้แนบเนียนพอๆ กับดาราตัวท็อป “อาชา ลึ! ทำแบบนี้กับหลานอั๊ว! ได้อย่างไร…อาชา!….อนุชา….ลึ! มันเลวสิ้นชาติฮื้อๆ….” ละครน้ำเน่ายังดำเนินต่อไปจนกระทั้งหน่วยกู้ภัยกับตำรวจกรูเข้ามากันเขาออกไป อนุชัยจึงได้จังหวะ โทรศัพท์มือถือถูกใช้งาน เขาคุยด้วยท่าทีเคร่งเครียดและเร่งรีบกับใครบางคนสักพัก ก็หมุนตัวตามร่างโชกเลือดของปกรณ์ขึ้นไปในรถฉุกเฉิน
“คุณเป็นใครครับ” ชายอาสาของหน่ายกู้ภัยถามสั้นๆ อนุชัยจึงโยนโทรศัพท์ให้ เขาเช็คชีพจรของคนที่เพิ่งจะรู้ว่าเป็นพี่ชายแบบรีบๆ “ถ้าอย่างนั้นคุณควรจะเปลี่ยนชุดนั้นครับ” เสียงหน่วยกู้ภัยดังอีกพร้อมส่งโทรศัพท์มือถือคืนให้ อนุชัยไม่ยอมเสียเวลา เขาหยิบเสื้อฟอร์มสีขาวที่แขวนอยู่ข้างๆ มาสวมทับ
“เราต้องช่วยเขา”
“คุณเป็นอะไรกับผู้ประสบภัยครับ” เสียงแข็งๆ ถามอีก
“ผมเป็นน้องชายเขา…เราไม่มีเวลาแล้ว”
“ครับๆ…..เคลียร์พื้นที่ไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด” เขาออกคำสั่งผ่านไมล์ตัวเล็กจิ๋วที่เหน็บบริเวณปกเสื้อ ทีมปฐมพยาบาลกรูกันขึ้นมาสมทบอีก 3 คน สายประคองชีพถูกงัดออกมาใช้งาน จนระโยงระยางรอบๆ ร่างที่กำลังดิ้นเร้าๆ….
“ปกรณ์ ปกรณ์ นายได้ยินฉันไหม อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะ ฉันอยู่นี่ น้องชายของนายอยู่นี่…” อนุชัยจับมือเขย่าเรียกสติ กระทั้งทีมกู้ภัยนำทั้งคู่มาถึงโรงพยาบาลมินบุรี “นายต้องเข้มแข็งนะ นายต้องตั้งสติ หายใจ ปกรณ์ นายต้องเข้มแข็ง นายต้องรอด”
“คุณเป็นอะไรกับผู้ป่วยคะ” เสียหมอหรือพยาบาลไม่ทราบถามเร็วๆ อนุชัยจ้องดวงตาของปกรณ์ที่กำลังหวาดผวา “ผมเป็นน้องชายเขา”
“กรุณารอด้านนอกค่ะ”
“ฝากด้วยนะครับ ฝากพี่ชายผมด้วย” อนุชัยเกือบจะหลุดสะอื้น แต่ทันทีที่ร่างโชกเลือดถูกเข็นเข้าสู่ห้องฉุกเฉิน สภาวะเงียบงันก็ก่ออารมณ์สารพัดขึ้นข้างใน “นายเป็นอะไรไม่ได้นะ นายจะทิ้งฉันไว้คนเดียวอีกไม่ได้” ร่างโงนเงนสั่นแรงขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็ทรุด อนุชัยรูดตัวลงตามผนังปูนก่อนจะร้องไห้ไร้เสียงโหยหวนดังก้องในโลกเงียบ กระทั้งทีมบอดี้การ์ดของบ้านสายสกุลมาถึงโรงพยาบาล
“ท่านครับ”
“พวกคุณมัวทำอะไรกันอยู่” อนุชัยคล้ายจะต่อว่า แต่สถานะคนเจียมเนื้อเจียมตัวก็ได้แค่จ้องด้วยแววตาแข็งๆ
“ขอโทษครับท่าน เขาออกนอกเขต ตำรวจพื้นที่ช้าไปหน่อย” เสียงหัวหน้าทีมออกตัว เขานำอนุชัยไปนั่งรอกับเก้าอี้ กระทั้งเวลาเกือบจะเที่ยงคืน เสียงหมอหนุ่มที่มีหน้ากากปิดบังใบหน้าก็ดังขึ้น
“คนไข้พ้นขีดอันตรายระดับหนึ่งแล้วครับ”
“เขาจะรักษาตัวโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ไม่ได้ อันตรายเกินไป” อนุชัยพูด
“ท่านครับ…”
“ผมไว้ใจคุณอีกต่อไปไม่ได้…คุณหมอครับช่วยทำเรื่องส่งตัวให้ผมที” อนุชัยหันไปพูดกับหมอหนุ่มก่อนจะยื่นเอกสารแสดงตัวตนให้ หัวหน้าทีมบอดี้การ์ดได้แต่ยืนทำใจจนกระทั้ง
“ถ้าอย่างนั้นผมจะช่วยท่านเอง….”
……….นกกาเหว่า กูก้องก้อง ร้องขับขาน ……..
………เสียงยานยาน ทางเศร้าเศร้า เคล้าโหยหวน………
……….มิใช่เสียง บอกรักรัก ปักรัญจวน……..
……..แต่โหยหวน โหนลึกลึก นึกวายปราณ……….
“นายต้องรอดปกรณ์ นายต้องรอดเพื่อฉัน”……เสียงหวอรถพยาบาลพร้อมแสงไฟฉุกเฉินนำทางหายเข้าไปในความมืดทีละส่วน ถนนวงแหวนตะวันออกมุ่งหน้าสู่ อำเภอบางปะอิน หลังเที่ยงคืนรถบางตา โคมไฟสีเหลืองบนหอสูงสาดฉายราวกับดาวดวงหนึ่งประดับฟ้า กระนั้นอนุชัยที่นั่งไปกับรถพยาบาลคันนั้นก็ยังมองไม่เห็น เขาไม่เห็นสิ่งใด ลืมเวลา ลืมทุกสิ่งกระทั้งมาถึงโรงพยาบาลเอกชนในเมืองเล็กๆ อันเป็นเป้าหมาย เมื่อทีมแพทย์พยาบาลนำร่างของชายที่เพิ่งรู้ว่าเป็นพี่ชายในสายเลือดเข้าสู่ห้องฉุกเฉิน เขานั่งรอกับเก้าอี้ด้านนอกกระทั้งแสงแรกสีวะนิลาเริ่มต้นที่ขอบฟ้าทางทิศตะวันออก ร่างบนเตียงสีขาวก็ถูกเข็นออกมาขึ้นสู่ห้องพิเศษที่อยู่บนชั้น 3 ดวงตามัวๆ ของคนที่เพิ่งจะรู้ว่าเป็นพี่ชายแท้ๆ จึงได้ลืมขึ้น
“อนุชัย” ปกรณ์เรียกระดับเสียงกระซิบ อนุชัยสะดุ้งนิดๆ แต่ก็เผยความยินดีอย่างแจ่มชัด
“หือ!….” อนุชัยเข้ากุมมือพลางยิ้มบางๆ ให้ “นายต้องพักผ่อน”
“ฉันดีขึ้นบ้างแล้วละ”
“แต่นายก็ต้องนอนนิ่งๆ ไม่อย่างนั้นแผลจะปริ….” อนุชัยบอกพร้อมกับจ้องใบหน้าเรียวๆ ซีดๆ ไม่กระพริบ “นายรู้มานานแล้วใช่ไหม….” อนุชัยหลับตานึก “ฉันหมายถึงเรื่องของเรา 2 คนนะ”
ปกรณ์พยักหน้ายิ้ม… “ฉันดีใจมาก”
“ฉันรู้….ฉันรู้….”
“นายควรจะพักผ่อนบ้าง….ดูตาของนายซิ!….”
“นายเองก็ต้องพักผ่อนเช่นกัน….พี่ชาย” อนุชัยเอ่ยคำสุดท้าย ทั้งคู่จ้องตากันจนคล้ายจะเรียกน้ำตา แต่…..
“ไม่เอา ไม่เอา…เราเพิ่งรู้จักกันแท้ๆ อย่าให้มีน้ำตาเลยนะน้องชาย เข้มแข็งไว้ พี่ไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอก” ปกรณ์พูดกึ่งจะปลอบ
“ทำไมนายถึงไปพบเขา….ฉันหมายถึงอาชาญนะ” อนุชัยถาม
ปกรณ์ส่ายหน้าเบื่อหน่ายให้เห็น “ฉันอยากให้เรื่องมันจบๆ….”
“หมายความว่าอย่างไร” อนุชัยถามพลางขยับเก้าอี้ชิดขอบเตียงมากขึ้น
“ฉันแจ้งกับทนายอำพลเรื่องจะขอสละสิทธิ์ในพินัยกรรมของบ้านตระกูเชาว์ แต่ดันเกิดเหตุขึ้นเสียก่อน”
“หา!…..”
“ใช่! ฉันตั้งใจจะสละสิทธิ์จริงๆ ทรัพย์สินเงินทองสำหรับฉันล้วนเป็นเรื่องรองจากความจริงที่ฉันอยากจะรู้….ฉัน ฉัน”
อนุชัยเห็นอาการสะอึกจึงตบหลังมือเขา “พอเถอะ…นายต้องพักผ่อนแล้วละ”
“อนุชัย ฉันเพียงแต่อยากประกาศให้ทุกคนรู้ว่าฉันมีตัวตน ฉันมีที่มาที่ไป และฉันก็มีญาติ มีน้องชาย มีหลานเหมือนชาวบ้านชาวเมืองก็เท่านั้นเอง”
“ฉันเข้าใจ และฉันก็รู้แล้วด้วย….พี่ชาย”
“นายกอดฉันที” ปกรณ์พูดจนเสียงหายลงลำคอ อนุชัยจ้องด้วยแววตาฉ่ำๆ ก่อนจะล้มตัวลงกอดรอบเอว ปกรณ์ใช้มือข้างที่สะดวกลูบหัวเขาด้วยความรู้สึกที่ไม่เคยพบเจอ จนน้ำตาไม่สามารถก็ทะลักทะลาย…อนุชัยนิ่งหลับความอบอุ่นทั้งมวลก็อยู่รอบๆ เอวเหนือหน้าท้องราว 10 เซ็นติเมตร
“ฉันเกือบจะฆ่านาย เกือบฆ่าน้องชายคนเดียวของตัวเอง….ฉันเลวขนาดนั้นได้อย่างไรกัน อนุชัย อนุชัยน้องรัก” เขาพึมพำขณะหลับตานิ่งๆ….ในที่สุดฤทธิ์ยาก็ทำให้เขาหลับไปอีกคน….
อีกฝ่าย
เมื่อ อนุชาญ เชาว์ จบจากให้ปากคำกับตำรวจในพื้นที่ เขาก็ออกควานหาตัวปกรณ์ทันที ครึ่งวันผ่านไปกับการตระเวนเช็คตามโรงพยาบาลในรัศมี 10 กิโลเมตรแต่ก็ไม่เจอ…
“มันหายหัวไปไหนของมันวะ” เขาพึมพำอยู่เบาะหลังรถเบนซ์ สักครู่ “กลับไปที่สถานีตำรวจอีกครั้งซิ!….”
“ครับนายชาญ” คนขับรถรับปากสั้นๆ ก่อนจะสตาร์ทรถวนกลับทางเดิม ขณะเดียวกันเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น
“ฮัลโหล” อนุชาญตอบด้วยน้ำเสียงรำคาญ
(เราเช็คข้อมูลจากหลายๆ หน่วย แต่ยังไม่เจอเลยครับ)
“เจอไม่เจอ…อั๊ว! ไม่สนใจ อั๊ว! อยากรู้เพียงว่ามันตายรึไม่เท่านั้น…สั้นๆ…”
(แม้แต่….)
“หุบปาก…คนทั้งคนจะหายตัวไปได้อย่างไรวะ….ตามหาแล้วเอาศพมาเบิกเงินก้อนสุดท้ายซะ เราจะได้จบๆ กันเสียที อั๊ว! รำคาญพวกลึ!เต็มทนแล้วรู้ไว้ซะด้วย”
(…………..)
“ฮัลโหล ฮัลโหล ฮัลโหล….แม่งเอ้ย! กล้าดีอย่างไรถึงได้ตัดสายอั๊ว! ไปเฉยๆ ไอ้พวกฉิบหาย”
เมื่อทุกอย่างภายในรถเงียบ 10 นาที เสียงคนขับรถก็ดังขึ้น
“นายชาญ หรือว่านายน้อยจะยื่นมือเข้ามาช่วย”
“มันรู้แล้วเหรอว่าไอ้คนขับรถของนังแพศยาเป็นพี่ชายแท้ๆ ของมัน” อนุชาญถามกลับด้วยอารมณ์โมโห
“ได้ข่าวว่านายน้อยยังติดต่อกับทนายอำพล ไม่แน่……”
“ถ้าอย่างนั้น ลึ! ลองหานักสืบสืบเรื่องนี้ให้อั๊วหน่อย…..หากความสัมพันธ์ของมันทั้งคู่เชื่อมโยงถึงกัน ไอ้คุณชายบ้านสายสกุลก็ต้องมีส่วนรู้เห็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
“ครับ ได้ครับ….”
“ถ้าอย่างนั้นเราวนรถกลับไปรอที่บ้านดีกว่า ตำรวจพวกห่านี้ไม่ยอมบอกเราแน่ๆ” อนุชาญออกคำสั่งจากเบาะหลังอีก
“ครับ ได้ครับนาย”
และขณะที่รถยนต์กำลังทำความเร็วอยู่บนทางด่วน เสียงโทรศัพท์เรียกเข้าก็ดังขึ้นมาอีก
“ฮัลโหล….พวกลึ! กล้าดีอย่างไรถึงได้วางสายใส่อั๊ว!” อนุชาญกรอกน้ำเสียงโมโหสุดขีด จนใบหน้าคล้ำๆ แบบคนไม่ได้นอนแดงเป็นสีเลือด “ พวกลึ! มัน มัน…..”
(สัญญาณไม่ดี…เราได้ข่าวใหม่ล่าสุดมาจากหนึ่งในทีมกู้ภัยเมื่อคืน) เสียงตอบกลับทำให้อนุชาญสงบลง เขานิ่งจนลมหายใจกลับสู่สภาวะปกติ (ได้ยินไหมครับ)
“เออ….ว่ามา”
(หน่อยกู้ภัยบอกมีชายคนหนึ่งอ้างตัวเป็นน้องชายนำตัวเขาออกนอกพื้นที่หลังเที่ยงคืน….เวลานี้คนของผมกำลังติดตามอยู่ว่าเขาเอา DEATH04PK ไปรักษาตัวที่ไหน)
“นั้นแสดงว่า….มันยังไม่ตาย” อนุชาญลงเสียงต่ำแบบคนคาดคะเน
(เราก็คิด….เออ…..)
อนุชาญสวนกลับในลมหายใจเดียวกัน “ตามหามันให้เจอแล้วฆ่าทิ้งทั้งคู่”
(ขอให้เจอเถอะ เราไม่ปล่อยแน่นอน สบายใจได้)
“หึ!…..ให้อั๊ว! เห็นศพมันก่อนเถอะถึงค่อยพูดคำนี้…ไปจัดการได้แล้ว” อนุชาญเสียงแข็งก่อนใบหน้ายับยู่ยี่ราวกระดาษหลังชำระจะเปิดเผยรอยยิ้มเหี้ยมๆผ่านกระจกหลังให้คนขับรถเห็น…. “ลึ!….ไม่ต้องเสียแรงแล้วละ ต่อจากวันนี้คุณชายบ้านสายสกุลก็ต้องเจอกับอั๊ว หึๆ…แส่หาเรื่องดีนัก ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
ที่โรงพยาบาลเอกชนในจังหวัดแห่งหนึ่ง…
แดดสีขาวหลังม่านสีฟ้าปลุกอนุชัยตื่นจากเตียงเล็กๆ ที่อยู่อีกฟาก ปกรณ์นอนกึ่งนั่งจากเตียงที่พยาบาลเพิ่งปรับระดับจ้องไปที่เขากว่าชั่วโมง รอยยิ้มอุ่นๆ อ่านวงหน้าหลับลึกกระทั้งเห็นร่างกายขยับ…..
“ตื่นแล้วเหรอ…..”
อนุชัยลุกนั่งผงกหัวให้ “กี่โมงกี่ยามแล้วเนี่ย” เขาไม่กึ่งถามพลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู “เกือบเที่ยงแล้วรึ”
“นายโทรบอกคุณชายรึยัง”
อนุชัยมองปกรณ์ด้วยท่าทีตกใจ “เออ…ฉันลืมไปเลย”
“ไปโทรบอกเดี๋ยวนี้เลย….” ปกรณ์เร่ง แต่ก็อดซี๊ด!ปากเพราะเจ็บแผลไม่ได้
“จะให้ฉันบอกเขาว่ามาเฝ้าผู้ชายอีกคนเนี่ยนะ….ชานนท์เล่นฉันตายแน่ๆ” อนุชัยก้มหน้าสีดำราวกำลังคิด
“คุณชายยังไม่รู้เหรอว่าเราเป็นพี่น้องกัน…” ปกรณ์ถามเร็วๆ อนุชัยส่ายหน้าตอบ “ถ้าอย่างนั้นนายก็ต้องรีบบอก ก่อนคุณชายบ้านสายสกุลจะมาเล่นงานฉัน โอ้ย!…..” ปกรณ์ร้องเสียงดัง อนุชัยจึงกระโจนเข้าไปสำรวจแผลใต้ผ้าก๊อซที่พันอยู่รอบๆ ตัว
“นาย…”
“ไม่เป็นไร ฉันเผลอพลิกแรงไปหน่อย…แต่อย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้กับดวงละ….” ปกรณ์พูดจบก็เงียบ อนุชัยนิ่งรอเหตุผล “แบบฉันกลัวว่าเธอจะเป็นห่วงนะ”
“แล้วที่นายหายไปเฉยๆ แบบเนี่ย เจ้ดวงจะไม่ห่วงรึไง….” อนุชัยย้อนกลับ….
ปกรณ์นิ่งคล้ายกำลังใช้ความคิด “ให้ฉันดีขึ้นกว่านี้ก็แล้วกัน….แต่นายต้องโทรบอกคุณชายตอนนี้เลยเข้าใจไหม”
“อื้อ! แต่ฉันจะบอกกับชานนท์อย่างไรดีละ….” อนุชัยพูดก่อนจะหันหลังเดินเข้าไปในห้องน้ำ (นายจะตื่นรึยังหนอ….หรือว่า…..นายยังไม่หลับ…..หรือว่า…..ไม่ ไม่…..นายเข้มแข็งอยู่แล้วนี่…..ฉันจะบอกอย่างไรดีนายถึงจะไม่เครียด ไม่กังวล….หรือยิ่งฉันเงียบ นายก็ยิ่งคิดมาก ยิ่งจมเครียดเพราะฉัน…ชานนท์….ชานนท์ ฉันจะบอกนายอย่างไรดี จะพูดกับนายอย่างไรดี…..)
จบ อนุชาย2 บทที่22 กลิ่นความตาย
อนุชาย2 บทที่21
อนุชาย2 บทที่21 พี่ชาย
ก่อนที่งานปาร์ตี้จะจบ….
“พี่ชายคะ….” หมอแครรายเรียกดร.ชานนท์ขณะที่อนุชัยนั่งอยู่ใกล้ๆ
“ฮื้อ!….”
“ขอตัวนุสักครู่นะคะ….” เธอบอกจุดประสงค์ ก่อนจะเป็นเสียงอนุชัยดังตามขึ้นติดๆ
“ตัวเองมีอะไรกับเค้ารึแคร”
“เออน่า!…เค้ามีเรื่องอยากถามตัวเองนิดหน่อย” หมอแครพูดเร็วๆ
“โอ้ย!….เดี๋ยวก็ตัวเอง เดี๋ยวก็เค้า….มุ้งมิ้งกันเหลือเกินนะจ้ะ” ดร.ชานนท์แซว จนอนุชัยอดสับกะโหลกไม่ได้ “โอ้ย!….เค้าเจ็บจริงนะตัวเอง”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า…..” หมอแครรายหัวเราะไม่หยุด
“ไปเถอะแคร…ไปคุยด้านนอกดีกว่า….”……………
ที่บ้านตระกูลเชาว์ในคืนเดียวกัน
อีกไม่กี่นาทีก็จะ 23.00 น. อนุชาญจมอยู่กับขวดเหล้าตั้งแต่หลังอาหารเย็นกระทั้งเวลานี้ทุกคนภายในบ้านหลังใหญ่ต่างแยกย้ายเก็บตัวเงียบอยู่ภายในห้องของใครของมัน มีเพียงยามที่จ้างเพิ่มอีก 2 คนเท่านั้นยังเคลื่อนไหวในเงาสลัวๆ เขาซี๊ด! ปาก เป่าลมอึดอัดทิ้งหลายครั้งก่อนจะปาแก้วเหล้าในมือเสียงดัง แพล้ง!…แตกกระจายที่ผนังมุมประตูทางออก ไม่นานแม่บ้านที่สื่อสารภาษาไทยไม่ค่อยชัดก็ตาลีตาเหลือกวิ่งออกมาพร้อมกับไม้กวาด
“โถ้! โว้ย” แพล้ง!….และขวดเหล้านอกขนาด 1 ลิตรในมือก็ปลิวไปแตกกระจายใกล้ๆ กัน จนแม่บ้านคนดังกล่าวแทบหลบไม่ทัน
“ว้าย!…..”
ยามหน้าบ้านวิ่งเข้ามาสมทบ นาทีนั้นเองชายลึกลับจึงได้โอกาสหมุนตัวผ่านประตูรั้วสแตนเลสหายเข้าสู่หลังบ้านได้อย่างง่ายดาย
“นายชาญ…..”
“หุบ!ปาก….” เขาหลุดพูดคำเดียวสั้นๆ ก่อนจะเดินลากขาเข้าไปในห้องทำงานแบบเซๆ…. “เฮียชาติหมา ทำไม ทำไม อั๊ว! ทำผิดอะไร อั๊ว! ไม่ดีตรงไหน ที่อั๊ว! ทำไปทั้งหมดก็เพื่อจะรักษากงสีบ้านตระกูลเชาว์ไว้ให้ได้เท่านั้น ทำ ไม ลึ! ถึงได้ใจร้ายทุบมันแตกเป็นเสี่ยงๆ เช่นนี้ อีกไม่กี่เดือนสมบัติที่เหลือก็ต้องถูกถ่ายโอนออกเป็นส่วนๆ ไม่เหลืออีกแล้ว ไม่มีอะไรเหลือสำหรับตระกูลเชาว์อีกต่อไป…ลึ!มันไอ้ชาติหมา…ลึ! มันเป็นเฮียที่เหี้ยที่สุดเท่าที่อั๊ว! เคยพบเคยเห็นมา….ฮ่า ฮ่า ฮ่า…..” เสียงหัวเราะสั่นประสาทดังกึกก้องทั้งบ้าน กระนั้นทุกคนก็เลือกจะขังตัวเองนิ่งๆ อยู่ในความมืด ไม่มีใครนอกจากเขาที่เอาแต่พร่ำราวกับคนบ้าอยู่คนเดียว “ ฮ่า ฮ่า ฮ่า….เดือนหน้าก็ต้องถ่ายโอนอีก 2 ส่วน อีก 2 ปี กงสีที่อาเตี่ย-อาม่าสร้างมา เก็บหอมรอมริบทั้งชีวิตก็ต้องถูกแจกจ่าย…ห่า! เอ้ย….ไอ้ชาติหมา ถ้าอั๊ว! ยังอยู่ มันจะไม่มีทางเกิดขึ้น ไม่มีทาง ไม่มีทาง เฮียรอดู เฮียชาติหมารอดูก็แล้วกัน ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
“อาเฮียชาญ” และอยู่ๆ น้ำเสียงต่ำๆ ก็ดังขึ้นด้านหลัง อนุชาญที่อยู่ในอาการเมาจนแทบยืนไม่ไหวสะดุ้งนิดๆ ปฏิกิริยาตอบสนองเชื่องชา ทำให้ชายลึกลับมีโอกาสลงมือก่อนหลายนาที กระนั้นเขาก็ยังยืนนิ่ง หนวดเครารุ่งรังผมยาวปะบ่าไม่รู้จะเรียกทรงอะไรได้ปิดบังตัวตนจนหมดสิ้น อนุชาญช็อก จ้องเขาอยู่หลายนาที….ก่อนจะตาเหลือกค้างแบบคนอ่านออกพลางลนลานหันหลังจะวิ่งไปยังลิ้นชักแต่ก็ถูกขัดขวางไว้เสียก่อน “เฮียได้ฆ่าอั๊ว! ไปเมื่อ 15 ปีเรียบร้อยแล้วนี่ จะลนลานฆ่าอั๊ว! ซ้ำให้เสียมืออีกทำไมไม่ทราบ”
“อา อา ชา ลึ ลึ เองหรอกรึ!….” เขาจ้องชายคนนั้นเป็นครั้งที่ยาวนานกว่าเมื่อครู่ “อาตี๋เล็กของเฮีย…ฮื้อๆ” เขาสะอื้นเหมือนคนกำลังกลัวมากกว่าเสียใจ…. “อั๊ว! อั๊ว! ส่งรถไปรับ….แล้ว แล้ว ลึ! หายไปอยู่ที่ไหนมา รู้ไหมว่าอั๊ว! เป็นห่วงมากแค่ไหน”
“อาเฮีย…..”
“ตระกูเชาว์ก็เหลือแค่เรา 2 คนพี่น้อง อาตี๋เล็ก ทำไม”
“อั๊ว! ทั้งเคารพทั้งรักอาเฮีย และถูกอาเฮียปั่นหัวมาทั้งชีวิต….” อนุชาหยุดประเมินพลางหลับตาเชิดใบหน้าสู้กับหลอดนีออนบนฝ้าเพดาน “อาเฮียเคยรักอั๊วสักนิดไหม”
“ลัก ลัก รักซิ ถ้าอั๊ว! ไม่รักลึ! แล้วจะให้ไปรักหมาที่ไหนถูกต้องไหม….อั๊ว!ดีใจ อั๊ว! ดีใจในที่สุดลึ! ก็กลับบ้าน….”
“แล้วทำไม 15 ปี อาเฮียไม่เคยไปเยี่ยมอั๊ว! เลยสักครั้ง….” อนุชาหมุนตัวซี๊ด! ปากไปจ้องรูปวาดสีน้ำมันของอนุชาติ จนด้านหลังเปิดช่องว่างให้อีกคน…. “ถ้าเฮียชาติยังอยู่บ้านตระกูลเชาว์ก็น่าจะอยู่…อั๊ว! มาคืนนี้ก็เพียงจะมาขออโหสิกรรมกับเฮียชาติแค่นั้น” อนุชาพูดไม่ทันจบ อนุชาญก็เล็งปืนรออยู่ด้านหลังซะแล้ว
“ลึ! มันก็แค่ไอ้กากโง่ๆ ที่บังเอิญมาเกิดเป็นเครื่องมือที่หมดยุคให้อั๊ว!”
อนุชาเตรียมตัวเตรียมใจรับสถานการณ์…ค่อยๆ หันมาเผชิญ เขาใช้สายตาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของคนที่ได้ชื่อว่าพี่ชายนาน นาน…. “อั๊ว! รู้ตัวอยู่ก่อนแล้วเฮีย….” เขาท้าท้ายพร้อมกับสาวเท้าใกล้เข้าไปเรื่อยๆ
“หยุดนะ….ถ้าลึ! ไม่หยุดจะได้เป็นผีตามอาเอียชาติแน่ๆ” อนุชาญขู่
“ที่อาเฮียชาติอายุสั้นก็เพราะลึ! ด้วยใช่ไหม….อาเฮีย บอกอั๊ว! ให้ชัดๆ ลึ! เอาอะไรใส่อาหารให้เฮียชาติกินทุกวัน อย่าคิดว่าความลับจะมีในโลกนะ” อนุชาสั่นเกร็งขึ้นมาจริงๆ ปืนในมืออีกคนก็สั่นตามไปด้วย
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า…ไม่แค่เฮียชาติหรอก อีนังพวงพรก็ฝีมืออั๊ว! นี่แหละ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” อนุชาญสารภาพหัวเราะยาวแบบคนชนะ
“มิน่าละ….ลึ! ถึงได้บินไปรัสเชียบ่อยๆ….มันคือคัตตาร์ตโนวีชอกใช่ไหม….” อนุชาถามพร้อมกับเดินเข้าไปหาอีก…จนปลายกระบอกปืนทิ่มหน้าผาก “เอาเลย ยิงอั๊ว! ให้ตายอีกคน 20 % ที่ไม่ยอมถ่ายโอนจะได้ตกเป็นของลึ!คนเดียว…เอาเลย ยิงอั๊ว! ยิงให้ตายเสียคืนนี้ ตรงนี้ ตรงที่ๆ อั๊ว!เกิด เอาเลยอาเฮีย ลงมือได้เลย อั๊ว! เตรียมพร้อมสำหรับคืนนี้มานานเหลือเกิน อย่าให้ความฝันของอั๊ว! สลาย….และอย่าให้ความฝันของลึ! ต้องมลายเช่นเดียวกัน” อนุชาเสียงสั่น ร่างทั้งร่างกรอบเกร็งราวกับกระดูกจะปูดโปนออกนอกกล้ามเนื้อ….ในขณะที่ปืนในมือของอีกคนก็ไม่มั่นคงจนลดระดับลงเรื่อย ๆ…..
“ทำไมลึ! ไม่ฆ่าอั๊ว!ละอาเฮีย….อาเฮีย….ทำไมไม่ลงมือ อาเฮียครับ….ทำไม” อนุชายังท้าทายไม่หยุด ความโกรธแค้นทั้งมวลค่อยๆ กลั่นออกมาเป็นน้ำตา…..อนุชาญคล้ายจะอ่อนลงสุดท้ายด้ามปืนในมือก็ฟาดเข้าที่ใบหน้าจนอนุชาล้มกลิ้งไปติดผนังแบบเดียวกับเศษกระดาษก้อนปั้น
“อั๊ว! มีวิธีฆ่าลึ! หลายวิธี ฮ่า ฮ่า ฮ่า….” เขาหัวเราะจนตัวโคลง “วิธีไหนที่อั๊ว! จะกลายเป็นพ่อพระ….อั๊ว! จะเลือกวิธีนั้นจำไว้”
“อาเฮีย อาเฮีย อาเฮียครับ……”
“พ่อพระอย่างอั๊ว!….ไม่เคยรู้จักไอ้ขี้คุกอย่างลึ!….และไม่เคยนับว่าลึ! เป็นน้องชายตั้งแต่โดนศาลตัดสินเด็ดขาด….จำใส่กะโหลกผุๆ ของลึ! ไว้ด้วย….” เขาใช้หางตาเหยียดหยามสักพักก่อนจะใช้เท้าเตะตัดเข้าลำตัวสุดแรง…จนอนุชาตัวงอเป็นกุ้งแห้งไร้พิษสง
“โอ้ย!…..อาเฮีย…..”
“ออกจากบ้านอั๊ว!เดี๋ยวนี้” อนุชาญตวาดไล่พร้อมกับเปิดประตูตระโกนสุดเสียง “ช่วยด้วย ช่วยอั๊ว!ด้วย โจรเข้าบ้าน มันจะทำลายร่างกายอั๊ว!….ช่วยด้วย ช่วยอั๊วที”
อนุชาค่อยๆ ยันตัวเองลุก เขามองพี่ชายด้วยสายตาอ่านไม่ออก…..กระทั้งยาม 2 คนกรูเข้ามาลากออกไปยังโถงทางเข้า….แสงนีออนสีขาวอาบเขาจนสมบูรณ์แบบ “มองหน้าอั๊ว! ให้ดีๆ….รู้แล้วปล่อย อั๊ว! จะได้กลับ” อนุชากดเสียงต่ำใกล้หูยามที่เขารู้จักดี
“นี่ นี่ มัน นาย นายชานิ!…..นายชาญ นายชาญครับ นี่นายชาน้องชายนายไม่ใช่รึ!…..” ยามคนเก่าคนแก่บอกเสียงสั่น อนุชาญที่อยู่ในอาการมึนเมาถลาโยนหมัดเข้าใส่จนยามคนนั้นล้มกลิ้งไปกับพื้น…
“เสือกดีนัก”
“………..อาเฮีย” อนุชาหลุดเรียกเพียงเท่านั้นเขาก็ค้อมหัวให้ก่อนจะหันหลังสาวเท้าออกไปรวมกับเงารัตติกาล….
“บ้าเอ้ย!….” อนุชาญโวยวายหันหลังกลับเข้าห้องพร้อมกับเสียงปิดประตูดัง ปัง!…
(ฮัลโหล…..)
“ตามล่า DEATH01AC อย่าให้รอดคืนนี้ พิกัดที่ ………ด่วน!” หลังจากอนุชาญวางสาย…..เสียงโหยหวนก็ตามขึ้นติดๆ “โถ!….อาชา อาตี๋เล็กของเฮีย ฮื้อๆ”
เช้าวันศุกร์อีก 3 วันต่อมา…
บนชั้น 18 ของตึก N. Tower ถนนสุขุมวิท หญิงสูงวัยหลังค่อมอายุน่าจะเลย 60 หลายปีมาด้วยชุดเสื้อผ้าเรียบๆ ผมสั้นสีดอกเลาทรงดอกกระทุ่มแขวนกระเป๋าผ้าไหมสีน้ำตาลที่ข้อศอกโดยมียามจากชั้น1 ประคองแขนสั่นๆ เข้าไปในบริษัท APT. Group เธองกๆ เงิ่นๆ จ้องป้ายบริษัทสีเงินแวววาวอยู่พักใหญ่ก่อนเสียงรปภ.กับเลขาจะดังขึ้นใกล้ๆ
“สวัสดีคะคุณป้า….เห็นพี่รปภ.แจ้งว่าคุณป้ามาขอเข้าพบท่าน…”
“อนุชัยคะ….” เธอพูดสวนเร็วๆ พลางปล่อยรอยยิ้มเบิกทาง
“อ้อ!….แล้วคุณป้าได้นัดไว้ล่วงหน้าหรือเปล่าค่ะ” เธอถามต่อพลางเข้าประคอบแขน “เชิญคุณป้าที่ห้องรับแขกก่อนเถอะคะ…..”
“ฉันลืม…ต้องขอโทษด้วยนะคะ” เธอบอกพลางปล่อยอาการแบบคนผิดให้เห็น
“เชิญคุณป้านั่งรอสักครู่ค่ะ ดิฉันจะต่อสายคุยกับบอสให้ ว่าแต่คุณป้าชื่ออะไรคะ มีประเด็นสำคัญหรือเปล่า”
“ดิฉันชื่อแขไขค่ะ….บอกเขาแค่นี้พอ ขอบคุณมากค่ะ” เธอนั่งลงด้วยอาการชราก่อนแม่บ้านจะยกน้ำเย็นมาวางให้ “ขอบคุณมากค่ะ” แขไขยกมือไหว้จนแม่บ้านลนลานวางถาดพลาสติกไหว้ตอบเร็วๆ
“คุณป้าขา…อย่าไหว้หนูเลยคะ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ดิฉันคงจะชินนะ”
ไม่ถึง 10 นาที เลขาสาวก็เดินเข้ามานำเธอลงไปรอที่ร้านกาแฟชั้น 17 แขไขนั่งลงที่มุมผนังกระจกโล่งๆ วิวกรุงเทพฯ ในมุม 270 องศาทำให้เธอหายใจไม่ทั่วท้อง 15 ปีที่เห็นแต่ผนังรั้วสูงๆ ล้อมด้วยลวดหนามสร้างความรู้สึกปลอดภัยมากกว่าตรงนี้ เธอเกือบจะลุกกลับหากชายรูปร่างสูงขาววัย 37 ไม่เดินเข้าหยุดตรงหน้าเธอเสียก่อน
“คุณ……” อนุชัยไม่ทันเรียกชื่อ แขไขก็เกิดอาการชะงักค้าง เขาเองก็จ้องสำรวจหญิงชราหลังค่อมไม่กระพริบ
“ชั่งเหมือนพี่ชายแท้ๆ ของเธอเสียจริง ๆ” แขไขพูดลอยๆ อนุชัยยิ่งไม่เข้าใจไปกันใหญ่
“คุณป้าแขไข….ใช่ไหมครับ เชิญคุณป้านั่งลงก่อน เห็นเลขาบอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย” อนุชัยพูดอย่างคนกะประมาณ
“ค่ะ ป้ามีเรื่องสำคัญจะบอก”
“เราเคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่าครับคุณป้า” อนุชัยถามพร้อมกับขมวดคิ้วเข้าหากัน “แล้วเมื่อครู่คุณป้าบอกว่าผมเหมือนกับพี่ชายแท้ๆ….คือผมตัวคนเดียวไม่มีพี่ชาย….เอ่อ…คุณป้าจำคนผิดหรือเปล่าครับ”
แขไขยิ้มสำรวจใบหน้าเรียวๆ ขาวๆ “ไม่หรอกค่ะ ป้าจำเธอได้ขึ้นใจเชียวละ” เธอปล่อยเวลาให้เงียบ “แต่เธอคงจำป้าไม่ได้”
อนุชัยส่ายหน้ายิ้มให้เธอเห็น…….
“มันก็ 15 เกือบๆ 16 ปีเข้าไปแล้วนี่นะ หึ หึ หึ…..ถ้าจะพูดกันตรงๆ เราสองคนแทบไม่เคยพบหน้ากันเลยด้วยซ้ำ หึ หึ หึ” เธอหัวเราะในลำคอ ก่อนจะเห็นแววตาของอนุชัยสว่างวาบขึ้นมา
“หรือว่า……”
“คะดิฉันแขไข เป็นแม่ของแครราย อดีตคนรักเก่าของเธอไงละ”
อนุชัยยกมือปิดปากแบบคนทำอะไรไม่ถูก……
“ฉันรู้จักเธอดีอนุชัย และฉันก็อยากมาอธิบายเรื่องราวทั้งหมดทั้งมวลให้เธอได้รู้และ….” แขไขเว้นจังหวะเป่าลมทิ้งยาวๆ “และอยากให้เธออโหสิกรรมก่อนที่ฉันจะบวชตลอดชีวิต”
“คุณป้า…..”
“เธอฟังฉันให้ดี….เรื่องราวในบ้านตระกูลเชาว์ค่อนข้างสลับซับซ้อน”
เมื่อได้สติ อนุชัยก็พยักหน้านำร่อง
“หลังจากที่ฉันกลับมาจากอังกฤษ ฉันไม่รู้มาก่อนเลยว่าผู้ชายที่ครอบครัวหาให้จะมีภรรยาซึ่งกำลังตั้งครรภ์อยู่ก่อนแล้ว หลังคืนแต่งงานฉันก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือทำร้ายแม่ของเธอรวมทั้งตัวเธอเองแบบที่ฉันไม่ทันคิด ฉันสารภาพตรงนี้เลยว่า ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายใครทั้งนั้น แต่ในเมื่อความทะเยอทะยานสูง กิเลสปิดหูบังตา ใครเสนออะไรให้ ฉันก็อยากได้ไปเสียหมด…กระทั้งเรื่องเลวร้ายที่ฉันได้ก่อขึ้นวกกลับมาเล่นงานฉันเสียเอง….”
“คุณป้า…..” อนุชัยตกตะลึง…หลังมือเริ่มสั่นให้เห็น
“อนุชัย….เวลานั้นป้าเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่รู้จักเมืองไทยน้อยมาก เกมสกปรกโสมม ป้าจึงตามไม่ทัน การตกเป็นเครื่องมือคนๆ หนึ่งมาโดยตลอดทำให้ป้าเองก็ทนไม่ได้ ไม่ใช่เฉพาะแม่เธอคนเดียวที่โดนสารพิษคัตตาร์ตโนวีชอก ตัวฉันเองก็โดนจนต้องกลับไปรักษาตัวที่อังกฤษหลายปี ฉันผิดหรือที่ชวนนท์เข้ามาช่วยเหลือขณะที่สามีตัวเองไม่ยอมร่วมหลับนอนด้วย….แต่อนุชาติก็ประหนึ่งพ่อพระ ฉัน ฉัน…” แขไขนิ่งจนคล้ายจะพูดต่อไม่ไหว อนุชัยจึงขยับแก้วน้ำชาอุ่นๆ ที่เห็นควันสีเงินลอยม้วนเป็นเกลียวให้
“แครรี่จึงไม่ใช่…..”
“ใช่! เธอคงจะรู้อยู่แล้วว่าแครรายเป็นลูกของชวนนท์ ไม่ใช่อนุชาติพ่อของเธอ…..” แขไขหยุดจิบน้ำชาอีกรอบ “อนุชัย ทุกคนในบ้านตระกูลเชาว์โดนสารพิษที่ว่าเล่นงานแทบทุกคน ยกเว้น….” เธอหยุดจ้องดวงตาที่กำลังสับสน
“ใครกันครับ…..” อนุชัยกระตุ้นถาม
“อนุชาญ….” แขไขลงน้ำเสียงต่ำ
“นั้นก็หมายความว่า….”
“พ่อของเธอเองก็โดนสารพิษตัวนี้เล่นงานสะบักสะบอมจนต้องหนีไปรักษาตัวที่แวนคูเวอร์ แต่อนุชาติก็ไม่รอด”
“หา!….คุณพ่อ” อนุชัยอุทานพลางเบนหน้าหนีไปทางอื่น เขาหลับตาซึ๊ด! ปากปิดอารมณ์อยู่ครู่ใหญ่ แขไขจึงพยักหน้าอีก
“อนุชาติโดนสารพิษในปริมาณน้อย….แต่ที่ฉันมาพบเธอในวันนี้ไม่ได้ตั้งใจมาเล่าเรื่องนี้ให้เธอฟังหรอกนะ….อนุชัย” แขไขเรียกชื่อเขาแบบจริงๆ จังๆ จนเจ้าตัวอดวูบวาบเย็นตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าไม่ได้ “อนุชัยก่อนที่ฉันจะย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านตระกูลเชาว์ พ่อของเธอ ฉันหมายถึงอนุชาติมีลูกชายวัยเกือบ 2 ขวบกับสาวเชียงตุงอยู่ก่อนแล้ว”
“หา!….อะ อะไรนะครับ”
“เธอได้ยินไม่ผิดหรอก เธอมีพี่ชายแท้ๆ อยู่แล้วคนหนึ่ง…..”
“คุณป้า!….” อนุชัยขึ้นเสียงสูงขมวดคิ้วเข้าหากันราวกับคนไม่เชื่อ
“เธอมีพี่ชายแท้ๆ คนหนึ่งอนุชัย….ฉันเป็นคนส่งแม่เขากลับเชียงตุงเอง เพราะหากเธอยังอยู่ในบ้านมีหวังเธอกับลูกน้อยไม่รอดแน่นอน….”
“คุณป้า!….”
“เขาคนนั้นอยู่ไม่ไกลจากเธอ….และเป็นคนที่เกือบจะฆ่าเธอเองด้วย”
“เขาเป็นใครครับคุณป้า….”
“พี่ชายเธอชื่อปกรณ์….” ทันทีที่ชื่อนั้นหลุดจากปาก อนุชัยก็ช็อกตาตั้ง…..
“ปกรณ์….ปกรณ์คือพี่ชายแท้ๆ ของผมเหรอครับ” อนุชัยค่อยๆ เรียบเรียงด้วยอาการไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ “ปกรณ์…..”
“ใช่ปกรณ์ที่เคยเป็นคนขับรถให้กับฉัน….แต่เวลานั้นฉันก็หน้ามืดตามัว แทนที่จะเลี้ยงดูเขาในฐานะลูกชายตามที่แม่แท้ๆ ได้ฝากฝัง….ฉันกลับเห็นเขาเป็นทาสกามารมณ์….ใช้เขาเป็นทาสตัณหา”
“ไม่…ไม่….คุณป้าครับนี้มันแค่เรื่องเล่าปรัมปราไม่ใช่เรื่องจริงใช่ไหมครับ” อนุชัยถามกลับในลมหายใจเดียวกัน
“เรื่องจริง…..ปกรณ์คือพี่ชายแท้ของเธอ”………แขไขหยุดประเมินอาการสักครู่ “ฉันถึงได้มาพบเธอ อยากบอกเรื่องนี้ และ และ…….”
“คุณป้าครับ”
“ฉันอยากฝากปกรณ์….ช่วยดูแลเขาแทนฉันด้วย….”
“ทำไมครับ ผม ผมตามไม่ทัน”
“เพระเขาคือทายาทอันดับที่ 4 ของบ้านตระกูลเชาว์ เขากำลังตกเป็นเป้าสังหารพอๆ กับอานนท์ ลูกชายของเธอนั้นแหละ” แขไขบอกจนหมดเปลือก ก่อนจะถือวิสาสะรวบมือเขาไปกุมเรียกความรู้สึก “แต่ก่อนป้าเคยรักเขาในแบบคนรัก….แต่ปัจจุบันป้ารักและเป็นห่วงเขาไม่ต่างกับลูกชายคนหนึ่ง ฝากดูแลเขาแทนป้าด้วย” อนุชัยนิ่ง พร้อมกับชักมือกลับด้วยอาการช็อก!
“ถ้าเป็นอย่างที่คุณป้าว่ามา เขาต่างหากที่ต้องดูแลผม….”
“ปกรณ์กำลังตกอยู่ในอันตราย อนุชัย….พี่ชายของเธอกำลังตกเป็นเป้าสังหาร….หากวันหนึ่งเขาเกิดพลาด” แขไขยกมือปิดปากและน้ำตาเม็ดแรกก็หยดให้เห็น “ป้า ป้า คงรับไม่ไหว….พี่ชายเธอคือทองแท้อนุชัย….เด็กที่ฉันเห็นเป็นทาสกามารมณ์ทั้งชีวิตแต่กลับเป็นห่วงเป็นใยคอยดูแลฉันยิ่งกว่าลูกในไส้…..ฉันรับไม่ได้หากเขา……ฮื้อๆ”
อนุชัยรวบมือเธอมาตบปลอบ……. “คุณป้าครับ….ขอเวลาผมทำความเข้าใจหน่อย”
แขไขพยักหน้าขณะที่เวลากำลังเดินเข้าสู่เที่ยงวัน…เธอเช็ดน้ำตาอัดลมเข้าสู่ปอดจนเห็นดวงตาฉ่ำชุ่ม
“ชีวิตฉันพอแล้ว….ฉันตั้งใจจะบวชตลอดชีวิต….เรื่องเลวร้ายที่ได้ทำไว้กับเธอรวมทั้งพวงพรแม่ของเธอ…. เธอพอจะอโหสิกรรมให้ฉันได้ไหม….”
อนุชัยจ้องใบหน้าของหญิงชราราวจะอ่านความรู้สึกให้แตก…. “ขอเวลาผมหน่อยแล้วกัน”
“ฉันเข้าใจ….หากฉันเป็นเธอ ฉันก็คงต้องใช้เวลาเรียบเรียงหลายอาทิตย์หรืออาจจะหลายเดือน….แต่อย่างน้อยเมื่อฉันได้พูด ได้บอกเรื่องที่ควรบอก ฉันเองก็สบายใจแล้วละ” แขไขพูดแบบคนปลงตก เธอมองหน้าอนุชัยอยู่นานก่อนจะฉายรอยยิ้มให้เห็น
“เธอเหมือนเขามากๆ อนุชัย”
“เหมือนพี่ชายผมใช่ไหมครับ”
“จ้ะ….เหมือนจนฉันตกใจเชียวละ”
“ขอบคุณคุณป้ามากๆ ที่เสียสละเวลามานั่งเล่าเรื่องอะไรต่อมิอะไรให้ฟัง…ทำให้ผมรู้จักชีวิตตัวเองมากกว่าเดิม….”
“….ป้าเองก็สบายใจที่ได้พูด….ป้ารบกวนเวลาพอสมควรเห็นทีต้องขอตัวกลับซะที”
“แล้วเวลานี้คุณป้าพักอยู่ที่ไหนครับ” อนุชัยถามกลับตามมารยาท แขไขลุกมองหน้ายิ้มๆ
“ทนายอำพลขอปิดเป็นความลับ แต่พี่ชายของเธอรู้ดี….” พูดจบแขไขก็ยกมือไหว้เขา จนอนุชัยก้มรับไหว้ตอบแทบไม่ทัน
“คุณป้าครับ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ….คนบาปอย่างป้าได้ไหว้คนดีๆ อย่างอนุชัยก็ถือว่าเป็นบุญ…ป้าลาเลยนะคะ”
อนุชัยมองตามหลังหญิงชราหลังค่อมกระทั้งลับมุมผนัง วิวของ กรุงเทพฯ บนชั้น 17 ยังกว้างใหญ่แต่สิ่งไม่คาดคิดที่ใหญ่ยิ่งกว่า…อันตรายยิ่งกว่าเมืองหลวง รอเขาอยู่…..ถ้าปกรณ์พลาด พี่ชายคนเดียวที่ความจริงเพิ่งเปิดเผยจะเป็นเช่นไร….นาฬิกาเอย เวลาเอย บอกได้ไหมว่ามีอะไรรออยู่ในวันข้างหน้า….ได้โปรด
จบ อนุชาย2 บทที่21 พี่ชาย
อนุชาย2 บทที่20
อ่าน อนุชาย2 บทที่20 ปาร์ตี้
อ่านเพิ่มเติม อนุชาย2 บทที่20